แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
รายการเล่าเรื่องให้โยมฟัง วันนี้ ก็จะขอย้อนกลับไปเรื่องปัญญาอีก และปัญญาตอนนี้ ก็ยังพูดถึงปัญญาในระดับสามัญ คือการใช้งาน ใช้ประโยชน์ในกิจธุระทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้น วันนี้ก็เลยจะเอาเรื่องชาดกมาเล่าอีกสักเรื่องหนึ่ง จะให้เห็นว่าเขาใช้ปัญญาอย่างไร แล้วก็ช่วยให้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต ในการทำธุรกิจอย่างไร
ท่านเล่าว่า นานมาแล้วก็มีสหายคู่หนึ่ง คนหนึ่งชื่อฉลาด อีกคนหนึ่งก็บังเอิญชื่อคล้ายๆ กัน แต่ยาวกว่านิดหนึ่ง ชื่อว่านายยอดฉลาด ฉลาดกับยอดฉลาดบังเอิญมาเป็นเพื่อนกัน อยู่มา สองคนนี้ก็เกิดคิดทำการค้าขาย การค้าขายสมัยโบราณนั้น เขาใช้วิธีเดินทางด้วยกองเกวียน สองคนนั้นก็จัดการซื้อพาหนะ ซื้อเกวียน ซื้อโคมา ก็ทำเป็นอย่างกองคาราวานขึ้น เรียกว่ากองเกวียน ไปค้าขายต่างเมือง
ทีนี้เมื่อดำเนินการค้าขายกันมาแบบเป็นหุ้นส่วน ก็ต้องแบ่งผลกำไรกัน ในการเดินทางคราวหนึ่ง เมื่อไปค้าขายยังต่างเมืองเสร็จแล้ว เดินทางกลับมายังเมืองของตน เมื่อมาใกล้ตัวเมือง อยู่นอกเมือง สมัยโบราณก็ยังเป็นป่าหรือคล้ายๆ ป่า ก็มาหยุดพักกองเกวียน สองคนก็มาคิดกันว่า เออ เราจะเข้าเรือนอยู่แล้ว ก็มาแบ่งผลกำไรกันดีกว่า พอเมื่อมาคำนวณคิดกันไปคิดกันมา ก็แบ่งผลกำไรกันตกลงกันไม่ได้ ก็เกิดปัญหาขึ้นมา แทนที่จะแบ่งเท่าๆ กัน เขาก็ต้องคำนวณถึงว่าใครลงทุนอะไรเท่าไร หรือใครทำผลประโยชน์อะไรได้มากอะไรยังไง ก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาคิดด้วย ในการที่จะแบ่งผลกำไร
ทีนี้ นายฉลาดนั่นก็ไม่ว่าไง ก็คิดว่าควรจะแบ่งให้เท่าๆ กัน แต่นายยอดฉลาดก็ไม่ยอม ว่าฉันควรจะได้มากกว่า ก็เถียงกันไปเถียงกันมา นายยอดฉลาดไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไร ในที่สุดนายยอดฉลาดอ้างเหตุผลบอกว่า แกนะชื่อฉลาดเฉยๆ ฉันเนี่ยมันยอดฉลาด ฉลาดได้ส่วนหนึ่ง ยอดฉลาดควรจะได้สองส่วน เพราะชื่อมันยอด มันฉลาดกว่า สุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายนายฉลาดก็ไม่ยอม นายยอดฉลาดก็เลยคิดหาอุบาย เอาอย่างนี้ดีกว่า เราสองคนตกลงกันไม่ได้ ให้เทวดาท่านตัดสิน ก็ไปหารุกขเทวดา คือต้นไม้ใหญ่ จะไปถามรุกขเทวดากัน
ยอดฉลาดก็คิดอุบายขึ้น ไปหาต้นไม้ใหญ่ไว้ก่อน ไปเตรียมการ แล้วไปเจอต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรง ก็ให้พ่อตาของตัวเนี่ย เข้าไปในโพรงต้นไม้นั้น ปลอมตัวเป็นรุกขเทวดา หรือปลอมเสียงเป็นรุกขเทวดา แล้วก็มาชวนเอานายฉลาดเนี่ยไปที่ต้นไม้ ไปถามรุกขเทวดานั้น ไปถึง สองคนนั้นก็บนบานกราบไหว้ แล้วก็เล่าเรื่องให้รุกขเทวดาฟังว่า เรื่องราวเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ข้าพเจ้าสองคนเนี่ย ทำการค้าขาย แบ่งผลประโยชน์ตกลงกันไม่ได้ ก็ขอให้รุกขเทวดา ท่านช่วยตัดสินตามเหตุผลที่กล่าวมา พอเล่าเรื่องจบ ถามรุกขเทวดาแล้ว รุกขเทวดาก็ตอบลงมา บอกว่า เจ้าสองคนนี้นะ คนหนึ่งชื่อฉลาดเฉยๆ อีกคนหนึ่งชื่อยอดฉลาด เจ้าฉลาดเนี่ยควรได้หนึ่งส่วน เจ้ายอดฉลาดควรจะได้สองส่วน ก็ต้องแบ่งเป็นสามส่วน ให้นายฉลาดหนึ่งส่วน ให้นายยอดฉลาดสองส่วน
ฝ่ายฉลาดก็คิดสงสัย ใช้ปัญญาพิจารณาว่า อาจจะมีการใช้อุบาย หรือเป็นกลขึ้นมา ก็เลยจะทดสอบรุกขเทวดา ก็ไปเอากิ่งไม้ใบหญ้ามาสุมที่โคนต้นไม้นั้น แล้วก็จุดไฟขึ้น ฝ่ายรุกขเทวดาปลอมนั้นโดนร้อนเข้า ทนไม่ไหว ก็เลยออกจากโพรงต้นไม้ ปีนต้นไม้ขึ้นไปกระโดดตุ้บลงมา ก็เลยรู้ว่าเป็นรุกขเทวดาตัวปลอม เมื่อรู้ว่าเป็นรุกขเทวดาตัวปลอม จับได้แล้ว ฝ่ายนายยอดฉลาดก็ต้องยอม พอสุดท้ายก็เลยแบ่งผลกำไรเท่าๆ กันทั้งสองฝ่าย เรื่องก็เลยจบลงด้วยดี
ก็เรื่องนี้ก็ให้เห็นถึง การใช้ปัญญาของนายฉลาด คือตอนต้นน่ะ นายยอดฉลาดใช้ปัญญาก่อน ใช้ปัญญาในทางไม่ดี คือไปคิดเป็นกลอุบายหลอกลวงเขา แล้วก็จะกะเอาเปรียบ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าคนอื่นเขาก็มีปัญญาเหมือนกัน ส่วนนายฉลาดนั้นก็เป็นคนมีปัญญา รู้จักสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัย ไม่ใช่ศรัทธาเรื่อยไป หากมีศรัทธาอย่างเดียว ก็จะเชื่อเรื่อง รุกขเทวดา ก็อาจจะยอมไปตามนั้น แต่เพราะว่ารู้จักใช้ปัญญา รู้จักสงสัย ก็ตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน ก็เลยแก้ปัญหาทำให้เรื่องสิ้นสุดลงด้วยดี ก็ได้รับความยุติธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย
อันนี้ก็เป็นคติอย่างหนึ่ง เป็นคติทั้งในทางร้าย ที่ว่าไม่ควรใช้ปัญญาในการเอาเปรียบหลอกลวงเขา และเป็นตัวอย่างในทางที่ดี ที่ว่าไม่ควรจะให้ศรัทธาชักจูงไปอย่างเดียวโดยไม่ใช้ปัญญา ก็ใช้ปัญญาพิจารณา เมื่อรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาด้วยดีแล้ว ก็จะทำให้เกิดผลดีขึ้น นำความสุขและการพ้นจากปัญหามาสู่ตน ทั้งนี้อาตมภาพก็เล่าเรื่องเบาๆ สมองพอเป็นเรื่องประกอบในคุณธรรมข้อปัญญา ก็พอสมควรแก่เวลา ก็ขออนุโมทนาโยมเท่านี้