แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
เจริญพร รายการเล่าเรื่องให้โยมฟัง วันนี้ ก็จะพูดเรื่องปัญญาต่อ แต่ว่าจะกลับมาในเนื้อหาที่เป็นหลักวิชา คือ อาตมภาพได้พูดแล้วว่า ปัญญานั้นมีหลายอย่าง วิธีแบ่งปัญญาก็มีวิธีต่างๆ คราวนี้จะแบ่งตามทางเกิดของปัญญา เมื่อแบ่งตามทางเกิดของปัญญา ท่านแบ่งปัญญาเป็น 3 ชนิด คือ
1. จินตมยปัญญา หรือเรามักจะเรียกยาวๆ ว่า จินตามยปัญญา แปลว่า ปัญญาเกิดจากการคิด
2. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง หรือ การสดับเล่าเรียน
3. ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ หรือ ลงมือทำ
ก็รวมก็คือแหล่งเกิดปัญญาก็มี การคิด การสดับฟัง และการลงมือปฏิบัติ นี้ปัญญาที่เกิดจากการคิดนั้น ท่านเรียงไว้อันที่ ๑ แต่ที่เราเอามาใช้ในเมืองไทย เรามักจะเรียงสุตมยปัญญาก่อน เพราะเราไปคิดในแง่ว่า น่าจะเริ่มต้นด้วยการสดับฟังคนอื่น สดับฟังแล้วก็มาคิด คิดแล้วก็ลงมือทำ
แต่นี้ในพระบาลีนั้น ท่านเอาจินตามยปัญญาขึ้นก่อน ที่ท่านเรียงอย่างนั้น ก็พูดถึงประเภทของคน คือคนบางพวกสามารถที่จะคิด แล้วก็เกิดปัญญา มีความเข้าใจขึ้นมา ท่านบอกคนประเภทนี้เป็นผู้ฉลาดมาก รู้จักคิดเองเป็น หรือรู้จักมนสิการ โดยเฉพาะก็พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้ด้วยตนเองได้ ท่านเหล่านี้รู้จักคิดหรือคิดเป็น มีความรู้ต่างๆ หลายอย่างท่านไม่ได้สดับเล่าเรียนจากคนอื่น ก็คือปัญญาตรัสรู้นี้แหละ ท่านรู้จักสังเกตและรู้จักพิจารณาก็ได้ปัญญา
เหมือนอย่างคนบางคนเนี้ย ก็ไปอยู่ในที่สงบ และก็ได้เห็นธรรมชาติแวดล้อม เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องชีวิตของตน อันนี้ก็เป็นปัญญาที่เกิดจากการคิด
คนบางคนก็คิดขึ้นมาจากสิ่งที่ตนได้เห็น โดยไม่ต้องมีคนอื่นบอกเล่า อย่างเช่นว่า ไปอยู่ในที่สงัด มองเห็นใบไม้ร่วงหล่น ใบไม้นั้นเป็นสีเหลือง ใบไม้แก่ และก็มองเห็นธรรมดาของชีวิต แล้วก็ทำให้มีจิตใจที่รู้เท่าทันความเป็นไปของสังขาร อย่างที่เรียกว่า รู้ไตรลักษณ์ เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัญญาที่เกิดจากการรู้จักคิด คิดด้วยตนเองนี้เรียกว่า จินตมยปัญญา
แต่ว่าคนส่วนมากนั้น ไม่สามารถในการคิดเอง ต้องอาศัยผู้อื่น เช่น มีครูอบรมสั่งสอน หรือมีท่านผู้รู้ที่จะบอกกล่าวเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะก็คือบุคคลที่หวังดี ที่เรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร ความรู้ที่เกิดจากการสดับตรับฟัง เล่าเรียนมาจากผู้อื่นนี้ เมื่อเกิดความเข้าใจขึ้นมา เห็นตามนั้น รู้เท่าถึงความเป็นจริง ก็เกิดเป็นปัญญาขึ้น อันนี้เรียกว่า สุตมยปัญญา
แล้วข้อสุดท้ายก็คือ ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ หรือลงมือทำ ตามตัวอักษร ภาวนาก็แปลว่า การเจริญ หรือการทำให้เกิดให้มีขึ้น ก็หมายถึง การลงมือปฏิบัติ เหมือนอย่าง เราได้ยินเรื่องวิธีปลูกต้นไม้ คนอื่นเล่าให้ฟังก็ได้สุตะมา แต่ว่าปัญญานั้นก็ยังไม่แจ่มแจ้ง ต่อเมื่อใดมาลงมือปลูกด้วยตนเองจึงจะรู้ รู้ชัดเจนประจักษ์กับตัวเอง เป็นปัญญาที่แน่นอน เพราะว่าได้ยินได้สดับเอามานั้น บางทีก็มาทำเองไม่ได้ เรียนรู้เค้าบอกว่าปลูกต้นไม้ต้องทำอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น แต่ว่าพอมาทำเอง ปรากฏว่าปลูกไม่สำเร็จ ต้นไม้ไม่งอกไม่ขึ้น ก็ต้องมาหัดทำ งั้นวิธีเรียน วิธีการศึกษาอย่างหนึ่งก็คือ ให้ลงมือทำหรือทำด้วยตนเอง ก็อย่างนี้ ถ้าทำแล้วสำเร็จ ก็เรียกว่าเป็น ภาวนามยปัญญา
ในการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ปัญญาที่เกิดจากภาวนาคือการลงมือปฏิบัติ อันนั้นจะทำให้เห็นประจักษ์ชัดแก่ตนเอง เช่น เรียนรู้สติปัฏฐาน ท่านก็บอกว่าสติปัฏฐานคือ การตั้งสติหรือมีสติ กำหนดพิจารณารู้เท่าทันความเป็นจริงของสังขารทั้งหลายว่าไม่เป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มี 4 ข้อ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา แต่ละอย่าง เป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ทำอย่างนั้น และก็ได้สดับมา แต่ไม่เคยปฏิบัติ ก็ไม่รู้ชัด ไม่เห็นผลจริง ต่อเมื่อใดเอาไปลงมือปฏิบัติ ก็จะได้เห็นประจักษ์แก่ตัวเองและก็ได้รับผลเป็นขั้นเป็นตอนไป
ปัญญาที่เกิดด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าภาวนามยปัญญา โดยเฉพาะก็หมายถึงปัญญาที่เกิดจากการที่จิตได้เป็นสมาธิแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ท่านกล่าวว่า สมาธินั้นเป็นบาทฐานของปัญญา จิตใจสงบตั้งมั่นแล้ว มีสมาธิ ก็พิจารณาเห็นความจริง ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติอย่างนี้ เรียกว่า ภาวนามยปัญญา
ตกลงว่าปัญญาก็มี 3 อย่าง แบ่งตามทางเกิด อย่างที่อาตมภาพกล่าวมานี้
ซึ่งสำหรับคนทั่วไปก็อาจจะนำมาใช้ให้สัมพันธ์กัน คือ ตอนแรกก็ได้สดับเล่าเรียนจากผู้อื่น เพราะเราอาจจะยังไม่สามารถในการคิดได้โดยลำพัง ก็สดับตรับฟังจากท่านผู้รู้ ท่านผู้เป็นครูอาจารย์สั่งสอน เมื่อสดับตรับฟังแล้ว ก็เอามาคิดมาพิจารณา สุตะก็เกิดเป็นจินตะ หรือเป็นจินตาขึ้น เมื่อคิดพิจารณาแล้ว ก็ไม่ปล่อยให้เป็นเพียงความคิดอยู่ในสมอง ก็เอามาลงมือทำลงมือปฏิบัติด้วย ก็ได้เห็นผลประจักษ์จริงขึ้นมา ก็เป็นลำดับ เรียกว่าโดยทั่วไป และก็ใช้ทั้ง 3 อย่าง เป็นขั้นเป็นตอน แต่ว่าบางทีผู้มีปัญญามากแล้วก็พอได้สุตะ ก็เข้าใจที่สุตะนั้นทีเดียว หรืออย่างผู้ที่มีจินตะ รู้จักคิด คิดเป็น ก็ได้ปัญญารู้แจ่มแจ้งที่จินตะ และก็บางคนก็อาศัยต่อเมื่อมาทำภาวนาจึงจะรู้
ก็เป็นอันว่าทางเกิดของปัญญานี้ ทำให้เรารู้ลู่ทางในการที่จะสร้างสมเจริญปัญญาให้แก่ตนเอง ท่านก็แบ่งไว้เพื่อเป็นเครื่องกำหนดของพุทธศาสนิกชน ก็ไม่ใช่เพียงแต่รู้เท่านั้น แต่ว่าเพื่อผลในทางปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์จริงจังด้วย แต่วันนี้อาตมภาพนำมากล่าวก็พอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมี พอให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องปัญญาในแง่ต่างๆ มากขึ้น ก็คิดว่าวันนี้ กล่าวธรรมกถาเป็นความรู้เพิ่มเติมเรื่องปัญญา ก็พอสมควรแก่เวลา ก็ขออนุโมทนาโยมเท่านี้