แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คุยกันเรื่องเกี่ยวกับชีวิตประจำวันเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของพระและก็เกี่ยวข้องไปถึงพุทธศาสนิกชนทั่วไปด้วยก็คือเรื่องสวดมนต์ เรามาทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำก็มีเรื่องสวดมนต์ และนอกจากทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำก็ยัง เวลามีพิธีกรรมจะทำบุญในวัดก็ตามนอกวัดก็ตามก็มีการสวดมนต์เป็นหลัก
ถ้าไปงานมงคลเขาเรียกว่าเจริญพระพุทธมนต์ ถ้าเป็นงานอวมงคล งานอวมงคลก็คืองานเกี่ยวกับคนตาย เกี่ยวกับงานศพไม่ว่าจะเป็นเรื่องล่วงแล้วหรือเป็นเรื่องปัจจุบันก็เรียกว่าสวดพระพุทธมนต์ ใช้ต่างนะ เจริญพระพุทธมนต์กับสวดพระพุทธมนต์ แต่ถ้าเป็นเรื่องการสวดมนต์ทั่ว ๆ ไปก็ใช้แค่ว่าสวดมนต์เฉย ๆ
ทีนี้การสวดมนต์นี้เดิมเป็นเรื่องของการสาธยายคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการทรงจำด้วยปากเปล่าเพราะสมัยก่อนเดิมทีเดียวนั้นการที่จะรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็ใช้ท่องแล้วก็มาสาธยายพร้อมกัน ซึ่งเป็นวิธีรักษาคำสอนที่แม่นยำมากเพราะว่ามาสวดพร้อมกันอย่างนี้นี่ผิดตัวเดียวไม่ได้ ถ้าผิดคำหนึ่งก็เข้ากับพวกไม่ได้ ตกหล่นคำหนึ่งก็ไม่ได้ เกินก็ไม่ได้ ต้องเหมือนกัน ต้องสวดพร้อมกันไปด้วยกันได้ด้วยดี ก็เลยเป็นวิธีรักษาคำสอนที่อย่างที่บอกเมื่อกี้แม่นยำมากยิ่งกว่าตัวหนังสือ สมัยก่อนนี้ตัวหนังสือต้องคัดลอก พอคัดลอกทีก็ต้องมีหล่น มีตก มีพลาดทุกครั้งไป อย่างที่เขาลอกตำรายากัน เขาบอกว่าลอกเจ็ดทีก็กินตายพอดี อันนี้ก็เลยต้องระวังมาก ท่านถือเป็นเรื่องสำคัญมาก คำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ก็เพราะหลักพระศาสนา ธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้บัญญัติไว้เป็นเหมือนพระศาสดา เพราะว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วอะไรเป็นตัวแทนของพระองค์ล่ะ ก็คงสิ่งที่พระองค์สอน เพราะฉะนั้นเมื่อจะปรินิพพานพระองค์ก็ไม่ได้ตั้งใครเป็นผู้แทนของพระองค์ เป็นหัวหน้า เป็นประธาน เป็นประมุขของคณะสงฆ์ แต่ตรัสว่าเมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ธรรมวินัยที่เราแสดงไว้แล้วและบัญญัติไว้แล้วนี้จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ยิ่งพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ พระเถระสมัยนั้นก็เลยว่าทำไงจะรักษาคำสอนให้แม่นยำที่สุด การที่จะมาทำให้คลาดเคลื่อนถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก ดังนั้นก็เลยต้องมีการรักษา ซึ่งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็การรักษาอยู่แล้ว นี่พระพุทธเจ้าปรินิพพานก็ยิ่งต้องมาประชุมกันอย่างที่เรียกว่าสังคยานา มารวบรวม มาประมวล มาตกลงกันในที่ประชุม แล้วก็เมื่อตกลงกันอย่างนี้แล้วก็สวดท่องกันไว้เลย สวดพร้อมกันเรียกว่าสังคายนา สังคายนาแปลว่าการสวดพร้อมกัน หรือสังคีติ ภาษาบาลีนิยมใช้สังคีติมากกว่า แปลว่าการสวดพร้อมกัน ก็สวดพร้อมกันก็อย่างที่ว่าเนี่ยมันทำให้คงอยู่อย่างเดิมแน่นอน เปลี่ยนแปลง คลาดเคลื่อน เพิ่มเติมไม่ได้ทั้งนั้น
คลาวนี้ก็เพื่อให้รัดกุมยิ่งขึ้นก็แบ่งคณะกัน พระเถระองค์นี้มีลูกศิษย์ลูกหามากเป็นผู้ใหญ่ ก็มอบหมายว่าท่านเป็นผู้ฉลาดชำนาญในด้านนี้ ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนี้ ชำนาญมากอธิบายได้เก่งให้ท่านรับผิดชอบกับหมู่คณะของท่านเนี่ยทรงจำส่วนนี้ไว้ เช่น ทีฆนิกาย ส่วนองค์นี้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบส่วนมัชฌิมนิกาย ส่วนองค์นั้นรับผิดชอบส่วนอื่นต่อไป แล้วท่านก็สวดพร้อมกันอย่างนี้ มีการสวดอยู่เสมอ นี้ต่อมา พ.ศ. ใกล้ ๆ ห้าร้อยปีที่ลังกาก็มีการจารึกพุทธพจน์ลงเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อจากนั้นการสวดรักษาพุทธพจน์ก็ถือเป็นเรื่องที่ว่าเหมือนกับหมดความจำเป็นใช่มั้ย ไม่ได้เป็นกิจจำเป็นอีกก็เลยการสวดมนต์สาธยายคำสอนก็ค่อย ๆ น้อยลงไป ก็เอามาเป็นเรื่องของลายลักษณ์อักษรต้องมากำชับกันว่าจะคัดลอกอย่างไรไม่ให้ผิดพลาด ก็ถือกันว่าเนี่ย ถ้าหากว่าได้สร้างพระธรรมหนึ่งอักษรนี้มีค่าเท่ากับสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ สมัยโบราณถืออย่างนั้นเลย ให้ความสำคัญมาก ถ้ามองในทางมุมกลับก็คือถ้าทำลายให้เสียหาย หนึ่งอักษรก็เท่ากับทำลายพระพุทธรูปหนึ่งองค์เหมือนกัน แต่เขามองไปในแง่บวกว่า สร้างพระธรรมหนึ่งอักษรเท่ากับสร้างพระพุทธรูปหนึ่งองค์ มีบุญมากได้บุญมาก เดี๋ยวนี้น่าจะเอามาพิจารณาแง่นี้เพราะว่าไปสร้างพระพุทธรูปกันมากเกินไป แทนที่จะมาสร้างพระธรรมใช่มั้ย ซึ่งมีค่าอักษรหนึ่งก็เท่ากับสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่งแหละ คนเดี๋ยวนี้กลับไม่ค่อยเอาใจใส่ เพราะธรรมนั้นมีค่าในแง่ของตัวธรรมะ คำสอนที่เอามาใช้ปฏิบัติได้ เป็นตัวพุทธพจน์ที่เป็นศาสดาของชาวพุทธ นี้เราก็รักษาสืบต่อกันมา ทีนี้ต่อมาก็เกิดมีประเพณีเรื่องการสวดมนต์ การสวดมนต์ในสมัยหลังนี้ก็เมื่อความหมายในเชิงของ
การรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าลดน้อยลงไป ก็มาใช้ในความหมายอื่น คือใช้ในความหมายเช่นว่าเป็นเครื่องสำรวมจิตหรือนำจิต โน้มจิตเข้ามาสู่ความสงบ สมาธิ หรือเป็นเครื่องนำศรัทธาปสาธะใช่มั้ย แต่ก็ยังเป็นประเพณีว่าในแง่หนึ่งก็เป็นการสาธยายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ประชาชนได้ฟังเอามาบางส่วนก็ยังดี เป็นสิริมงคล เวลามีงานพิธีอะไรก็เอ้ามาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ากันนะ แต่นี้ส่วนหนึ่งก็จะมาในแง่ว่าเป็นเครื่องโน้มจิตให้เกิดศรัทธาปสาธะ มีปิติ อิ่มใจ น้อมไปสู่ความสงบ เป็นสมาธิ บางทีก็ใช้เป็นส่วนนำสมาธิก่อนที่จะเจริญจิตภาวนานั่งสมาธิกันก็มาสวดมนต์กันก่อน จิตของเราที่วุ่นวายกับเรื่องต่าง ๆ มาถึงมานั่งสมาธิทันทีมันยังฟุ้ง ก็สวดมนต์กันซะ พร้อมเพียงกันเนี่ย จิตก็โน้มเข้ามาสู่ความสงบ มาอยู่กับถ้อยคำที่เป็นพุทธพจน์ คำบาลีที่ถ้าร้อยกรองไว้อย่างดี จิตก็จะมาสัมผัสกับเรื่องของความงดงามของถ้อยคำหรือจังหวะทำนองที่ดี เนี่ยทำให้จิตใจสงบ ก็เป็นเบื่องต้นของการที่จะเจริญสมาธิ อันนี้ก็มาทำเป็นกิจกรรมส่วนรวมก็เลยมีความหมายในเชิงของกิจกรรมของหมู่คณะของชุมชน เป็นโอกาสที่จะได้มาพบปะพร้อมเพียงกัน ก็เป็นวัตรขึ้นมา วัตรก็คือข้อปฏิบัติประจำ เช่น ประจำวัน ก็เลย ต่อมาก็การสวดมนต์นี้ก็เป็นกิจวัตร มาทำวัตรเช้าทำวัตรค่ำก็หมายความว่า มาทำข้อปฏิบัติหรือกิจกรรมประจำวันในส่วนภาคเช้าภาคค่ำโดยมีการสวดมนต์ เนี่ยเรียกว่าทำวัตร วัตรแปลว่าข้อปฏิบัติประจำ ที่นี้ก็เป็นโอกาสให้มาประชุมพร้อมกัน พระสงฆ์อยู่ในวัดเดียวกันก็ควรจะมีโอกาสได้มาพบปะพร้อมกัน บางวัดนี่ก็ไม่ได้ฉันพร้อมกันแต่ก็มาสวดมนต์พร้อมกัน มีสัญญาณตีระฆังว่าอ้าวนะมาพร้อมกันซะที ในวันหนึ่งก็ได้พบกันสองหน ประธานคือเจ้าอาวาส มีเรื่องอะไรจะบอกจะแจ้งข่าวคราวความเป็นไปของหมู่คณะก็จะได้ถือโอกาสแจ้งตอนนี้ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นไปในวัดของเราควรจะแก้ไขปรับปรุงก็จะได้มาปรึกษาหารือ แล้วก็จะมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับความประพฤติเกิดขึ้นในวัดเราที่ไม่เหมาะสมและควรจะปรับปรุงให้ดีขึ้นก็จะได้มาแนะนำใช่มั้ย แล้วก็อาจจะได้มาฝึกปฏิบัติกรรมฐานอะไรกันด้วยก็ได้ หรืออาจจะมาอธิบายธรรมะอะไรกันอย่างที่เราทำกันนี้ก็ได้ ก็เป็นโอกาสเป็นเวลาที่จะมีกิจกรรมของหมู่คณะ แล้วก็สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น ความคุ้นเคยความสนิทสนมของพระที่อยู่ร่วมกันก็มีขึ้น อันนี้ก็เป็นเรื่องของกิจกรรมของสังคมมีความหมายหลายอย่าง แต่นี้นอกจากว่าในหมู่พระแล้วญาติโยมก็อาจได้มาร่วมด้วย ประชาชนก็ได้มีโอกาสได้รับผลอย่างเดียวกับที่พระได้รับอย่างนั้นทั้งในแง่ชองการได้มาพบปะมีกิจกรรมร่วมกัน ได้มาใกล้ชิดกับพระสงฆ์ ได้มาร่วมสวดมนต์ได้ทำจิตให้สงบ เป็นฐานเป็นบาทเป็นเครื่องเตรียมจิตให้สู่สมาธิ ก็ได้ประโยชน์ไปด้วยหมด ทีนี้มาพูดถึงบทสวดมนต์ บทสวดมนต์โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้จะแยกได้สามประเภท
ประเภทที่หนึ่งก็เป็นเรื่องแต่เดิมก็คือว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น เอามาจากพระไตรปิฎก ถ้าเป็นประเภทคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ต้องเอามาจากพระไตรปิฎกไปเลือกคัดเอามา เช่น บทสวดมนต์มงคลสูตร อะเสวะนา จะพาลานัง หลายบทเลย เอามาจากพระไตรปิฏก ถ้าเป็นคำสอนดี ๆ ท่านก็คัดเลือกมา ชื่อก็ดีเหมาะเอาไปใช้ในงานมงคล ก็สอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย แล้วเนื้อหาก็ดีมงคลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แต่เป็นมงคลเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ การพัฒนาชีวิต หนึ่งก็เป็นประเภทคำสอนของพระพุทธเจ้า พุทธพจน์จากพระไตรปิฎก
สองก็เป็นประเภทบทสวดสรรเสริญพระรัตนตรัย สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ว่าอิติปิโส อย่างนี้ใช่มั้ย บทสวดทำวัตรโดยตรงก็จะเป็นบทประเภทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ โยโสภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ บทสวดอย่างนี้ก็เยอะพอสมควร ก็จะให้น้อมจิตเข้าไปสู่พุทธคุณ เอาพุทธคุณมาเป็นอนุสติ แล้วก็เมื่อระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ก็น้อมจิตไปสู่ความดีงาม หรือแม้แต่ใช้เป็นเครื่องระลึกในการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิก็ใช้ได้
ทีนี้บทสวดประเภทที่สามก็จะเป็นบทประเภทอวยชัยให้พร ตั้งจิตปรารถนาดี บทสวดประเภทนี้มักจะเป็นบทสวดประเภทที่เรียบเรียงขึ้นภายหลัง เช่นอย่างสวดบทที่เราสวดกันมากที่สุดเลย ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สวดแทบทุกครั้งเลยเวลามีงานพิธี บทนี้เป็นบทที่เกิดภายหลังไม่มีในพระไตรปิฎก แล้วตอนหลัง ๆ นี่บทที่มาเหนือกว่าอวยชัยให้พรตั้งจิตปรารถนาดีมันชักจะเลยไปในทางคล้าย ๆ เกือบจะอ้อนวอนซะแล้ว บทสวดประเภทนี้เกิดทีหลังทั้งนั้น ก็แต่งกันขึ้น แต่งกันขึ้นมา ก็เป็นอันว่าครบแล้วสามประเภท
หนึ่งประเภทคำสอนของพระพุทธเจ้าส่วนมากมาจากพระไตรปิฎก
สองประเภทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
แล้วก็สามพวกอวยชัยให้พรก็จะเป็นประเภทที่ส่วนมากเกิดขึ้นภายหลัง พระอาจารย์ภายหลังเรียบเรียงรจนาขึ้น ถ้าเป็นพุทธพจน์โดยมากก็จะพูดถึงเรื่องการประพฤติปฏิบัติดีก่อน ซึ่งเป็นเรื่องคำสอน แล้วก็จะบอกว่าการประพฤติปฏิบัติงั้นก็จะเกิดผลดีอย่างนั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องผลดีเกิดจากการประพฤติปฏิบัติตาม แต่บทสวดอวยชัยให้พรนี้อึกอักขึ้นมาให้พรกัน ตั้งจิตปรารถนาดีกัน ถ้าตามหลักพระศาสนาก็ถือว่าเป็นการแสดงความปรารถนาดีตั้งจิตเมตตาก็ดีละใช้ได้ แต่ว่าอาจจะต้องระวังบ้างว่าถ้าไม่คุมกันไว้เนี่ยมันจะออกไปเฉี่ยด ๆ กับศาสนาโบราณ เดี๋ยวจะใกล้ลัทธิอ้อนวอนไป เอาล่ะครับก็เป็นความรู้ทั่ว ๆ ไป
ทีนี้มาพูดถึงหนังสือสวดมนต์ของเรา หนังสือสวดมนต์ที่ใช้ประจำของเราเนี่ย ก็มาจัดเป็นบทสวดประจำวัน บทสวดประจำวันนี่ขอทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่จัดขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในสำนักเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเขาสวดประจำวันกันอย่างนี้ คือหมายความบทสวดมีมากมาย ทีนี้บางบทพระเราก็สวดเป็นประจำแล้วก็ควรจะมาทบทวน บางบทไม่ค่อยได้ใช้ก็ควรจะจำไว้ได้ด้วย นี้เรามีเวลาเจ็ดวันบทสวดก็มีมากมายในวันเดียวนั้นจะสวดหมดก็ไม่ไหวทำไงดีก็มาจัดกันในเจ็ดวันนี้สิ เอาบทสวดมนต์นั้นมาทบทวนกันบ้างหรือเอามาจัดเพื่อให้มีโอกาสได้สวดบ่อย ๆ จะได้จำให้แม่นบ้าง ท่านก็จัดของท่านแล้วแต่ว่าท่านจะเห็นสมควรอีก ทีนี้ของเรา ๆ ก็จัดแล้วมาดูว่าตอนนั้นพระก็มีไม่กี่องค์แล้วพระมาจากพระเก่าซึ่งสวดบทสวดมนต์ต่าง ๆ ก็ได้มามากแล้ว ก็เลยมาจัดวันอาทิตย์วันจันทร์เอาบทสวดที่ใช้ในงานมงคลทั่ว ๆ ไป ซึ่งเป็นบทสวดที่ใช้มาก ทีนี้วันอาทิตย์เป็นบทสวดที่ใช้มากที่สุดใช้ประจำเลยอย่างมงคลสูตรอะไรอย่างนี้ ทีนี้หลายบทที่ใช้กันมาก ใช้ประจำ บ่อย ได้คล่องอยู่แล้ว ตอนนั้นก็เป็นระยะแรก ๆ ก็บทสวดมีเยอะก็ตัด ๆ ออกซะบ้าง เพราะฉะนั้นบทสวดวันอาทิตย์นี่ที่จริงไม่ครบ บทสวดที่ใช้ประจำยังมีอีก ถ้าเพราะเห็นว่าพระที่มาสวดกันอยู่เป็นพระเก่า หลายบทนี่จะคล่องจนเหลือเกิน ไม่จำเป็นเลยจะต้องมาสวดอีก ก็เลยไม่เอามาใส่ เพราะงั้นเรื่องมันยังค้างอยู่ว่าบทสวดยังไม่ครบ นี่เป็นเรื่องของความเป็นมาของสำนัก บทที่ใช้น้อยหน่อย ให้จำไว้นะวันจันทร์เป็นบทที่อย่างเดียวกับวันอาทิตย์นี่แหละที่ใช้ในงานมงคลแต่เป็นบทที่ใช้น้อยหน่อยหรือน้อยกว่า ที่นี้ต่อไปวันอังคาร วันอังคารก็เป็นบทสวดพิเศษ บทสวดพิเศษก็เช่น บทสวดงานมงคลในพระราชพิธีในวัง ก็อาจจะอยู่ในประเภทอันที่หนึ่งที่สองแต่ว่าเพราะใช้กันในวัง ข้างนอกไม่ใช้ บท อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ โลกานัง อะนุกัมปะโก หรือบท ยัง ยัง เทวะมะนุสสานัง ใข้แต่ในวังเป็นบทสวดพิเศษก็แล้วกัน ที่นี้ก็น้อยไปก็เลยเพิ่มมาอีกเอาบท ปัพพะชิตะอะภิณหะ ปัจจะเวกขะณะ ข้อที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ สิบประการ ซึ่งเป็นของเหมาะสำหรับพระสงฆ์ เอาเป็นข้อพิจารณาชีวิตของตนเอง การประพฤติปฏิบัติไว้เตือนใจ บางวัดท่านสวดเป็นประจำทุกวันเลย ที่นี้เราก็เอามาแทรกไว้ในวันอังคารเป็นบทสวดพิเศษด้วย ต่อไปก็จะเพิ่มอีกที่คิดไว้น่าจะเพิ่มอีกเยอะ เช่นบทสวดเกี่ยวกับสังคหะวัตถุ ซึ่งก็เป็นบทสวดพิเศษที่ทั่วไปเขาไม่ได้สวดกัน นี่ก็วันอังคาร แล้วต่อไปวันพุธ วันพุธนี่เอาละ ก็เปลี่ยนเป็นงานอวมงคลบ้าง เป็นงานศพวันพุธ เป็นบทสวดมาติกา เป็นบทสวดอภิธรรมเจ็ดคำภีร์นี่ใช้ในงานศพ วันพุธ แต่ว่าเราไม่ต้องถือ ที่จริงความจริงนี่เขาเลือกเอาบทสวดอภิธรรมไปสวดในงานศพเนี่ย เพราะเขาต้องการสิ่งที่เป็นหลักคำสอนสำคัญ เพราะว่างานศพ มักจะเป็นงานศพบิดามารดา คนจัดงานศพนี่ที่สำคัญที่สุดคือจัดให้บิดามารดา บิดามารดานี่เป็นยอดของผู้มีพระคุณนี่ก็ต้องเอาที่ดีที่สุด โบราณเขาถือกันว่า พระอภิธรรมเนี่ยเป็นคำสอนที่ยอดสุด โบราณถือกันว่าอย่างนั้น เหมาะสำหรับใช้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะฉะนั้นเวลาสร้างคำภีร์นิยมกันสร้างพระอภิธรรมนี้ตอบแทนคุณบิดามารดา เวลามาใช้ในงานศพก็สวดคำภีร์หรือบทสวดที่ถือว่าเยี่ยมยอดก็คืออภิธรรม นอกจากนั้นอภิธรรมก็เป็นหลักธรรมกว้าง ๆ ด้วย สำหรับให้พิจารณาความจริงของธรรมชาติรวมทั้งชีวิตด้วย ได้ทั้งสองแง่ ทั้งแง่ตอบแทนพระคุณ ทั้งได้หลักธรรมที่แสดงสัจธรรมความจริงของธรรมชาติและชีวิต อ้าวที่นี้ก็ผ่านไปวันพุธ ต่อไปวันพฤหัส วันพฤหัสก็เนื่องกันในงานศพงานอวมงคลนั้นบทสวดอภิธรรมนั้นก็จะใช้ในพิธีเช่นมาติกา สวดอภิธรรมตอนกลางคืนอะไรอย่างนี้ ทีนี้เวลาสวดพระพุทธมนต์ที่คู่กันกับเจริญพระพุทธมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ ฉันเพล เอะ งานอวมงคลก็มีสวดพระพุทธมนต์ฉันเพล อันนี้ก็เลยเอามาอีกชุดหนึ่ง บทสวดพระพุทธมนต์สำหรับงานอวมงคลก็ไปอยู่วันพฤหัส เนี่ยสวดพระพุทธมนต์ ก็มีบท ยะถาปิ เสลา อะไรต่ออะไร เป็นบทเตือนใจให้ระลึกถึงความจริงของชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นบท ยะถาปิ เสลา ก็บอกว่าเปรียบเหมือนภูเขาหินเป็นแท่งทึบ กลิ้งมาจากทิศทั้งสี่ บทขยี้สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีทางหนึรอดไปฉันใดอะไรต่าง ๆ ความแก่ ความตาย ก็บทขยี้สรรพสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น เป็นคติเตือนใจแล้วก็มีบทอื่น ๆ ที่ว่าคนใดที่ว่าได้เจริญธรรมะห้าประการมีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ท่านเรียกว่ามีชีวิตไม่ว่างเปล่า เท่ากับว่าคนที่ตายไปแล้ว ก็ถ้าได้มีธรรมะเหล่านี้ก็เป็นชีวิตที่มีค่าให้เราทั้งหลายประพฤติปฏิบัติโดยเจริญธรรมะเหล่านี้ ต่อไปเราก็ต้องตายเหมือนกันจะได้มีชิวิตที่ไม่ว่างเปล่า ไม่เป็นโมฆะ ก็เป็นบทสวดเตือนใจให้ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท สร้างสรรค์คุณงามความดี ได้รู้ความจริงของชีวิต นี่เป็นบทสวดพระพุทธมนต์ในวันพฤหัสบดี เป็นบทสวดพุทธมนต์ในงานอวมงคล โดยปกติใช้ตอนสวดมนต์แล้วก็ฉันเพลต่อ ต่อไปวันศุกร์ ทีนี้วันศุกร์ก็เป็นที่รวมของบทอนุโมทนา บทอนุโมทนาให้พร เวลาพระสวดมนต์แล้วฉันเสร็จแล้ว ที่นี้ก็มีการอนุโมทนาทั้งงานมงคลและอวมงคล ก็เอาบทสวดอนุโมทนาไปอยู่วันศุกร์ ก็มีหลายบทยังไม่หมดหรอกเอาไว้ที่ควรใช้ก่อนเพราะว่าเยอะแล้ว ทีนี้ต่อไปเพราะว่าตอนนี้มาเป็นวัดมีพระมากขึ้นมีโยมเกี่ยวข้องมากขึ้น ต่อไปอาจจะต้องใส่ให้เต็มให้ครบซะ วันเสาร์ก็เหลืออยู่วันและ เป็นอันว่าบทสวดที่จะใช้ประจำทั่วไปนี่ครบพอแล้ว ก็มาบทพิเศษ บทพิเศษบทใหญ่ก็เลยเอาไว้สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรวันเสาร์ พอธัมมจักร ฯ บทเดียวก็พอแล้ววันนั้น ยาว บทสวดธัมมจักร ฯ นี่ เดี๋ยวนี้นิยมใช้ในงานวันเกิดใหญ่ ๆ ก็จะไปแทรกเสริมเข้าไปในบทสวดวันอาทิตย์ บทสวดวันอาทิตย์ที่เป็นบทสวดเจริญพุทธมนต์ในงานมงคล วันเกิดก็ต้องใช้ด้วย จัดเสร็จแล้วงานใหญ่ ๆ ก็นิยมเอาธัมมจักกัปปวัตนสูตรเข้าไปแทรกเพิ่มอีกหนึ่งสูตร ความจริงงานศพเขาก็มีนะบทสวดใหญ่ ๆ เจ็ดวันให้สวดบทนี้ ห้าสิบวันสวดบทนี้อะไรอย่างนี้ ก็มีบท ตอนนี้เราใช้แต่ธรรมนิยามสูตร ที่จริงเขามีอาทิตตปริยายสูตร อนัตตลักขณสูตร แต่เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีงานไหนสวดแล้ว ก็สวดธรรมนิยามสูตรที่มีอยู่แล้ววันพฤหัสบดีเป็นพื้น อันนี้ก็เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องบทสวดที่มีอยู่ในหนังสือที่เรามาสวดกันประจำวันในตอนค่ำ หลังจากทำวัตรค่ำเป็นบทสวดมนต์ต่อท้ายทำวัตรค่ำ ก็เป็นเรื่องชีวิตประจำวันส่วนหนึ่งก็เอามาเล่าถวายให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เราเกี่ยวข้องประจำวัน พอเดี๋ยวผ่านไปแล้วไม่รู้สวดจบกันไปแล้วก็ไม่เข้าใจสิ่งที่ตนทำ นี่ถ้าสงสัยอะไรก็นิมนต์จะได้ถามให้รู้นี่เป็นตัวอย่างของการบอกสิ่งที่เราเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน ถ้าบางทีผมนึกอะไรไม่ออกแล้วท่านก็เก็บเอามาถามอีกที แล้วมีบางวัน ??? เจริญพุทธมนต์งานมงคลก็จะมีการชุมนุมเทวดา วันอาทิตย์ก็เป็นเจริญพุทธมนต์เป็นงานมงคลก็ชุมนุมเทวดา วันจันทร์ก็ชุมนุมเทวดา วันอังคารก็อยู่ในบทสวดพิเศษ บทสวดในวังใช่มั้ยก็เนื่องอยู่ในงานมงคลก็เอาชุมนุมเทวดาด้วย พุธ พฤหัส ไม่ต้องงานอวมงคล ทีนี้ศุกร์นั้นเป็นบทสวดอนุโมทนาก็ไปเนื่องอยู่กับงานมงคลเป็นส่วนมากก็เลยเอาชุมนุมเทวดาซะด้วย แล้วก็แม้จะมีบทสวดงานอวมงคลแทรกอยู่นิดเดียว อนุโมทนามีงานอวมงคลด้วย อะทาสิ เม แล้วก็ไปวันเสาร์ วันเสาร์ธัมมจักร ฯ ก็เจริญพุทธมนต์โดยเฉพาะก็วันเกิด ก็ไปแทรกอยู่ในงานมงคลเหมือนกันก็ชุมนุมเทวดาด้วย ชุมนุมเทวดาเคยอธิบายแล้วนะ บอกว่าให้โอกาสเทวดาชวนเทวดามาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าด้วย ท่านจะได้เอาธรรมะนี้ไปประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสของตนเอง พัฒนาขีวิตของท่านให้ดีขึ้น ที่จริงงานอวมงคล ??? ก็เป็นประเพณี ไม่อยากให้เทวดามายุ่งมั้ง หรือไม่ต้องให้เทวดา เทวดาอาจจะไม่ชอบงานแบบนี้ ??? คาถาชินบัญชร ??? แต่งภายหลัง นาน เป็นของยุคหลัง ตอนแรกที่คล้าย ๆ ว่ามาค้นพบกันใหม่ เพราะหลังจากเลือนลางไปนานก็เข้าใจเป็นของสมเด็จโต สมเด็จพุทธาจารย์โต วัดระฆัง เข้าใจกันว่างั้น ต่อมาปรากฎว่า อ้าวในลังกามีนี่ ไปเจอเอาที่หลัง ลังกามีเก่ากว่าแสดงว่าเข้ามาจากลังกาอีกที แต่ว่าไม่ทราบว่าแต่งเมื่อไหร่ บทสวดงานศพก็มีสวดพระมาลัย อันนั้นก็เป็นประเพณี เรื่องพระมาลัยอันนี้ก็เป็นหลังพุทธกาลนานเกิดในลังกา เขาเรียกมลยชนบทในลังกาทวีป ก็เป็นตำนาน พาหุงก็เป็นบทที่เอาเนื้อเรื่องความในสมัยพุทธกาลตำนานเรื่องประวัติความเป็นไปในพุทธประวัติเอามาเรียบเรียงแต่งขึ้นภายหลัง แต่นี้อิงอาศัย เหมือนเขาแต่งเรื่องอิงประวัติศาสตร์ อันนี้ก็เป็นการสรุปประมวลเรื่องราวที่เกี่ยวกับการที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมีชัยชนะบุคคลหรือว่าแม้แต่สัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นผู้ร้ายเข้ามากลับให้เป็นดีไป ก็เลยถือเป็นบทชัยชนะ ก็มาตั้งเป็นบทเรียกกันง่าย ๆ พาหุง เพราะว่าเริ่มต้นสวดว่า พาหุง ขึ้นนำหน้าก็เรียกบทพาหุง และเรียกกันว่าบทถวายพรพระ ถ้าถวายพรพระก็มีบทพาหุงนี่เป็นหลัก แต่ว่ารวมบทสวดที่สวดในพิธีอย่างนั้นสั้น ๆ ไม่ต้องการเจริญพุทธมนต์บทเต็ม ก็เอาแค่ถวายพรพระ การสวดที่ดีนี่อย่างที่ว่าแล้วก็น้อมนำศรัทธาปสาทะ เพราะว่าเสียงสวดเนี่ยมันเป็นของเทียบเคียงกับเรื่องการร้องเพลง ศัพท์ก็ใช้ศัพท์เดียวกัน คีตะแปลว่าเพลง การสวดก็ใช้คีตะ คีติ เหมือนกัน อย่างสังคายานาก็สังคีติ สังคีติแปลว่าสวดพร้อมกัน ตัว สัง นั้นแปลว่า สวดพร้อมกัน คีตะก็เพลง คีติก็การสวด นี้ก็ตัวศัพท์ภาษาบาลีก็เลยเป็นศัพท์เดียวกัน สังคายานา สัง พร้อม คายานา แปลว่า การสวด สังคายานาก็การสวดพร้อมกัน ทีนี้ตัวคายานาเองก็แปลว่าการร้องเพลงก็ได้ ทีนี้ร้องเพลงของชาวบ้านนั้น ในหลายกรณีจะเป็นการร้องเพื่อยั่วยวนล่อแล้าในเรื่องกามารมณ์ แต่ก็มุ่งความไพเราะ แต่ความไพเราะนั้นจะสื่อไปถึงเรื่องของกามมาก แต่ว่าเพลงบางอย่างก็จะมีลักษณะที่โน้มมาสู่ความสงบ หรือทำให้จิตใจเนี่ยได้ระลึกถึงสิ่งที่ดีงามสูงส่งขึ้นไปก็มี ทีนี้บทสวดของพระนี่มันก็จะมาเป็นฝ่ายนี้ ที่เป็นฝ่ายที่โน้มจิตสู่ความดีงามความสงบ มันก็จะมาเป็นคู่เทียบจะเรียกว่าดุลกันก็ได้กับเพลงร้องในทางกาม นี่ก็เป็นบทสวดที่มุ่งความสงบความดีงามที่ว่าเมื่อฟังสวดแล้วจิตใจก็จะโน้มไปสู่ความสงบแล้วก็เนื้อหาก็จะเป็นเรื่องของธรรมะก็จะมาผสานกันก็จะทำให้จิตใจนึกถึงธรรมะ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็ยังมีเลย มีบทเพลงบทหนึ่งเข้าไปอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นพระสูตรชื่อสักกปัญหสูตร ก็เป็นเรื่องของเทพบุตรท่านหนึ่งไปเกี้ยวเทพธิดาก็ขับเป็นเพลงแต่เพลงนี้มีเนื้อหาที่ประกอบด้วยธรรมะ มีการสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า เป็นต้น บทเพลงนี้ถึงกับได้เข้าไปอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นพระสูตรหนึ่ง อันนั้นก็ในทางพระพุทธศาสนานี่ก็จะมีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเพลงอยู่เช่นในอรรถกาท่านเล่าถึงครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยแต่งเพลงให้มานพ มานพเขาจะไปเกี้ยวสาว บทเพลงก็จะเป็นบทเพลง ถ้าเมื่อก่อนเขาเรียกว่าขับใช่มั้ย ขับนี่ก็หมายถึงว่าร้องเพลงนั่นแหละ เนื้อหาจะเป็นเรื่องธรรมะ นำจิตไปสู่ความดีงาม เพราะฉะนั้นแม้แต่ในเรื่องของกามรมณ์ทำไงจะให้ธรรมะเข้าไปแทรก เพื่อจะดึงจิตโน้มจิตของเขาเข้ามาสู่ความดีงามบ้าง มิฉะนั้นคนก็จะถูกดึงไปข้างเดียว ล่อเล้ายั่วยวนกัน แล้วก็หยาบลงไป ๆ ใช่มั้ย นี้เราจะปล่อยโดยไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวเลยหรือ ในทางพระพุทธศาสนาจะเห็นว่าท่าทีในเรื่องนี้ก็คือการที่ว่าเราต้องไปพบกับคนในจุดที่เขาเป็นอยู่ แล้วจุดมุ่งหมายของเราชัดเจนก็คือช่วยเขาด้วยเมตตา ทำไงจะดึงนำเขาขึ้นมาสู่ความดีงามยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่ไปพบกับเขา ณ จุดที่เขายืนอยู่ เขาก็ไม่ยอมกระโดดข้ามมาหาเราเหมือนกัน ทีนี้อันนี้ก็ขึ้นต่อสภาพแวดล้อมแล้วขึ้นต่อพื้นฐานของผู้คนเหล่านั้นพร้อมทั้งความสามารถของผู้สอนเองด้วย ผู้สอนบางท่านอาจจะสามารถพูดนิดเดียวทำให้คนนี่ก้าวกระโดดมาจากจุดที่เขายืนอยู่มาหาตัวเองได้ แต่เราจะไปมองอย่างนั้นทั้งหมด เพราะพระผู้สอนก็มีความสามารถไม่เท่ากันต้องนึกเผื่อไว้ด้วย อย่าเอาตัวเองเป็นคนเดียวเป็นประมาท ถ้าจะให้ได้ต้องทำอย่างฉันเท่านั้น เราต้องนึกถึงท่านผู้อื่นด้วย คนที่รับฟังก็มีอุปนิสัยแตกต่างกันเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝ่ายผู้สอนก็เช่นเดียวกันมีความสามารถไม่เหมือนกัน เมื่อมองกว้าง ๆ อย่างนี้แล้ว ก็จึงต้องมีความยืดหยุ่นมีความหลากหลาย แต่ว่าก็จะมีขอบเขตอย่างที่เคยพูดมาว่า มันมีว่าเกณฑ์อย่างต่ำจะต้องไม่เลยเถิดไปอย่างนี้ แล้วก็อย่างสูงอย่างมากก็จะมีเกณฑ์อยู่ ภายในขอบเขตเกณฑ์อย่างต่ำอย่างมากอันนี้ก็จะยืดหยุ่นให้ใช้ความเหมาะสมที่จะให้ได้ผล แล้วก็ขึ้นต่อความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งหมายถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้ฟังฝ่ายหนึ่ง และความแตกต่างระหว่างบุคคลของฝ่ายผู้สอนฝ่ายหนึ่ง องค์ประกอบเหล่านี้กว่าจะมาบรรจบกันพอดีก็นึกถึงว่าจะทำไงจะให้พอดี เมื่อองค์ประกอบเหล่านี้มาลงตัวพอดีก็มัชฌิมาปฏิปทาใช่มั้ยผลสำเร็จก็เกิดขึ้น เวลานี้เรามักจะเห็นเรื่องของการที่ว่าจะเอาอย่างใดอย่างหนึ่งตายตัวเอามาตรฐานของตัวเข้าว่า ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งด้วย แล้วก็อาจจะทำให้เสียผลที่ควรจะได้ไป นี้ก็เป็นเรื่องที่ควรนำมาพูดไว้ในที่นี้ด้วยที่จริงไม่ได้ตั้งใจพูดเรื่องนี้หรอก แต่ว่าพูดถึงเรื่อง เรื่องของบทสวดเหล่านี้ก็มีความประสงค์ที่จะโน้มจิตของคนเข้ามาสู่ธรรมะ แม้แต่การรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นการสาธยายคำสอนก็ยังมาเป็นการสังคีติ เป็นการสวดซึ่งใช้ศัพท์เดียวกับการขับเพลง แต่ว่าจะเป็นทำนองที่ว่าระหว่างอย่างที่ว่าแล้ว ทำนองจะต้องอยู่ลักษณะที่จะโน้มนำจิตมาสู่ความดีงามและความสงบ เรื่องของธรรมะ แล้วก็ต้องทำด้วยความตั้งใจ สำหรับพระนั้นความตั้งใจเมื่อเราสวดในพิธีก็คือความตั้งใจปรารถนาดีต่อผู้ฟัง ให้ประชาชนนี้ได้รับผลดี ได้เกิดความผ่องใสของจิตใจ จิตใจสงบน้อมไปสู่ธรรมะนั่นเอง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ถ้าเราตั้งจิตปรารถนาดีมีเมตตาอย่างนี้อยู่เสมอการกระทำมันก็จะดีไปด้วย มิฉะนั้นเราก็อาจจะไปมุ่งว่าไปสวดธรรมพิธี มีพิธีก็ทำเป็นพิธี ซึ่งคำว่าเป็นพิธีมันก็เป็นความหมายสักว่าทำ ไม่ได้ตั้งใจ ก็เสร็จ ๆ ไป แล้วไม่มีความมุ่งหมายอะไร แล้วก็ผลก็เลยไม่เกิดขึ้น ก็ขอหยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน ก็ได้พูดถึงเรื่องบทสวดที่นำมาจัดวันเสาร์ว่าจัดบทสวดธัมมจักร ฯ เข้าไป บทสวดนี้ที่จริงก็เป็นพระสูตร เรียกว่าธัมมจักรกัปปวัตรสูตรเป็นพระสูตรใหญ่ยาวพอสมควร นี้ได้บอกไปว่าธรรมจักรกัปวัตรสูตรนั้นนิยมใช้สวดในงานวันเกิดที่ใหญ่ ๆ ใช่มั้ย ทีนี้เดี๋ยวจะเผลอไป นึกว่าเหตุผลในการที่จัดเข้ามานี้เป็นเพราะเป็นบทสวดในพิธีวันเกิดเท่านั้น ที่จริงไม่ได้มุ่งแค่ว่าเพราะไปสวดในวันเกิดใหญ่ ๆ หรอกที่เอาเข้ามาในการสวดนี้ คือมุ่งความสำคัญของพระสูตรนี้ว่าพระสูตรนี้เป็นพระสูตรสำคัญมาก เป็นปฐมเทศนา เป็นพระธรรมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้า เรียกว่าปฐมเทศนาก็คือเทศนาครั้งแรกแล้วก็มีชื่อว่าธัมมจักรกัปปวัตรสูตร แปลว่าสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หมายความว่าพระพุทธเจ้าเริ่มประกาศพระศาสนา หรือประดิษฐานอาณาจักรธรรมก็ได้ เป็นครั้งแรกเพราะงั้นพระสูตรนี้มีความสำคัญ สำคัญทั้งในแง่เหตุการณ์ สำคัญทั้งในแง่เนื้อหา ประกาศหลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง แล้วก็โยงเข้าไปหาหลักการที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งครอบคลุมหมดคือหลักอริยสัจสี่ โดยพระพุทธเจ้าทรงเริ่มด้วยมัชฌิมาปฏิปทาเป็นจุดที่มาเชื่อมต่อระหว่างลัทธิ แนวความคิด ข้อปฏิบัติของยุคสมัย ว่าเขามีการปฏิบัติ การดำเนินชีวิตกันสองแบบที่ทางพระพุทธศาสนาบอกว่าเป็นสุดโต่งเชื่อมโยงมาจากสภาพความเป็นจริงของยุคนั้น พวกหนึ่งก็เป็นพวกหมกมุ่นในกามสุข เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค แล้วก็ที่สุดอีกหนึ่งอย่างอีกฝ่าายหนึ่งก็คือว่ามุ่งไปในแง่ของจิตใจจนกระทั่งว่าละทิ้งเรื่องวัตถุ เรื่องทางกาย ทรมานร่างกายเพื่อปลดปล่อยจิต เราก็เรียกว่าเป็นที่สุดแห่งการทรมานตนเองให้ลำบาก เป็นอัตตกิลมถานุโยค นี่เป็นสภาพของการประพฤติปฏิบัติและลัทธิความเชื่อในยุคพุทธกาลก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าก็ประกาศพระศาสนาท่ามกลางภาวะเหล่านี้ คือข้อปฏิบัติและความเชื่อแนวความคิดที่สุดสองอย่าง เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค พระองค์ก็ทรงประกาศทางสายกลางที่หลีกเลี่ยงละเลิกจากที่สุดสองอย่างนั้น เกิดมัชฌิมาปฏิปทาเป็นข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา แล้วมัชฌิมาปฏิปทานี้ก็คือหลักปฏิบัติที่อยู่ในหลักการใหญ่อีกทีที่ครอบคลุมก็คือหลักอริยสัจสี่ พระพุทธเจ้าก็โยงจากมัชฌิมาปฏิปทาแล้วก็ตรัสอริยสัจสี่อีกที แล้วก็ประกาศให้เห็นว่าที่พระองค์ได้ตรัสรู้นี้ก็คือตรัสรู้อริยสัจสี่นี้ ถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้อริยสัจสี่นี้โดยครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว พระองค์ก็จะไม่สามารถปฏิญาณพระองค์ว่าตรัสรู้แล้วได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เป็นพระสูตรที่ประกาศหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา ทั้งหลักการใหญ่และข้อปฏิบัติ พร้อมทั้งเป็นเครื่องยืนยันว่าสัมมาสัมโพธิญาณบอกให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ก็จึงนำมาจัดเข้าเป็นบทสวดสำคัญ โดยที่มาประสานกันกับการใช้ประโยชน์ในปัจจุบันก็คือว่าเป็นบทสวดในวันเกิดใหญ่ ๆ อย่างที่ว่าไปแล้ว ก็ได้ความหมายทั้งสองข้อ แม้แต่ที่เอาไปจัดเป็นบทสวดในวันเกิดใหญ่ ๆ ก็คงจะมองความหมายแง่นี้ด้วยว่าเป็นพระสูตรที่สำคัญ ก็ถือว่าเอาพระสูตรนี้มาปฐมเทศนาก็เป็นมงคลอันยิ่งใหญ่ นี่ก็เป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องปลีกย่อยเกร็ด ๆ เอามาเล่าถวายไว้