แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
คนฟัง การที่จะได้มาซึ่งปัญญาตรงนี้ ก็คือมาจากการศึกษา หรือว่ามาจาก หรือว่าบางคนดูเหมือนว่าเขาก็ศึกษาเรียนรู้ แต่บางครั้งเขาก็จับจุดตรงนี้ไม่ถูก
พระ อ๋อ การศึกษาในความหมายที่แท้จริงที่เป็นการศึกษาของชีวิต เพราะว่าการศึกษาเดี๋ยวนี้มันมีความหมายเป็นระบบเป็นความหมายที่เป็นการศึกษาที่จัดตั้ง การศึกษาจัดตั้งมันก็อย่างหนึ่งนะก็อยู่ที่ทฤษฎี แล้วก็เอากระบวนการนั้นเราเรียกการศึกษาใช่ไหม ซึ่งที่จริงนะการศึกษาที่แท้นี่มันจะมาทำให้กันไม่ได้ด้วยซ้ำ การศึกษามันก็ต้องเป็นว่าคนอื่นอย่างพวกเรา หรือกระทรวงมาช่วยเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนให้คนแต่ละคนนั้นเกิดการศึกษา การศึกษามันเกิดในตัวคนเอง แต่ทีนี้เราเรียกการจัดตั้งของรัฐของสังคมที่ว่าเป็นการศึกษา เป็นอันนี้ก็ความหมายมันก็ยุ่ง เพราะการศึกษาเดี๋ยวนี้ก็มีไอ้ความซับซ้อนเรื่องของถ้อยคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ในแง่หนึ่งก็เหมือนกันรวมขึ้นมาแล้ว การศึกษาคืออะไร ก็หมายถึงการเล่าเรียนวิชาแล้วจะได้มีความรู้มาประกอบอาชีพการงาน แล้วจะได้หาเงินหาทอง แล้วจะได้มีเงินมีทอง แล้วก็จะได้มีตำแหน่ง แล้วก็จะประสบความสำเร็จในการแข่งขันกันในสังคม อันนี้ก็กลายเป็นว่านี่แหละกระบวนการศึกษา ทีนี้การศึกษาที่แท้มันก็คือ การที่ชีวิตของเราเนี่ยมันมีการพัฒนาตัวเองให้มันอยู่ได้ดีขึ้นมีพฤติกรรมการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างได้ผลดีทั้งแก่ชีวิตตัวเองแล้วก็ไม่เป็นปัญหาแก่การอยู่ร่วมกัน ทำให้การมีพฤติกรรมการมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมนั้นเกื้อกูลทั้งแก่ตนเองและแก่สิ่งอื่นคนอื่นให้อยู่กันด้วยดี รวมแล้วก็คือว่าให้ชีวิตของตนและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนี่เป็นไปด้วยดี อยู่ร่วมกับผู้อื่นและสิ่งอื่น อยู่ร่วมกับผู้อื่นก็สังคม อยู่ร่วมกับสิ่งอื่นก็สิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ถ้าเป็นการศึกษาที่แท้มันก็ต้องพัฒนานี่สิ พัฒนาความสามารถการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงปรับตัวกับที่อยู่ร่วมด้วยดีชีวิตตัวเองก็ดี อยู่ร่วมด้วยดีเป็นการเกื้อกูลกันยิ่งขึ้น ไม่ใช่กลับมาเป็นปัญหาก็มาเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เรายิ่งอยู่ไปเราก็ไปเป็นปัญหาแก่คนอื่น ไอ้คนอื่นก็จะมาเล่นงานเราหนักเข้าไป เอ้าที่นี้ก็ 1 แล้วนะ ชีวิตของเราก็เป็นอยู่ได้ดีขึ้นแล้วก็อยู่ร่วมกับสิ่งอื่นด้วยความที่อยู่ร่วมกันได้ดีขึ้นเกื้อกูลต่อกันแล้ว เสร็จแล้วก็จิตใจของเราก็เป็นสุขขึ้น แล้วก็มีความดีงามต่าง ๆ ลดอกุศลลงความเครียดความมัวหมองขุ่นมัวความทุกข์ความเศร้าอะไรจะต้องลดลงไปก็เป็นกุศลมากขึ้นมีจิตใจที่ร่าเริงเบิกบานผ่องใสมากขึ้น อันนี้การศึกษามันก็ต้องพัฒนาชีวิตในด้านจิตใจก็ต้องดีขึ้นอย่างนี้ แล้วก็มีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ต่อสิ่งทั้งหลายสิ่งแวดล้อมสามารถชื่นชมความงามในธรรมชาติอะไรต่าง ๆ ได้ แล้วก็มีปัญญารู้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นใช่ไหม รู้เหตุปัจจัยรู้ความจริงอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ อันนี้ก็คือการศึกษาที่แท้จริงไม่ใช่แค่สามารถที่จะไปทำการแข่งขันหรือไปสามารถไปหาทรัพย์หาเงินทองเท่านั้น อันนั้นมันต้องเป็นเพียงตัวประกอบได้แกนก่อน การที่ไปหาไปสร้างไปทำการต่าง ๆ เหล่านั้น มันเกื้อหนุนต่อชีวิตแล้วก็การอยู่ร่วมกันทุกอย่าง เสร็จแล้วมันกลายเป็นว่าไปทำอาชีพไปหาเงินหาทองหาความสำเร็จหาตำแหน่งยศ ซึ่งที่จริงเดิมนี่มันเป็นระบบที่สังคมจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์เนี่ยมาจัดการการอยู่ร่วมกันนั้นให้มันดีขึ้น เพื่อให้ชีวิตมันดี แต่มนุษย์ในที่สุดก็หลงสมมติเอาให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องมือในการเบียดเบียนกัน ทำให้ตัวเองก็อยู่ยากขึ้น ทำให้คนอื่นต้องเกิดความระแวงหวาดหวั่นพรั่นพรึงตัวซึ่งกันและกัน แล้วก็ต้องแย่งชิงเบียดเบียนกันตัวเองอยู่ไปจะหาจะทำอะไรกลายเป็นไปเบีนดเบียนคนอื่น ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น การอยู่ร่วมกันต่อสิ่งแวดล้อมต่อสังคมก็ไม่ดีขึ้น แล้วก็ไอ้จิตใจของตัวเองก็ไม่ดีขึ้น ความรู้เข้าใจที่จะมาปรับชีวิตปรับจิตใจให้ลงตัวกับสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่ได้ มันได้แต่ความรู้ที่จะมาหาของหาแข่งขันทำความสำเร็จเท่านั้น ไอ้ความรู้ที่แท้ ที่จะเข้าใจชีวิตมันจัดระเบียบการอยู่ร่วมกันอะไรต่ออะไรในชีวิตของตัวดีอยู่ร่วมกันด้วยดีกับสังคมสิ่งแวดล้อมไม่ได้เลย ตกลงทั้งพฤติกรรมการอยู่ร่วมกันสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งสังคมทั้งธรรมชาติทั้งจิตใจของตัวเองทั้งปัญญาอะไรไม่ได้เป็นแก่นสารเลยนะในที่สุดใช่ไหม ตกลงมันไม่รู้ออกไปไหน จัดกันเป็นระบบการศึกษาสูงเหลือเกิน ตกลงว่าไอ้สาระที่แท้จริงนี่หมดเลย ทำไปทำมากลับเอาไอ้สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาเนี่ยว่าบั่นทอนไอ้ตัวแก่นสารที่แท้ ความมุ่งหมายที่แท้นี่มนุษย์กำลัง จึงบอกว่าแปลกแยก คือแปลกแยกจากความหมายที่แท้จริงที่ตัวเองมีสังคมขึ้นมาเพื่ออะไร เราลองตั้งคำถามสิครับ เรามีสังคมเพื่ออะไร มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเพื่ออะไร เอ้า 1 ตัวเองก็จะได้ปลอดภัยยิ่งขึ้น อยู่ดียิ่งขึ้น แล้วเราก็ต้องช่วยกันให้ชีวิตร่วมกันนี้ให้มันอยู่ด้วยกันได้อย่างไร อยู่ดีมีสุขใช่ไหม เป็นเครื่องสนับสนุนซึ่งกันและกัน เออเรามาอยู่ร่วมกันก็เพื่อเกื้อหนุนกัน คนอื่นก็กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีให้เราจะทำอะไรเราก็สะดวกขึ้นเราจะพัฒนาตัวเองเราจะเป็นอยู่เราก็มีความปลอดภัยมีความมั่นคงขึ้น เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่ามนุษย์มาอยู่ร่วมกันก็มีแต่ระแวงกันยิ่งขึ้นมาหักล้างกันขัดแย้งกันบั่นทอนกันยิ่งขึ้นหมด แม้แต่วัตถุประสงค์พื้นฐานก็ไม่เอา ลองคิดดูให้ดีว่าใช่หรือเปล่า พัฒนาถูกทางไม่ต้องกลัวหรอกปัญญามันก็จะบอกเอง มันบอกว่าอะไรควรไม่ควร อะไรเป็นสิ่งที่ดีจริงสำหรับมนุษย์ แม้แต่บอกว่าอะไรเป็นประโยชน์ที่แท้จริงของชีวิตของเรา ประโยชน์ที่แท้ของสังคมของเราคืออะไร เดี๋ยวนี้คนนี่ไม่เข้าใจแม้แต่ประโยชน์ นั้นเมื่อเข้าใจไอ้ตัวประโยชน์ผิดมันก็ไปมุ่งไปหาประโยชน์นั้นแล้วก็เสร็จแล้วก็กลายเป็นว่าตั้งเป้าหมายผิด ไอ้ตัวกระบวนการก็ผิดหมด ก็เลยเกิดการไปว่าแสวงหาประโยชน์ก็ต้องเบียดเบียนกัน ทั้งบั่นลอนชีวิตตัวเองและบั่นลอนสังคม แล้วก็ไปบั่นลอนธรรมชาติโลกพังพินาศหมด พอจะเห็นนะครับ
คนฟัง พระเดชพระคุณครับ วันนี้ที่เขาปฏิรูปการศึกษากัน เขาไปเน้นเรื่องจำนวนปีที่เรียนบ้าง หรือว่าเพิ่มซีเพิ่มอะไรของอุปรากร รู้สึกจะห่างจากจุดมุ่งหมายของการศึกษาที่แท้จริงที่พระเดชพระคุณบอก ไม่ได้มีใครนึกถึงตรงนี้กันเลย
พระ นี่แหล่ะ ถึงว่ามันพลาดไปตั้งแต่ไอ้ความหมายพื้นฐานที่เรามีชีวิตสังคมขึ้นมาเพื่ออะไร เดี๋ยวนี้ก็อย่างที่ว่าเขามองในการพัฒนา ก็บอกว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรชนิดหนึ่ง เรียกว่าทรัพย์มนุษย์ก็ต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อจะให้เป็นทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ แล้วเพื่ออะไร ทรัพยากรมนุษย์นี้จะไปสนองระบบสังคม สนองระบบอุตสาหกรรมเป็นต้น เวลานี้สังคมนี้ต้องการบุคลากรในวงอาชีพนี้ เช่น ในอุตสาหกรรมด้านนี้เท่าไร ในวงอาชีพนี้เท่าไหร่ แล้วก็การศึกษาก็ต้องสนองการศึกษาก็มาผลิตและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เนี่ยให้แก่ระบบอุตสาหกรรมเป็นต้น เพราะปัจจุบันนี้ก็ระบบอุตสาหกรรมก็เป็นตัวใหญ่สำหรับอย่างสังคมไทย แล้วเราก็พัฒนาคนขึ้นไปเพื่อคนเนี่ยเป็นเครื่องมือเป็นทุนที่จะไปช่วยพัฒนาระบบอุตสาหกรรมนั้น นี่มันก็กลับตีตรงข้ามความหมายที่แท้นั้นเรามีอุตสาหกรรมมีเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อจะมาช่วยให้ชีวิตดีขึ้นถูกไหม คือไอ้ตัวที่แท้นี่มันเป็นตัวมนุษย์นี่เราเกิดขึ้นมามีชีวิตขึ้นมาทำไงจะให้ชีวิตมนุษย์นี่มันดีมีความสุข แล้วเราก็พัฒนาระบบเกษตรอุตสาหกรรมอะไรต่าง ๆ การอาชีพขึ้นมา อาชีพทุกอย่างแล้วจนกระทั่งถึงเป็นระบบอุตสาหกรรม ก็เพื่อจะมาช่วยให้ชีวิตมันดีขึ้น สังคมมันดีขึ้น ถูกไหมโดยพื้นฐานนี่ ก็คือตัวมนุษย์นี่แหละทำไงจะให้มนุษย์นี่มันมีชีวิตที่ดีมีความสุขทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตที่อยู่ร่วมกัน เราก็เลยพัฒนาสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาแต่เสร็จแล้วเวลานี้ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันกลับเป็นตัวหลักแล้วเราเอามนุษย์เนี่ยไปเป็นเครื่องมือของระบบ เช่น ระบบอุตสาหกรรมก็กลายเป็นว่ามนุษย์แบบเป็นตัวทุน เป็นตัวอุปกรณ์เป็นเครื่องมือที่จะไปพัฒนาระบบอุตสาหกรรมไปสนองความต้องการของระบบว่าทำไงจะทำให้ระบบอุตสาหกรรมนี้มันเป็นไปได้ก็ต้องการคนอย่างไรก็ทำให้คนอย่างนั้นขึ้นมา มันกลับตรงข้ามเลยถูกไหม เอ้าเรามีอุตสาหกรรมเพื่ออะไรที่แท้มันเพื่อมนุษย์ทำไงจะให้ชีวิตมนุษย์มันดี แต่ทีนี้ตอนนี้มันกลายเป็นมนุษย์นี่กลายเป็นทรัพยากรที่จะต้องเอาเป็นเครื่องมือไปป้อนระบบนั่นแหละ กลับใช่ไหม มันพลิกตรงข้าม ฉะนั้นมนุษย์เนี่ย ถ้ากลับหาฐานตัวเองไม่ได้ก็ต้องยุ่งตลอดไป เราพัฒนาได้แต่เราต้องมีจิตสำนึกหรือตระหนักตลอดเวลา เพราะที่แท้แล้วเนี่ยเรามีมันเพื่ออะไร ก็เพื่อมาทำชีวิต ทำมนุษย์เนี่ยให้ดีทั้งชีวิตส่วนตัวและชีวิตอยู่ร่วมกันชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมอะไรทั้งหมดให้มันดี เมื่อเราไปทำแบบนั้น มันก็ต้องไปขัดกับ 1 จิตใจชีวิตตัวเองก็เกิดความขัดแย้งถูกไหม เกิดความขัดแย้งในชีวิตของตัวเองตั้งแต่จิตใจ เกิดความขัดแย้งในทางสังคมในการอยู่ร่วมกัน แล้วเกิดความขัดแย้งกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นเราจะต้องไม่ลืมฐานนี้ คือในที่สุด เอ้อคุณจะมีการศึกษาพัฒนาไปเป็นระบบอะไรต่าง ๆ ยังไง สังคมจะมีระบบอุตสาหกรรม มีระบบการผลิตอะไรต่าง ๆ ยังไงก็ต้องไม่ลืมจุดหมายพื้นฐานว่าที่จริงเรามีมันขึ้นมาเนี่ยเพราะที่แท้ก็คือเพื่อให้ชีวิตดีและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ มีมนุษย์อยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกอย่างที่อยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์เองด้วยกันก็ดี การสิ่งอื่นทั้งหมดก็ดีมันดี มันดีมีความสุข
คนฟัง มีคำถามครับ พระเดชพระคุณ เมื่อกี้สักครู่เราพูดถึงว่าเรื่องของการตอบสนองความต้องการก็คือเอาความต้องการมานำปัญญา ที่นี้ในสังคมปัจจุบันนี่นอกจากความต้องการของตัวเองแล้วเนี่ยมันยังมีความคาดหวังของสังคม เช่นว่า เราเรียนสูงไปกลับมาทำงานก็มีความคาดหวังเพิ่มเข้ามาเลื่อย ๆ เวลาทำงานด้านนี้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำ ก็มีความคาดหวังว่า เราจะต้องนำกลุ่มคนเหล่านี้ได้นำได้เกิดความเครียดกับตัวเอง บอกว่าเอ้าสุขภาพเริ่มไม่ดี เอ้าอย่างนี้ต้องไปเข้าฟิตเนสสิไปออกกำลังทำหลาย ๆ อย่างเข้ามีทั้งเรื่องครอบครัวสุดท้ายก็เลยมาบริหารความสุขกันที่เรื่องของจัดการว่า เอ้าคุณจัดการอารมณ์ยังไง มีอีคิวดีไหมยังไม่มีความสุข จัดการเวลาก็เลยก็เป็นการพัฒนาเหมือนกัน พัฒนากันไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหนก็ต้องพัฒนากันเลื่อยไป อ๋อบริหารเวลาไม่ดี พัฒนาไปแล้วสุดท้ายก็ยังไม่พบความสุขจนว่า บางคนทำงานมาถึงตำแหน่งสูงระดับหนึ่งขอหันหน้าเข้าวัด ทีนี้คนก็กลายเป็นมองว่านี่ยอมแพ้ไปแล้ว นี่ยอมแพ้คือไม่สู้ต่อแล้ว พอคือว่าปลงไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นลักษณะทั่วไปพอดีว่าผมมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายของพระเดชพระคุณตอนหนึ่ง ประมาณว่าคนเราเนี่ยอย่างเปรียบเทียบพระโพธิสัตว์นี่เกิดมาหนึ่งชาติยังต้องเลือกความดีว่าจะในชีวิตนั้นเนี่ยจะมีความดีอะไรที่เด่นก็เลยคิด ยังมีความสับสนอยู่ตรงนี้ว่า ในภาวะสังคมปัจจุบัน มันมีวัฒนธรรมหนึ่งที่บอกว่าฝรั่งเขาเรียกว่า One Life Live It หรือถ้าอยู่ในองค์กรบริษัท Work Hard Play Hard คือคุณต้องเอาทุกอย่าง ทำงานก็ต้องดี หลังเวลางาน เล่นก็ต้องเล่นให้เต็มที่สุด ๆ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอมาทางพุทธแล้วชีวิตหนึ่ง เราควรจะเอาหมดอย่างงั้น หรือความจริงเราจะเลือกความดีเพียงอย่างเดียว เลยจะเรียนถามหลวงพ่อจริง ๆ แล้วสิ่งที่สำคัญจะจับหลักให้ถูกนี่มันคืออะไร
พระ ก็อันนั้นก็อันหนึ่งแล้ว ทีนี้อยากจะย้อนไปเมื่อกี้นิดหนึ่งก่อนแล้วสู่อันนี้ คือเมื่อมนุษย์ได้เดินทางมาแบบนี้นะ ไอ้ทิฏฐิพื้นฐานนี่มันข้ามไปนะ นี้เขาก็จะสร้างความซับซ้อนมากขึ้น เพื่อจะแก้ปัญหา ยิ่งแก้ปัญหาก็ยิ่งซับซ้อนแล้วปัญหามันก็พัฒนามันด้วย ปัญหาก็ยิ่งมากขึ้นแล้วปัญหานั้นมันก็ซับซ้อนในตัวของมันเอง ก็เลยการแก้ปัญหาก็ซับซ้อนหนักเข้าไปอีกจนกระทั่งวุ่นวายหมดเลย จับต้นชนปลายไม่ติด มนุษย์แก้ปัญหาแบบนี้ต่อไปก็จะถึงขั้นที่ว่า เอ้อเรามานั่งสมาธิกันอย่างที่เคยพูดนี่ แล้วก็ไอ้สารอะไรที่มันออกมาเวลามีความสุขจิตใจสงบ เราก็จับตัวสารนี้ได้แล้วใช่ไหม เราก็ใช้วิธีวิทยาศาสตร์ผลิตสารนี้ขึ้นมา เวลาต้องการที่จะได้ใจสงบ มีความสุขแบบนี้ก็ฉีดเข้าไป นี่ต่อไปมันมีเค้าว่าไปในแนวนี้ ก็จะค้นกันใหญ่ ทีนี้มองอีกทีนะก็กลายเป็นมนุษย์ยิ่งหมดความสามารถ ก็หมายความว่ามนุษย์นี่กลายเป็นผู้ที่พึ่งพา หมดความสามารถในตัวเองต้องขึ้นต่อสิ่งภายนอกจนกระทั่งหมดเลย จนกระทั่งจิตใจก็หมดสามารถใช่ไหม ก็พึ่งพาวัตถุพึ่งพาสิ่งที่ทำขึ้นมา อันนี้ 1 พึ่งพาก็หมายความว่า ไม่สามารถสร้างความสุขเป็นต้น หรือไม่สามารถสร้างคุณสมบัติ สร้างคุณภาพในจิตของตนเป็นต้นขึ้นมา สร้างในตัวเองไม่ได้ต้องไปอาศัยต่อสิ่งภายนอก ต้องขึ้นต่อมัน นี่ขึ้นต่อมันแม้แต่อย่างนี้ แต่ที่มันร้ายกว่านั้น ก็คือว่า ร้ายด้วยกัน ก็คือมนุษย์นี่ไม่รู้เพียงพอถึงไอ้ระบบความสัมพันธ์ละเอียดลึกซึ้งลงไปในระบบของธรรมชาติ ในระบบเหตุปัจจัย เช่นในสมองที่มันเกิดสารอะไรนี้นะที่จริงมันมีความซับซ้อนอะไรต่ออะไรในนั้นอีก เวลาเราเอาสารภายนอกที่เราพิสูจน์ได้แง่เดียวว่าสารนี้มีแล้วมันจะเกิดความรู้สึกอารมณ์นี้ Emotion นี้ เราก็ไปฉีดเข้าไปเนี่ย ไอ้เนี่ยมันไม่ได้กลมกลืนเหมือนในที่ชีวิตของเราเนี่ยมันปรุงสร้างขึ้นมาเอง ไอ้สารที่เข้าไปเนี่ยมันก็จะไปเกิดปัญหากับไอ้ระบบเหตุปัจจัยตั้งแต่ในสมองของเรา แล้วต่อไปก็จะเกิดพิษขึ้นมานี่ความไม่กลมกลืนเกิดขึ้น เพราะระบบเหตุปัจจัยที่ชีวิตมันสร้างมันเองเช่นตัวเราเนี่ย เราพัฒนาสมาธิขึ้นมานี่ทั้งระบบเหตุปัจจัยในจิตใจในรูปธรรมนี่ กายกับจิตที่มันสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน ทุกอย่างมันก็ไปตามเหตุปัจจัยของมันใช่ไหม นี้เราไปจับแง่เดียวเอาไอ้สารอันนี้เกิดออกมาแล้ว แล้วเราก็ไปหยิบสารนี้มาฉีดเข้าไปเนี่ย 1 ขึ้นต่อมันแล้ว ไม่เป็นตัวของตัวเองหมดความสามารถที่จะสร้างความสุขหรือคุณสมบัตินั้นด้วยตนเอง 2 มันไม่กลมกลืนกับระบบที่เป็นอยู่แถมไปฝืนขณะนั้นจิตสภาพรูปธรรมนามธรรมตัวเองก็ไม่ได้เป็นอย่างงั้น แล้วไปยัดมันเข้าไปใช่ไหม เอ้อทีนี้มันก็ยุ่งต่อไปนี่เกิดปัญหาอีก นี่เรื่องของมนุษย์ปัจจุบันนี่มันจับเหตุปัจจัยก็ไม่ได้จริง ถึงได้เคยย้ำบอกว่าพระพุทธศาสนานี่เป็นระบบที่ไม่ใช่ระบบเหตุเดียวผลเดียว ที่นี้วิทยาศาสตร์นี่ยังไปไม่พ้นแนวคิดนี้ แนวคิดเหตุเดียวผลเดียว เอกะการะนาวาท คือเวลาเราทำการทดลองอย่างใดอย่างหนึ่งนี่ เราก็จะเน้นเหตุปัจจัยเหตุเดียวบ้าง หรือผลเดียวบ้าง ถ้าเน้นผลเดียว เราอาจจะว่ามองหลายเหตุ มองเหตุและปัจจัยหลายอย่าง แต่ว่าเรามุ่งที่ผลเดียว แล้วเราก็ไม่ได้รู้ว่าเมื่อทำเหตุปัจจัยเหล่านี้จนได้ผลที่เราต้องการแล้วนี่ มันเกิดผลอะไรอื่นอีกบ้างนี่เราไม่ได้เห็น นี้ 1 แล้วนะ ท่านบอกว่าผลหลากหลายจากปัจจัยอเนก หมายความว่าปัจจัยหนึ่งนี่มันนำไปสู่ผลหลายอย่าง ฉะนั้นไอ้ที่เราจะให้ได้ผลของเราต้องการผลอันเดียวนี่ เราทำเหตุและปัจจัยตั้งเยอะ แล้วเราก็สมหมาย อู้สำเร็จแล้ว ต้องเอาเหตุนี้กับปัจจัยเหล่านี้มาแล้วก็ได้ผลอันนี้ ถูกไหมได้แล้ว เราก็บอกว่าประสบความสำเร็จ แต่ในเวลานั้นเราไม่รู้เลยว่า ปัจจัยแต่ละอย่างที่เรานำมาทำเป็นตัวแปรขึ้นมานี่ที่มาประกอบกันให้เกิดผล มันไม่ใช่ให้เกิดผลอันนี้อย่างเดียว มันทำให้เกิดผลอื่นเยอะแยะเลยปัจจัยแต่ละตัวนี่มันเกิดผลส่งไปทางอื่นอีกเยอะแยะเลย ไอ้นี่เราไม่ได้ตามดูวิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึงอันนี้ ทีนี้หรือ เวลาศึกษาที่เหตุก็เหมือนกันศึกษาเหตุปัจจัยบางทีศึกษาได้กลุ่มเดียว แล้วที่จริงนั้นนะ ไอ้ปัจจัยที่มันส่งผลมาแม้แต่ที่ผลที่ตัวต้องการอันเดียวนี่ ที่จริงก็ไม่ได้ครบ ได้แต่เหตุปัจจัยสำคัญ สำคัญ เท่านั้น ตัวเองยังจับไม่ได้หมดหรอก ไอ้ปัจจัยย่อย ๆ บางอย่างนี่มันละเอียดละออตัวเองไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าไปนึกว่าตัวเองนี่เก่งนะวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้อย่างระบบเหตุปัจจัยนี่พร่องมากแค่นี้แหละครับก็ชัดแล้ว เหตุปัจจัยอย่างหนึ่งนำไปสู่ผลก็หลากหลาย แล้วก็ผลอันหนึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยก็หลากหลาย ผลหลากหลายจากปัจจัยอันเดียว เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์อย่าไปหลงตัวเองแล้วก็ประมาท เวลานี้กำลังประมาทกันมาก เพราะฉะนั้นมันถึงได้เกิดปัญหาที่ว่า ทำไมผลิตดีดีทีขึ้นมาแล้วอีก 20 ปี จึงรู้ว่าเกิดปัญหาอะไรต่ออะไร ไอ้นั่นก็คือว่าเราเอาแต่ผลที่เราต้องการใช่ไหม เราไม่ได้ตามดูว่า ที่จริงไอ้เหตุปัจจัยที่เราทำ มันทำให้เกิดผลอีกหลากหลาย นี่ไอ้อันนี้ที่นักวิทยาศาสตร์ตามไม่ไหว นั้นมันก็เลยยังสู้ไม่ถึงกับธรรมชาติยังไม่ทันจริงหรอก ยากนักจะให้ทันธรรมชาติแค่นี้นะ ก็เหตุปัจจัยอันหนึ่งนี่นำไปสู่ผลอะไรบ้างตามไม่ไหวแล้ว ตามไม่ไหวเลยอันเดียวเลยท่านลองตาม ปัจจัยตัวเดียวเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่รู้มันผลออกไปเป็นอะไรบ้างไปสัมพันธ์กับตัวอื่น เพราะปัจจัยแต่ละตัวมันเกิดมันก็สัมพันธ์อันอื่นไม่รู้กี่อย่างทั่วไปหมด แล้วเราก็จับเอาเฉพาะที่เราเกี่ยวข้อง หรือต้องใช้ หรือมุ่งหวังผลอันหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วเราก็ดูเฉพาะอันนั้น เพราะฉะนั้นไม่พออย่าประมาท อย่าหลงตัวเอง อย่างการแพทย์การอะไรก็มีปัญหาเรื่องนี้มาก ผลิตยาหนึ่งขึ้นมาแล้วแหมทดลองอย่างดีกันตั้งเป็น 10 ปี ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ยาทาลิโดไมด์ ยากล่อมประสาท ที่ตอนนั้นเมืองอเมริกาผลิตขึ้นมา แล้วอเมริการนี่ปกติเคร่งครัดนักเรื่องการซื้อขายยาจะต้องมีใบสั่งแพทย์ ยาขนานนี้ได้พิสูจน์ทดลองกันจนกระทั่งมั่นใจเลยการแพทย์ว่าให้ซื้อขายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ นี่อเมริกาถึงขนาดนี้นะ มั่นใจมากทดลองกันอย่างดีที่สุดแล้ว ก็เลยใช้กันมา ก็ใช้กันมาหลายปี 10 ปี 20 ปี พอมาเอ้ เด็กเกิดมามันไม่รู้เป็นเพราะอะไรแขนด้วนขาด้วนไม่สมประกอบเยอะไปหมด สืบไปสืบมาโอ้โฮเป็นเพราะยาตัวนี้เอง รีบเก็บประกาศเลิกให้ขาย ห้ามขายเด็ดขาดเลย กว่าจะรู้นี่ นี่แหละครับอะไรต่ออะไรเนี่ยที่เดี๋ยวนี้ก็เชื่อผลงานวิจัยกันเหลือเกินใช่ไหม จนกระทั่งว่าบางที่ฝากชีวิตฝากอะไรไว้กับเรื่องความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ผลงานวิจัย แล้วก็มีปัญหาซับซ้อนเข้ามาเรื่องการวิจัยนักวิทยาศาสตร์บางรายถูกจับได้ว่าวิจัยเพื่อสนองความต้องการของอุตสาหกรรม เขาให้เงินมา แล้วก็พยายามแจ้งผลวิจัยให้ออกมาในทางที่ว่าสนองความต้องการของกิจการอุตสาหกรรม อันนั้นแบบหนึ่งความไม่สุจริตอันนั้นเจตนา แต่อีกอันหนึ่งก็คือว่า ปัญญาเองก็ไม่พอ ก็คือว่า นี่แหละ รู้เข้าใจเหตุปัจจัยในขอบเขตจำกัด ต่อมาอีกนานจึงรู้ว่ามันมีผลเสียอย่างนั้น ยาต่าง ๆ เนี่ย บางที่ล่วงไปหลายปีจึงรู้ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย นั้นจึงมีเรื่องของการที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงมีการบอกว่า ผลการวิจัยเก่านั่นผิดไปแล้วค้นพบใหม่อะไรกันอยู่เรื่อยแหละ การวิจัยทางแพทย์ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ หรือการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เอามาสนองอุตสาหกรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้มีปัญหากันอยู่เลื่อย ๆ นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนปัจจุบันนี่ชักไม่ไว้ใจวิทยาศาสตร์ ไม่ไว้ใจวิทยาศาสตร์ก็เกิด 1 เรื่องความหวังที่ว่าวิทยาศาสตร์นี่จะทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จทำให้สมบูรณ์ทุกอย่าง ตอนนี้ก็ไม่สมปรารถนาก็ผิดหวัง ความที่จะมุ่งหวังฝากชีวิตฝากอนาคตของอารยธรรมไว้กับวิทยาศาสตร์ก็เลยเบาลง หรือว่าเหมือนกับสดุด แล้วก็จะหมดกำลังไปด้านหนึ่งเรื่องความสุข แล้วมาเรื่องนี้ เรื่องการเข้าถึงความจริง ก็ไว้ใจไม่ได้ว่าจะเข้าถึงความจริงแท้ แล้วยิ่งมานักวิทยาศาสตร์เองบอกว่า ไอ้ที่นักวิทยาศาสตร์เข้าถึงความจริงอะไรต่าง ๆ จะพามนุษย์ไปถึงความจริง ที่จริงไม่ถึงความจริงแท้หรอกได้แค่เงาของความจริง นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ๆ จะพูดอย่างนั้น บอกว่าวิทยาศาสตร์จะพามนุษย์เข้าไปถึงได้แต่เพียงเงาของความจริงว่าอย่างงั้นนะ นักวิทยาศาสตร์ใหญ่ ๆ ว่าอย่างงั้น นั้นก็เลยเป็นเรื่องที่ว่ามนุษย์ก็เริ่มผิดหวังกับเรื่องของวิทยาศาสตร์ แล้วก็ตอนหลังนี้ก็จึงพวกวิชาอะไรพวกภูมิปัญญาเก่า ๆ อะไรจึงมีคำพวกนี้ขึ้นมาแต่ก่อนไม่มีหรอกครับ ไม่มีใครเอาด้วยความรู้เก่า ๆ ก็ถูกดูถูกดูแคลนหมด เดี๋ยวนี้ก็กลับฟื้นฟูกัน แล้วการแพทย์ทางเลือก การแพทย์อะไรต่ออะไรเฟื่องฟูขึ้นมากันใหญ่ ที่แหละโลกมันก็เปลี่ยนไปทีนี้ไอ้กระแสความเป็นไปส่วนรวมของอารยธรรมนี่มันก็กลับมามีผลต่อจิตใจแต่ละคน จิตใจคนเดิมก็คือหวังไปตามอารยธรรมส่วนรวมทั้งหมด โอ่นี่เวลานี้วิทยาศาสตร์กำลังเจริญก้าวหน้าเราจะเข้าถึงความจริงได้แล้วเราจะเป็นนายของธรรมชาติจัดการกับธรรมชาติได้ตามปรารถนาจะผลิตอะไรต่ออะไรด้วยอุตสาหกรรมจะทำได้ทุกอย่างมนุษย์จะมีความสุขสมบูรณ์ อารยธรรมมันให้ความหวังอันนี้แล้วจิตใจมนุษย์ก็พลอยผูกพันอยู่กับทิฏฐินี้ แนวคิดนี้แล้วแล่นไปตามความหวังนี้ นี้ตอนนี้มันสับสนหมดเลย เพราะว่าเกิดความผิดหวังอันนี้ พออารยธรรมทั้งหมดผิดหวังนี่จิตใจแต่ละคนก็ว้าวุ่นหมด ฉะนั้นพวกฝรั่งจึงว้าวุ่นกันนี่ แล้วก็เลยมาแสวงหาทางออกจึงได้มาสนใจสมาธิ มาสนใจเรื่องจิตใจก็เป็นปรากฏการณ์ที่ว่าในช่วงตั้งแต่ 1950 กว่า ๆ ก็ตีเสียว่าสะกึ่งพุทธกาลที่เราพูดกัน กลับไปเป็นปัญหากับฝรั่งหนักในกึ่งพุทธกาล เราบอกว่ากึ่งพุทธกาลจะเกิดอะไรขึ้นที่แท้ฝรั่งแย่ แล้วไทยเราก็เลยพลอยด้วยนะ เอ้าคุยอะไรดี
คนฟัง เมื่อกี้ที่ถามไว้ในสภาวะปัจจุบันความคาดหวังในสังคมสูงต้องการให้เราเป็นทุกอย่าง แต่เหมือนว่าผมเคยได้ยินพระเดชพระคุณบอกว่า ในชีวิตนึงเนี่ยแม้พระโพธิสัตว์ยังเลือกความดีได้ 1 อย่าง แล้วทีนี้เราเกิดมาในยุคนี้ ในยุคที่มีความคาดหวังสูงเหมือนต้องการให้เราเก่งเราสามารถจัดการได้ในทุก ๆ เรื่อง จริงแนวทางที่บุคคลควรจะเลือกควรจะเป็นยังไง
พระ อันที่ 1 คือนี่ต้องจับฐานให้ได้ แล้วพอเราจับฐานที่แท้ได้ใช่ไหมเราก็ไม่หลงไปตามกระแส เวลานี้มันเป็นเรื่องของกระแส แล้วก็จะมีการปั่นกระแสกันอยู่เลื่อยนะ พวกที่เก่งเวลานี้ก็คือ เก่งในการปั่นกระแส ปั่นกระแสให้แก่สังคมนี่ อย่างธุรกิจนี่ใครปั่นกระแสได้ก็ประสบความสำเร็จรวยมหาศาล นั้นในเวลานี้เรื่องของสังคมปัจจุบันขึ้นต่อนักปั่นกระแส ทีนี้เราก็อย่าไปหลงตามกระแสนี้เราก็ต้องรู้ทันว่า มีนักปั่นอยู่ ทีนี้เรารู้ทันเราก็จับพื้นฐานให้ได้ความหมายของชีวิตที่แท้จริงมันอยู่ที่ไหน การรู้โลกชีวิตตามเป็นจริงเราวางใจได้ไหมกับโลกและชีวิตนี้ วางถูกไหม ถ้าเราวางใจ วางจิตใจให้ลงตัวกับชีวิตและโลกได้ก็เป็นฐานที่ดีแล้ว ทีนี้เราก็อยู่อย่างรู้เท่าทัน กระแสเขาเป็นไปเราก็ทันเขา เอ้าฉันไปได้กับคุณทั้งนั้นแหละกระแสอะไรมาฉันก็จับอย่างรู้เท่าทัน เราอยู่ในกระแสได้แต่เรามีหลัก เราไม่ถูกกระแสเนี่ยพัดพาเราไปแบบที่ว่าไม่เป็นตัวของตัวเองล่องลอยไปเคว้งคว้างไปโดยไม่มีหัวมีหาง ก็คือคนเดี๋ยวนี้มันถูกกระแสพัดพาแบบไม่เป็นตัวของตัวเองเลย นี้เราก็ต้องอยู่ในกระแสได้ท่านจึงบอกว่าให้รู้ทันสมมติ ก็คือไอ้นี้มันเป็นสมมติ สมมติก็คือความหมายรู้ตกลงร่วมกัน พอเป็นกระแสแล้วก็ในแง่หนึ่งก็คือเป็นข้อตกลง เช่นอย่าง กระแสค่านิยม เอ้าตกลงกันโดยที่ว่ามันมีความชอบด้วยแล้วเกิดเป็นทิฏฐิขึ้นมา คนก็ทิฏฐิก็ไปตีค่าว่าอันนี้ดีก็ยึดว่าอันนี้ดี ก็เป็นทิฏฐิ นั้นทางพระที่ท่านบอกตัณหาเป็นตัวเกิดสำคัญก่อน และยึดเข้าไปติดแน่น ก็เป็นทิฏฐิ แล้วคนก็จะเอาไอ้ตัณหาทิฏฐินี่มาเป็นตัวที่ทำให้ภูมิใจพองแข่งกันจะเอาอันนี้ให้สำเร็จ มานะก็ตามมา ไอ้ 3 ตัวนี่มาเป็นชุด ตัณหามานะทิฏฐิ เกเลสที่เกี่ยวกับความเห็นแก่ตัว ตัณหาอยาก อยากอะไรไปมามันก็เกิดการตีค่า ก็ตั้งเป็นทิฏฐิขึ้นมายึดถือ เป็นเป้าหมายแล้วก็จากอันนี้ก็มาวัดกันเลย ทีนี้แข่งกันนะใครจะใหญ่จะเหนือกันอะไรต่าง ๆ 3 ตัวกิเลสใหญ่ ตัณหามานะทิฏฐิ มนุษย์ก็เลยอยู่นี้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ทัน รู้ทันเราก็ไม่ตามกระแสไอ้เจ้ากระแสข้างนอกที่ตัณหามานะทิฏฐิในตัวเรานี่จะเป็นตัวพาเราไป เราก็มาอยู่ด้วยปัญญา ที่เริ่มต้นด้วยรู้เข้าใจความจริง วางใจได้ถูกต้อง แล้วรู้ทันกระแสเราก็ปฏิบัติให้มันเหมาะ กระทั่งกระแสของสังคมนี้ ค่านิยมเขาเป็นอย่างนี้เราอยู่กับเขาได้ แต่อยู่อย่างรู้เท่าทันไม่หลงไหลไปตามไม่มัวเมาแล้วก็ไม่ให้ทุกข์เพราะมัน แล้วก็ถ้ามีโอกาสจะช่วยคนอื่นด้วย แต่ถ้าเป็นไปได้ควรจะช่วยคนอื่นไปด้วย ถ้าอย่างนี้ก็ใช้ได้ ใช่ไหมก็มีประโยชน์ไม่ใช่ว่าไม่มีความยากจนตัณหาแล้วอยู่ไม่ได้ใช่ไหม เห็นทางไหมครับ อยู่ได้กับดีด้วยซ้ำ มันจะรู้ความอยากที่ถูกต้องอยากถูกทาง มีอะไรไหมครับ จะถามอะไร แต่เอาพอมองเห็นแล้วนะครับ นี่เราก็มองตั้งหลักให้ได้จับความหมายพื้นฐาน ปัญญารู้เข้าใจ วางใจให้ลงแก่ชีวิตและโลกได้ แล้วก็ที่นี้ก็กระแสมายังไงเราก็ไปกับเขาได้รู้เท่าทัน ไม่ให้เกิดพิษภัยแก่ตัวเองแล้วก็รวมทั้งส่วนรวมด้วย เพื่อผู้อื่นก็ไปกับเขาอย่างรู้เท่าทันเรามีโอกาสที่จะช่วยเขาในเมื่อเราไปในกระแสเราไม่ถูกกระแส อาจจะเรียกว่ากลบก็ไม่ใช่ เป็นของน้ำ กระแสท่วมทับ หรือดูดเราลงไปจมกระแสไม่ทำให้เราเกิดปัญหาเกิดภัยอันตราย เมื่อเราไปในกระแสอย่างไปได้มีความสามารถไปในกระแสได้อย่างดีนี่ เราจะช่วยผู้อื่นช่วยสังคมได้ด้วย
คนฟัง กลักอันนี้มีประโยชน์มากครับ คิดว่าแต่ตรงนี้ก็เป็นหลักเดียวกันที่จะนำไปใช้กับผู้ที่ปั่นกระแสด้วยใช่ไหม บางทีเราออกไปนี่ บางทีเราอาจจะต้องในการดำรงชีวิตเราจะต้องหาเงินอะไรอย่างนี้ ก็ต้องอาจจะไปอยู่ในตำแหน่งที่ว่าเป็นคนปั่นซะเองอย่างนี้ จับหลักตรงนี้ใช้ได้ด้วยไหมครับ
พระ ใช่ เพราะเรารู้อย่างนี้แล้วเราก็จะได้ปั่นกระแสให้มันว่า แม้ว่าผลชั่วคราวเนี่ยสนองความต้องการแบบผิวเผินที่ไม่แท้จริงนะไปตามค่านิยมหรือกระแสจริง ๆ แต่ว่าพร้อมกันนั้น ด้วยความตระหนักรู้เนี่ยเราจะไม่ทำให้เกิดโทษมากเกินไป หรือเราทำให้มันเกิดผลดีด้วยให้มันกระแสแนบไปในทางที่จะช่วยแก้ปัญหาชีวิตและสังคม หรือให้เกิดคุณค่าประโยชน์ที่แท้จริงไปเลย เราจับอันนี้ได้เราก็สามารถแทรกไอ้ตัวสาระเข้าไป อยู่ดีก็ไปอย่างหลงไม่รู้ได้เรื่องรู้ราว นั้นการรู้หาตัวตนหาความหมาย หาอะไรก็ว่าไปเถอะ มันก็เป็นศัพท์ที่ว่าไปได้เลื่อย ๆ เดี๋ยวอีกปีหน้าก็อาจจะเปลี่ยนศัพท์ใหม่ ก็เอามาเข้าแม้กระทั่งเรื่องวาเลนไทน์ที่ว่า
วาเลนไทน์ก็เป็นกระแส ตอนนั้นก็ยังนึก ไม่รู้ได้พูดหรือเปล่า ถ้าเราจะแยกเรียกวันสองวันนี้ โดยล้อศัพท์ที่พูดไปนะว่า วันแห่งความรักเราก็อาจจะแยกว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรักของนักหาความสุข แล้วก็วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักของให้นักให้ความสุขใช่ไหม เอ้าก็วันแห่งความรักของนักให้ความสุข ก็พระอรหันต์ท่านเป็นผู้รักใช่ไหม รักของท่านก็คือไปให้ความสุข ทีนี้ของวันวาเลนไทน์นี่วันแห่งความรักของนักหาความสุข หากันใหญ่เลย
นี้เราก็ต้องใช้วิธีที่เรียกประสาน 2 วันนี้ด้วยการเอาวันมาฆบูชานี้ไปช่วยพัฒนาวันวาเลนไทน์ พัฒนาจากความรักของนักหาความสุขขึ้นมาพัฒนาขึ้นมา ขึ้นมาให้มาเป็นความรักของนักหาความสุข ถ้าได้อย่างนี้วันวาเลนไทน์ก็ไม่เสียหลายก็มีประโยชน์เอาไว้เป็นตัวเชื่อมต่อเป็นสพาน แต่ว่าอย่าให้จมกันอยู่แค่นั้น อยู่แค่หาความสุข ถ้าจับสาระได้มันก็โยงกันได้แล้วก็ทำให้เป็นประโยชน์ได้ ทีนี้ที่ว่าให้ความสุขวันนั้น ก็ไม่ได้พูดให้ชัดอีกตอน คือที่ว่าวันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักของนักให้ความสุข นี้เวลาท่านจะให้ความสุขนี่ ถ้าจะให้ความสุขกันนี่มันก็อยู่ได้ครั้งคราวให้ความสุขทีนึงเดี๋ยวก็หมดไปหมดไป ก็เลยให้ธรรมะ ให้ธรรมะเขาจะได้เอาธรรมะนี้ไปใช้สร้างความสุขให้กับตัวเขาเองเลื่อย ๆ ไป ก็หมายความว่า พอได้ธรรมะไปแล้วทีนี้ ก็มีเครื่องมือแล้ว มีอุปกรณ์ใช้ธรรมะนั้นไปสร้างความสุขได้เรื่อยเลย เขาก็จะได้มีความสุขได้เรื่อยไม่ใช่ได้ความสุขที่หนึ่งแล้วก็หายไป วันความรักแห่งแบบวาเลนไทน์หาความสุขมันก็ได้ไปที ได้ไปทีเท่านั้น วันให้ความสุขก็ต้องให้ความสุขให้ถูกหลัก ก็คือให้ธรรมะที่จะให้เขาไปใช้สร้างความสุขได้เรื่อยไปไม่จบสิ้น จนกระทั่งเขามีความสุขไม่ต้องรอการให้ เอ้อจะรอให้คนอื่นให้ความสุขก็แสดงตัวเองก็ยังไม่มีความสุข ในที่สุดพอได้ธรรมะไปแล้วก็ไปสร้างความสุข สร้างความสุขแล้วก็พัฒนาตัวเองให้มีความสามารถนั้นขึ้นจนกระทั่งตัวเองมีความสุข ก็เลยมีความสุขอยู่ในตัวเองโดยไม่ต้องมีใครมาให้แล้วก็กลายเป็นผู้ให้ความสุขเอง ต่อไปคนเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้ให้ความสุข หรือเป็นนักให้ความสุขไปด้วย แต่ตอนแรกนี้ต้องอาศัยธรรมะให้ธรรมะแก่เขา เพื่อเขาจะได้ไปใช้ธรรมะนั้นสร้างความสุขจนกระทั้่งเขามีความสุขด้วยตนเอง ก็นี้วัตถุประสงค์ก็เป็นนิพพาน ตกลงนิพพานที่ว่าเป็นความสุขนี่ ทีลักษณะพิเศษ 3 อย่าง หนึ่งก็คือ เป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาด้วย ตลอดเวลาไม่ต้องหาไม่ต้องสร้าง คือว่าตอนแรกนี่ก็มีธรรมะที่พัฒนาศักยภาพหรือความสามารถในการสร้างความสุข พอสร้างความสุขได้เก่งจนกระทั่งในที่สุดไม่ต้องสร้างแล้วมีอยู่ในตัวเองตลอดเวลา ความสุขแบบนิพพานก็คือเป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวเองเป็นคุณสมบัติประจำตัวตลอดเวลาก็จบไม่ต้องหาแล้ว อ้าวละ 2 ก็เป็นความสุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปน สุขอย่างเดียวจึงเรียกว่าไร้ทุกข์ เป็นความสุขที่ไร้ทุกข์เป็นความสุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เลย นี้ 2 ก็ดีใช่ไหม จะเรียกว่าสุขสมบูรณ์หรืออย่างไรก็แล้วแต่ แล้วก็ 3 ก็คือเป็นสุขที่เป็นอิสระ ก็มันมีอยู่ในตัวเองแล้วก็เป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อสิ่งภายนอก ไม่ต้องขึ้นต่อใครที่แม้แต่จะมาให้ความสุข เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงบอก พระอรหันต์ก็ไม่ขึ้นต่อพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพระอรหันต์ก็มีความสุขของท่านเอง ไม่ต้องมารอพระพุทธเจ้าแม้แต่ปัญญาก็เป็นอิสระแท้จริง พระอรหันต์ท่านก็เป็นผู้พึ่งตัวเองได้ที่แท้จริงก็เพราะอะไร ก็เพราะว่าอย่างงี้ ก็ไม่ต้องขึ้นต่อ ไม่ต้องพึ่งพาแม้แต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านก็เป็นอิสระแท้มีความสุขอยู่ในตัวเอง ความสุขของนิพพานนี่ เพราะฉะนั้นมองนิพพานในแง่ความสุขก็สมบูรณ์เหมือนกัน บางทีเราไปมองนิพานในแง่อื่น จนกระทั่งคนนี่กลัวนิพพานไปเลย พูดเสียใหม่ พูดในแง่ความสุข คุณหนีไม่พ้นคุณต้องจากได้นิพพานอย่างที่พูด เตรียมพัฒนาตัวเองเสียแต่บัดนี้ แล้วเดินไปในวิถีของนิพพานนี่ แค่นี้ก็ยังไม่บรรลุนิพพานคุณก็จะดีขึ้นมีความสุขมากขึ้นทุกข์น้อยลง มีความสุขที่พึ่งพาน้อยลง มีความสุขที่เป็นอิสระมากขึ้น มีความสุขอยู่กับตัวเองมากขึ้นเป็นสุขได้ง่ายขึ้น เป็นทุกข์ได้ยากขึ้น นี่คือวิถีนิพพาน ดีไหม ก็ต้องบอกว่าดีแน่ เอาละเป็นอันว่าเป็นความสุขที่มีในตนเองตลอดเวลาเป็นคุณสมบัติประจำตัว แล้วเป็นความสุขที่เต็มเปี่ยมเต็มอิ่มไม่มีทุกปนไร้ทุกข์แล้วก็เป็นอิสระอย่างที่ว่า ก็เอาละนะ ตกลงที่พูดวันนี้ก็ชนกับเรื่องมาฆบูชา ก็เข้ากับเรื่องความสุขด้วย เหรอเอาอย่างนั้นเชียวเหรอ แต่ว่ารวมกันแล้วพูดธรรมะเนี่ยไม่ว่าจะพูดจุดไหนลงกันหมด ฉะนั้นจะพูดพุทธศาสนา จะพูดพุทธศาสนาคืออะไร เราบอกพุทธศาสนาก็คือการพัฒนาความสุข แค่นี้ก็ได้ เป็นวิธีพูดอย่างหนึ่ง บอกว่าถ้าคุณจับได้แล้วนะ คุณจะพูดความหมายไหนถูกหมดทั้งนั้น เพราะมันไปบรรจบที่เดียวกันหมด ความเป็นอิสระก็ต้องมีความสุข ความสุขจะมีได้จริงต้องเป็นอิสระ ถูกไหมครับ ถ้าคุณไม่เป็นอิสระคุณจะมีความสุขจริงไม่ได้ อ้าวละครับคุยกันมาเยอะเลยกลายเป็นยาวไป