แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คนฟังถาม กราบเรียนท่านหน่อยเจ้าค่ะว่า ที่เขาจะให้ทำอันนี้เจ้าค่ะ แล้วเสร็จแล้วในกลุ่มย่อยที่พวกเราไปทำกัน เขาบอกว่า เขาต้องการจะให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาเนี่ยด้วยการที่จะใช้เครื่องมือทันสมัยให้เร็วที่สุด กว้างที่สุดมากที่สุด แต่เสร็จแล้วเขาไม่ได้เห็นมีพูดถึงว่า ในการที่จะอบรมครูพระหรือว่าใครที่จะไปทำหน้าที่เผยแพร่นี้ เจ้าค่ะ
พระตอบ ตามที่มีในจดหมายประชุมนี่ เรื่องเผยแผ่พระพุทธศาสนาจริง แต่ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับว่าให้พุทธมณฑลเป็นศูน์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก อันนี้ก็มันก็ไม่ชัดว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเผยแพร่อย่างไร
คนฟังถาม แต่รู้สึกประเด็นนี้เจ้าค่ะ จะเป็นประเด็นใหญ่ ที่เขาต้องการที่จะผลักดันให้ออก
พระตอบ แสดงถึงการที่พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางหรือยังไง
คนฟังถาม เจ้าค่ะ พระตอบ แล้วจะไปทำอะไรก็ไม่ชัด
คนฟังถาม ตอนวิสาขะ เขาก็พยายามทำทีนึงแล้วใช่ไหมเจ้าค่ะ
พระตอบ ก็อันนี้อาตมาก็ยังไม่รู้ได้ยินข่าว มีโยมมาเล่าเรื่องว่าให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก แล้วการที่จะทำอย่างนั้น ทำยังไง ทำในแง่ตัวพึงอุปกรณ์ วัตถุรูปธรรมหรือในแง่ของตัวหลักเนื้อหาสาระ
คนฟังถาม เขาก็มีเจ้าค่ะ ว่าเขาก็จะให้มีอะไรที่จะเป็นพุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาโลก แล้วเท่าที่ทราบ ก็มีการร่วมมือกับมหายานใช่ไหมเจ้าคะที่จะส่งนักศึกษาเข้ามา
พระตอบ นั้นอาตมาไม่ทราบเรื่องมาก แต่ว่ารู้แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เช่นว่าปีที่แล้ว ก็ทางมหายาน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ก็มาเป็นเหมือนเจ้าภาพ หรือเป็นเจ้าของทุนในการจัดการประชุมที่พุทธมณฑล เขาเรียกการประชุมพุทธศาสนา ก็เป็นคล้าย ๆ เป็นสากลอะไรทำนองนี้ ปีนี้ก็ได้ข่าวอีกเมื่อเช้านี้ ไปจัดโดยเจ้ามือญี่ปุ่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือว่าระหว่างชาวพุทธ ระหว่างประเทศในโลก ทีนี้ตอนนี้ ญี่ปุ่นนี่ก็มีบทบาทมากเข้ามาเมืองไทยมาก ได้ยินเป็นระยะระยะ เช่นโยเรอย่างนี้ แล้วก็ตอนนี้มีแม้ไปถึงภาคใต้ มีนิจิเรน นิโซกะงะกัย โซกะงะกัยนี่กำลังขึ้นมาก แล้วตั้งพรรคการเมืองชื่อโกเบโต้ เป็นพักใหญ่ที่ 3 ของญี่ปุ่น แต่ว่าตอนนี้ขึ้นกว่านั้นหรือยังไม่รู้ทราบน่ะ แต่มานี่ก็หลายปีแล้ว เป็นพรรคใหญ่ที่ 3 ของญี่ปุ่น พรรคโกเบโต้ แล้วก็นิโซกะงะกัยนี้เป็นสาย 1 ของนิจิเรน แต่ไม่ใช่นิจิเรนเดิม คือญี่ปุ่นนี่เขาจะมีการแยกนิกายออกไปเรื่อย โซกะงะกัยนี่เป็นนิจิเรนฝ่ายคฤหัสถ์ ที่เขาตั้งตัวขึ้นมาเป็นพวกองค์กรของชาวบ้าน แล้วเขาก็ขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ว่า ตอนนี้เขาคุยว่าเขามีศาสนิกหกล้านคน เขาก็จะเผยแผ่ไปทั่วโลก แต่ตอนนี้ในญี่ปุ่นเองนี่ก็ โซกะงะกัยนี้มีกำลังมาก ทีนี้ก็ถ้าไปกว้างออกไปก็ จีนไต้หวันก็ไม่เบาเหมือนกันออกทางอเมริกา ไต้หวันตอนนี้ก็ไปสร้างมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาทางแคลิฟอร์เนียใช่ไหม แล้วก็สร้างวัดใหญ่ใช้ทุนมหาศาล แล้วมีเสียงเข้ามา มีเสียงในทางลบก็มี คือว่าอันนี้เราฟังฟังไว้ คือบ้างก็บอกว่า เอ้พระพุทธศาสนาพวกนี้จะเอาธุรกิจหรือจะว่าเอาธรรมะกันแน่ เพราะว่ามันมีอะไรเรื่องทางธุรกิจเข้าไป แล้วก็โยงไปถึงการเมือง คงได้ยินข่าวเมื่อตอนจะเลือกตั้งประธานาธิบดีเนี่ย ตอนที่อังกอร์สมัครช่วงนั้นมีเรื่องเกิดขึ้น กรณีรับเงินของวัดจีนใช่ไหม เคยได้ยินไหม นั่นแหละ ที่อเมริกา อังกอร์ก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาก่อน นั่นแหละ คือวัดจีนนี่มีบทบาท มีอิทธิพลมาก กำลังทรัพย์มหาศาล ฉะนั้นเราต้องรู้เข้าใจ ทำไมญี่ปุ่นเข้ามาเมืองไทย เข้ามาเพื่ออะไร เข้ามาจัด
โอ้นี่เรื่องนี้จะโยงไปถึงเรื่องที่คุณหมออยากจะถาม คือในเมืองไทยเรานี่มักจะทำอะไรแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีความรู้ หรือรู้ไม่ชัด ไม่ได้รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ก็มีความเห็น เห็นไปตามชอบใจไม่ชอบใจบ้าง เห็นไปตามความรู้สึก เท่าที่เป็นกระแสบ้างอะไรบ้าง การที่จะมองอะไรให้ชัดมันก็ต้องรู้ชัดใช่ไหมโยม อันนี้ญี่ปุ่นนี่เขามีปัญหาของเขาเยอะ ญี่ปุ่นเมื่อปีที่อาตมาไป 2510 ครั้งแรกก็ 38 ปีแล้ว แล้วไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาต่าง ๆ เห็นจะถึง 10 แห่ง ก็มีเอกสารต่าง ๆ มาก็เอกสารจากกระทรวงศึกษาธิการ ก็ตอนนั้นก็มีนิกายพุทธศาสนาญี่ปุ่นทั้งหมด เขาบอกไว้ในตามสถิติของกระทรวงศึกษาธิการ 234 นิกาย เป็นนิกายใหญ่ที่สุด 13 นิกาย 13 ที่ใหญ่ขึ้นมาอีก คัดไปแล้วเหลือ 6 แล้วบางทีก็เรียกกันว่า 5 5 นิกาย นิกายเหล่านี้ก็ไม่ใช่จะรวมกัน แล้วเกิดนิกายย่อยใหม่ ๆ เรื่อย ในบางนิกายเขาก็ต้องการจะเชิดชูตัวเขาขึ้นมา แต่เราก็รู้กันอยู่ญี่ปุ่นนี่เขาเป็นแดนของธุรกิจและการเมืองที่รวยใช่ไหม ถ้าเทียบกับเรา เป็นประเทศที่มีการเงินดี อย่างที่เราเห็นอยู่แล้วง่าย ๆ เช่น คนญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทย ในเวลาที่เข้ามาพักผ่อน เช่นว่า อาทิตย์หนึ่ง เขานั่งเครื่องบินมาไปกลับมาเที่ยวเมืองไทยถูกกว่าที่เขาจะเที่ยวในญี่ปุ่นอีกถูกไหม อาตมาเคยเจอ ตอนนั่งเครื่องบินกลับมาพวกนั้นบอกว่าญี่ปุ่นแทบทั้งนั้นเลย พอลงโตเกียว ขึ้นมาญี่ปุ่นขึ้นกันเยอะ ปรากฏว่ามาเทียวที่เมืองไทยเพราะว่ามาเมืองไทยเสียค่าเครื่องบินไปกลับแล้วถูกกว่าเที่ยวในญี่ปุ่น อะไรอะไรก็ถูกหมด ลองไปกินข้าวแกง กินเสร็จแล้วถามว่าเท่าไหร่ บอกราคามาไม่มีความหมายให้เงินไปไม่ต้องทอน ทีนี่ญี่ปุ่นเขาอยู่ในนั้นเขาก็ต่างคนต่างใหญ่ บางทีเขาก็มุ่งหาความยิ่งใหญ่ของตัว เชิดชูตัวขึ้น ในการออกมาข้างนอก อันนี้เป็นแง่มุมหนึ่งนะไม่ใช่หมายความว่าจะต้องมองแง่นี้หมด แง่ดีก็มีนี้ แต่ว่าเราจะต้องรู้ทัน รู้ทันว่าเขาคือใคร เขาเป็นอย่างไร เขามาอย่างไร เอ้า อาตมาก็เลยพูดเสีย
คนฟังถาม แล้วถ้าเผื่อเราร่วมกับเขาแบบนี้น่ะเจ้าค่ะ หนึ่งเราเป็นเถรวาทแล้วก็จุดยืนของเรานี้เจ้าค่ะในการที่สำหรับประเทศไทย เราจะเป็นพุทธศาสนาแบบไหนกันเจ้าคะ
พระตอบ ก็เราเป็นเถรวาท
คนฟังถาม ก็ใช่เจ้าค่ะ แต่ว่าทุกวันนี้ท่านก็เห็นเท่าที่นโยบายมันออกมาหลาย ๆ อย่าง มันก็พิกลพิกลอยู่เนี่ยเจ้าค่ะ แล้วถ้าเผื่อเรารับเข้ามาอย่างนี้ โดยที่เราเอง เราก็ยังไม่มีแน่นอนว่าพระของเรา เมืองไทยเจ้าค่ะ จะเอายังไงกันแน่ แล้วพุทธศาสนาก็อีกหน่อยก็จะอย่างพระจีน พระญี่ปุ่น อะไรอย่างนี้ งั้นหรือเจ้าคะ
พระตอบ คืออันนี้จึงได้ย้ำ เรื่องที่ว่าเรื่องความรู้ ที่นี้ตอนนี้ก็มีแนวโน้มว่าที่จะให้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในพุทธศาสนาทั่วโลก ซึ่งอันนี้มันก็เป็นความริเริ่มมานานแล้ว ซึ่งเรามีองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก หรือพ.ส.ล. ก็มีขึ้นเพื่ออันนี้ ทุกท่านคงรู้จักใช่ไหม ทีนี้พ.ส.ล. นี้มีมานาน แต่ว่ากิจกรรมไม่เข้มแข็ง จนกระทั่งว่าทางคริสต์ ทางคริสต์นี่เขาจะมีรายงานไปที่วาติกันเป็นประจำ จนกระทั่งเราไปเจอเอกสารรับเป็น The Bulletin of the Secretarial เขาจะรายงานไปเลย ว่าเหตุการณ์ในพุทธศาสนาเมืองไทยเป็นอย่างไรบ้าง พุทธสมาคมเข้มแข็งไหม ดูว่าพุทธเป็นยังไง พ.ส.น.เป็นยังไง เขาบอกว่าไม่ได้เรื่อง ไม่มีกำลังอะไรทั้งนั้นแหละ สมาคมพ.ส.ล. อะไรเนี่ย ก็เป็นความจริงของเขาใช่ไหม นี่พ.ส.น.ก็คือตั้งขึ้นเพื่อเป็นที่รวมของชาวพุทธทั่วโลก ผู้ริเริ่มก็คือชาวลังกาท่าน Malage Sera เป็นนักปราชญ์ใหญ่ ท่านก็เก่งมาก แต่ท่านก็สิ้นอายุไปนานแล้ว ทีนี้ต่อมาเข้ายกเมืองไทยนี่เป็นสำนักงานถาวรไปเลย ตอนนั้นนึกนะ นี่ย้อนอดีต ก็ไทยก็เคยได้รับยอมรับมาแล้วให้เป็นสำนักงานถาวรขององค์การพ.ส.น. เนี่ยเราเป็นศูนย์โลกของชาวพุทธมาทีนึงแล้ว แต่ว่ามันก็ไม่ไปไหน ตอนนี้เอาอีก ตอนนี้มีการประชุมชาวพุทธทั่วโลกครั้งที่แล้ว ก็คล้าย ๆ ทำนองนั้น ให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก เอาแล้วนะ ก็คล้าย ๆ อย่างนั้น ก็คล้าย ๆ ขึ้นใหม่อันหนึ่งแทนที่จะไปพ.ส.น.ไม่ไปแล้ว กลายเป็นเรื่องใหม่ไป ไอ้เรื่องเก่าก็ถูกทิ้งไป แล้วไอ้เรื่องใหม่แบบนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะสานต่ออย่างไร
แล้วคนที่พูดก็คือ ผู้ที่มาประชุมกัน ทีมี อาจจะมีพระจีน ท่านเสนอขึ้นมาก็เป็นความดีของท่าน แต่ว่าท่านอาจจะพูดไปตามที่ท่านนึกเห็นขณะนั้น แล้วคนอื่น เอาแล้วมีมติลงรวมกัน ใจเขา ความคิดเค้าอะไรอย่างนี้
เราก็ต้องรู้ว่าเป็นยังไง จะทำได้แค่ไหน ก็ในการที่จะพูดนี้ก็เริ่มด้วยหลักการทั่วไป มันก็ดีซิการสัมพันธ์กัน เรายินดีอยู่แล้ว เรามีพ.ส.น.จะทํายังไงให้การสัมพันธ์นั้นมันเกิดผลเป็นประโยชน์ นี้การสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก มันมีความหมายอย่างไร ก็ต้องจับตรงนี้ให้ได้ ก็เอาว่าถ้าเราถือว่า การเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก มองว่าความหมายมันพอจะเข้าใจแล้ว ก็ดูความมุ่งหมายว่าสัมพันธ์และก็เป็นศูนย์กลางเป็นเพื่ออะไร ตอนนี้ต้องตอบให้ได้ เพื่ออะไร เพื่อว่ามาสัมพันธ์กัน มาเกี่ยวข้องกัน แล้วมาเป็นศูนย์กลาง เขามีอะไรเราก็ต้องมีตามนั้นหรือยังไงอะไรอย่างนี้ นี่ก็แสดงว่าไม่ชัด เราก็ต้องเข้าใจเขาสิทีนี้ ถ้าจะให้ดีว่าการสัมพันธ์ระหว่างกันนี่น่ะ ถ้าเป็นชาวบ้านก็อาจจะมุ่งประโยชน์จากกันและกัน ก็อาจจะมองว่า เอ้อถ้าเราไปสัมพันธ์กับเขา แล้วเราได้อะไร ถ้าอย่างชาวบ้านนี้อาจจะมุ่งว่า เอ้อเขามาเที่ยวเมืองเรา เราได้ประโยชน์ทางธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นต้นใช่ไหม อันนั้นมันเป็นการเงินการทอง แต่ทีนี้ทางพระนี่ เราไม่ได้มองในแง่ว่าเราจะได้ประโยชน์อย่างไร เรากลับจะมองในแง่ว่าเราจะช่วยทำประโยชน์ให้แก่เขาได้อย่างไร เราควรจะมองแง่นี้มากกว่า นี้ว่าเราจะทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลกได้อย่างไร เอ้าเรามองในแง่นี้ ก็เราต้องดูว่าเขาต้องการอะไร แล้วเขามาหาเราแล้วก็มาที่เราแล้วเขาคิดว่าเขาจะได้อะไร ถ้าสิ่งที่เขาคิดไว้ว่าเขามาที่เราแล้วก็ได้เป็นสิ่งที่ดีงามเราก็จะได้ส่งเสริม
แล้วสอง แล้วสิ่งที่ควรจะได้จากเรา ที่เขาคิดจะได้นะมันเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์เราควรจะมีให้อย่างแท้จริงเราก็ทำตัวให้มีที่จะให้แก่เขาใช่ไหม ที่นี้เรื่องนี้มันเรื่องสัมพันธ์กับความจริงด้วย คือข้อเท็จจริงที่เราต้องเข้าใจ พระศาสนาระหว่างประเทศ เถรวาทมหายาน อะไร เป็นอะไรเราต้องรู้เข้าใจชัดหมด
เวลานี้น่ะเอาในแง่หนึ่ง นี่ให้ไปศึกษากันเลยว่าเขาได้เป็นอย่างไร และเราต้องการอะไรเขาต้องการอะไรจากเราแล้วก็ควรจะได้อะไรจากเรา เขาอาจจะไม่ได้คิดว่าเอาอะไรมาให้ แต่ว่าแน่นอนที่เขาอยากจะได้จากเรา อาตมาจะเล่าให้ฟังถึงเรื่องหนึ่ง คือพุทธศาสนาที่มีแยกกันเป็นนิกายใหญ่ ก็เป็นเถรวาทมหายานนี่น่ะ ก็เป็นเรื่องที่รู้กันมานาน แต่ว่าเราก็ไม่ค่อยรู้ซึ่งกันและกันว่าฝ่ายไหนเป็นอย่างไร เราเถรวาท เราก็ไม่รู้จักมหายานเป็นอย่างไร ก็พอจะรู้ ก็ในเมืองไทยเรามีพระจีน พระญวน เราก็เรียกรวม ๆ กัน พระจีนก็เรียกจีน นิกายพระญวนก็เรียกอัมนามุตา ลึกลงไปเราก็ไม่รู้ ต่อมาเราก็เห็นมีเจ้าแม่กวนอิม เขาไหว้ว่าศักดิ์สิทธิ์ได้ลาภก็ไปขอลาภ ไม่รู้เรื่องพระกวนอิมเป็นใคร ไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอวโลกิเตศวรเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่รู้ทั้งนั้น ขอให้ฉันไหว้แล้วได้ลาภก็แล้วกัน ไม่ต้องรู้ คนไทยนี่ไม่ต้องรู้เลย นี่เราก็ไม่รู้จักมหายาน มหายานเขาเริ่มรู้เรา ก็จะขอเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเอาญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง เพราะญี่ปุ่นนี่มีบทบาทในโลกมาก และกำลังเข้ามามีบทบาทในเมืองไทยเยอะ ตลอดจนกระทั่งกิจกรรมระหว่างประเทศด้วย อาจารย์ชื่อ Kogen Mizuno เป็นรองประธานมหาวิทยาลัย Kumazawa Kumazawa นี่เป็นมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา อยู่ที่กรุงโตเกียว ท่าน Kogen Mizuno นี่ก็เป็น Vice President จะเทียบตำแหน่งในเมืองไทยอะไรก็ไม่ทราบ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ท่านก็เขียนหนังสือเล่าว่า ท่านก็บอกว่าแต่ก่อนนี้ ทางญี่ปุ่นไม่รู้จักเถรวาท ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างไร จนกระทั้งมาติดต่อกับชาวตะวันตก อันนี้ก็อาจจะเป็นอนิสงฆ์อย่างหนึ่งของลัทธิอนานิคม คือว่าในแง่ไม่ดีก็ไม่ดีไป แต่ในแง่นี้เป็นประโยชน์ ก็คือฝรั่งเนี่ย ได้อนานิคมไปทั่วโลกโดยเฉพาะอังกฤษ ก็มีทั้งประเทศที่เป็นทั้งมหายาน เถรวาท และนับถือศาสนาต่าง ๆ ได้หมด เป็นดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน ที่นี้พวกชาวอังกฤษนี้ ก็เป็นคนที่สนใจใฝ่รู้ เมื่อเข้าไปอยู่ในประเทศนััน ๆ ที่ตัวปกครองก็เรียนรู้วัฒนาธรรม เรียนรู้ศาสนา บางคนก็เปลียนไปนับถือพุทธศาสนาก็มี อย่างที่ประเทศลังกานี้ พวกนี้ก็ได้ศึกษาจนกระทั่งไปตั้ง Public Society ในลอนดอน ท่าน Redevis อะไรพวกนี้ ก็มาจากพวกที่มาแหละมาในกิจกรรมของเมืองขึ้นอนานิคม แล้วก็มาศึกษาพุทธศาสนาเลยเรียนบาลีกันจนรู้จริง แล้วก็กลับไปพยายามที่จะถอดอักษรคัมภีร์ภาษาบาลี จากอักษรสิงหลเป็นอักษรโรมัน แล้วก็พิมพ์เผยแพร่ให้ฝรั่งรู้กัน ที่ตั้ง Public Society แล้วก็มีบุคคลอื่นที่มาเรียนกัน ทีนี้ท่านศาสดาจารย์ Kogen Mizuno ท่านก็เล่าบอกว่า ฝรั่งที่เข้าไปในญี่ปุ่นก็นำความรู้เรื่องเถรวาทเข้าไป เพราะฝรั่งเองก็ถึงกัน ฝรั่งก็เรียนเรื่องมหายาน เรียนเรื่องเถรวาทบ้าง เขาก็ถือพุทธศาสนาเขาก็เอาความรู้ไปสังสรรค์แลกเปลี่ยนกันอะไรต่าง ๆ ก็เลยทำให้ชาวญี่ปุ่นพลอยรู้เรื่องพุทธศาสนาเถรวาท เอ้าล่ะน่ะญี่ปุ่นเริ่มสนใจกว้าง กว้างด้วยความรู้ กว้างมี 2 อย่าง กว้างด้วยความรู้ กับกว้างใจ รู้แคบก็ใจแคบ อันนี้ความรู้เขาเริ่มกว้างขึ้น เขาก็สนใจ แล้วเขาก็รู้ขึ้นมา แล้วเขาก็เทียบกัน
เขายอมรับเลยที่ญี่ปุ่น แกเขียนไว้เลย แกบอกว่าญี่ปุ่นก็ยอมรับกันว่าพระพุทธศาสนาที่เป็นคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้านั้น คือเถรวาท ส่วนของมหายานเนี่ย พระสูตรทั้งหลายส่วนใหญ่ก็เป็นของแต่งขึ้นใส่พระโอษฐ์ทีหลัง อันนี้เป็นคำของพวกมหายานเขาพูดเองน่ะ เดี๋ยวนี้ไปดูหนังสือรุ่นใหม่ ๆ นี่ เขายอมรับกันทั่ว อย่างพวก Dictionay of Buddhism อะไรนี่บางทีก็เขียนตรง ๆ ไปเลย อย่างที่เป็นนายกสมาคมพุทธสมาคมลอนดอนก็เขียน Dictionay of Buddhism ขึ้นมาเล่มหนึ่ง นั้นก็บอกเลยว่าพระสูตรมหายานเป็นสูตรที่แต่งขึ้นใส่พระโอษฐ์ ก็คือรู้กัน เช่น สัทธรรมปุณฑริกสูตร มหาโววันนะสูตร อังการะวัตตาสูตร สุขาวตีวยูหสูตร อะไรก็เยอะแยะไปหมด เป็นสูตรใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นหลักของมหายาน ก็รู้ว่าเป็นสูตรที่แต่งขึ้นภายหลังใส่พระโอษฐ์ ทีนี้ทางนักปราชญ์ชาวพุทธญี่ปุ่น ก็เป็นอันว่ารู้กัน เป็นอันว่ายอมรับ แล้วต่อมาเขาก็เลยตกกัน แต่ตกลงโทษทั่วหรือเปล่า อีกเรื่องหนึ่งน่ะ แต่ว่าโดยทั่วไปเขาตกลงกัน แต่เขาไม่ยอมอยู่อย่างเดียว คือเขาบอกว่า ถึงไหนต้องถือว่าพุทธศาสนามหายานนี่สูงกว่า เชื่ออันนี้ยอมไม่ได้ ก็หมายความว่าถึงแม้มหายานตัวหลักพระสูตรเป็นต้น ไม่ใช่คำสอนเดิม แต่พระอาจารย์ที่เรียบเรียงพระสูตรเหล่านั้น เป็นผู้รู้เจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าเรียบเรียงขึ้นเป็นของสูงกว่าเหนือกว่าพวกเถรวาท แต่ยอมรับว่าคำสอนเดิมแท้ต้องดูที่เถรวาทคือคัมภีร์เดิม พระไตรปิฏกบาลีเถรวาทนี้ นี่เรียกว่าดั่งเดิมที่สุดรักษาได้มากที่สุด เราไม่ได้พูดว่าครบหมด แต่หมายความว่าเท่าที่มีมาถีงเรานี่ มีอยู่ในพระไตรปิฎกบาลีเถรวาทนี่มากที่สุด เต็มที่สุด สมบูรณ์ที่สุด ได้แค่นั้น นี้พวกนักปราชญ์มหายานญี่ปุ่นก็ยอมรับแล้ว ก็เลยตกลงกันว่า ต่อไปนี้แม้จะศึกษาพุทธศาสนามหายานก็ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นพื้นฐาน แล้วต่อมาเขาก็แปลพระไตรปิฏกบาลีเป็นภาษาญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้เขาแปลจบแล้วนะ เราไม่รู้ นี่แหละที่ว่าพวกเถรวาท ไม่รู้ ๆ แคบ เขารู้เขามาเอาไปแล้ว
ตอนที่ทำพระไตรปิฎกคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดลทำขึ้นก่อน ก็ได้ทราบจากฝ่ายมหาวิทยาลัยว่า ผู้ที่ซื้อมากที่สุดไม่ใช่คนไทย คนไทยไม่ค่อยเอาเรื่องเลย ขายแทบไม่ได้ แต่เป็นญี่ปุ่น แล้วฝรั่ง พวกญี่ปุ่น พวกฝรั่งนี่ซื้อมากที่สุด พระไตรปิฏกบาลีน่ะ ที่เป็นฉบับคอมพิวเตอร์ กลายเป็นคนต่างประเทศซื้อ ก็หมายความว่าเวลานี้เขาต้องการความรู้เกี่ยวเถรวาท เพื่อเอาไปเป็นพื้นฐาน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็ต้อง
1 ดูว่าดินแดนที่เรียกว่าเป็นเถรวาทได้รับหลักธรรมมาจนเข้าสู่วิถีชีวิตเป็นวัฒนธรรมแล้ว มีวิถีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร เถรวาทเกิดผลอย่างไร มาดูซิเถรวาทเป็นอย่างไร และเรามีอะไรให้เขาดูที่แสดงความเป็นเถรวาท 1 แล้วน่ะ
2 เขาต้องการหลักธรรมคำสอนเถรวาทอย่างที่เราเข้าใจ แล้วตัวหลักธรรมนี่ เรามีให้เขาไหม อันนี้ต้องยืนเป็นพื้นฐานไว้ก่อน ต่อจากนั้นความสัมพันธ์นี่ ก็ต้องเป็นเรื่องที่เหนือจากนี้ไป ก็คือความรู้เข้าใจเขาให้ชัด เพราะว่าบางทีเราไปนึกว่า อ๋อถ้าเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งโลก ก็คล้าย ๆ ว่าต้องยอมรับของเขาหมด มหายาน แล้วเราก็พูดรวม ๆ คลุม ๆ ไป มหายาน โดยไม่รู้มหายานนี่เขายอมรับกันหรือเปล่า อันนี้ก็เลยขอพูดอีกอย่างแทรกเข้ามา คือเป็นความเข้าใจที่คลุมเครือ เราพูดคล้ายว่ามีเถรวาทกับมหายานใช่ไหม บางทีก็เราเรียกเถรวาทนี่เราเรียกตัว เพื่อเลี่ยงคำที่เรียกเราที่ไม่เหมาะเรียกว่าหินยาน ก็เรียกว่า หินยานกับมหายาน มันก็เรียกเราเป็นหินยาน แต่ต้องรู้ลึกไปอีกว่า คำว่าหินยานก็ตาม มหายานก็ตาม เป็นคำรวม ๆ ซึ่งในนั้นมีนิกายย่อย ๆ เยอะ หินยานเป็นคำที่เกิดขึ้นใหม่ เมื่อมหายานเกิดขึ้น มหายานนี้เกิดขึ้น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไปประมาณช่วง 500 ถึง 600 ปี พ.ศ. 500 ขึ้นไปแล้วถึง 600 ปีนี่ พุทธศาสนามหายานก็เกิดขึ้น ยังเถียงกันอยู่ว่าเกิดที่ภาคใต้ หรืออินเดีย หรือเกิดที่ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือก็แถวแคว้นอะไรพวกนี้ พวกคันธาระ อะไรพวกนี้ พวกอะริซะกะ อยู่ในอัฟกานิสถานปัจจุบัน อันนั้นเป็นดินแดนศุนย์กลางของพุทธศาสนามหายาน ที่ออกไปสู่จีน เกาหลี ญี่ปุ่น มงโกเลีย ทิเบต จากทิเบตรับตรงจากอินเดียด้วย เพราะว่าอยู่ใกล้หิมาลัย
ทีนี้หินยานก็เดิมไม่มี ก็มีแต่พุทธศาสนา แล้วแยกนิกายย่อยไปเป็นนิกายต่าง ๆ เราก็เรียกเดิม นี่เราเรียกว่ามีคำสอนที่ถือตามหลักการที่พระเถระผู้ทำสังคายนาครั้งที่ 1 ตกลงกันวางไว้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน ที่เราเรียนสังคยนาครั้งที่ 1 ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ 3 เดือน พระเถระ 500 รูป ได้ประชุมกันทำสังคยนา รวบรวมคำสอนพระพุทธเจ้าวางเป็นหลักไว้ สังคยนาครั้งที่ 1 นี่เรียกว่าพระเถระ 500 องค์ วางหลักการไว้ เราถือตามคำสอนของพระเถระนี้ เราเรียกว่า เถรวาท นี่คือที่มาของเถรวาท
ที่นี้ต่อมาก็มีผู้ที่คิดเห็นแตกแยกหรือว่าถือปฏิบัติไปว่า ไอ้ที่วางไว้เนี่ยบางอย่างมันปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่ากาลเวลา กาละเทศะมันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะทางวินัย ก็เลยมีผู้ถือปฏิบัติยกเว้นข้อปฏิบัติบางข้อเกิดขึ้นที่ว่าย่อหย่อนไป ก็ทำให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ 2 แล้วก็ถือคำสอนอะไรต่ออะไรเริ่มเพี้ยนออกไป เราก็เรียกพวกลัทธิที่สอนต่างออกไปจากเถรวาทเดิมนี้ว่า อาจริยะวาท ถ้าเรียกภาษาบาลีเรียกว่าอาจะริยะวาท เรียกเป็นสันสกฤตว่า อาจาริยะวาท อาจาระ อาจานี้เป็นสันสกฤต ถ้าบาลีต้องสั้นเป็นอาจะ อาจะริยะวาท ก็มีอาจริยะวาทแยกออกไป ก็คือถือตามอาจารย์ เถรวาทนี่ก็หมายความว่าถือตามที่พระเถระผู้ทำสังคยนาวางไว้ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 3 เดือน ก็คือหมายความว่า ที่พุทธเจ้าสอนไว้ พระเถระ 500 นี้ท่านรวบรวมไว้ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น นี้ผู้ที่สอนต่างออกไปก็ทำตามอาจารย์แล้ว เพราะว่าอาจารย์เป็นหัวหน้า คนไหนนับถือตามอาจารย์ นั้นก็แยกไปเป็นอาจาริยะวาท 1 อาจาริยะวาท 1 ก็มีอาจาริยะวาทนี้เกิดขึ้นมามากมาย เรื่องก็มีมาอย่างนี้
จนกระทั่งสังคยนาครั้งที่ 3 พ.ศ.ประมาณ 218 ที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเป็นพระเอกอัครศาสนนูปถัมภกจัดสังคยนาขึ้น ก็ทรงชำระด้วย คือนอกจากสังคยนามาทบทวนรวบรวมประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ชำระสะสางการพระศาสนาด้วย ไอ้การชำระสะสางนี้เลยกลายมาเป็นคนยุคหลังเข้าใจผิดเอาเป็นความหมายของการสังคยนาไป เดี๋ยวนี้พูดคำว่าสังคยนากลายเป็นชำระสะสาง ที่จริงสังคยนา คือรวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอาหลักนั้นมาเป็นมาตราฐานในการชำระสะสางอีกทีหนึ่ง การชำระสะสางนั้นเป็นงานสืบเนื่องจากสังคยนา งานสืบเนื่องจากสังคยนาไม่ใช่สังคยนา แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า ไอ้คำว่าสังคยนานี่มีความหมายการชำระสะสางใช่ไหม เจริญพร นี่มันยุ่งอย่างนี้คนไทย ทีนี้เอาแล้วพระเจ้าอโศกก็ทำสังคยนา ก็ในด้านของพระโมคคัลลีบุตรดิสสเถระ ก็ประมวลคำสอน ประชุมพระสงฆ์ ทำสังคยนารวบรวมไว้เป็นหลักแล้วพระองค์เองชำระพระศาสนาเป็นแม่กลองในการสอบความรู้พระ ปรากฏว่า พระถูกให้ผ้าขาว ให้ผ้าขาวหมายความว่า เป็นเครื่องหมายนิมนต์สึก เพราะว่าพระเจ้าอโศกทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนามาก พวกเดียรถีก็ถือโอกาสได้ลาภเข้ามาปลอมบวช ไม่รู้หลักพระพุทธศาสนาเยอะแยะไปหมด เท่านั้นก็ปรากฏว่า ได้ผ้าขาวไป 6 หมื่นองค์ มาไหม เจริญพร มากใช่ไหมนี่ก็ที่เหลือก็ถ้าใครไม่สึกก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องหนีไป
อันนี้แหละที่เขาบอกว่าก็เลยหนีไปอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือกันมาก เป็นแดนเกิดมหายานที่ว่าเมื่อกี้ เอ้าแล้วที่นี้อาจาริยะวาท นี่ก็เป็นอันว่าเหมือนกับถูกไหล่ออกไปใช่ไหม ใช้คำว่าไล่ก็อาจจะแรง ก็หมายความเหมือนกับว่า ถูกบีบหรืออะไร ถูกกติกาทำให้ต้องออกไป ในศิลาจารึกพระเจ้าอโศกก็มีบอกว่า ให้สงฆ์สามัคคีกัน เพราะตอนนั้นพระสงฆ์ไม่ยอมทำสังคยกรรมร่วมกันตั้งหลายปี พระเจ้าอโศกก็ทำการนี้เสร็จก็ขอนิมนต์พระสงฆ์ทำอุโบสถ พระสงฆ์ก็จึงมาประชุมทำสังคยกรรมกันอีก แล้วพระเจ้าอโศกก็ทำศิลาจารึกไป ศิลาจารึกพระเจ้าอโศกก็ยังมีบอกว่าให้พวกเจ้าหน้าที่ดูแลว่า ภิกษุหรือภิกษุณีใดทำให้สงฆ์แตกแยกให้ผ้าขาวให้ ไม่ให้อยู่ในเขตนี้ อะไรอย่างนี้ นี่ศิลาจารึกก็สอดคล้องกับเรื่องของในคัมภีร์ เอาละก็เป็นอันว่านี่ เรื่องของสังคยนาครังที่ 3 ก็ยังไม่มีมหายาน
แต่ตอนนี้มีอาจริยะวาท 1 หรืออาจริยะวาท 1 เรียกว่ามหาสังฆิกะ มหาสังฆิกะนี้แปลว่าพวกใหญ่ มหาสังฆิกะนี่ก็ต่อมาก็มีการเจริญเติบโต พูดรวบรัดไปเลยว่า ต่อมาประมาณช่วง 500-600 เนี่ย ถือกันว่ามหาสังฆิกะได้พัฒนาขึ้นเป็นมหายาน ก็เป็นอาจาริยะวาท อาจาริยะวาท 1 ได้พัฒนาขึ้นเป็นมหายาน เมื่อมหายานเกิดขึ้นแล้ว คือไม่ใช่เกิดขึ้น คือหมายความเขาเรียกตัวเอง เขาก็หาคำเรียกตัวเอง ก็เรียกตังเองก็ต้องเรียกให้ใหญ่ ก็เกิดคำว่ามหายานขึ้นมา ก็แปลว่ายานใหญ่ สามารถขนสัตว์ไปสู่นิพพานข้ามพ้นวัฏสงสารได้มากมาย แล้วเรียกนิกายอื่น ๆ อาจาริวาทอื่นทีมีอยู่เก่า เรียกว่าหินยาน ศัพท์หินยานก็เกิดขึ้นจากมหายาน ฉะนันจึงพูดแบบล้อเล่านกันว่ามหายยานกับหินยานใครเกิดก่อน ถ้าตอบโดยรู้ไม่ทันก็บอกว่าหินยานเกิดก่อน เขาก็บอกว่าไม่ใช่ เอ้าแต่เดิมหินยานไม่มี มหายานเกิดขึ้นแล้วจึงมีคำว่าหินยานใช่ไหม อันนี้คำว่าหินยานเกิดทีหลัง แต่เนื้อตัวหินยานน่ะ ไม่ได้บอก อันนี้เป็นการเล่นสำนวนกัน อันนี้เอาไว้สำหรับให้จำแม่น ก็เป็นอันว่าเขาเรียกนิกายเก่า ๆ ว่าเป็นหินยาน หินยานก็แปลว่ายานเลว ไม่มีคุณภาพ หรือคุณภาพต่ำ ไม่สามารถจะขนสรรพสัตว์ไปได้ ไปได้นิด ๆ หน่อย ๆ หรือบางทีก็เรียกสาวกยาน แปลว่ายานพวกสาวก ส่วนของมหายานนั้นก็เรียกว่าโพธิสัตวยาน ยานของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่มีมหากรุณาจะช่วยสัตว์กันได้มาก ๆ
เอาแหละก็แปลว่าเกิดมหายาน ทีนี้ตอนนี้มีมหายานกับหินยาน มหายานก็เกิดใหม่ในระหว่าง พ.ศ. 500 หรือ 600 หินยานก็เป็นของที่มีมาแต่เดิมหินยานนี่ ต่อมาก็สูญหายไปหมดเหลือเถรวาทเก่าอันเดียว จะหลงเหลือบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ อย่าในญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้ยังมีนิกายชื่อริตสึ ก็ถืออยู่ในแนวหินยานก็ไม่ถือเป็นหินยานแท้ อยู่ในแนวหินยาน คือตอนที่พุทธศาสนาออกจากอินเดียภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ดินแดนแถบอัฟกานิสสถาน ชมพูทวีปตะวันตกเฉียงเหนือจะเรียกอินเดียก็ไม่ถูก ก็แถวอัฟกานิสสาน ปากีสถาน ที่ติดกับอาเซียกลาง พวกนี้ตอนนั้นเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาฝ่ายเหนือ ซึ่งพระเจ้ากนิษกะเป็มหาราชที่ยิ่งใหญ่หลังพระเจ้าอโศก พุทธศาสนาก็ได้ที่นี่เป็นศูนย์กลางก็ออกไปทางอาเซียกลางถึงเมืองจีน แต่ว่าที่จริงมันมีมาเรื่อย ๆ ก็ไปกระเส็นกระสาย นี้มหายานตอนนั้นที่บอกเมื่อกี้ว่าพุทธศาสนาที่หนีไปจากพระเจ้าอโศกก็ไปอยู่แถวนั้น ก็มีพวกนิกายหินยานเก่าด้วย เช่น สรวาสติวาทิน ก็เป็นนิกายใหญ่ที่พระเจ้ากนิษกะนับถือจากสังคยนาครั้งที่ 4 ของพระเจ้ากนิษกะก็เป็นของเป็นนิกายสรวสติวาทิน แล้วมหายานเขาก็ยอมรับ บางทีก็เลยเรียกเป็นการสังคยนาของมหายาน ทีนี้สรวสติวาทิน ที่เป็นหินยานเดิมก็ออกไปด้วยมีมหายานไปทางอาเซียกลาง ไปจีน แล้วไปเกาหลี ไปญี่ปุ่น อะไรพวกนี้ แต่สรวาสติวาทินเองในอินเดียต่อมาก็สูญ ที่อื่นก็สูญหมด ก็เหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างที่ว่า เช่นที่เป็นนิกายย่อย ๆ มีคนนับถือสักเป็นหมื่น ๆ คนที่ญี่ปุ่น
เอ้าแล้วมหายานเกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 500-600 แล้วเนี่ย เพราะมหายานนี่ นับถือเป็นนอาจาระวาท 1 อาจาระวาทคือนับถือตามอาจารย์ เมื่อนับถืออาจารย์ก็จมีอาจารย์ใหม่เกิดขึ้น อาจารย์ใหม่ก็จะไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่ามีคำสอนที่ดีกว่านี้น่าจะเป็นอย่างนี้ ผู้ที่นับถือตามไปก็กลายเป็นอีกนิกายหนึ่ง ก็เกิดอาจาระวาทใหม่ โดยวิธีนี้ไม่ช้ามหายานก็เกิดนิกายใหม่ที่เยอะเลย ในขณะที่หินยานหมดเหลืออยู่เถรวาทอันเดียว ของเดิมแท้เลย เป็นอันว่าหินยานเหลืออันเดียว เถรวาทเหลือเล็กน้อยอย่างสรวาสติวาทินที่ในญี่ปุ่น เช่นนิกายริตสึก็ไม่รับแล้ว
ทีนี้มหายานก็เกิดขึ้นมากมายมากมายก็เข้าไป ที่นี้มันโดยทางประวัติศาสตร์ด้วยมันทำให้ประเทศฝ่าเหนือฝ่ายใต้ ฝ่ายเถรวาทมหายาน คือทางเรานี่ประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ South East Asia จะเห็นว่าเป็นเถรวาท เพราะว่ายังไงว่า เพราะว่าพระเจ้าอโศกเนี่ยเมื่อจัดสังคยนาครั้งที่ 3 แล้ว พ.ศ. 218 โดยประมาณ ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 235 236 จัดสังคยนา แล้วก็ส่งศาสนทูตไปประกาศพระศาสนา 9 สายสายหนึ่งก็ไปลังกา ส่งพระโอรสไปเลย ชื่อมหินทเถระแล้วพระสังฆมิตตาเถรีก็ตามไปเป็นภิกษีณีเอาหน่อพระศรีมหาโพธิ์ปลูที่ลังกา แล้วเมืองไทยนี่ก็มีดินแดนสุวรรณภูมิมีพระโสณะพระอุตตระมา พม่ากับไทยก็เถียงกันว่าสุวรรณภูมิเป็นที่ไหน ไทยก็ว่าของฉัน พม่าขอบอกว่าของเขา พม่าบอกว่าเมืองสะเทิมอยู่ริมทะเลเหมือนกันเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ไทยเราบอกขึ้นที่นครปฐม เพราะตอนนั้นนครปฐมนี่ยังติดทะเล ดินนี้มาขึ้นทีหลัง เอาละต่างฝ่ายต่างก็เถียงกัน เราก็ว่าขึ้นสุวรรณภูมิก็มาขึ้นที่นครปฐม แต่เป็นอันว่าพุทธศาสนาแบบพระเจ้าอโศกคือแบบเถรวาทเดิม ก็มาทางเรือ การติดต่อสมัยนั้นมาง่าย ทางเรือนี่พระเจ้าอโศกมหาราช
อันนี้เล่าเป็นความรู้ประวัติศาสตร์ พระเจ้าอโศกมหาราชนี่ครองเมืองปาตลีบุตร ใช่ไหมเจริญพร แคว้นมคธ ที่เมืองปาตลีบุตร เมืองหลวงเก่าชื่อราชคฤห์ แต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนี้ย้ายมาแล้วย้ายมาตั้งแต่ก่อนพระองค์มาอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร นี้จากปาฏลีบุตรมาก็ต้องมาลงเรือที่ท่าชื่อตามพลิติ ตามพลิตินี่ปัจจุบันเรียกเมืองตามรูป ยังมีอยู่ เมืองตามรูป แล้วเดิมอยู่ติดทะเล จะมีเรื่องในคัมภีร์พุทธศาสนาชื่อว่าเมืองตามพลิตินี่ พระเจ้าอโศกก็นั่งเรือจากเมืองปาฏลีบุตรตามแม่น้ำคงคา ตามมาที่ตามพลิตินี่ ใช้เวลาในคัมภีร์บอกว่า 7 วัน แล้วมาที่ตามพลิติแล้วก็ส่งมันออกวัดศรีมหาโพธิ์กับพระนางสังฆมิตตาลงเรือมาที่ศรีลังกา ศรีลังกาตอนนั้นก็เมืองอนุราธปุระเป็นเมืองหลวง เดี๋ยวนี้พระศรีมหาโพธิ์ที่อายุยาวนานที่สุดในโลกนี้ก็อยู่ที่เมืองนี้อนุราธปุระ ฝรั่งบอกว่าเป็นต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่อายุยาวที่สุดในโลก อันนี้ นี่เป็นตัวสถิติเลย ฝรั่งเขาเอาขึ้นตัวเลขของเขาไว้ เพราะต้นศรีมหาโพธิ์เดิมที่พุทธคยานี่ ถูกโค่นถูกเผาถูกน้ำร้อนอะไรต่ออะไร พวกที่เขาต้องการทำลายพระพุทธศาสนาและที่อนุราธปุระนี่อยู่ใช่ไหม ก็หน่อนี่ก็นับ พ.ศ.ประมาณ 235 เป็นต้นมาก็หักไปจาก พ.ศ. 2548 ก็สองพันกว่าปี ทีนี้พุทธศาสนาสมัยนั้นที่พระเจ้าอโศกส่งไปนี่ ก็มีมา 9 สาย สายนี้มาง่าย มาทางเรืออย่างที่ว่า เพราะการค้าทางเรือมาได้ง่ายอยู่แล้ว จากตามพลิติ ตามพลิตินั้นก็อยู่กับใต้กัลกัตตาปัจจุบัน ใต้จากกัลกัตตามาทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณสัก 55 กิโลเมตร แล้วก็ปัจจุบันนี้แผ่นดินมันยื่นออกไปก็เลยตัวตามพลิติเองปัจจุบันอยู่ห่างจากทะเลหรือมหาสมุทร อ่าว นี่ประมาณ 97 กิโลเมตร นี้ดินงอกขนาดไหน รองมาเทียบกับเมืองไทย นครปฐม เป็นไปได้ไหมใช่ไหม นี่ดูซิเมืองเขาที่ต้นทาง เขาก็แผ่นดินงอกมาตั้ง 97 กิโลเมตร สองพันปี เจริญพร เอาแล้วก็ขึ้นเป็นเมืองตามพลิตินี่เป็นเมืองท่าใหญ่จะมาทางสุวรรณภูมิไปทางอนุราธปุระ ศรีลังกาก็ได้ ที่จริงมาทางสุวรรณภูมินครปฐมที่ใกล้กว่า หรือจะ 1,582 กิโลเมตร จากตามพลิตินี่มาถึงนครปฐม ถ้าไปถึงอนุราธปุระ ศรีลังกายังต้องย้อน 1,785 กิโลเมตโดยประมาณ ก็หมายความว่าไปอนุราธปุระ ลังกาไกลกว่าเหรอ นี้ในยุคนั้นน่ะ ไปทางเมืองจีนยาก เพราะว่าอินเดียกับจีนมีภูเขาหิมาลัยคั่น ก็ต้องอ้อมแล้วยิ่งดินแดนพระเจ้าอโศกในศูนย์กลางอยู่ที่ปาตารีบุตร อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือไม่ใช่อยู่ทางตะวันตกเพราะฉะนั้นไกลลิบลับ ต้องเดินทางไปในอินเดียเองชมพูทวีปไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไปตั้งไกลลิบเชียว ไปจนสุดแดน แล้วก็อ้อมภูเขาหิมาลัยใช่ไหมเจริญพร อ้อมภูเขาหิมาลัยผ่านอาเซียกลางที่เป็นแดนทะเลทราย อะไรต่ออะไร อย่างสมัยพระเจ้าพระถึงซัมจั๋ง เดินทางสมัยหลังมานี้ยังแทบตาย บางทีไอ้ภูเขานี่มันเหมือนเป็นเหวตัดลงไป อย่างนี้ปีนเปินกันยาก
เพราะฉะนั้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาแบบของเถรวาทมาทางเรา ก็แปลว่ามาทางของเรานี้ง่าย มาทางสุวรรณภูมิ ศรีลังกา และก็รักษาคำสอนเดิมไว้ ต่อมาศรีลังกาตลอดจนพวกไทยพม่าอะไรนี่ ก็เลยกลายเป็นที่รักษาพุทธศาสนาแบบเดิมไว้ ที่เรียกว่าเถรวาท ในขณะที่อินเดีย นั้นหมดสูญ ต่อมาแม้ทางด้านการเมืองอะไรต่ออะไรมันก็เปลี่ยนหมด ก็กลายเป็นว่าทางด้านการเมืองการปกครองเนี่ยรัฐทางด้านนี้ตกลงในที่สุดก็เสื่อมไป ก็ไปเจริญทางด้านตะวันตกเฉียงเหนืออย่างพระเจ้ากนิษกะ และต่อมาก็กลับมาเจริญทางนี้นี่ แล้วต่อมาก็ทางทัพมุสลิมก็เข้ามาทำลายหมด อันนี้ก็มาพูดถึงมหายาน ตอนที่ไปเจริญทางตะวันตกเฉียงเหนือ ตอนนี้มันอยู่ใก้ลแล้ว คือดินแดนปากีสถาน คันธาระนี้ก็คือปัจจุบันอยู่ในปากีสถาน โดยเฉพาะเมืองที่เราเรียกว่ากันดะฮาร์ ตอนที่รบระหว่างตาลีบันกับอเมริกัน กันดะฮาร์นี่แหละพจนานุกรมสันสกฤตเขาบอกเลยว่า เป็นคำที่ไปจากคันธาระ กันดะฮาร์คือคันธาระ แคว้นคันธาระ แคว้นคันธาระก็ใหญ่มาก เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยตักศิลา แล้วตักศิลาก็เป็นเมืองหลวงของแคว้นคันธาระนี้ นี่คนที่จะไปทางอาเซียกลาง ไปจีนก็ต้องไปทางตักศิลานี่แหละ แล้วไปออกทางที่ปัจจุบันเป็นอัฟกานิสถาน อะไรพวกเมืองอาชารีฟที่ตอนนั้นก็เป็นศูนย์กลางที่ตาลีบันรบกับอเมริกัน ก็ไปทางนั้นขึ้นไป ก็ไปยาก ก็เลยกลายเป็นว่า ต้องรอจนกระทั่งว่าพุทธศาสนาเจริญในยุคหลัง พ.ศ 600 อะไรแถวนั้น
เอ้าเป็นว่าในช่วงนี้เมื่อพุทธศาสนาขึ้นไปเจริญทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือนี่ ก็เลยกลายเป็นพระพุทธศาสนาเริ่มไปทางอาเซียกลาง แล้วไปจีน ฉะนั้นพวกจีนก็เลยได้รับพุทธศาสนาที่เป็นชิ้นเป็นอันนี่ยุคหลัง ยุคแรกจนนี่ไปกระเซ็นกระสายจนไม่เป็นเรื่อง ก็เลยมีเรื่องว่าพระเจ้ามิ่งตี่กษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้รับพุทธศาสนาเป็นองค์แรก นี่ตัวเลขทางการว่าที่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศจีนในสมัยพระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น คริสต์ศักราช 65 คริสต์ศักราช 65 ก็คิดแต่พ. ศ. เท่าไหร่ติดเอาเอง ก็ 543 บวกเข้าไป เท่าไหร่ เจริญพร ก็ด้วยประมาณ 608 ใช่ไหม ได้ ค.ศ. 608 พ.ศ. พุทธศักราช 608 มาทางเรานี่เมื่อ พ.ศ. 2035 ไปจีนนี่ ค.ศ. 608 608 ก็เข้ายุคมหายานแล้ว เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาที่ไปจีนก็จึงเป็นธรรมดาที่เป็นมหายานเป็นหลัก แล้วก็อาจจะมีสรวาสติวาทิน อะไร ที่กระเส็นกระสายที่ไปทางโน้น แล้วต่อมาก็ค่อย ๆ จางไป ทีนี้สรวาสติวาทินไปบ้างเล็กน้อยก็เป็นมหายานส่วนใหญ่ ก็ไปเจริญในจีนอยู่อีกนาน ต่อจากนั้นก็เข้าสู่เกาหลี เกาหลีก็ได้รับพุทธศาสนาจากจีน ในประมาณ ค.ศ. 372 ค.ศ. 372 หมายความว่าเกาหลีรับหลังจากจีนประมาณ 300 ปี คิด คือมองภาพออกประวัติศาสตร์ก่อน ประมาณ 300 ปี แล้วต่อมาจากเกาหลีนี่ พุทธศาสนาก็เข้าสู่ญี่ปุ่น กษัตริย์เกาหลีก็ส่งทูตไปที่ญี่ปุ่นมีการติดต่อกัน แล้วทางกษัตริย์ญี่ปุ่นจักรพรรดิเนี่ย ชื่อพระเจ้ากิมเมอิก็ได้รับพุทธศาสนาจากเกาหลี อันนั้นเขาเรียกยุคอาซึกะ ยุคก่อนจะมีเมืองหลวงประจำที่ คือญี่ปุ่นในสมัยโบราณเขามีเมืองหลวงไม่อยู่กับที่ พระเจ้าจักรพรรดิ์องค์หนึ่งขึ้นมาก็ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เนี่ย พออีกองค์ขึ้นมา เอ้าไม่ชอบใจย้ายไปเมืองโน้น เมืองหลวงก็เลยไม่ประจำที่ แต่โดยมากจะย้ายในระหว่าง 5 เมือง เขาก็เลยเรียก ยุคก่อนที่จะเป็นยุคประจำที่ ไปตั้งอยู่ที่เมืองชื่ออะซึกะ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ตั้งเมืองหลวงต่อไป ชื่อเมืองนารา ไม่ห่างเท่าหรอก ที่นี้พระเจ้ากิมเมอีนี่ก็รับพุทธศาสนาจากเกาหลี เมื่อค.ศ. 552 ก็พ.ศ.ก็พันเศษแล้ว ใช่ไหม เจริญพร นี่หลังเกาหลีไปอีก 200 ปี เอาว่าเกาหลีรับหลังจีน 300 ปี ญี่ปุ่นลับหลังเกาหลีอีก 200 ปี พุทธศาสนาที่ไปจากเกาหลีก็เป็นเรื่องไปจากเมืองจีนนั่งเอง
ทีนี้ ต่อมาก็มีคนดีของญี่ปุ่นเกิดขึ้น คือต่อมาพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งถูกรอบปลงพระชนม์ แล้วเขาก็ตั้งจักรพรรดิดินี พระจักรพรรดิดินีองค์นี้ก็เลยตั้งแต่โอรสของเขาจักรพรรดิที่สวรรคตถูกปลงพระชนม์นี่ ให้เป็นผู้สำเร็จราชการ และเป็นมงกุฎราชกุมาร มงกุฏราชกุมารองค์นี้เป็นคนสำคัญมาก เรียกว่าเป็นผู้ชาวญี่ปุ่นนับถืออย่างยึ่ง ที่เป็นผู้วางรากฐานประเทศญี่ปุ่นชื่อเจ้าชายโชโตกุ เจ้าชายโชโตกุตอนนี้ก็อยู่ที่อะซึกะนี่แหละ ก็รับราชการสนองพระจักรพรรดิดินี ที่เป็นพระน้านางนี่ แต่ตัวเองก็กลับสิ้นชีวิตก่อน พระนางนี้ก็ดูจะครองราชย์ตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 592 มาถึง ค.ศ. 628 ทีนี้เจ้าชายโชโตกุ นี่ก็เริ่มเป็นผู้สำเร็จราชการ เมื่อ ค.ศ. 592 อยู่ได้ 30 ปี ไม่น้อยเหมือนกันน่ะ 30 ปีสิ้นพระชนม์ เมื่อ ค.ศ. 622 ก่อนพระจักรพรรดิดินีนี่ 6 ปี
อันนี้เจ้าชายโชโตกุนี้ก็รับพุทธศาสนาจากจีนโดยตรงเลยทีนี้ ส่งคนมาเรียนเมืองจีน ตอนนี้ก็เปลี่ยนทิศแล้ว เดิมพุทธศาสนาไปญี่ปุ่นจากเกาหลีก็เปลี่ยนเป็นจากจีนก็ส่งคนมาเล่ามาเรียนอะไรต่ออะไร พุทธศาสนาแบบจีนก็เข้าไปสู่ญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อสิ้นเจ้าโชโตกุ พระจักรพรรดินีที่เป็นพระน้านางแล้ว ต่อมาทาญาติโชตุกุถูกรอบปลงพระชนม์อีก แล้วมีพวกตระกูลชิงจนในที่สุดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว ก็มีการย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่นารา ตั้งแต่นี้ต่อไปก็จะมีเมืองหลวงประจำที่ มีนาราเป็นราชธานี เขาก็เรียกว่า ยุคนารา ตอนนี้ใช้เมืองหลวงเป็นชื่อยุคแล้ว ยุคนารา แต่ยุคนาราไม่นานแค่ ค.ศ. 710-784 เท่านั้นเอง
อันนี้ก็เกิดพุทธศาสนานิกายต่าง ๆ คือบอกแล้วว่ามหายานนี้เป็นอาจริวาท รับจากจีน จีนเองก็มีหลายนิกาย ก็คืออาจริวาทต่าง ๆ ที่เรียกนิกายต่าง ๆ ย่อยก็คือ อาจาริวาทคือคำสอนของอาจารย์เจ้าลัทธิ เขาจะถืออาจารย์เป็นหลัก บางทีนับถือยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก แต่พระพุทธเจ้าก็แน่ล่ะ เป็นพุทธศาสนาก็ต้องนับถือ แต่ว่าเอาตามที่อาจารย์สอน ว่าพระพุทธศาสนาตามที่อาจารย์ฉันสอนไว้อย่างนี้ใช่ไหม ก็เรียกว่าอาจริวาท ในสมัยนาราเนี่ยก็จะมีนิกายอยู่ในราวสัก 6 นิกาย ไม่จำเป็นต้องจำ มีนิกาย ซารอน เคงง ฮอตโซ อะไรพวกนี้ พวกนี้แทบจะหมดแล้ว ปัจจุบันนี้เหลือศาสนิกแค่เป็นหมื่น ๆ คน เท่านั้นเอง ชักจะสูญ พอนาราจบไป ก็ย้ายเมืองหลวงมาที่เมืองเฮอัน หรือเรียกว่าเฮอันเกียว ก็ขึ้นยุคที่เรียกว่า ยุคเฮอัน จากยุคนาราก็เป็นยุคเฮอัน ตามชื่อเมืองหลวง เฮอันนี้คือปัจจุบันเรียกว่าเมืองเกียวโต เกียวโตอันเดียวกัน เฮอันเกียวก็เมืองเกียวโตนั่นเอง ยุคเฮอันนี้ก็ตั้งแต่ ค.ศ. 784 ถึง 1185 โดยประมาณ ยุคเฮอันพระจักรพรรดิ์ยังใหญ่อยู่ ต่อจากนั้นมันเกิดความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือพวกขุนศึกมีกำลังขึ้น ตอนนี้ซามูไรก็มีกำลังมากขึ้น แล้วก็รบกันระหว่างพวกหรือตระกูลชิงอำนาจกันจนกระทั่งว่า ตระกูลขุนนางพวกนี้ พอมีอำนาจไปเอง จนกระทั่งจักรพรรดินี้เป็นหุ่นเชิด แล้วก็มีขุนนางพวกนึงนี่ ไปตั้งตัวอยู่ที่เมืองอื่น ชื่อเมืองกามากูระ เมืองกามากูระนี่ก็อยู่ใต้โตเกียวมาทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่ไกล ไม่ไกลโตเกียวนัก โตเกียวกับเกียวโตคนละอันน่ะ ไกลริบลับเลย ไกลกันดูเหมือนจะ 400 กม. เกียวโตอยู่ทางตะวันตก โตเกียวอยู่ทางตะวันออก ตอนนี้พวกขุนนางขุนศึกใหญ่ที่เฮอัน หรือ เกียวโตนี่ ก็ไปตั้งศูนย์กลางอยู่ที่กามากูระ อำนาจกลายเป็นไปอยู่ที่ขุนศึก แล้วขุนศึกคนหนึ่ง พอ ค.ศ.อีกแค่ 7 ปี หลังจากขึ้นยุคนี้ ดูเหมือน ค.ศ. 1192 ก็ได้รับแต่งตั้งจากพระจักรพรรดิเป็นโชกุนโชกุนคนแรกของญี่ปุ่นเกิดเมื่อค. ศ. 1192 ที่กามากูระ กามากูระของโชกุนนี่ก็ยิ่งใหญ่จักรพรรดิที่เฮอันกลายเป็นหุ่นเชิด เฮอันก็ยังอยู่เขาเรียกระบบไดอคิ ไดอคิหมายความว่าทวีธาธิปไตย ทวีธาธิปไตยหมายความว่ามีการปกครองที่มีศูนย์กลางอำนาจหรือผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้ปกครอง 2 แห่ง ก็คือที่เฮอันนี้เป็นของฝ่ายพลเรือนพระเจ้าจักรพรรดิและที่กามากูระเป็นของโชกุน แต่อานาจแท้อยู่ที่โชกุนที่กามากุระ เพราะยุคนี้ก็เรียกว่ายุคกามากุระ ยุคกามากุระเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1185 เนี่ย มาถึง ค.ศ. 1333 นี้เราก็มาดูว่ายุคเฮอันเนี่ย ก็มีพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่เป็นนิกายสำคัญอยู่ยั่งยืนมาจนปัจจุบัน 2 นิกาย นิกายชินงอน กับ นิกายเทนใด เทนใดเหลือเล็กมาก ศาสนิกเป็นแสนเท่านั้น แต่ว่าชินงอนใหญ่มาก โยมอาจจะจำไม่ไหว พอเป็นผ่าน ๆ ไปก่อน ชินงอนเดี๋ยวจะต้องพูดถึงอีก เป็น 2 นิกายใหญ่แห่งเฮอัน ยุคเฮอัน แล้วพอมายุคกามากุระของโชกุน ที่โชกุนเป็นใหญ่
ตอนนี้ก็เกิดนิกายพุทธศาสนาใหม่ ๆ ขึ้นมา คือ สังคมมันเปลี่ยนแปลงไปเนี่ยมันก็มีปัญหาหลายอย่าง เช่นบางทีคนที่ประชาชนขาดที่พึ่งอะไรต่ออะไร ตอนนี้ประชาชนก็จะเรียกร้องความช่วยเหลือแบบอ้อนวอนให้มีพระผู้มาช่วย ผู้มาโปรด พุทธศาสนาแบบมหายานอย่างที่ว่าเป็นอาจาริวาท แตกนิกายง่าย ก็จะเกิดอาจาริวาทใหม่ ๆ ที่กามากุระก็จะเกิดมีนิกายใหม่ ๆ เป็นสายหนึ่งเรียกว่าเคียวแลน เคียวแลนก็คือพวกสุขาวดี นิกายสุขาวดีที่นับถือพระอมิตตาพระ ภาษาญี่ปุ่นใช้ว่า นะมุอะมิโตโฟ อะไรทำนองนี้ อาตมาออกเสียงไม่เป็น เอาเป็นว่าเขานมัสการพระอมิตตาพระก็แล้วกัน เรียกว่าง่าย ๆ ว่า เนบุสุ พวกเนบุสุนี่ก็นิกายเพียวแลน ก็เกิดขึ้นในยุคกามากูระนี่ ที่เป็นสำคัญก็นิกายโจโด โจโดนี้เอาแล้วนิกายใหญ่จนถึงปัจจุบันน่ะ มีศาสนิกถึงล้าน แล้วก็มีอีกท่านหนึ่ง โจโดนี้ท่านโฮเนนเป็นผู้ตั้ง แล้วก็มีอีกท่านหนึ่งก็มาแยกออกจากโจโด นี้บอกว่าโจโดนี้สุขาวดีไม่แท้ สุขาวดีแท้ต้องเป็นอย่างนี้ กลายเป็นอีกนิกายหนึ่ง เรียกว่านิกายชิน โดยท่านชินแลน เป็นผู้ตั้งเลยเรียกนิกายชิน ชินแปลว่าแท้ แปลว่านิกายสุขาวดีแท้ นิกายชินปัจจุบันเป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีศาสนิกชนมากที่สุด นี้คนไทยนี่สับสนมาก เขาบอกนิกายชิน นึกว่าชินโต คนละเรื่อง ชินโตเป็นคนละศาสนาไม่ใช่พุทธศาสนา ชินโตคือศาสนาญี่ปุ่นนับถือพพระสุริยะเทวีอะมะเตะระสุ ที่ว่าคนญี่ปุ่นสืบมาจากพระสุริยะเทวีเนี้ยเป็นรูปพระอาทิตย์ รูปพระอาทิตย์ก็คือศาสนาชินโต คนญี่ปุ่นนับถือคู่กันไปในคนเดียวกันระหว่างชินโตกับพุทธศาสนา แต่ชินโตเป็นศาสนาหนึ่ง ส่วนชินนี้เป็นนิกายหนึ่งในพุทธศาสนา แล้วยังมีนิกายชินงอน นิกายชิน ชิน ชิน 3 ชิน อย่าไปปนกัน อาตมาเห็นในหนังสือยุ่งหมด เพราะคนไทยเราไม่ได้ศึกษา เอาล่ะนิกายสุขาวดีก็มี 2 แล้วในสมัยใหญ่ ๆ นิกายโจโด นิกายชิน แล้วทีนี้ยุคนั้นเป็นยุคซามูไร พวกซามูไรนี้ต้องการระเบียบวินัย ฝึกฝนตนเอง ต้องการความเข้มแข็งมาก ไม่มัวไปอ้อนวอน เพราะฉะนั้นนิกายพวกเพียวแลนก็ไปสนองความต้องการของชาวบ้าน เขาบอกว่าพวกนักรบบ้านนอกว่าอย่างงั้นน่ะ ทีนี้พวกซามูไรนี่ต้องการคำสอนที่มีระเบียบวินัยการฝึกตนเคร่งครัดเข้มแข็ง ก็มีนิกายเซนขึ้นมาสนองความต้องการเกิดลัทธิบูชิโด ตั้งอยู่บนฐานของพุทธศาสนานิกาเซน ซึ่งเน้นระเบียบวินัยเคร่งครัดจิตใจเข้มแข็ง เน้นการฝึกสมาธิ พอเกิดนิกายเซน 2 นิกายใหญ่ คือนิกายรินไซเซน กับ อโซโตเซน แล้วก็มีเซนอื่น โอบากุเซน โอบากุแกไปเอาเอมบุสุของเพียวแลนมาใส่ด้วย ก็ต้องแยกอีกนิกายหนึ่ง โยมจะเห็นว่าเยอะแยะนิกายใช่ไหม ก็มีกันมาอย่างนี้ แล้วก็มีนิกายอื่น ๆ อีก ญี่ปุ่นก็ผ่านมา ผ่านยุคกามากุระแล้วต่อมาก็จนกระทั่งพวกขุนนางต่าง ๆ นี่ก็แย่งอำนาจกันเรื่อย จนกระทั่งมาถึงยุคหนึ่ง ก็คือยุคที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ ไม่ให้ค้าขาย คนญี่ปุ่นไม่ออกไปนอกประเทศ คนฝรั่งไม่ให้เข้าเมืองตั้งแต่ ค.ศ. 1614 เขาเริ่มปิดประเทศปิดสนิทปี 1639 เขาเรียกว่ายุคของการปิดประเทศ Cushion อันนี้เป็นยุคของโชกุนตระกูลโตกุกาว่า แล้วโตกุกาว่า นี่จะครองญี่ปุ่นมาตลอดเลย แต่โตกุกาว่านี่แกไม่อยู่ที่กามากุระ โตกุกาว่านี่แกไปตั้งศูนย์แกที่เอโด เอโดหรือเยโดคือชื่อเดิมของเมืองโตเกียวชื่ อปัจจุบันคือโตเกียว ชื่อเดิมคือเอโด ก็หมายความว่า ไอ้ที่พวกโชกุนไปตั้งอยู่ที่กามากุระนั้น ก็ต่อมามีการแย้งอำนาจ พวกหนึ่งก็มาตั้งที่เยโด แล้วต่อมาพวกที่เอโดนี่ ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเป็นตระกูลโอกุกาว่า ตีเสีว่าตอนช่วงที่ปิดประเทศ 1600 เศษ ก็เริ่มปิดประเทศเลยมา โตกุกาวะนี้ก็นี่แหละมาถึง 1850 ที่เปิดประเทศใหม่ ก็ปิดประเทศเกือบ 300 ปี ก็คือยุคโตกุกาว่าทั้งหมด ยุคของโชกุนรี ตระกูลตกุกาวะเป็นยุคญี่ปุ่นปิดประเทศ หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกยุคเอโด คือเรียกตามเมืองศูนย์กลางอำนาจ ก็ตั้งแต่ ค.ศ. 1994 มาถึง 1850 เป็นยุคเอโด ยุคโตกุกาว่าปิดประเทศและยุคนี้เป็นยุคที่ญี่ปุ่นมีความสงบแล้วเขาบอกว่ารุ่งเรืองด้วย ทางเศรษฐกิจปิดประเทศเลย จนกระทั่งค.ศ 1850 กว่า อเมริกัน นายพลแม๊คทิวเบอร์รี่ ก็เอาเรือรบไปบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศค้าขาย แล้วก็ต่างประเทศญี่ปุ่นก็รู้ตัวว่าเรานี่แพ้ฝรั่งทางด้านเทคโนโลยีสู้เขาไม่ได้ ต้องยอมเปิดประเทศตามที่เขาต้องการ ญี่ปุ่นก็เลยพร้อมใจกันยกอำนาจคืนให้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ์ก็สิ้นสุดยุคโตกุกาว่าที่เป็นตระกูลที่ปกครองญี่ปุ่นในระยะปิดประเทศ แล้วก็เข้าสู่ยุคพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นใหญ่ คือยุคเมจิ เขาเรียกกันภาษาอังกฤษ Magic Installation นี่คือญี่ปุ่น เกือบพร้อมประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 4 คือสัญญาณของญี่ปุ่นที่เปิดประเทศ เพื่อพร้อมกับสัญญาเบาว์ริงรัชกาลที่ 4 เบาว์ริ่งนี่สัญญาประเทศไทยเปิดการค้ากับฝรั่ง ติดกันเลย ไทยนี้ปิดประเทศตั้งแต่สมัยพระเพทราชา พอสิ้นพระนารายณ์มหาราชก็ขับไล่ฝรั่ง ฝรั่งเศสฝรั่งเศสไปหมด แล้วไทยก็มาปิดประเทศ แล้วมาเปิดประเทศสมัยรัชกาลที่ 4 ญี่ปุ่นก็ปิดประเทศสมัยโตกุกาว่า แล้วก็มาเปิดสมัยเมจิก นี่เป็นเวลาเกือบเท่ากัน เกือบพร้อมกัน ทั้งปิดเปิดใกล้กันมากว่าอย่างงั้นเถอะ ผิดกว่ากันไม่เท่าไหร่ เอ้าล่ะทีนี้ญี่ปุ่นเปิดก็ประเทศคือยุคเมจิยุค โชกุนก็จบสิ้นยุค ซามูไรจบสิ้นไป จัดการปกครองแบบสมัยใหม่ ทัพเทิบสมัยใหม่ ซามูไรเลิก ซามูไรเก่าถูกต้ปลดถูกถอน แก่ก่อการกำเริบถูกทหารสมัยใหม่ปราบ นี้กลับเป็นอย่างนั้นไป มีการก่อกำเริบหลายครั้งเหมือนกันพวกซามูไร เอ้าที่นี้ก็มายุคของเมจิกแล้ว เมจิกเกิดขึ้นมาก็เชิดชูศาสนาชินโต เพราะต้องการรวมคนญี่ปุ่นให้มีชาตินิยม ให้ถือว่าญี่ปุ่นนี่สืบสายมาจากพระอาทิตย์คือเจ้าแม่สุริยะเทวี พระอเตมสุ ก็เลยเชิดชูศาสนาชินโตขึ้นก็กดพระพุทธศาสนาลง เพราะฉะนั้นยุคต่อจากนี้ พระพุทธศาสนาก็ถูกกด เอ้าโยมดูประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น จนกระทั่งมาตอนหลัง ๆ เนี่ย เกิดมีสงครามโลกจะมีอะไรต่ออะไรก็มีการเปิดประชาธิปไตยอะไรต่ออะไรกันมากขึ้น ตอนนี้พุทธศาสนาก็ถูกปล่อย จะทำไงก็ว่ากันเอาเอง ก็เป็นอย่างที่ว่า