แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพร อาตมาภาพในนามของพระสงฆ์ วัดญาณเวศกวัน ในฐานะพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ขออนุโมทนาทางมหาวิทยาลัยศรีปทุม มีท่าอธิการบดีเป็นหัวหน้า ที่ได้ปรารภวันคล้ายวันเกิด อายุครบ 60 ปี ของท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน
แล้วมาทำบุญที่วัดเป็นการปรารภที่ดีงาม เกิดจากคุณธรรม คือความมีน้ำใจ รัก มีเมตตา ไมตรี เป็นต้น และทำให้เกิดความเป็นมงคล ด้วยการทำสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล วันเกิดของท่านเสรี พุกกะมาน จะมาถึงวันจริงก็เป็นวันที่ 4 ธันวาคม และในปีนี้ก็เป็นมงคลอีกประการหนึ่งที่สำคัญ ก็คือการที่ท่านได้ติดยศพลเอก ก็เป็นข้อที่น่าอนุโมทนาทั้ง 2 ประการ การทำบุญในวันเกิดก็ถือว่ามีความหมายสำคัญหลายประการ ประการแรกวันเกิดนั้นเป็นวันเริ่มต้นของชีวิต การทำบุญวันเกิดก็มีความหมาย เป็นการเริ่มต้นที่ดี เหมือนกับว่าเราเริ่มต้นชีวิต เมื่อเริ่มต้นที่ดีก็เป็นจุดเริ่มในการเจริญงอกงาม ทีนี้การทำบุญวันเกิดก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี คือเริ่มค้นด้วยการทำบุญกุศล เมื่อทำบุญกุศลแล้วก็มุ่งหวังได้ว่าจะได้เป็นทางนำไปสู่ความดีงามและความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป แล้วเมื่อทำบุญวันเกิดเป็นวันเริ่มต้นดีแล้ว ก็จะทำให้ได้ความหมายอีกประการหนึ่งของตัวเอง ก็คือการเกิดของกุศล การเกิดนั้นมีเกิดทางรูปธรรม กับเกิดในทางนามธรรม เกิดในทางรูปธรรมที่เห็นชัดก็คือชีวิตของเราที่เริ่มต้นมีชีวิตในโลกนี้ ซึ่งแต่ละท่านก็ผ่านมานานแล้ว อันนั้นเราก็เกิดได้ครั้งนั้นแหละในชีวิตหนึ่งๆ แต่ยังมีการเกิดอีกอย่างหนึ่งที่เกิดได้ตลอดทุกเวลา ก็คือการเกิดทางจิตใจ การเกิดทางจิตใจนี้เราจะพูดอยู่เสมอ เช่นว่าเกิดความสุข เกิดปิติ เกิดความอิ่มใจ เกิดเมตตา เกิดศรัทธา ความเกิดอย่างนี้ เมื่อมาทำบุญทำกุศลเริ่มต้นดีแล้วก็จะได้การเกิดกุศลไปด้วย ท่านผู้ทำบุญ หนึ่ง-เกิดศรัทธาแล้ว ตั้งแต่ก่อนมาทำบุญก็เกิดศรัทธา ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่สามารถมาทำบุญได้ คือมีศรัทธาในรัตนตรัย ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ศรัทธาในคำสอยของพระพุทธเจ้า ศรัทธาในการทำบุญทำกุศล เกิดเมตตา เกิดไมตรี เกิดน้ำใจปรารถนาดีต่อกัน ในหมู่ญาติมิตรในครอบครัว เป็นต้น แล้วก็เกิดปิติอิ่มใจ เกิดความสุข เกิดความสดชื่นเบิกบานผ่องใส ความเกิดอย่างนี้ถ้าเกิดโดยปรารภวันเกิดคือสมความหมายแล้ว ก็คือเกิดกุศลที่แท้จริง การเกิดกุศลนี้พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง เป็นการเกิดที่ดีที่สุด ถ้าเราสามารถทำใจของเราให้เกิดกุศลได้ตลอกทุกเวลา ชีวิตก็จะเจริญงอกงาม เพราะฉะนั้นวันเกิดก็เลยให้เป็นมิมิตพ่วงโยงไปสู่ความหมายว่าให้มีการเกิดของกุศล นี่ก็เป็นความหมายอีกประการหนึ่งของการทำบุญวันเกิด แล้วลึกลงไปยังมีความหมายที่สำคัญ คือการเกิดของทุกท่าน นอกจากเป็นการเกิดของตัวเราแต่ละคนแล้ว เวลาเราที่เราเกิดนั้น หรือวันที่เราเกิดทุกคน มีท่านที่ร่วมเกิดกับเราด้วย คือคุณพ่อคุณแม่ เวลาเราเกิดคุณพ่อคุณแม่ก็เกิดด้วย ท่านที่ยังไม่ได้เป็นบิดามารดาใคร พอมีลูกเกิดขึ้น ก็เกิดเป็นบิดามารดา เกิดเป็นคุณพ่อคุณแม่ทันที เพราะฉะนั้นวันเกิดของเราก็คือวันเกิดของคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะฉะนั้นวันเกิดจึงเป็นวันเตือนระลึก เป็นวันที่ทำให้เราคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ว่าวันนั้นที่เราเกิดก็คือวันที่ท่านเกิดเช่นเดียวกัน ความหมายนี้จะโยงความสัมพันธ์ที่สำคัญมาก เมื่อถึงวันเกิด ระลึกถึงคนใกล้ชิดแล้ว ที่สำคัญก็คือระลึกถึงคุณของคุณพ่อคุณแม่ พระคุณของบิดามารดา ความหมายนี้จะเป็นเครื่องเชื่อมโยงประสานชีวิตของเรา ซึ่งมีความหมายมากหลายอย่าง เพราะว่าคุณพ่อคุณแม่จะเป็นผู้ที่นำชีวิตของเราเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงในสังคม แล้วก็เป็นทูตที่โยงเราเข้าสู่วิถีชีวิตวัฒนธรรม เป็นต้น สังคมแต่ละสังคมนั้นมีวัฒนธรรมมีวิถีชีวิตของตนเอง พ่อแม่นี่แหละเป็นบุคคลแรกที่มาเชื่อมโยงเราเข้าสู่วิถีชีวิตวัฒนธรรม ฉะนั้นถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่นี้แล้ว ก็ยากที่จะมีใครมาทำได้ อย่างในสังคมของเราถ้าไม่มีพ่อแม่ที่ทำหน้าที่นี้ เด็กก็เคว้งคว้าง แล้วก็จะเหินห่างออกไปจากวิถีชีวิตของไทย อย่างวัฒนธรรมไทย อาตมาภาพได้อ่านประวัติของท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน
ก็จึงได้อนุโมทนาในแง่นี้เป็นสำคัญด้วย ก็โดยการที่ท่านได้มีคุณแม่ที่เป็นอุบาสิกาผู้มีศรัทธามั่นคงในพุทธศาสนา แล้วเป็นผู้ที่ได้นำชีวิตของท่านเข้าสู่วัฒนธรรมไทย และพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่สนับสนุน ทำให้ท่านได้บรรพชาเมื่อยังเป็นเด็ก แล้วต่อมาก็ได้อุปสมบท ได้บวชเรียนในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมไทยด้วย นี่คือพระคุณที่สำคัญของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งตัวท่านเองก็มีความกตัญญูกตเวทีระลึกถึง ถ้าหากว่าเราสามารถรักษาความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกอันนี้ไว้ได้ คิดว่าสังคมไทยเราจะยังดำเนินไปได้ด้วยดี มีความมั่นคง เพราะฉะนั้นวันเกิดนี่จะมีความหมายสำคัญตรงนี้ด้วย ถ้าวันเกิดเราทำให้ถูกต้องตามความหมาย วันเกิดนี้จะมีส่วนช่วยให้สังคมไทยของเรามีความเจริญมั่นคงต่อไปข้างหน้า ก็คือความสัมพันธ์ในครอบครัว ระหว่างบิดามารดากับบุตรธิดา ระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูก คุณพ่อคุณแม่นั้นแน่นอนว่าตามหลักพุทธศาสนาก็มีบทบาทสำคัญ เรียกว่าเป็นพระพรหม เป็นผู้ที่ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม 4 ประการ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ยามลูกอยู่เป็นปกติก็มีเมตตา รักใคร่ เลี้ยงดู ให้ความรักความอบอุ่น ความนุ่มนวลอ่อนโยน ยามลูกเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ร้อนมีปัญหา คุณพ่อคุณแม่ก็มีความกรุณาช่วยปลดเปลื้องความทุกข์นั้น แก้ไขปัญหาให้หมดไป ยามลูกเจริญก้าวหน้า แข็งแรง เรียนได้ดี ทำงานได้ดี คุณพ่อคุณแม่ก็พลอยมีมุทิตา ยินดีด้วย มีความสุขด้วย ส่งเสริมสนับสนุน ในยามที่ลูกจะต้องรับผิดชอบต่อความเป็นจริง อยู่ในโลกกับชีวิต อยู่กับกฎของสังคม กติกาของชุมชน อยู่ในความเป็นจริงของกฎธรรมชาติ คุณพ่อคุณแม่ก็มีอุเบกขา เปิดโอกาสให้ลูกได้ฝึกหัดตัวเองที่จะรับผิดชอบในการที่จะพัฒนาชีวิตให้เข้มแข็งขึ้นต่อไป แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ทำหน้าที่แสดงโลกแก่ลูก คือนำเสนอโลกแก่ลูกเพื่อที่จะให้ลูกเข้าสู่โลกหรือสังคม อย่างผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเจริญก้าวหน้า โดยนำเสนอโลกแก่ลูก ให้ลูกได้มีท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์ตั้งแต่ตัวคุณพ่อคุณแม่เป็นต้นไป ตลอดถึงญาติมิตรลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ในทางที่มีไมตรีจิตมิตรภาพ มีความรัก มองเพื่อนมนุษย์ด้วยความรู้สึกมีไมตรีมีความสัมพันธ์ที่ดีงาม ให้รู้จักซาบซึ้งในสิ่งแวดล้อม เห็นความงามของธรรมชาติ เป็นต้น ให้มองสิ่งทั้งหลายรอบตัวเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้น่าศึกษา อยากไปเรียนรู้ อยากศึกษาหาความรู้ยิ่งขึ้นไป และมองโลกนี้มองสังคมนี้เป็นแดนที่เราจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ อันนี้ก็คือบทบาทที่เรียกว่าการแสดงโลกนี้แก่ลูก ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของคุณพ่อคุณแม่ แต่เมื่อพูดโดยสัมพันธ์กับสภาพปัจจุบันนี้ บทบาทเหล่านี้ก็คือการที่มองในแง่สังคมไทยก็คือคุณพ่อคุณแม่จะเป็นคนที่เชื่อมโยงลูกซึ่งเป็นผู้มาใหม่ เข้ากับวัฒนธรรมของสังคมของตนเอง ในทีนี้ก็คือสังคมไทย แล้วก็หมายถึงวิถีชีวิตไทยด้วย นี่คือความสำเร็จอันหนึ่ง สอง-ก็คือว่าให้ลูกรู้ทันโลก สถานการณ์ปัจจุบันที่พร้อมจะก้าวไปให้เจริญก้าวหน้าและทำหน้าที่ของตนเอง ตั้งแต่การศึกษาหาความรู้ และการที่จะมีบทบาทในการที่จะไปร่วมสร้างสรรค์สังคมต่อไป เวลานี้คิดว่าเราจะต้องย้ำความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก หรือความสัมพันธ์ในครอบครัวข้อนี้ ซึ่งการทำบุญวันเกิดนี้ เป็นเครื่องเตือนใจให้เราจะต้องมาเสริม มารื้อฟื้น การทำหน้าที่ในครอบครัว หรือความสัมพันธ์ที่ดีงามอันนี้ เวลานี้สังคมไทยเรารู้ตัวแล้วว่า เรานี่ได้ถลำลงสู่อบายหรือความเสื่อม เช่น มีอบายมุขมากมาย เป็นต้น สังคมของเราเสีย สูญเสียความปลอดภัย มีความเสื่อมโทรม ความลุ่มหลงมัวเมาด้านต่างๆ ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ต้องมีการจัดระเบียบสังคม การจัดระเบียบสังคมนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่การจัดระเบียบสังคมนั้นจะสำเร็จ ก็ต้องมีการจัดระเบียบสังคมที่ลึกซึ้งลงไปถึงขั้นพื้นฐาน สังคมพื้นฐานของสังคมใหญ่ก็คือครอบครัว นั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะให้การจัดระเบียบสังคมได้ผลสำเร็จและยั่งยืน ก็จะต้องมีการจัดระเบียบครอบครัวด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรจะต้องให้มีการประสานกันไป ระหว่างการจัดระเบียบสังคมใหญ่ กับการจัดระเบียบครอบครัวที่เป็นสังคมพื้นฐานนี้ การจัดระเบียบครอบครัวนั้นก็สำเร็จที่คุณพ่อคุณแม่ ทำหน้าที่ต่อลูกให้ถูกต้อง โดยเป็นพระพรหมที่แท้จริง เป็นผู้ที่มีพรหมวิหาร 4 ประการ เป็นผู้นำเสนอแสดงโลกนี้แก่ลูกอย่างถูกต้อง แล้วก็เป็นผู้ที่นำลูกเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่างรู้เท่าทัน อย่างที่กล่าวมาแล้วคือทั้งเป็นผู้เชื่อมโยงลูกเข้าสู่วิถีชีวิตไทย วัฒนธรรมไทย และสามารถที่จะรู้เท่าทันโลกปัจจุบันเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วย การจัดระเบียบครอบครัวนี้อยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ เสร็จแล้วก็จะประสานกันไปสู่การศึกษา ซึ่งโรงเรียนก็จะมารับช่วงทำบทบาทของการที่จะให้ชีวิตของเด็กพัฒนาต่อไป โรงเรียน มหาวิทยาลัย การศึกษาต่างๆ เป็นเรื่องของการที่จะให้ทุนแก่ชีวิต ที่ทางพระเรียกว่า อริยทรัพย์ คือทรัพย์ภายใน
ทรัพย์ภายในคือคุณธรรมความดีและความรู้ สติปัญญา สองอย่างนี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ใช่ไม่หมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ไม่ต้องแบกหาม ไม่เป็นภาระ อยู่ในตัวเอง แล้วก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะให้ชีวิตประเสริฐ ลำพังทรัพย์ภายนอก คือ โลกียทรัพย์ อย่างเดียว ไม่สามารถทำชีวิตให้ประเสริฐได้ แต่ว่าจะมีความหมายเมื่อเราผันเอาทรัพย์ภายนอก เงินทอง โลกียทรัพย์ มาเป็นเครื่องอุปกรณ์หรือเป็นปัจจัยหนุนในการสร้างอริยทรัพย์ โรงเรียน มหาวิทยาลัยก็คือแหล่งสำคัญที่จะผันเอาโลกียทรัพย์ หรือทรัพย์ภายนอกที่เป็นวัตถุนี่ ให้กลายมาเป็นอริยทรัพย์ หรือทรัพย์อันประเสริฐในภายใน คือความรู้และความดีนั่นเอง ซึ่งอย่างที่กล่าวแล้วว่า เป็นสิ่งที่ใช้ไม่สิ้นเปลือง ใช้ไม่หมด ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม และทำให้เครื่องนำชีวิตของคนนี้ประเสริฐอย่างแท้จริง ทั้งชีวิตก็เจริญงอกงาม ทั้งสังคมก็เจริญงอกงามด้วย การศึกษานั้นที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยจะมารับช่วง ก็อาศัยการศึกษาจากครอบครัวนั้นเอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก เป็นผู้ให้ชีวิต เป็นผู้แสดงโลกแก่ลูก พร้อมกันนั้นก็เป็นบูรพาจารย์ บูรพาจารย์ก็คืออาจารย์คนแรก พ่อแม่เป็นผู้สอนก่อนครูอื่น เป็นผู้สอนการดำเนินชีวิตเบื้องต้น ตั้งแต่การนั่ง การนอน การขับถ่าย การกินอยู่ทั้งหมดนี้ เวลานี้เราก็พูดถึงการศึกษา บางทีก็ให้ความหมายในเรื่องการเรียนวิชาชีพ ซึ่งเป็นเพียงด้านหนึ่งของการศึกษา เนื้อตัวที่แท้ของการศึกษาก็อยู่ในชีวิตของคนนั่นเอง คือการที่เราดำเนินชีวิตอยู่ทุกขณะ เราจะต้องหาทางที่จะอยู่ด้วยดี มีประสบการณ์ใหม่ เจอสถานการณ์ใหม่ พบคนใหม่ ทุกสถานการณ์นั้นเราต้องหาทางที่จะปฎิบัติต่อมันอย่างถูกต้อง เพื่อชีวิตของเราดำเนินไปได้ดี การพยายามจะให้เราปฏิบัติต่อสิ่งที่พบเห็น ประสบการณ์ต่างๆ สถานการณ์ทุกอย่างถูกต้อง นี่แหละเรียกว่าการศึกษา เพราะฉะนั้นการศึกษามีอยู่ในทุกขณะของชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าพูดตามหลักพุทธศาสนา ชีวิตคือการศึกษา หรือว่าชีวิตที่ดี คือชีวิตที่มีการศึกษา ถ้าไม่รู้จักเรียนรู้ ไม่หาทางปฏิบัติต่อสิ่งที่พบเห็น เช่น ประสบการณ์ต่างๆ และสถานการณ์ทั้งหลายให้ถูกต้อง ก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่ดีไปได้ เพราะฉะนั้นชีวิตที่ไม่มีการศึกษาท่านเรียกว่า พาล พาลแปลว่ามีชีวิตอยู่สักแต่ว่ามีลมหายใจเข้าออกเท่านั้น คนที่รู้จักหาทางเป็นอยู่ให้ดี ก็คือมีการเรียนรู้ เพราะฉะนั้นเวลาเราเรียนรู้ก็คือการศึกษา ดังนั้นทุกขณะชีวิตที่ดีนั้นมีการศึกษาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคำว่าการศึกษาตลอดชีวิตนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงว่าไปแสวงหาความรู้จากตำราหนังสือตลอดชีวิตเท่านั้น แต่มันเป็นความจำเป็นของชีวิตเราเองที่จะต้องเป็นอยู่ให้ดี ที่จะต้องศึกษา คือเรียนรู้ประสบการณ์ สถานการณ์ ทุกอย่างเนี่ยให้ได้ผล บางทีเราก็ไปพูดกันถึงว่า การศึกษาทั้งคิดเป็น แสดงความคิดเป็น อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง คิดเป็นนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก พระพุทธศาสนาก็เน้นมากในหลักที่ว่าโยนิโสมนสิการ เวลาพบเห็นอะไรต่างๆ รู้จักมอง มองหาความจริงให้ได้ หรือมองทุกสิ่งให้เห็นประโยชน์ ถ้ามองหาความจริงได้ มองให้เห็นประโยชน์ได้ก็เป็นตัวเริ่มต้นของการคิดเป็น แต่ว่าคิดเป็นจะเริ่มยังไง จะเลื่อนลอยแคว้งคว้างไม่รู้จะเริ่มที่ไหน ฉะนั้นตามหลักพุทธศาสนา คิดเป็น ท่านมาเอามาเป็นตัวเน้นตัวแรก เพราะว่าท่านเอาสิ่งที่เป็นรูปธรรม รูปธรรมสำคัญก็คือพฤติกรรมการเป็นอยู่ประจำวันนี่มาเป็นจุดเริ่ม ฉะนั้นพระพุทธศาสนาแทนที่จะไปเริ่มที่คิดเป็น ท่านบอกให้กินอยู่เป็น กินอยู่เป็นก็เริ่มที่บ้าน ตั้งแต่เด็กเกิดมามีชีวิตในครอบครัว พ่อแม่นี่แหละเป็นผู้สอนให้ลูกรู้จักกินอยู่เป็น บริโภคปัจจัยสี่ รับประทานอาหาร ใช้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ตาดูหูฟังทีวี ดูอะไรต่างๆ เหล่านี้ ฟังสิ่งต่างๆ เหล่านี้ การเป็นอยู่ประจำวัน กินอยู่ ถ้ากินอยู่ให้เป็น มันจะเป็นเครื่องนำความคิดเป็นมาให้ เราจะไปกินเป็นอยู่เป็นได้ยังไง พระพุทธเจ้าก็สอนบอกว่าอย่างพระมาบวช กินเป็นนะ บริโภคเป็น ฉันเป็น ก็ต้องปฏิสังขาโย เพราะว่าจะบริโภคอาหารก็พิจารณา เดี๋ยว คิดดูก่อน ว่าที่เรารับประทานอาหาร ฉันอาหารนี่ฉันเพื่ออะไร นี่กินอยู่ธรรมดานี่แหละเป็นแดนของการฝึกความคิดเลย พอบอกว่ากินอยู่เพื่ออะไร ไม่เคยคิดเลย กินก็เพื่ออร่อยเรื่อยเปื่อยมา พระท่านบอกปฏิสังขาโยก่อน บอกข้าพเจ้าพิจารณาแล้วโดยแยบคาย จึงรับประทานอาหารนี้ว่าไม่ใช่รับประทานเพียงเพื่อจะเห็นแก่เอร็ดอร่อย โก้เก๋ วัดฐานะอะไรกันหรอก กินเพื่อจะให้สุขภาพแข็งแรง เพื่อจะได้นำชีวิตร่างกายที่มีสุขภาพดีนี้ไปทำประโยชน์ สร้างสรรค์ดำเนินชีวิตที่ดี พอกินเป็นนี่คิดเป็นมาทันที ก็หมายความว่าท่านเอาพฤติกรรมในชีวิตประจำวันมาเป็นแดนฝึก เอาสิ่งที่รู้เห็นเป็นอยู่ซึ่งเป็นของจำเป็นในชีวิต มาเป็นฝึกความคิดเป็น เพราะฉะนั้นถ้าเรากินอยู่เป็น การคิดเป็นก็มาเอง แล้วเป็นการเริ่มที่ถูกต้อง ทีนี้การศึกษาก็เลยต้องเริ่มต้นในบ้าน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็จะสอนศีลเป็นข้อแรกในการฝึกคน เพราะศีลนี่เป็นเรื่องพฤติกรรม ให้เป็นอยู่ดี มีพฤติกรรมที่ดีงามก็เริ่มด้วยศีล ไม่ใช่เฉพาะการไม่เบียดเบียนในสังคม แต่หมายถึงการนี้ เริ่มต้นการบริโภคอาหาร การกินอยู่ การใช้เครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่างทำด้วยรู้จักคิด ไม่ใช่ทำเลื่อนลอย ทำด้วยปัญญา ไม่ได้ทำด้วยโมหะ พอเรารู้จักทำสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา ด้วยความคิด มีความคิดเป็นก็เริ่ม ก็หมายความว่าในศีลนี้ก็จะฝึกจิตใจและฝึกปัญญาไปด้วย พอมีปัญญารู้เข้าใจ ความมุ่งหมายในการบริโภคอาหาร การใช้เสื้อผ้าเป็นต้นแล้ว จิตใจก็จะดี จิตใจก็จะพร้อม มีความเต็มใจที่จะบริโภคอาหารที่มีคุณประโยชน์เป็นต้น แล้วมีความปรารถนามีความต้องการในทางที่ถูกต้อง แล้วรู้จักมีความสุขในสิ่งที่ดีงาม ก็เป็นการฝึกไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นการฝึกในทางพระศาสนาจึงเริ่มต้นด้วยศีล ซึ่งเป็นส่วนที่หยาบ เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏ แล้วก็อาศัยศีลนั่นแหละ เป็นแดนฝึกทางจิตใจ และฝึกปัญญาไปพร้อมกัน แล้วพอโตขึ้นก็จะไปเน้นเรื่องจิตใจมากขึ้น แล้วจึงไปเน้นปัญญามากขึ้นในตอนท้าย อยู่ๆจะมาเริ่มปัญญาคิดเป็น ไม่รู้จะเอาจุดเริ่มที่ไหน ก็ลำบาก เพราะฉะนั้นการศึกษานี้ต้องมีความสัมพันธ์พร้อมกัน 3 ส่วน คือถ้าทางด้านพฤติกรรม การติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก อย่างด้านจิตใจ เจตจำนง แรงจูงใจ คุณสมบัติของจิตใจ และก็ทางด้านปัญญา ความรู้ความเข้าใจ ความคิดต่างๆ ส่วนหนึ่งที่เน้นมากในพุทธศาสนาซึ่งเป็นระดับศีลเหมือนกันก็คือใช้อินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะตาดูหูฟังเนี่ย ตาหูของเรานี่ถ้าใช้เป็นก็จะใช่เพื่อการหาความรู้ ไม่ใช่เพียงหาความรู้สึก หรือเสพความรู้สึก พอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอินทรีย์ ทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกัน คือ หนึ่ง-ทำหน้าที่รู้สึก สอง-ทำหน้าที่รู้ แต่คนโดยมากเนี่ย พอไปเจอความรู้สึกก็ติดอยู่แค่นั้นแล้วก็วนเวียนไปอยู่กับความชอบใจไม่ชอบใจ ในทางพระศาสนาท่านบอกอย่าติดอยู่แค่ความรู้สึก ใช้ อินทรีย์นี้ก้าวไปสู่ความรู้ พอเราก้าวไปสู่ความรู้นี่การศึกษาก็เริ่มทันที ฉะนั้นการศึกษาเบื้องต้น นอกจากกินอยู่เป็น ในการกินอยู่เป็นก็คือการใช้อินทรีย์เป็น ใช้ตาดูหูฟังเพื่อหาความรู้ ถ้าเด็กของเรารู้จักใช้ตาดูหูฟังเพื่อหาความรู้ วัฒนธรรมใหม่ วิถีชีวิตที่ถูกต้องก็เกิดขึ้น วิธีชีวิตของการเสพบริโภคก็จะเกิดเบาลง ก็จะมีวิถีชีวิตแห่งการหาความรู้ วัฒนธรรมของการใฝ่รู้ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ แม่แต่ว่าการจะบอกว่าตามสังคมฝรั่ง เราก็ยังตามไม่เป็น ตามไม่ทัน เราไปตามในแง่วัฒนธรรมการบริโภค แต่เราไม่ได้ตามในแง่วัฒนธรรมการหาความรู้ อย่างสังคมอเมริกันนี่ชัดเจน วัฒนธรรมสำคัญของเขาคือวัฒนธรรมการหาความรู้ ต่อจากนั้นก็เป็นวัฒนธรรมการผลิต การสร้างสรรค์ เด็กของเรานี่จะต้องก้าวไปให้ถูกต้อง ถ้าเราติดอยู่กับการใช้อินทรีย์ เพื่อเสพความรู้สึก แล้วก็ติดอยู่กับวัฒนธรรมการเสพบริโภค สังคมไทยก็จะอ่อนแอ อย่าว่าแต่จะตามหรือจะทำอะไรได้ทันเลย ตามเขาก็ไม่ทัน ถ้าเราจะตามต้องตามให้ทัน ตามวัฒนธรรมเสพบริโภค แล้วต้องตามให้ทันวัฒนธรรมการหาความรู้ด้วย วัฒนธรรการผลิตด้วย แต่ตามทันไม่พอ ต้องรู้ทัน เราไปเน้นการตาม แล้วตามก็ต้องตามให้ทัน แต่ว่าจะตามให้ทันต้องมีสิ่งสำคัญคือรู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้วจะได้เลยตามทัน จะสามารถนำเข้าด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็เป็นระยะเวลาสำคัญ เป็นช่วงที่สังคมวิกฤติ โลกวิฤติ ในภาวะวิกฤตินี้ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องท้าทาย หมายความว่าเหตุการณ์ในโลกเวลานี้ท้าทายสังคมไทย แล้วพร้อมกันนั้นก็เป็นบททดสอบสังคมไทย ว่าคนไทยเรานี้จะมีความเข้มแข็งเพียงพอไหม ที่จะสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมของตนเอง แล้วก็เข้าไปในโลกอย่างมีความสามารถที่จะสร้างสรรค์โลกนี้ แก้ปัญหาของโลกนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าคอยเป็นลูกไล่ หรือผู้ตามเท่านั้น สร้างสรรค์โลกแล้วก็เป็นผู้นำโลกในการแก้ปัญหาได้ด้วย เพราะฉะนั้นเราจะต้องจัดระเบียบสังคมอย่างไม่ท้อถอย ถ้าหากว่าการจัดระเบียบสังคมซึ่งมีความจำเป็นและจ้องทำ ทำขึ้นมาแล้วยังผ่านไม่ได้ ก้าวไปไม่ได้ รักษาไว้ไม่ได้ แสดงว่าสังคมไทยล้มเหลว ถ้าว่ามุ่งมั่นเริ่มจัดระเบียบสังคมแล้ว ต้องก้าวไปในการจัดระเบียบนี้ให้สำเร็จ แสดงถึงความเข้มแข็ง เป็นการทดสอบสังคมไทย พร้อมกันนั้นในการจัดระเบียบสังคมก็จะต้องมีการจัดระเบียบครอบครัวด้วย อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ถ้าจัดระเบียบครอบครัวได้สำเร็จ คือเป็นหลักประกันระยะยาวที่ว่าสังคมไทยจะมีระเบียบแท้จริงยั่งยืน ถ้าไม่มีการจัดระเบียบครอบครัว ระเบียบสังคมนี้จะยั่งยืนต่อไปไม่ไหว อาศัยแต่กฎหมายมา เดี๋ยวก็รู้สึกเป็นเรื่องบังคับ ก็จำใจ เอาไว้ไม่อยู่ จัดระเบียบครอบครัวได้ ต่อไปก็จัดระเบียบองค์ประกอบอื่นๆ ของสังคม จัดระเบียบโรงเรียนนั้นแน่นอน มีหน้าที่อยู่แล้ว จัดระเบียบวัดด้วย วัดนี่เป็นแหล่งสำคัญของชุมชน โดยเฉพาะในชนบทเราจะเห็นชัด เป็นศูนย์กลางของชุมชน ถ้าเราจัดระเบียบวัดได้ดี ก็จะมาเชื่อมประสานกับระเบียบของครอบครัว มาเกื้อหนุนให้ครอบครัวนี้ได้มีหลัก เช่นหลักในการเลี้ยงดูลูกเป็นต้น แม้แต่พรหมวิหารธรรมเป็นต้น สังคหวัตถุ 4 ก็ไปจากวัดนี่ แต่วัดก็จะต้องมีการจัดระเบียบตัวเอง ให้พระมีการศึกษาที่ดี จัดบรรยากาศให้ดี คติโบราณของเรามีบอกไว้แล้วบอกว่า เมื่อยามบ้านเมืองดีเขาสร้างวัดให้ลูกหลานท่านเล่น เวลานี้เราไม่มีคตินี้แล้ว สร้างวัดให้ลูกท่านเล่นหมายความว่ายังไง แม้แต่เด็กๆ ก็ยังเห็นวัดเป็นสถานที่รื่นรมย์ ไปเล่น ไปสนุกสนานที่วัด ท่านคิดดูว่าถ้าสังคมไทยของเรา แทนที่เด็กไทยจะไปดิสโก้เธค ไปอาร์ซีเอ ไปเซ็นเตอร์พอยท์ แทนที่เด็กไทยจะไปตามอะไรต่างๆ จนกระทั่งถึงคาราโอเกะเนี่ย เด็กไทยมาวัดนี่อะไรจะเกิดขึ้น วิถีชีวิตจะเปลี่ยนไป สังคมจะเปลี่ยนไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องร่วมมือกัน ทางวัดก็ต้องจัดระเบียบวัดให้ดีด้วย นี่สังคมไทยมีทางฟื้นตัวได้ แต่การจัดระเบียบสังคมนี้ขอให้เราโยงต่อไปสู่การจัดระเบียบครอบครัว จัดระเบียบวัด เมื่อองค์ประกอบของสังคมเชื่อมประสานกันดีแล้ว เรามีความมั่นใจว่าสังคมของเราเนี่ย จะมั่นคงมีความสุขความร่มเย็น เจริญก้าวหน้าต่อไปได้ ฉะนั้นวันเกิดของท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน นี้ อาตมาภาพได้อ่านประวัติของท่าน มานึกถึงเรื่องนี้เลย คิดว่าเป็นตัวอย่างอันหนึ่งของการเข้าสู่วิถีชีวิตไทย ที่คุณพ่อคุณแม่ทำหน้าที่ได้ดี คุณแม่เป็นผู้ที่มีศรัทธาแล้วก็ได้ชักนำท่านเข้าสู่วัฒนธรรมไทย สู่วิถีชีวิตไทย เป็นเด็กได้บวชตั้งแต่เป็นเณร บวชพระ แม้แต่มองในแง่ชีวิตที่ไม่ได้บวชเณรบวชพระ ก็เข้าสู่วัฒนธรรมไทย มีวิถีชีวิตที่ผูกโยงกับวัฒนธรรมของไทยได้ ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตื่นตัวขึ้นมา ฉะนั้นแม้แต่วันเกิดของเราที่ทำกันตามประเพณีนี้ มีความหมายมากมาย ในกรณีก็คือจุดเริ่มต้นก็เป็นเครื่องเชื่อมโยง ท่านเจ้าของวันเกิดกับคุณพ่อคุณแม่ พอเชื่อมกับคุณพ่อคุณแม่ ก็เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ในครอบครัว พอเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ในครอบครัวก็คือเป็นจุดที่เริ่มนำเข้าสู่วัฒนธรรมไทย วิถีชีวิตไทย พอเราฟื้นฟูวิถีชีวิตไทย วัฒนธรรมไทยขึ้นได้ ให้เด็กไทยมีแนวทางที่ชัดเจน ก้าวไปสู่ความดีงาม แล้วก็มีปัญญารู้เท่าทันโลกด้วย ในสองด้านนี้เด็กไทยจะเข้มแข็ง ไม่ใช่เป็นเด็กที่เคว้งคว้าง อ่อนแอ เอาแต่เสพบริโภค แต่ต้องเป็นเด็กที่มีปัญญา แล้วต่อไปเด็กก็จะจัดระเบียบชีวิตของตนเอง จัดระเบียบสังคมกว้างใหญ่ จัดระเบียบครอบครัว จัดระเบียบวัด จัดระเบียบโรงเรียน แล้วก็มาจัดระเบียบชีวิตของตัวเอง เด็กที่เติบโตมาในสังคม ในครอบครัว เป็นต้น ในบรรยากาศแวดล้อมที่มีระเบียบวินัยที่ดีเนี่ย ก็จะไม่ฝืนใจ ไม่รู้สึกว่าวินัยเป็นเครื่องบังคับ แต่เขาจะมองว่าวินัยเป็นเครื่องจัดสรรโอกาส เพราะวินัยที่แท้จริงในทางพุทธศาสนานั้นมีความหมายว่า เป็นเครื่องจัดสรรโอกาส เราอยู่ร่วมกันนี้ถ้าเราไม่มีวินัย แม้แต่ว่าจะเดินไปประตูนี่ วางข้าวของเกะกะ โต๊ะเก้าอี้เกะกะ ไปหมด จะเดินไปแค่ประตูนี้กว่าจะไปถึงแทบแย่ พอมีวินัยหน่อย ของอยู่เป็นที่ เดินพรวดเดียวถึงประตูเลย สังคมของเราเนี่ยถ้าเกิดว่าวุ่นวายเดือดร้อน เบียดเบียนกัน จะไปที่ไหนก็ระแวง เวลานี้ไม่กล้าไป จุดนั้นไม่กล้าไป กิจการงานของสังคมก็ไม่คล่องไม่สะดวก แต่พอเรามีวินัย ไม่มีอันตรายต่อชีวิตต่อทรัพย์สิน ไม่มีความวุ่นวายทางเพศ ไม่มีการโกหกหลอกลวง ไม่มีคนติดยาเสพติดเนี่ย เราโล่งใจ จะไปที่ไหน ทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ทำได้ เพราะฉะนั้นวินัยนี่เป็นสิ่งที่เปิดโอกาสให้ทุกชีวิตในสังคมทำกิจทำหน้าที่ ทำงานพัฒนาตัวเองไปได้ด้วยดี ถ้าคนที่พัฒนาปัญญามีจิตใจดีแล้ว ก็มองวินัยนี่เป็นเครื่องจัดสรรโอกาส ทำให้ชีวิตของเรานี้ สังคมของเรานี้มีโอกาสมีความคล่องตัวที่จะก้าวไปสู่ความดีงามและความเจริญ เด็กเช่นนี้ก็จะมีความเข้มแข็ง แล้วก็มีปัญญาอย่างที่ว่ารู้ทัน แล้วก็เด็กของเราจะต้องได้รับการกระตุ้น ปลุกใจให้มีจิตใจที่มีความมุ่งมั่น มีจุดหมายที่ชัดเจน มีจิตสำนึกในทางสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เห็นแก่ความสนุกสนาน ชั่ววูบชั่ววาบแล้วก็ผ่านไป เวลานี้ที่เป็นปัญหามาก ทำให้เราหวังอนาคตของประเทศชาติได้ยาก ก็เพราะว่าเด็กไทยของเราเนี่ย เคว้งคว้างเลื่อนลอยมาก อ่อนแอ ติดในการเสพลบริโภค เห็นแก่ความง่าย แล้วก็ไม่มีวัฒนธรรมในการแสวงหาความรู้ ไม่มีความใฝ่รู้ ไม่มีค่านิยมในการผลิตในการสร้างสรรค์ อย่างนี้สังคมของเราไปไม่ไหว ฉะนั้นด้วยการเริ่มต้นถูกต้องก็ขอให้การจัดระเบียบสังคมนี้มาโยงกับสิ่งที่กล่าวมา สู่การจัดระเบียบครอบครัว จัดระเบียบวัด จัดระเบียบอะไรทุกอย่างในความหมายที่เป็นบวก ต้องการจัดสรรโอกาสที่ดีงาม คือปิดช่องร้ายขยายช่องดีนั่นเอง วินัย แล้วทุกอย่างก็จะดำเนินไปด้วยดี ก็ขอให้ความหมายของการเกิดซึ่งเป็นการเริ่มต้นชีวิตนี้ เริ่มต้นก็เป็นเด็ก ก็โยงไปสู่การสร้างสรรค์เด็กไทย โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยศรีประทุมก็เป็นศูนย์กลาง เป็นแหล่งของการศึกษา ให้การศึกษาแก่เด็กแก่เยาวชน แล้วก็มีความหมายที่โยงมาถึงวันเกิดด้วย เพราะเด็กๆ นี่ก็คือผู้ที่เกิดมาใหม่ๆ เกิดมาไม่นาน อยู่ในระหว่างการตั้งตัว ที่จะทำชีวิตให้เข้มแข็ง ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เพื่อนร่วมสังคม โดยเฉพาะท่านผู้ใหญ่ที่เป็นกัลยาณมิตร เราก็มากระตุ้นเตือนเด็กทั้งหลาย เยาวชนทั้งหลายเนี่ย ให้ดำเนินชีวิตไปในวิถีทางที่ถูกต้อง โดยที่เราก็จัดบรรยากาศให้เหมาะสม ให้เอื้อต่อการที่เขาจะพัฒนา ในวิถีชีวิตที่ดีงาม โดยขั้นพื้นฐานอย่างที่กล่าวมาแล้วก็คือ ในสังคมของเราทุกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่ที่จะเชื่อมโยงประสานให้เด็กไทยเข้าสู่วิถีชีวิตแห่งความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย พร้อมกันไปกับการที่จะให้เขารู้เท่าทันโลก สถานการณ์ของโลก เพื่อจะก้าวไปได้ดี มีพื้นฐานที่มั่นคงหนักแน่น แล้วให้เป็นเด็กที่มีความเข้มแข็งในตัว เป็นความเข้มแข็งที่สุดท้ายแล้วคือความเข้มแข็งทางปัญญา ความเข้มแข็งทางกายนั้นไม่เพียงพอ แต่ความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ ขั้นต่อไปเข้มแข็งทางจิตใจ มีกำลังใจเข้มแข็ง แต่กำลังใจเข้มแข็งไปไม่รอด ถ้าไม่มีความเข้มแข็งทางปัญญา คนเข้มแข็งจะสู้เท่าไหร่ก็ตามแต่มันไม่มีปัญญา ทำไง ไปไม่รอด เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้มแข็งทางปัญญา ความเข้มแข็งทางปัญญาทางปัญญานี้จะทำให้ทำอะไรได้สำเร็จทุกอย่าง ชาติไทย สังคไทย จะมั่นคงเจริญก้าวหน้า อย่าว่าแต่จะตามเขาให้ทันเลย แม้จะนำเขาในโลกนี้ก็ได้ แล้วในโลกนี้เวลานี้ก็เดินทางไขว้เขวผิด เราก็รู้กันอยู่แล้ว เราจะไปหวังจากประเทศมหาอำนาจ จะให้สร้างโลกให้มีสันติสุข คงไม่ไหว ไม่สำเร็จ ฉะนั้นทุกชาติทุกคนมีหน้าที่ที่จะได้มาหาทางมานำโลกไปสู่สันติสุข ถ้าเรามีความมั่นใจในตัวเอง สร้างปัญญาที่มีความเข้มแข็ง แล้วเสนอนำโลกให้แนวคิดที่ถูกต้อง แม้แต่ประเทศหาอำนาจ ในการแก้ปัญหาของโลก เพื่อนำโลกไปสู่สันติสุขได้ ประเทศไทยมีศักยภาพมากที่จะเป็นผู้นำ แต่ว่าไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอ แม้แต่ที่จะคิด มัวแต่จะไปคิดตามเขาอย่างเดียว เลยไม่ได้มีจิตสำนึกที่จะทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ฉะนั้นก็ขอให้เรามากระตุ้นเตือนเด็กไทยให้มีความเข้มแข็ง เข้มแข็งทางใจด้วย เข้มแข็งทางปัญญาด้วย มีการรู้เท่าทัน มีจุดหมายที่ชัดเจน ที่จะทำให้ชีวิตและสังคมของเราเจริญงอกงาม พัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง ก็ขออนุโมทนาทางมหาวิทยาลัยศรีปทุม มีอาจารย์รัชนีพร ท่านอธิการบดีเป็นหัวหน้าที่ได้นำคณะครู-อาจารย์ เจ้าหน้าที่ได้มาทำบุญในวันนี้ ก็ด้วยความมีน้ำใจปรารถนาดีต่อท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน เจ้าของวันเกิด ก็คือมุ่งจะให้ท่านได้รับพรจากพระรัตนตรัย ในโอกาสมงคลทั้งอายุครบ 60 ปี เป็นวันเกิดที่ถือกันว่าสำคัญมาก 5 รอบ แล้วก็ในโอกาสที่ได้ติดยศเป็นพลเอกด้วย ก็ขอให้กุศลได้เกิดขึ้นมากมาย กุศลท่านทำแล้วตามประเพณี ทางพระท่านว่า ทาน ศีล ภาวนา ถ้าพูดกันทางภาษาชาวบ้านว่าเลี้ยงพระ รับศีล ฟังธรรม หรือว่าถวายทาน รับศีล ฟังธรรม 3 อย่างนี้ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา ทำ 3 อย่างนี้ครบ จะไปเลี้ยงพระ หรือถวายทาน สิ่งของภัตตาหารอะไรนี่ก็เป็นทาน แล้วก็รับศีลมานั่งกันในที่ประชุมกัน โดยมีการปฏิบัติตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ตามวัฒนธรรม แล้วก็รับศีล 5 นี่ก็เป็นเรื่องของศีล แล้วการฟังธรรมนี้เป็นภาวนา ก็คือปัญญาภาวนา พัฒนาปัญญา ซึ่งวันนี้ทุกท่านได้ทำบุญครบแล้ว การที่ได้ปรารภวันเกิดของท่านนายพล แล้วก็มาทำบุญนี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีดังกล่าวแล้ว เริ่มต้นที่ดี เกิดกุศลก็เกิดแล้ว ได้ความหมายของการเกิดได้ครบแหละ แต่ที่สำคัญก็อย่างที่กล่าวก็คือว่าเป็นวันที่ระลึกถึงการเกิด ซึ่งหมายถึงการเกิดของคุณพ่อคุณแม่ เชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ของบุพการี และความสัมพันธ์ของครอบครัว แล้วการที่เราจะได้นำเอาวันเกิดนี้มาเป็นตัวกระตุ้นให้เราช่วยกันสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมสืบต่อไป อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาท่านในวันที่เป็นมงคลนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยพร้อมทั้งบุญกุศล มีเมตตา ไมตรี พร้อมทั้งศรัทธา ในพระรัตนตรัย เป็นถ้วนหน้า จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังอภิบาลรักษาให้ท่านพลเอกเสรี พุกกะมาน อาจารย์รัชนีพร พุกกะมาน พร้อมทั้งบุตรหลานครอบครัวญาติมิตรทั้งหลาย ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมทั้งปวง จงเจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังความสามัคคีพรั่งพร้อม ที่จะดำเนินชีวิต ประกอบกิจหน้าที่การงาน ให้ก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จสมดั่งความมุ่งหมาย ขอให้ความรักความปรารถนาดีของคุณพ่อคุณแม่ต่อลูก ของภรรยาต่อสามี ของสามีต่อภรรยา ความปรารถนาดี ความรักเคารพของลูกต่อพ่อแม่ แล้วก็ชาวมหาวิทยาลัยต่อท่านที่ปรึกษา และท่านอธิการบดี ความปรารถนาดีต่อกันทั้งหมดนี้ ให้เป็นพรอันประเสริฐ จะมาพิทักษ์รักษาให้เราทั้งหลายทั้งปวงนี้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป มีความสามารถที่จะยังประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่ชีวิต แก่ครอบครัว แก่สังคมประเทศชาติ มีความวัฒนาสถาพรร่มเย็น เจริญงอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้นไปตลอดปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง และตลอดไปทุกเมื่อเทอญ