แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ขอเจริญพร อนุโมทนาโยมญาติมิตรสาธุชนทุกท่าน ที่ได้มาร่วมกันทำบุญในวันมาฆบูชา โดยเฉพาะถึงเวลานี้ก็จะเป็นการเริ่มต้นพิธีเวียนเทียน การมาทำบุญอย่างนี้ ก็เป็นวัตรปฏิบัตรอย่างหนึ่งของชาวพุทธ ผู้มีศรัทธามั่นคง ต่อมาทำบุญร่วมกันนี้มีความหมายหลายอย่าง เป็นการบำเพ็ญคุณความดี ทั้งเป็นกุศลแก่ตนเอง แล้วพร้อมกันนั้นก็เป็นการทำความดีให้แก่สังคม แล้วแต่พระพุทธศาสนา ในแง่ที่เราเป็นพุทธศาสนิกชนนั้น หน้าที่อย่างหนึ่งก็คือการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา แล้วโยมญาติมิตรสาธุชนมาทำบุญในวันนี้ ก็ไม่ใช่เป็นการทำบุญเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่ว่าเป็นการที่เราได้มาแสดงความสามัคคีในพุทธบริษัททั้งหมด คือการที่พระสงฆ์และญาติโยมก็จะได้มาร่วมกิจกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศลด้วยกัน แล้วก็เป็นการแสดงน้ำใจต่อพระพุทธศาสนา ว่าเวลามีกิจการงาน กิจกรรมใดก็ตามที่เป็นเรื่องของพระศาสนา เราก็ไม่ละทิ้ง เราก็มาร่วมด้วย แสดงน้ำใจส่งเสริมพระพุทธศาสนา แล้วเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระรัตนตรัย โดยเฉพาะที่เรามาบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยการกระทำอย่างนี้ก็ได้ชื่อว่าได้สืบต่ออายุพระศาสนาด้วย เพราะว่ากิจการงานพระศาสนาจะดำเนินไปได้ก็ด้วยการมีเหล่าพุทธศาสนิกชนเนี่ย มาร่วมงานร่วมการกิจกรรม มาช่วยกัน บางท่านก็อาจจะมาตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ก็มาช่วยเตรียมการ มาทำความสะอาด มาจัดแต่งนิทรรศการอะไรเป็นต้น อันนี้ก็เป็นการแสดงออก แม้จะมาเพียงพิธีนี้ก็ชื่อว่าได้แสดงน้ำใจแล้ว ต่อพระพุทธศาสนา ก็เป็นส่วนร่วมในการสืบต่อพระพุทธศาสนา พร้อมกันนั้นก็เป็นการทำหน้าที่ต่อสังคมไปด้วย ให้เห็นว่าเรายังคงดำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม ของประเทศคือสังคมไทยนี้ไว้ สังคมจะดีอยู่ได้ก็เพราะมีคนที่มาทำกิจกรรมที่มาเป็นบุญเป็นกุศล เมื่อเรามีคนมาร่วมทำความดีมากๆ มาร่วมกิจกรรมในทางพระศาสนามากๆ ก็จะมีความอุ่นใจขึ้นมาในสังคมนี้ จะมีความเจริญก้าวหน้าในทางที่ดีงาม ยังมีการปฏิบัติในทางศีลธรรม แล้วการรักษาวัฒนธรรมอยู่ สังคมก็เจริญมั่นคงและมีความงดงาม เพราะฉะนั้นการที่เรามาร่วมกิจกรรมในวันนี้ มีความหมายหลายอย่าง ทีนี้แม้แต่ในแง่ส่วนตัวของแต่ละท่านที่ว่ามาทำบุญทำกุศล ก็ไม่ใช่มาตัวคนเดียว หลายท่านมากับครอบครัว คุณพ่อคุณแม่มากับลูก คุณปู่คุณย่าตายายอาจจะมากับหลาน ที่มาด้วยกันก็มีน้ำใจ มีความเมตตากรุณา มีความรักกันในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่มีเมตตาต่อลูก ก็อยากจะให้ลูกนี้อยู่ในความดีงาม ไม่เถลไถล แล้วได้เห็นลูกมาทำบุญทำกุศล มาวัด คุณพ่อคุณแม่ก็จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ ทางภาษาพระท่านว่าได้ปิติปราโมทย์ ก็เป็นความเจริญงอกงามของจิตใจ ปู่ย่าตายายก็เช่นเดียวกัน เห็นลูกหลานมาวัดทำความดีงาม ก็สบายใจ กับลูกหลานก็เหมือนกันว่าถึงวันนี้คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย บางท่านก็ไม่ค่อยมีแรง ไปไหนด้วยตัวเองไม่ได้ ถึงวันนี้เรามาช่วยท่าน ขับรถให้ท่าน หรือพาท่านมา ก็เป็นความอบอุ่นในครอบครัว แล้วก็ได้เกิดความซาบซึ้งใจ เห็นคุณพ่อคุณแม่ได้ทำบุญทำกุศล มีความปิติยินดี จิตใจแช่มชื่นสบาย ลูกหลานก็พลอยมีความสุขไปด้วย อันนี้ก็คือเป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลทั้งนั้นแหละ ทั้งหมดนี้เราใช้คำเดียวว่าไปทำบุญ นี่ได้ความหมายครบถ้วนเลย มีทั้งหนึ่ง-ศรัทธา เป็นคุณธรรมสำคัญที่ผูกพันเราไว้กับพระศาสนาและพระรัตนตรัย พอมีศรัทธาเราก็มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ จิตใจของเราก็สดใส มีกำลัง มีทางที่มุ่งวิ่งแล่นไป ไม่หงอยเหงา ไม่เหี่ยวเฉา แล้วก็ไม่ว้าเหว่ คนที่มีศรัทธานี่มีเพื่อนใจอยู่แล้ว แล้วก็มีเมตตากรุณาอย่างที่กล่าวแล้วเนี่ย นอกจากเมตตากรุณาในครอบครัว ก็คือเมตตาไมตรีธรรมต่อกันในหมู่พุทธบริษัท ญาติมิตรทั้งหลายที่พบเห็น คนที่มาก็หน้าตาแช่มชื่นผ่องใส ก็นึกถึงแต่เรื่องบุญและปรารถนาดีต่อกัน ทางพระสงฆ์ก็มีเมตตากรุณาหวังดีต่อญาติโยม ญาติโยมก็มีความปรารถนาดีต่อพระสงฆ์ แล้วมาที่ว่า ผลก็คือเกิดปิติปราโมทย์และปิติสุข ก็อยากจะย้ำหน่อยว่าคุณสมบัติทางจิตใจ ปิติปราโมทย์นี้เราไม่ค่อยได้พูดกัน ในทางธรรมะท่านถือว่าสำคัญมาก อย่างคุณพ่อคุณแม่มีเมตตากรุณาต่อลูกเนี่ย นั่นคือแผ่ออกไป ข้างนอกเราแผ่เมตตากรุณาออกไป พร้อมกันนั้นข้างในเราก็ได้ปิติปราโมทย์ เจริญงอกงามขึ้นมา มันจะมาด้วยกัน แล้วปิติปราโมทย์ ปิติก็คือความปลาบปลื้มใจ แล้วก็ปราโมทย์ ความเบิกบานใจ ร่าเริงเบิกบานใจเนี่ย คุณสมบัติสำคัญ แล้วคอยย้ำอยู่เสมอว่าเป็นชาวพุทธแล้ว จะเจริญงอกงามในธรรมจะต้องมีคุณสมบัติประจำใจ ข้อปิติปราโมทย์ เริ่มตั้งแต่ปราโมทย์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ขอยกมาให้ฟังอีกครั้งหนึ่งบอกว่า ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ แปลว่า ภิกษุผู้มาด้วยปราโมทย์จะกระทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป ก็คือจะบรรลุนิพพาน ฉะนั้นใจคนไหนที่มีปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ เป็นพื้นอยู่ได้เนี่ย เป็นคนที่ใกล้พระนิพพานแล้ว แล้วต่อจากนั้นก็มีปิติ ความอิ่มใจ อย่างที่บอกเมื่อกี้เนี่ย ได้ทำความดีอะไร ได้ทำบุญทำทาน ร่วมกิจกรรมการกุศล เราได้ทำความดี เราได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริม ถวายกำลังแก่พระศาสนา เราได้มีส่วนร่วมในการทำให้สังคมดีงาม นึกขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มีปิติอิ่มใจ แต่ทั้งหมดนี้จะต้องมีตัวหนึ่งที่คอยนำทางไว้ ก็คือปัญญา เพราะเรารู้เข้าใจเหตุผล เรามองกว้างออกไป เห็นว่าที่เราทำนี้ กิจกรรมที่เราทำ การทำบุญของเรามีความหมายอย่างนี้ๆ ตนเองเราได้ทำบุญทำกุศล ในทางพระศาสนาเราได้ทำหน้าที่พุทธศาสนิกชน ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคง ต่อสังคม เราได้ช่วยให้สังคมนี้ อยู่ในความดีงามอะไรอย่างนี้ เรามองได้อย่างนี้เพราะอะไร เพราะปัญญา ยิ่งมีปัญญาเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวปัญญาตัวนี้จะทำให้เรายิ่งเกิดปิติ แล้วความสุข แล้วปิติปราโมทย์พร้อมทั้งคุณธรรมอื่นๆ ศรัทธา แล้วก็ยิ่งมั่นคง เราเข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นความจริง มีเหตุมีผลอย่างนั้น ศรัทธาของเราก็ยิ่งเพิ่มพูน เรายิ่งเข้าใจโลกกับชีวิต เข้าใจทุกข์สุขของคนอื่น ก็ยิ่งมีความเมตตากรุณาเพิ่มขึ้น ฉะนั้นปัญญานี้ก็ขาดไม่ได้ ก็เป็นตัวที่ช่วยปรับ ช่วยพัฒนาคุณธรรมอื่นๆ ให้สูงยิ่งขึ้นไป แต่ในที่นี้นั้นอยากจะเน้นเรื่องปิติปราโมทย์ เพราะว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญของชาวพุทธที่เราอาจจะมองข้ามไป พระพุทธเจ้าตรัสอยู่เสมอ ว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้าไปเนี่ย ก็จะมี ปราโมทย์ ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ แล้วก็คนชาวพุทธนี่จะไม่เป็นโรคเครียด เพราะว่ามีใน 5 ตัวนี้ ปราโมทย์ ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ปัสสัทธิแปลว่าผ่อนคลาย ไม่เครียด ก็ทำจิตใจได้ดี วางใจต่อสิ่งทั้งหลายถูกต้องหมด เริ่มตั้งแต่มีปัญญา อย่างที่บอก วันนี้ก็ญาติโยมมาทำบุญทำกุศลโดยเฉพาะเจาะจงก็เป็นวันมาฆบูชา ทีนี้กุศลอย่างที่ได้อย่างเมื่อกี้นี้ ได้ทุกกิจกรรม ไม่เฉพาะวันมาฆบูชา ส่วนในวันมาฆบูชาเราก็จะมาพูดกันถึงเรื่องความหมายจำเพาะ ความหมายจำเพาะของวันมาฆบูชานี่ สำหรับปีนี้คิดว่าไม่น่าต้องพูดอะไรมาก เพราะพูดมาหลายปีแล้ว ก็พูดมาเรื่อยๆ แง่โน้นแง่นี้ ทีนี้พูดไปพูดมาหลายๆ ปีเข้า พอแม่นยำชัดเจนแล้ว ก็เข้าอยู่ในความจำของญาติโยม พอเข้าไปอยู่ในความจำแล้วทีนี้ ยกขึ้นมาเป็นหัวข้อพอ พอนึกหัวข้อขึ้นมา โยมก็นึกขยายความหมายในใจของตัวเองได้ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็สบายแล้ว อาตมาภาพก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก พอถึงวันมาฆบูชาก็บอกว่า เอาละนะโยมวันนี้เป็นวันจาตุรงคสันนิบาติ พอพูดว่าจาตุรงคสันนิบาติ โยมก็ขยายความในใจเสร็จเลย การประชุมที่เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาติ นั้นก็พร้อมด้วยองค์สี่มีดังต่อไปนี้ ใจบอกตัวเองไป อาตามาไม่ต้องพูดแล้ว ทีนี้พอมี จาตุรงคสันนิบาติ พระสาวก 1,250 รูปมาประชุมกันพร้อมแล้ว ก็บอกต่อไปว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ พอบอก โอวาทปาฏิโมกข์ ก็ไม่ต้องขยายความแล้ว ก็อาจจะยกหัวข้อขึ้นมา โยมก็ขยายความในใจ ฉะนั้นอาตมาภาพวันนี้ขอถือโอกาสเป็นว่า ถือว่าโยมได้ฟังมาหลายปีแล้ว คำอธิบายของคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ ปีนี้ ถือว่าไม่ต้องอธิบาย ก็เลยจะยกมาให้ฟังเฉพาะตัวกระทู้ คือตัวหัวข้อนี่ ภาษาไทยโบราณเขาเรียกว่ากระทู้ แล้วจากกระทู้นี้ก็เอาไปขยายความอีกที แล้วทั้งหมดนี้ก็มีอยู่ 3 คาถาครึ่ง อาตมาภาพจะว่าไปแล้วโยมนึกในใจนะ ถ้าใครเก่งจริงล่ะก็ขยายความได้เลย แปลได้ก่อน แล้วก็ขยายความได้ โดยเฉพาะเด็กๆ เด็กเป็นนักจำเพราะฉะนั้นช่วยด้วย ช่วยคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย เวลาฟังพระว่าแล้วก็เด็กทั้งหลายให้นึกในใจตามไปด้วย ฉันจำได้หรือเปล่า
คาถาที่หนึ่ง- ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา นิพพานัง ปรมังวะทันติพุทธานะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตีสะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต
เอาละ จบคาถาที่หนึ่งแล้ว ถามตัวเองว่าแปลได้ไหม ขยายความได้ไหม เก่งจริงตอนนี้ต้องขยายความได้ชัดเจน
คาถาที่สอง- สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนัง คาถานี้หลายท่านบอกสบาย ง่ายมาก คาถานี้ได้ยินบ่อย เป็นคาถาที่พระพูดบ่อยที่สุด ก็ถือว่าเป็นการประมวลหลักพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจภาคปฏิบัติ
คาถาที่สาม พร้อมกับคาถาครึ่งสุดท้าย เรียกว่าคาถากึ่ง ว่าดังนี้
อนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาติโมกเข จะ สังวะโร มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง อะธิจิตเต จะ อาโยโค เอตัง พุทธานะสาสะนัง
จบแล้ว โอวาทปาฏิโมกข์ มีเท่านี้ ถือได้ว่าครอบคลุมคำสอนในพระพุทธศาสนาได้เหมือนกัน เป็นวิธีแสดงอย่างหนึ่ง การที่ว่าจะรวบรวมประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วคาถาทั้ง 3 คาถากึ่งนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอง เมื่อกี้อาตมาบอกแล้วนะว่าจะไม่อธิบายแล้วปีนี้ ถือว่าโยมฟังมาหลายปีแล้ว เข้าใจเอง แต่ว่าบอกอีกนิดหนึ่งว่า คาถาที่จำกันแม่นก็คือคาถา สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง เป็นต้น ที่แปลว่าไม่ทำชั่ว ทำความดีให้เต็มพร้อม และทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ สามอย่างนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อันนี้จำกันแม่น แล้วโยมมากันวันนี้ก็ได้ทำทั้งสามอย่างนี้ อย่างน้อยควรตรวจสอบตัวเองว่าเราได้ไหม ถ้าได้ละก็ ได้คะแนนเต็มร้อยเลยในการมาร่วมพิธีมาฆบูชา ถ้าว่าโดยรวบรัดท่านก็บอกว่าสามอย่างนี้ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส ก็คือศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง ไม่ทำชั่ว เว้นจากการเบียดเบียนกัน เป็นต้น นี่เป็นภาคศีล โยมมาวันนี้ได้ศีลแล้ว สำรวมกิริยาวาจา สงบ อยู่ในระเบียบวินัย มีวัฒนธรรมประเพณีอันดี ส่งเสริมวินัยของสังคมด้วย ถ้าสังคมของเราสงบเรียบร้อย อย่างโยมนี่สบาย อย่างพูดถึงมาทำบุญทำกุศลไม่เบียดเบียนใคร ไม่ก่อให้ใครเดือดร้อน ก็เรียกว่าเป็นศีล จะพูดจะจาอะไร เจรจาวาจาก็สุภาพอ่อนโยน พูดกันแต่เรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องทำความดีทั้งนั้นเลย ทีนี้ต่อไป จิตใจของญาติโยมที่มา ก็มีอย่างที่บอกเมื่อกี้มีศรัทธา มีเมตตากรุณา มีปราโมทย์ มีปิติ เป็นต้น เป็นจิตใจที่ดี อันนี้จิตใจมุ่งไปแน่วแน่มั่นคงในการกระทำความดี ทำบุญ อันนี้เป็นสมาธิหมดเลย เสร็จแล้วก็มีปัญญารู้เข้าใจความหมายของวันมาฆบูชา รู้เข้าใจเรื่องหลักพระพุทธศาสนา รู้เข้าใจเหตุผลที่เรามาทำกันในวันนี้ทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งนำเอาคำสอนที่เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์มาศึกษา ไปวิเคราะห์วิจัยให้เข้าใจชัดเจนลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้คือเรื่องปัญญา เราก็จะก้าวไปในศีล สมาธิ ปัญญา ก็ถือว่าวันนี้โยมได้หมดแล้ว เป็นอันว่าหัวข้อของโอวาทปาฏิโมกข์ที่เป็นหลักคำสอนในวันมาฆบูชา ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญของมาฆบูชานั้น ครบหมดแล้ว อันนี้ก็เป็นเรื่องอย่างหนึ่งที่ว่าต้องเป็นความจำ เวลามาเป็นหัวข้ออย่างนี้ก็เป็นเรื่องความจำ ความจำนี่เป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน เดี๋ยวนี้บางทีไปพูดกันว่า ไม่ต้องเอาแล้วความจำ อันนี้ก็ไปสุดโต่ง ถ้าจะเอาแต่ความจำก็ไปสุดต่างอีกทาง ทำยังไง ก็ต้องมีทั้งความเข้าใจและความจำ โดยปกติเนี่ยคือเราจะศึกษาอะไร เราก็ทำความเข้าใจให้ดีให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เข้าใจดีแล้วทีนี้ก็จำได้ จำนี่เหมือนกับว่าเราเนี่ยนะ ได้น้ำตาลน้ำหวานจากต้นอ้อยมาก็ดี จากต้นตาลก็ดี มันเยอะแยะ มันเป็นน้ำก็เก็บยาก เราก็มาผ่านกระบวนการเคี่ยวซะ ให้มันงวดจนกระทั่งว่าได้เป็นเกล็ดเป็นก้อนอะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ มันเหลือนิดเดียว เก็บง่าย จะพกพาไปไหนก็ได้ พอถึงเวลาจะใช้ก็เอาออกมาปั๊บ ละลายน้ำ ขยายกระจายออกไปใช้ได้เลย คนที่ปฏิบัติถูกต้องก็ต้องได้อย่างนี้ ทั้งเข้าใจดี แล้วก็จำได้ เอามาใช้ทำประโยชน์สำเร็จ ต้องได้ทั้ง 3 ขั้น คนที่จะเอาไปใช้ทำประโยชน์สำเร็จก็ต้องมีข้อมูล ข้อมูลนี่จะเอามาทำให้สำเร็จก็เอามาคิด พอคิดแล้วก็คิดออกไปด้วยวิธีการคิดที่ถูกต้อง อย่างที่พระเรียกว่า โยนิโสมนสิการ ก็เอามาใช้แก้ปัญหา ใช้ประยุกต์การสร้างสรรค์ในงานเฉพาะกิจเฉพาะกรณีได้หมด อันนี้ก็เรียกว่าครบวงจร หรือครบกระบวนการ ต้องครบทั้ง 3 ขั้น ทีนี้บางคนก็เอาจดบ้างจำบ้าง เราก็ต้องเลือกเหมือนกันว่าตรงไหนเราเข้าใจดีแล้ว เป็นเรื่องสำคัญแค่ไหน ส่วนนี้จดไว้ ส่วนนั้นจำ จดนี่บางทีมันหาไม่ทัน พอถึงเวลาจะใช้ ฉะนั้นอันไหนสำคัญจริงๆ ต้องคัดไว้ แล้วก็จำ อย่างนี้เราก็รู้จักใช้ จำไม่เป็น จำอย่างเดียว ไม่เข้าใจ ก็เป็นนกแก้วนกขุนทอง ก็ดีไหม ก็ดีเหมือนกัน ก็ได้แค่นกแก้วนกขุนทอง ก็ยังดี ดีกว่าคนไม่ได้ ใช่ไหม ก็พูดเป็นนกแก้วนกขุนทองไป แต่ว่ามันไม่ได้เกินกว่านั้น เพราะฉะนั้นจะบอกว่าจำอย่างเดียวไม่พอ ต้องอย่างนี้ อย่าบอกว่าอย่าไปจำ บอกจำอย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจด้วย แล้วก็ใช้ประโยชน์สำเร็จด้วย ต้องทั้ง 3 ขั้น ถ้าได้อย่างนี้คนที่จำดีก็มีข้อมูล เพราะสำเร็จรูป จะใช้การใช้งานนี้มันทันทีทันใจ ล้วงออกมาได้ฉับพลัน นี่ก็เป็นเรื่องของหัวข้อโอวาทปาฏิโมกข์ ถ้าโยมจำได้ก็สบาย ต่อไปจะต้องจำได้ทุกคน หวังว่าอย่างงน้อยทุกท่านโดยเฉพาะเด็กๆ ต้องจำได้แล้ว 1 คาถา ในคาถา 3 กึ่งนั้น สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง เอตัง พุทธานะสาสะนัง อันนี้จำไว้ให้แม่นเลย เพราะฉะนั้นเราจะไม่ชัดเจนเวลาเราไปพูด หลักของพุทธศาสนาว่าไง คนที่จำได้แม่น จะพูดออกมา แม้แต่ตัวอักษรยังถูกต้องเลย แล้วมันก็แม่ยำ ฉะนั้นความจำนั้นมันช่วยให้เนื้อหาต่างๆ มันแม่นยำด้วย ฉะนั้นทางโบราณท่านจึงถือว่า ทรงจำ ทรงเอาไว้ได้ เก็บรักษาเอาไว้ได้ ไม่งั้นมันไม่อยู่ ก็ได้เปรียบ คนที่ทั้งจำได้ เข้าใจดี เอาไปใช้ประโยชน์ได้สำเร็จนี่ เป็นคนได้เปรียบครบวงจร หรือเต็มกระบวนการ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ควรจะย้ำกันไว้ วันนี้ก็เอากระทู้โอวาทปาฏิโมกข์มาพูดให้ฟัง เพื่อจะเป็นเครื่องเตือนใจเรา ที่ท่านทำมาให้อย่างนี้ก็เหมาะแก่การจำแล้ว เพราะว่าสั้นๆ แล้วไปขยายความเอา จะอธิบายพระพุทธศาสนาอย่างไร ก็อธิบายได้หมด เมื่ออาตมาพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็บอกหัวข้อไปหมดแล้ว แล้วก็บอกไม่อธิบายแล้ว วันนี้จะพูดอะไรล่ะ ก็หมดเรื่องที่จะพูดสิ ที่จริงไม่หมด เพราะว่าเรื่องของหลักธรรมนี้มีแง่ให้พูดเยอะ พูดในแง่ไหนๆ ก็ได้ ทีนี้วันนี้มีเรื่องอยากจะพูดสักแง่หนึ่ง ก็คือเวลานี้ชักจะมีความสับสน เพราะเหตุที่ว่าวันมาฆบูชามีวันหนึ่งมาใกล้เข้า แล้วพอถึงวันนั้นคนก็มาพูด แถมพาดพิงมาฆบูชาซะด้วย คือวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะปีนี้ก็มาใกล้กันมาก เมื่อ 2 วันที่แล้ววันที่ 14 เป็นวันวาเลนไทน์ พอถึงวันวาเลนไทน์ก็มีการพูดกันโยงมาหาวันมาฆบูชาด้วย เราก็ต้องใช้สิทธิพาดพิง ก็พูดถึงสิทธิพาดพิงซะหน่อย ทีนี้วันนั้นหลวงลุงที่วัด ท่านไปอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังตอนเย็น ท่านก็อ่านไปก็มีข่าวหนึ่งบอกว่าท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่สนับสนุนวันวาเลนไทน์ ให้สนับสนุนวันมาฆบูชา ว่าอย่างนั้น แล้วก็มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ ในบรรดาผู้วิพากษ์วิจารณ์ก็มีหลายอย่าง เช่น บางคนก็บอกว่าวันวาเลนไทน์เขาก็เป็นวันสำคัญสากลนี่นะ ก็ควรจะได้ร่วมอะไรต่างๆ บางคนก็บอกว่าเป็นวันแห่งความรัก เดี๋ยววันแห่งความรักก็ว่ากันไป ไม่รู้รักแง่ไหนๆ ก็เลอะกันหมดเลย ทีนี้มันกลายเป็นว่านี่เราทำอะไรเราทำด้วยความรู้ความเข้าใจชัดเจนหรือเปล่า เพราะฉะนันวันนี้อยากจะแยกให้ชัด เมื่อเราชัดแล้ว ไม่ใช่พูดนอกเรื่อง แต่เป็นการที่ทำให้โยมมีสมาธิในการร่วมพิธีมาฆบูชา เพราะถ้าเรายังคลุมเครือสับสนปนเปอยู่ แล้วก็ทำอะไรต่ออะไรจิตใจมันไม่มั่นไม่คง มันสับสน มันวุ่นวายวอกแวก ฟุ้งซ่านได้ง่าย ถ้าโยมรู้เข้าใจอะไรต่ออะไรชัดเจนแล้วเนี่ย มันจะทำอะไรด้วยความมั่นใจ เต็มใจ เกิดสมาธิได้ง่าย เพราะปัญญามันดี ปัญญาเป็นตัวชำระสะสางให้จิตบริสุทธิ์ อย่าคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ที่ว่า สะจิตตะปะริ โยทะปะนัง ปัญญาเป็นตัวชำระใจให้ผ่องใส จิตมันก็จะบริสุทธิ์จากเครื่องรบกวน ใจก็เป็นสมาธิแน่วแน่ไปในการทำความดี ถ้าโยมยังไม่รู้ เข้าใจสับสน มันก็วอกแวกวอแว ฟุ้งซ่านไปเรื่อย อันนี้ปัญหาเรื่องสังคมไทยเวลานี้ก็คือ เรามักจะแสดงความเห็นกันมากแต่ไม่หาความรู้ ต้องย้ำกันบ่อยๆ มีอะไรเข้ามาก็ทำตามๆ กันไป ตื่นตามเสียงเล่าลือบ้าง คิดกันไป ว่ากันไปบ้าง แสดงความเห็นกันเกลื่อนหมด รวมทั้งเรื่องวาเลนไทน์ แสดงความเห็นแล้วรู้ไหมว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ฉะนั้นเราจะต้องมีความรู้เข้าใจสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรานี่ให้ชัด คนที่รู้เข้าใจอะไรชัดเจนแล้วเนี่ยนะ มันวางตัววางใจต่อเรื่องนั้นได้ถูกต้อง เข้าไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ พอรู้ชัดเจน แต่ถ้าไม่รู้มันวางตัววางใจไม่ถูก ทีนี้นอกจากวางตัววางใจถูกแล้ว มันสามารถทำอะไรต่อสิ่งนั้น ปฏิบัติการกับสิ่งนั้นได้อย่างพอเหมาะพอดีด้วย ถ้ามันไม่รู้จริง มันทำให้พอเหมาะไม่ได้ มันก็ปั่นป่วน มันก็ทำเอาตามที่คิดที่ฝันเอา ละเมอเพ้อพกไป ฉะนั้นเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกิจกรรม วัฒนธรรมประเพณีเนี่ย อยากจะฝากไว้ว่าควรจะมีหลักการ ให้ได้องค์ประกอบในการปฏิบัติสักอย่างน้อย 3 ประการด้วยกัน ประการที่หนึ่งก็คือทำด้วยความรู้ความเข้าใจให้ชัดเจนที่สุด โดยใช้สติปัญญา นี่อันที่หนึ่ง สอง-ทำแล้วเป็นการส่งเสริมความดีงามของชีวิตและสังคม หรือทำให้เกิดความก้าวหน้าในทางสร้างสรรค์ ต้องดูว่าทำแล้วมันส่งเสริมความดีงามของชีวิตและสังคมหรือเปล่า ช่วยให้สังคมก้าวหน้าไปในการสร้างสรรค์ไหม กิจกรรมจะเป็นวันอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็สาม-คือว่าถ้าจะมีการสนุกสนานบันเทิงต้องไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อันนี้เป็นหลักการสำคัญสามประการนี้ แล้วสังคมนั้นจะดีเพราะว่าการที่เรามีประเพณีมีกิจกรรมต่างๆ นี้มันต้องการให้เป็นวัฒนธรรม เมื่อเป็นวัฒนธรรม มันก็เป็นเครื่องช่วยให้สังคมนั้นดีงาม งดงาม แล้วก็เจริญงอกงามต่อไปด้วย ฉะนั้นก็ต้องมีหลักการทั้ง 3 ประการนี้ โดยเฉพาะเริ่มต้นต้องมีความรู้ความเข้าใจชัดเจน เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะขอโอกาสพูดเรื่องวันวาเลนไทน์ด้วย แต่การพูดในวันนี้เป็นการพูดให้ความรู้ เป็นการพูดตามมันเป็น ไม่มุ่งประสงค์ในการวิพาก์วิจารณ์ว่าใครเป็นอะไร ทำยังไง ให้ความรู้ตามที่มันเป็น การรู้ตามที่มันเป็นนี่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐาน ที่บอกเช่น ยกขึ้นมาเลยตอนต้นตั้งแต่บอกว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญสากล คำว่าสากลในภาษาไทย เดี๋ยวนี้เรามักจะเอาฝรั่งเป็นสากล คำว่าสากลนี่มันต้องทั้งหมดทั้งสิ้น ทั่วโลก แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นมานานแล้วเมืองไทย เห็นอะไรเป็นฝรั่งก็เป็นสากล เสื้อผ้าชุดสากลก็คือชุดฝรั่ง ทีนี้ต่อมาวันนี้สากล ก็เป็นวันฝรั่ง แต่ว่าเป็นวันสำคัญฝรั่งหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำนะ ฝรั่งเป็นสากลนั่นขั้นหนึ่งแล้ว ทีนี้เป็นวันสำคัญของฝรั่งจริงหรือเปล่า ก็ให้มาพิจารณาดู ได้เคยสืบกันหรือเปล่า ดูสิว่าวัน
วาเลนไทน์เป็นวันสำคัญของฝรั่งไหม หนึ่ง-ในแง่ของทางบ้านเมือง สอง-ทางศาสนา ในแง่หนึ่งก็คือในแง่ของบ้านเมือง เอาเมืองฝรั่ง ฝรั่งที่เด่นปัจจุบันก็คือประเทศอเมริกา ประเทศอเมริกามีวันสำคัญ ของชาติที่หยุดราชการทั้งประเทศเนี่ยกี่วัน อะไรบ้าง ถ้าเอาหยุดราชการทั้งประเทศ ถ้าถอยหลังไปก่อนปี 1968 1968 นี่เด็กต้องบอกได้เลย จะทำให้เป็นพุทธศักราช เอาไง บอกได้ไหม เด็กต้องบอกได้ทันที บอกว่าเอา 543 บวกเข้าไป เมื่อ 543 บวกเข้าไป ก่อนปี ค.ศ. 1968 นี่ก็คือก่อน พ.ศ. 2511 ก่อน พ.ศ.2511 อเมริกามีวันสำคัญหยุดราชการทั้งประเทศอยู่ 8 วัน มีวันอะไรบ้าง ก็มี
หนึ่ง-New Year’ s day วันขึ้นปีใหม่
สอง- Washington’s birthday วันเกิดของ George Washington ก็คือวันเกิดของผู้นำของอเมริกาที่ทำสงครามเพื่ออิสรภาพของประเทศอเมริกา แล้วก็เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกาด้วย
สาม- Memorial day วันที่ระลึกถึงทหารที่เข้าร่วมสงครามพลีชีพเพื่อประเทศชาติอเมริกา
สี่- Independence day วันประกาศอิสรภาพ วันที่ 4 กรกฎาคม ก็เรียกกันง่ายๆ ว่า วันชาติอเมริกัน
ห้า- Labor day วันแรงงาน
หก- veteran’s day วันทหารผ่านศึก
เจ็ด- Thanksgiving day วันขอบคุณพระเจ้า เป็นการระลึกถึงบรรพบุรุษอเมริกันรุ่นบุกเบิก ที่เดินทางหนีภัยมาจากยุโรป แล้วมาขึ้นฝั่งที่อเมริกา แล้วประมาณครึ่งหนึ่งรอดชีวิตผ่านฤดูหนาวปีแรกไปได้ โดยมีพวกอินเดียนแดงเป็นต้น มาช่วยเหลือ อันนี้ฝรั่งก็ถือเป็นวันขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เขารอดชีวิตมาได้ อเมริกานี่วัน thanksgiving เป็นวันสำคัญของอเมริกาที่มี ทั้งประเทศหยุด เมื่อ 383 ปีมาแล้ว
แปด- วันคริสตร์มาส ก็รู้กันอยู่แล้ว เป็นวันที่ถือเป็นวันเกิดของพระเยซู เป็นวันประสูติ ครบแล้ว
ต่อมาปีนั้นแหละ 1968 เขาก็เพิ่มวันสำคัญที่หยุดราชการของประเทศอเมริกาขึ้นมาอีก 1 วัน คือวัน Columbus day วันที่ระลึกถึงโคลัมบัส ซึ่งถือว่าเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา แล้วต่อมาปี 1986 เด็กบวกทันที 543 บวกเข้าไป ได้เท่าไหร่ ได้ พ.ศ. 2533 พอ พ.ศ. 2533 อเมริกาก็เพิ่มวันหยุดราชการเข้าไปอีกวันหนึ่งคือ Martin Luther king’s birthday วันเกิดของมาติน ลูเธอคิง ที่เป็นหัวหน้า Civilize movement ที่ดิ้นรนเพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของชาวผิวดำ นี่คือวันอเมริกาที่หยุดราชการทั้งหมดมี 10 วันในปัจจุบันนี้ มีอีกไหม ไม่มีแล้วนะ ทีนี้ต่อไปอเมริกานี่เขาให้มีรัฐแต่ละรัฐ ประกาศหยุดราชการของรัฐขึ้นต่างหากได้ พิเศษเพิ่มจาก 10 วันนี้ แต่ละรัฐๆ ก็มีของตัวเอง แล้วเขาก็สรุปบอกว่าในบรรดาวันทั้งหลายที่เป็นวันของรัฐต่างๆ นั้น ไม่มีวันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญของรัฐใดทั้งสิ้นในประเทศอเมริกา ให้ไปตรวจสอบดู อันนี้ก็เป็นอันว่าให้รู้กันไป ต้องรู้กันตามความเป็นจริง ต้องรู้ ไม่ใช่อยู่กันด้วยความลุ่มหลง ทำไปเรื่อยๆ เปื่อยๆ
ต่อไปทีนี้ในแง่ศาสนา ในแง่ศาสนานี่เป็นยังไงชื่อเต็มของวันวาเลนไทน์ เขาไม่ได้เรียกแค่ วาเลนไทน์เดย์ เขาเรียก เซนต์วาเลนไทน์เดย์ คือวันเซนต์วาเลนไทน์ เซนต์ก็คือนักบุญ เมื่อเป็นนักบุญก็มาเป็นในศาสนาคริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก สมัยก่อนนี้นิกายโรมันคาทอลิกก็ถือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเซนต์วาเลนไทน์ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง จนกระทั่งต่อมาเขาก็มีการชำระสะสางปฏิทินวันสำคัญของศาสนา
คริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อปี 1969 ก็ต่อจากวันที่รัฐบาลอเมริกันประกาศวันโคลัมบัสนั่นแหละ ปีต่อมา ปี 1969 ก็คือปี พ.ศ.2512 ทางองค์กรศาสนาคริสตร์ที่วาติกันก็มีการชำระสะสางปฏิทิน แล้วก็ปรากฏว่ามีวันสำคัญต่างๆระลึกถึงเซนต์ต่างๆ มากมาย ใครที่ไม่มีความชัดเจนแน่นอน มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ในที่สุดก็เลยจัดการปลดวันเหล่านั้นออก วันสำคัญในปฏิทินศาสนาคริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก ก็ปรากฏว่าปีนั้นได้ปลดวันวาเลนไทน์ออกมาด้วย เพราะฉะนั้นเวลานี้วันวาเลนไทน์ถูกถอดออกไปแล้ว ไม่มีในปฏิทินศาสนาคริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก แล้วถามว่าแล้วเป็นวันอะไร ฝรั่งก็บอกว่ากันให้ชัดเลยเรื่องวันวาเลนไทน์ ว่าวันวาเลนไทน์มีความเป็นมาอย่างไร สันนิษฐานได้ 3 อย่าง อย่างที่หนึ่ง-เขาไปค้นพบในคำประพันธ์ของกวีชื่อชอเซอร์ เป็นกวีของอังกฤษ เมื่อประมาณ 650 ปีมาแล้ว เป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษในสมัยกลางของยุโรป กวีผู้นี้เขียนคำประพันธ์ไว้ตอนหนึ่ง ก็บอกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเซนต์วาเลนไทน์นั้นเป็นวันที่นกทั้งหลายเริ่มเลือกคู่ เอาละ นี่เป็นวันที่ค้นค้าได้เก่าแก่ที่สุด ก็คือเป็นวันที่นกเลือกคู่ อันที่หนึ่ง ต่อมาข้อสันนิษฐานที่สอง –ก็บอกว่าวันวาเลนไทน์นี้อาจจะสืบเนื่องมาจากเทศกาลของชาวโรมันโบราณ พวกโรมันโบราณก็คือพวกที่ครอบครองยุโรป ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น สมัยก่อนนี้อยู่ใต้อำนาจอาณาจักรโรมัน อาณาจักรโบราณนี้ก็มีเทศกาลหนึ่งเรียกว่า
เทศกาลLupercalia เทศกาลนี้ก็บูชาเทพเจ้าชื่อลูเปอร์คุส เป็นเทพเจ้าที่ปกป้องพิทักษ์ฝูงแกะและผู้เลี้ยงแกะ ก็เรียกว่าเป็นเทพเจ้าของคนเลี้ยงแกะ ให้พ้นจากอันตรายจากการรบกวนของหมาป่า คือหมาป่ามันเข้ามากินแกะกินอะไร ทำให้เดือดร้อน เขาก็เรียกว่าเป็นเทศกาลเจริญพันธุ์ ก็คือช่วยให้แกะนี่มันแพร่ขยายพันธ์ได้ ไม่งั้นมันโดนเจ้าหมาป่ามารบกวน มากัด มากิน ก็เลยถือเป็นเทศกาลเจริญพันธุ์ รวมทั้งเทศกาลเจริญพันธุ์ของพวกผู้เลี้ยงแกะทั้งหลายด้วย ทีนี้เทสกาลลูเปอร์คาเลีย ของพวกโรมันโบราณนี้มาลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ทีนี้พวกนี้นับถือศาสนาคริสตร์ พวกยุโรปเนี่ย นับถือศาสนาคริสตร์ มีเซนต์ต่างๆ มีเซนต์วาเลนไทน์ มีเซนต์อะไรต่างๆ เกิดมาในพื้นที่ถูกประหารชีวิต ถูกพวกโรมันประหารชีวิตนั่นเอง เพราะตอนแรกพวกโรมันไม่นับถือคริสตร์ก็จัด ศาสนาคริสตร์ก็คนถูกฆ่าตายได้เป็น??? เป็นผู้อุทิศตัวเพื่อศาสนานี่กันมาก ก็มีเซนต์วาเลนไทน์ขึ้นมา 2 ท่าน อันนี้ฉลองเทศกาลเซนต์วาเลนไทน์ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ แต่ว่าความหมายมันกลายเป็นเรื่องของการเจริญพันธุ์ เป็นเทสกาลลูเปอร์คาเลียของโรมันโบราณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ หมายความว่าเขาคิดว่าฝรั่งเอามาสับสนปนเป ก็เลยมาฉลองวันเดียวกัน ตัววันเป็นวันของเซนต์วาเลนไทน์ แต่ความหมายเป็นของ
เทสกาลลูเปอร์คาเลีย ของโรมันโบราณ ก็คือเป็นเทศกาลเจริญพันธุ์ fertility festival อันนี้ก็เป็นสันนิษฐานที่สอง ต่อไปสันนิษฐานที่สาม- ก็คือว่าพวกโรมันโบราณนี้ปกครองยุโรปมาอย่างที่ว่าเมื่อกี้แล้ว มา ศาสนาคริสตร์ก็ถูกห่ำหั่น ถูกจับฆ่ากัน จนกระทั่งต่อมาพวกโรมันโบราณนี้ ก็มีถึงยุคพระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1 ที่ได้เปลี่ยนมาเป็นชาว
คริสตร์ แล้วก็ยก ศาสนาคริสตร์ก็ได้เป็นศาสนาประจำรัฐของจักรวรรดิโรมัน ทีนี้ในระหว่างนี้ ช่วงต้นๆ ก็มีปัญหา มีเซนต์วาเลนไทน์ขึ้นมาอย่างน้อย 2 คน เรื่องก็ไม่ชัดเจนว่าเซนต์วาเลนไทน์ 2 คนนี้ จริงๆ เป็นคนเดียวกันหรือเปล่า ประวัติยังไงแน่นอน ก็ไม่รู้ก็มีเรื่องเล่ากันมา เซนต์วาเลนไทน์หนึ่งก็มีเรื่องเล่าว่าท่านจักรพรรดิโรมันชื่อ เคลาดิอุส ที่ 2 เมื่อปี 240 แห่งคริสตศักราช จักรพรรดิผู้นี้ประกาศไม่ให้ชายหนุ่มแต่งงาน เพราะว่าชายหนุ่มควรจะไปเป็นนักรบในสงครามมากกว่า เมื่อประกาศห้ามไม่ให้ชายหนุ่มแต่งงานแล้ว ทุกคนต้องถือปฏิบัติ ที่นี้ในศาสนาคริสตร์นั้น บาทหลวงเขาทำพิธีในการที่จะเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงานด้วย ปรากฏว่าท่านบาทหลวงวาเลนไทน์เนี่ย ไปฝืนคำสั่งของพระจักรพรรดิโรมัน ก็ไปประกอบพิธีแต่งงานให้กับชายหนุ่มหญิงสาว ก็เลยถูกจักรพรรดิโรมันจับไปประหารชีวิต ฉะนั้นเรื่องของเซนต์วาเลนไทน์ก็เลยเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องของคู่รักเข้าไป อันนี้ก็เป็นนิทานที่หนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน สันนิษฐาน ต่อไปก็มีเรื่องที่สอง เขาบอกว่าท่านวาเลนไทน์เนี่ย จักรพรรดิโรมันจับด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แล้วระหว่างที่ขังคุกเนี่ย ก็ได้ทำบุญคุณให้แก่ผู้ที่จับตัวท่าน คือว่าลูกสาวของฝ่ายพวกที่จับท่านคือพวกโนมันนี่ คงจะเป็นโรมัน ลูกสาวแกตาบอด เซนต์วาเลนไทน์ช่วยทำไงก็ไม่รู้ ทำให้ลูกสาวของคนนี้เขาหายตาบอดได้ ก็เลยทำให้เกิดความดีงามขึ้นมาเป็นที่ระลึกก็เลยมีความหมายเกี่ยวกับความรัก นี่ก็เรียกว่าเป็นความเมตตาแล้วทีนี้ แต่ว่าก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องชายหนุ่มหญิงสาวอยู่ ต่อมาก็มีนิทานที่สาม-ก็บอกว่าวาเลนไทน์เป็นผู้ที่ผูกมิตรกับเด็กๆ เด็กทั้งหลายรักมาก แต่ว่าวาเลนไทน์เพราะตอนนั้นไม่ยอมไปบูชาเทพเจ้าของโรมัน ก็เลยถูกพวกโรมันจับไปประหารชีวิต ระหว่างที่ถูกขังอยู่ พวกเด็กๆ เพราะความที่รักท่านวาเลนไทน์ ก็พากันไปเขียนข้อความ ฝากแสดงความเป็นห่วงเป็นใย ไปแสดงความรักไว้ที่ลูกกรง อันนี้ก็เลยเป็นที่มาของการที่มีการเขียนถ้อยคำหรือการ์ดวาเลนไทน์ขึ้นมา ที่เขาสันนิษฐาน นี่ก็เป็นสามนิทานแล้ว ยังมีนิทานอื่นอีก เอาแค่นี้ก็พอ ที่พูดมานี้ก็เป็นการพูดให้รู้ว่า เรื่องวาเลนไทน์นี้ไม่มีความชัดเจน ในที่สุดก็เลยถูกถอดออกจากปฏิทินศาสนาคริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก จบ เป็นอันว่าเวลานี้ ไม่ได้เป็นวันสำคัญของใครทั้งสิ้น ก็เป็น popular festival อย่างที่ว่า ฉะนั้นถ้าจะทำก็ทำกันให้ถูก ทีนี้เพราะเหตุที่ประวัติมันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นคู่รัก ความเจริญพันธุ์ อะไรต่างๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้นฝรั่งเขาเรียกวันนี้ ถ้าเรียกเต็ม ถ้าเรียกปกติก็เรียกfestival of love แต่ถ้าจะเรียกเต็มว่า festival of romantic love อันนี้เรียกให้ถูก คำเต็มเขาว่าอย่างนี้เป็น romantic love ก็คือความรักประเภทฝันหวาน ฝันคร่ำครวญหวนหา อย่างนี้เรียกว่า romantic love ก็คือความรักของหญิงสาวกับชายหนุ่ม ก็เลยเกิดการพัฒนาเรื่องของประเพณี พิธีกรรม การฉลองในวันวาเลนไทน์ ซึ่งถูกยกเลิกไปจากทางการหมดแล้วเนี่ย วันวาเลนไทน์ของชาวบ้านทำไง ถอยหลังไปในโบราณ ถ้าถอยหลังไป ตอนนั้นอังกฤษเป็นใหญ่ อเมริกายังไม่เกิด ถ้าพูดถึงฝรั่งสมัยก่อน ก็ต้องเอาอังกฤษ ฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นเราไปพูดถึงฝรั่งสมัยก่อนฉลองวันวาเลนไทน์อย่างไร เราก็ไปดูอังกฤษ เขาก็ถอยหลังไปให้ดู บอกว่าที่อังกฤษ สมัยก่อนนี้พอถึงวันวาเลนไทน์ ชาวตรู่ก่อนรุ่งอรุณ หญิงสาวทั้งหลายที่เป็นโสด ก็จะรีบตื่นขึ้นมา แล้วก็ไปเยี่ยมมองที่หน้าต่าง เห็นชายหนุ่มคนไหนโผล่ขึ้นมาก่อน แสดงว่าคนนั้นเป็นเนื้อคู่ ถ้าหากว่าไม่ใช่คนนั้น ก็จะเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาลักษณะแม้นละม้ายคล้ายกับคนที่มองเห็นเช้านั้น นี่ก็เป็นการเสี่ยงทายเรื่องเนื้อคู่ แล้วก็มีประเพณีต่อไปอีก เช่นว่า ในอังกฤษเหมือนกัน ก็คือว่าพอถึงค่ำ วันก่อนวันวาเลนไทน์ก็คือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คืนนั้นก่อนจะนอน หญิงสาวก็จะไปเอาใบไม้ชนิดหนึ่ง เขาเรียกว่าใบเบย์ มีกลิ่นหอม มา 5 ใบ แล้วก็ใบหนึ่งก็มาเสียบเข้าที่กลางหมอน แล้วอีก 4 ใบก็เสียบที่มุมหมอนแต่ละมุม เสร็จแล้วคืนนั้นก็ฝัน เวลานอนเนี่ย ด้วยแรงของ จะเรียกว่าอาถรรพ์ก็ไม่ถูก เพราะอาถรรพ์ใช้ในทางไม่ดี ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของการใช้ใบไม้นั้นไปเสียบที่หมอน คืนนั้นก็จะฝันเห็นเนื้อคู่ ว่าอย่างนั้น อันนี้ก็เป็นการเสี่ยงทายเรื่องเนื้อคู่อีก ต่อไปยังมีอีก วิธีอื่น สาวโสดเนี่ย ก็จะเอากระดาษมาทำเป็นชิ้นๆ แล้วก็เขียนชื่อผู้ชายต่างๆ ที่ตัวรู้จักลงไป เสร็จแล้วก็เอาใส่ในดินเหนียว แล้วก็ปั้นเข้า แล้วก็เอาภาชนะใส่น้ำมา แล้วก็เอาก้อนดินเหนียวที่มีชื่อของผู้ชายต่างๆ เหล่านี้ ใส่ลงไปในน้ำนี้ พอใส่ลงไปแล้ว ดินเหนียวมันก็จะละลาย แล้วกระดาษชิ้นไหนลอยขึ้นมาก่อน คนนั้นแหละไปเปิดดู จะเป็นเนื้อคู่ของคุณ ว่าอย่างนั้น อันนี้ก็ชาวอังกฤษว่าอย่างนั้น ต่อไปยังมีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือว่าพอถึงวันวาเลนไทน์ ตอนเที่ยงคืน หญิงสาวโสดนี้ก็อยากจะหาเนื้อคู่ ก็จะไปเดินรอบโบสถ์ของศาสนาคริสตร์ ของคาทอลิกเนี่ย ไปเดิน 3 รอบบ้าง หรือกระทั่ง 12 รอบบ้าง แล้วหวังได้ว่าอาจจะพบกับเนื้อคู่วันนั้น อันนี้เป็นวิธีต่างๆ แม้กระทั่งผู้ชายก็มี ผู้ชายก็เขียนชื่อผู้หญิงใส่กระดาษ แล้วก็เอาใส่เหยือก ใส่ภาชนะ เอามือล้วงหยิบลงไป ได้ชื่อ ในกระดาษแผ่นไหนมีชื่อผู้หญิงคนไหน ก็ให้เอาใจใส่ดูแลผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษ ตกลงจะเห็นได้ชัดเลยว่า เทศกาลวาเลนไทน์เป็นเทศกาลแห่ง romantic love อย่างไร อันนี้ชัดเจนพอแล้วไหม คิดว่าโยมชัดเจนแล้ว ชัดเจนแล้วทีนี้จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวาย พูดกันไปอย่างโน้นอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าเป็นวันแห่ง romantic love แล้วประเพณีฝรั่งก็เป็นวันเสี่ยงทายเนื้อคู่ แต่ทีนี้ปรากฏว่าเด็กไทยนี่ ได้ข่าวว่าเลยกว่าฝรั่ง ล้ำหน้า วันวาเลนไทน์ ฝรั่งยังแค่เสี่ยงทายเนื้อคู่ เด็กไทยตอนนี้มันเลยไปเยอะเลย เรียกว่าเด็กไทยรับอะไรมานี่ ไปได้เดินหน้ากว่าฝรั่ง แต่เป็นเดินหน้าไปกว่าฝรั่งในทางดีสร้างสรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราควรจะคิด แต่อย่างน้อยก็คือว่าทำอะไรทำด้วยความรู้ แล้วให้มันชัดเจน เด็กเราพอได้ยินเรื่องนี้ปั๊บ ต้องไปค้น วาเลนไทน์มันเป็นยังไง มายังไง ว่ากันให้มันชัดไปเลย การทำอะไรโดยไม่รู้มันไม่เป็นสิ่งที่ดี ฉะนั้นก็เวลาเราจะรับวัฒนธรรมอารยธรรมนอกนี่ เราต้องเอามาใช้ประโยชน์ให้ได้ ไม่ใช่ว่ารับมาแล้วได้แต่ลุ่มหลง เพลิดเพลิน หลงใหลไป อย่างฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรมา ฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรได้ คนไทยเก่ง เลือกเก็บเอามาเป็นทุน เก็บมาเพิ่มทุนของตัวเอง ทุนของตัวเองก็มีแล้ว ยังไปเอาของฝรั่งญี่ปุ่นมาเพิ่มทุนตัวเอง ไทยก็เก่งสิ เดินหน้าอย่างเดียว ใช่ไหม อย่างนี้ไทยก็ก้าวหน้าได้ แต่ถ้ามีอะไรของฝรั่งญี่ปุ่นทำขึ้นมา ฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรได้ คนไทยได้แต่เพลิดเพลินหลงใหลไป อย่างนี้ไม่ช้าก็หมดความเป็นไทยนะ หมดความเป็นไทย เพลิดเพลินหลงใหลก็กลายเป็นทาสไป แทนที่จะเป็นไทย เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ทำให้ดี จากจะไปเป็นทาส เอามันมาเป็นทุน ของฝรั่งนี่เอามาเป็นทุนเลย เพราะว่าเรานี่ได้โอกาส เราลัดเวลา ฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำมา กว่าจะคิดได้สำเร็จ ทำไปได้แค่นี้ พอทำมาแล้วเรารีบเก็บเลือกเอามาเพิ่มทุนของเรา พอเพิ่มทุนของเรา เราก็เดินหน้า แม้อย่างวันเวลา อย่างเดี๋ยวนี้ ใช้กัน ใช้ปี 2003 ก็คือคริสตศักราช ใช่ไหม ไม่ใช้พุทธศักราช เดี๋ยวนี้เยอะหมดเลย เอกสารอะไรต่างๆ ใช่ 2003 ถ้าเป็นเอกชนนะ ราชการยังมีระเบียบบังคับไว้ ถ้าเอกชนมักจะใช้ 2003 หรือ 03 ก็คือใช้คริสตศักราช เดี๋ยวนี้บางทีเขาเรียก common era คริสตศักราชนี้ใช้ไปด้วยลุ่มหลงเพลิดเพลิน มันก็ไม่ดี ก็แสดงว่าเราไม่ได้ใช้ปัญญา แล้วเราจะไม่ได้อะไรขึ้นมา ก็จะหลงใหลกลายเป็นทาสอย่างที่ว่า แต่ถ้าเราจะใช้เป็นทุน เราก็ได้ 2 ชั้นเลย 2003 เราก็ได้ 2546 ก็ได้ หมายความว่า ทเวนตี้ โอ ทรี ฉันก็ได้ เทเวนตี้ ไฟว์ โฟร์ตี้ซิก ฉัก็รู้ แล้วคนที่ได้เฉพาะ 2003 แล้วไม่รู้ 2546 กับคนที่ได้ทั้งสองอย่าง ใครดีกว่ากัน ก็ต้องบอกว่าคนที่ได้ทั้ง 2003 และทั้ง 2546 นี่ดีกว่า ฉะนั้นอย่างคนที่รู้ภาษาอังฤษอย่างเดียว แต่ไม่รู้ภาษาไทย ดีไหม ก็ดีอยู่ รู้ แต่ไม่รู้ไทยไม่ดี อาจจะโก้ แต่ไม่เก่ง ถ้าจะให้โก้ด้วยเก่งด้วย ก็ต้องรู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ใครจะดีกว่ากัน ระหว่างคนที่รู้ภาษาอังกฤษ ไม่รู้ภาษาไทย กับคนที่รู้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย แล้วคนที่รู้ 2 ภาษาก็ต้องดีกว่า เพราะฉะนั้นอย่างที่บอกเมื่อกี้ว่า ฝรั่งญี่ปุ่นทำอะไรได้ คนไทยต้องเลือกเอามาเพิ่มเป็นทุน เอามาเพิ่มเป็นทุนของตัวเอง แล้วตัวก็มีทุนของตัวเองเสริมเข้าไป เดินหน้าไปเลย อย่ากลายเป็นหลงใหลเพลิดเพลินตามไปเป็นทาสไป เพราะฉะนั้นจุดมันก็อยู่แค่นี้แหละ ฉะนั้นเวลานี้เราทำแบบไหน ก็ทำกันซะให้ถูกต้อง แล้วชาติไทย สังคมไทย มันก็จะอยู่ดีได้ พ่อแม่ก็ไม่ต้องไปหวั่นวิตกวันวาเลนไทน์อีก วันวาเลนไทน์ก็ทำปฏิบัติซะให้ถูกต้องตามที่ว่ามา โดยรวมที่อาตมาถาพกล่าวมาเนี่ย ก็สรุปได้ความ เขาชัดเจนแล้วฝรั่ง เขาก็บอกว่าวาเลนไทน์เป็นเทศกาลแห่ง romantic love ทีนี้ฝรั่งเองในยุคนี้เพราะว่าเป็น popular festival เป็นเทศกาลของประชาชน ชาวบ้าน ต่อมาก็มีการถือไปปฏิบัติกัน ก็มีการขัดเกลาให้ประณีต ขยายความหมายให้มีประโยชน์ขึ้น เพราะฉะนั้นในยุคปัจจุบันนี้ ประเทศฝรั่งเองก็มีการที่ให้การ์ดวาเลนไทน์แสดงความรักความปรารถนาดีแก่เพื่อนฝูงด้วย แล้วก็เด็กถึงวันวาเลนไทน์ก็มาแสดงความรักให้ดอกกุหลาบ ให้การ์ดกับคุณพ่อคุณแม่ด้วย แก่คุณครูด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องความรักที่ดี ก็ขยายความหมาย ถ้าทำได้อย่างนี้ คนไทยถ้าจะรับมา ก็ทำซะให้มันถูก รับแต่ส่วนที่ดีมา แล้วเราก็พัฒนาให้ประณีตยิ่งขึ้น นี่คือการเพิ่มทุน ไม่ใช่การตกเป็นทาส
ตกลงว่าวิธีรับอารยธรรมวัฒนธรรมตะวันตกก็คือเอามาเพิ่มทุนของตัวเอง อย่ากลายเป็นทาส ถ้าเราเอามาเพิ่มทุนแล้วไม่เสียหาย เรามีแต่ดียิ่งขึ้น เราจะก้าวหน้าขึ้นต่อไปด้วย วิธีเพิ่มทุนนี้เราทำได้ถ้าใช้ปัญญาพออย่างแรกมาถึงปั๊บ ก็คือศึกษาให้มันรู้มันชัดไปเลย เราจะปฏิบัติได้พอดี แล้วเราก็จะใช้ประโยชน์ได้ด้วย วันวาเลนไทน์ก็เป็นวันแห่งความรัก ความรักแบบคู่ครอง romantic love มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก แต่ทีนี้ว่าเราจะอยู่แค่นั้นได้หรือ สังคมจะอยู่ดีงามก็ต้องการพัฒนาไป มีศีลธรรม วัฒนธรรมมา เราก็มาทำให้ประณีต ตอนนี้แหละที่จะมาโยงเข้าถึงวันมาฆบูชาได้ ทีนี้วันมาฆบูชานี้เป็นวันแห่งธรรมะ ธรรมะก็จะมาขัดเกลาทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ประณีตยิ่งขึ้น วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรักแบบคู่ครอง แบบฝันหวาน คร่ำครวญใฝ่หาเนี่ย เรียกว่า romantic love มันเป็นความรักระหว่างบุคคล แล้วเป็นความรักที่เน้นการได้เพื่อตัวเอง ทีนี้เรามาดูวันมาฆบูชา วันมาฆบูชานั้นพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ให้หลักธรรมคำสอนแก่ใคร แก่พระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งหลายนั้นเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว แล้วตอนนี้จะยังไงล่ะ ก็คือพระพุทธเจ้าสอนพระอรหันต์เหล่านี้ให้รู้หลักการในการที่จะไปทำหน้าที่ คือการที่ไปสั่งสอนธรรมะ เผยแผ่ธรรมะเพื่อประโยชน์สุขแห่งชาวโลก ตามหลักการที่มีมาแต่เดิมแล้ว วัตถุประสงค์ว่าพระสงฆ์นี่จะต้องจาริกไปเผยแผ่ธรรมเพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน เพื่อเห็นแก่เมตตาการุณแก่ชาวโลก อันนี้ก็คือการรักชาวโลกนั่นเอง ก็หมายความว่าวันแห่งมาฆบูชาก็เป็นวันแห่งความรักเหมือนกัน เพราะว่าพระอรหันต์ท่านรักชาวโลกทั้งหมด แล้วท่านกำลังจะไปทำงานด้วยเมตตากรุณา ก็คือความรักชาวโลกนั้นเอง ไปทำเพื่อประโยชน์สุขแก่เขา มันต่างกันกับวันวาเลนไทน์ที่บอกเมื่อกี้ ว่าวันวาเลนไทน์นั้นเป็นความรักส่วนตัว จำกัดอยู่กับบุคคลหรือกลุ่ม แล้วก็มักจะมุ่งผลตอบแทนเพื่อตัวเอง แต่วันมาฆบูชานั้นเป็นความรักของพระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลส ที่จะรักประชาชนทั้งโลก ไปทำให้แก่ผู้อื่นอย่างเดียว ทั้งสากลจริงๆ เลยทีนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาความเป็นสากลแล้วก็กลายเป็นว่ามาฆบูชานี่แหละสากล เมื่อกี้เราบอกว่าวาเลนไทน์เป็นวันแห่ง romantic love ตอนนี้เราบอกได้ว่าวันมาฆบูชาเป็นวัน universal love เป็นวันแห่งความรักที่เป็นสากล รักที่เป็นสากลก็คือเมตตา ก็ไปดูเถอะ คำแปลหนึ่งของเมตตา ก็คือ universal love เพราะว่าเมตตานั้นเป็นความรักเพื่อนมนุษย์ มีมิตรไมตรี ปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน แม้กระทั่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่แบ่งแยก ไม่จำกัด ปรารถนาประโยชน์สุขแก่เขา ไม่ใช่เอาเพื่อตน ถ้าเป็นรักแบบโรแมนติกก็ยังมีห่วงเรื่องว่าเขาจะมารักฉันหรือเปล่า เขาจะมาให้อะไรฉันไหม แต่ถ้าเป็นรักแบบเมตตาก็อยากจะไปทำให้เขาเป็นสุขอย่างเดียว ฉะนั้นตอนนี้ก็เลยมาเชื่อมเรื่องวันวาเลนไทน์กับวันมาฆบูชาได้ ถ้าจะเทียบกันก็เทียบแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อกี้บอกแล้วว่าเราไม่วิจารณ์หรอก แต่ว่าให้รู้ซะ จะได้ปฏิบัติได้ถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เห็นชัด ฝรั่งเองเขาก็บอกไว้แล้วว่าวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่ง romantic love ตอนนี้วันมาฆบูชาเราก็พูดได้เต็มปากว่าเป็นวันแห่ง universal love ต่อไปถ้าโยมจะไปพูด โยมก็บอกได้เลยว่าวันมาฆบูชากับวันวาเลนไทน์นี้ ต่างกันอย่างไร นี่เขามีการมาเทียบกันว่าเป็นวันแห่งความรัก เราก็บอกว่าฝรั่งเขาก็บอกแล้วนี่วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่ง romantic love วันมาฆบูชาก็เป็น universal love ในเมื่อเราจะรับวันวาเลนไทน์เราก็รับด้วยสติปัญญา รับอย่างคนมีอารยธรรม เป็นอารยชนก็ต้องทำด้วยความรู้เข้าใจ แล้วก็เอามาขัดเกลาให้ประณีต ต่อไปวันวาเลนไทน์นี่ เมื่อเราไม่หลงใหลเพลิดเพลินนะ เราก็ได้ประโยชน์ ถ้าเราหลงใหลเพลิดเพลินไปตามกระแส เราก็ขออภัย อย่างที่บอกเมื่อกี้ หลงใหลก็กลายเป็นทาส แต่ถ้าเราเอาวันวาเลนไทน์มาใช้ประโยชน์เป็น มันก็อาจจะเป็นทุนได้ส่วนหนึ่ง เราก็ไม่หมดความเป็นไทย ถ้าหากว่ากลายเป็นทาสแล้ว วันวาเลนไทน์ก็จะทำให้คนไทยหมดความเป็นไทย ใช่ไหม แต่ทีนี้ถ้าเราใช้เป็น เราก็ไม่หมดความเป็นไทย วาเลนไทน์ก็ยังทำให้เราคงความเป็นไทย แล้วคนไทยที่มีความดีงาม มีความสามารถ ก็จะทำวันวาเลนไทน์นั้น ให้เป็นวันวาเรนท์ธรรม ถ้าใครเก่งก็ทำวันวาเลนไทน์ ให้เป็นวาเรนท์ธรรมไปเลย ก็จะมาประสานกัน เปลี่ยนชื่อซะใหม่ก็ยังได้ วันวาเลนไทน์ เป็นวัน วาเรนท์ธรรม ไปเลย อย่างน้อยก็เอาไปแข่งกันก็ได้ ถึงวันวาเลนไทน์ก็เรียก 2 อย่าง คนนี้เป็นวันวาเลนไทน์ คนนั้นเป็น วาเรนท์ธรรม ก็ไม่รู้แหละ เราทำด้วยความรู้นี่ ใครจะมาเถียงคนรู้ล่ะ ใช่ไหม คุณว่ายังไง ก็เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละ ความรู้พื้นฐานมันมีอยู่ เอามาใช้ประโยชน์ซะ ตกลงว่าพุทธศาสนิกชนจะต้องมีความมั่นใจในตนเอง คือมั่นใจด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจความจริงชัดเจน แล้วมีเจตนาที่ดี มีความมุ่งหมายที่สร้างสรรค์ ในการนำเอาสิ่งต่างๆ มาใช้ ให้เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะรับจะอะไรก็ไม่เสียหาย เพราะเรามีหลักของเรา วันนี้ก็ขอโอกาส เหมือนกับว่านอกเรื่อง แต่ที่จริงไม่นอกเรื่องเลย เป็นการพูดในเรื่องแท้ๆ แล้วโยมรู้เข้าใจชัดเจนอย่างนี้แล้ว ก็จะได้ปฏิบัติการในเรื่องวันมาฆบูชาอันนี้ได้อย่างมั่นใจตัวเอง เกิดสมาธิ ใจไม่ฟุ้งซ่าน วอกแวก ถ้าใครยังฟุ้งซ่านวอกแวกอีก ก็มาถามกันได้ แล้วถ้าเด็กคนไหนอยากรู้ก็มาขอได้ว่าไปค้นที่ไหน แต่ว่าจะไปค้นในอินเทอร์เนตอย่างเดียวไม่ได้ เพราะอินเทอร์เนตนี่ต้องมีความสามารถในการค้น เพราะว่าอินเทอร์เนตนี้อาจจะได้ข้อมูลหลักก็มี ข้อมูลหลอกก็มี ดีไม่ดีแทนที่จะได้ข้อมูลหลัก ก็ไปได้ข้อมูลหลอก ก็เสียอีก ข้อมูลขยะเดี๋ยวนี้เยอะ ฝรั่งเขาก็เตือนไว้แล้ว information เดี๋ยวนี้ที่มาทางอินเทอร์เนต มันจะเป็นขยะมากมาย ฉะนั้นคนที่อยู่ไม่เป็นในโลกปัจจุบันนี้ แม้จะมีอารยธรรม เจริญด้วยเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้สติปัญญา ไปเก็บเอาแต่เศษขยะในอินเทอร์เนตมา ก็เลยไม่ได้ information ที่เป็นประโยชน์ ก็เลยกลับมาเป็นภัย เพิ่มโมหะ หลงใหลหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธแล้ว เราจะต้องเป็นผู้ตื่น แล้วก็เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบาน ก็คือเริ่มด้วยความรู้ มีปัญญาจัดการปฏิบัติกับสิ่งทั้งหลาย เรื่องวันวาเลนไทน์ก็เป็นอย่างที่ว่ามานี้แหละ แต่การที่มีคนนิยมมากในเวลานี้ในเมืองไทยเรานี่เป็นเพราะอะไร เรื่องนี้ก็ไม่ยาก ก็ได้มีหลายท่านวิจารณ์กันไปแล้ว แม้แต่มองกันง่ายๆ ก็เห็นชัดว่ามันเป็นเรื่องของกระแสโลกาภิวัตน์ โลกาภิวัตน์ที่สำคัญในเรื่องนี้ก็มี 2 ด้าน คือกระแสโลกาภิวัตน์ด้านบริโภคนิยมอย่างที่มองเห็นกันทั่วไปแล้วในสังคมปัจจุบันของเรานี้ มีการเสพบริโภค วุ่นวายอยู่กับเรื่องนี้มาก การนิยมวาเลนไทน์นี้ก็เข้าแนวนี้ แล้วสอง-กระแสโลกาภิวัตน์ด้านธุรกิจ โดยเฉพาะด้านธุรกิจนี้ก็มาเอาด้านบริโภคนิยมเนี่ยใช้เป็นเครื่องมือก็ได้ ก็โดยไปกระตุ้นการนิยมเสพบริโภคของผู้คนให้มาสนองความต้องการทางธุรกิจ วันวาเลนไทน์ก็เข้ากระแสนี้ด้วย แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มองในด้านความรักหนุ่มสาวอะไรนี่ มันก็เป็นเรื่องที่สนองความต้องการตามธรรมชาติของคนโดยทั่วไป แต่ในแง่ขของวัฒนธรรมก็คือว่าเรายอมรับความจริงอย่างนี้ แต่ว่าเราจะทำยังไงให้มันประณีตดีขึ้น แล้วก็ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ เพื่อให้ชีวิตดีงามขึ้น สังคมดีงามขึ้น อันนี้ก็คือข้อที่พิจารณา แล้วเราก็สามารถเอามาโยงกับเรื่องวันมาฆบูชาอย่างที่พูดไปแล้ว แล้วก็ให้ข้อสังเกตว่าการที่เราจะปฏิบัติในเรื่องอะไรอย่างเรื่องวาเลนไทน์ได้ถูก มีความรู้ความเข้าใจ ในสังคมไทยเวลานี้พูดได้ว่าเกลื่อนไปด้วยการแสดงความเห็น ไม่ค่อยมีการหาความรู้ เพราะฉะนั้นมันก็สับสนวุ่นวาย เรื่องนี้จะต้องย้ำกัน แล้วก็ย้ำมาเรื่อย ก็คือว่าการแสดงความคิดเห็นต้องมาคู่กับการหาความรู้ สังคมไทยเราขาดมานานแล้วด้วย เรื่องการขวนขวายใฝ่รู้หาความรู้กัน ซึ่งเราถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางปัญญา หรือจะเรียกว่าวัฒนธรรมแห่งการแสวงปัญญาก็ได้ จะต้องพัฒนานคนของเราให้หนักแน่นในเรื่องนี้ เอาจริงเอาจังให้มาก ผู้ใหญ่ก็เน้นการแสดงความเห็นด้วยหาความรู้ หรือตั้งอยู่บนฐานของความรู้ พร้อมกันนั้นเด็กถ้ายังไม่พร้อมแสดงความเห็น กำลังอยู่ระหว่างหัดแสดงความเห็น ยังเล่นมากอยู่ เราก็พูดกันว่าให้การเล่นนั้นเป็นการเล่นอย่างได้ความรู้ หรือเล่นมาด้วยกันกับรู้ เล่นอย่างมีความรู้ เล่นอย่างได้ความรู้ แล้วก็ได้ความรู้ไปพร้อมกับการเล่น ได้ทั้งเล่น ได้ทั้งรู้ อย่างนี้ ก็จะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น การเล่นของเด็กเวลานี้ก็ไปในเรื่องของการสนุกสนานบันเทิง แม้แต่ทางทีวี เรื่องของอินเทอร์เนต เรื่องของอะไรต่ออะไรเนี่ย ก็เป็นเรื่องเล่นอย่างหนึ่ง ไปทางเล่นกันมาก การหาความรู้ก็น้อย แล้วถ้าจะเล่นก็เล่นอย่างได้ความรู้ คู่ไปกับการหาความรู้ เท่าที่พูดมานี้ก็อยากจะเน้นเรื่องสำคัญไว้บ้าง อย่างที่กล่าวแล้วว่าเรื่องวันวาเลนไทน์นี้ไม่ได้เป็นวันสำคัญของประเทศอเมริกา ทั้งในแง่ของบ้านเมือง แล้วก็ไม่ได้เป็นวันสำคัญทางศาสนา เจ้าของเรื่องคือคริสตร์นิกายโรมันคาทอลิก อย่างที่บอกแล้วว่าเขาได้ถอดหรือปลดวันวาเลนไทน์นี้ออกไปจากปฏิทินของนิกายโรมันคาทอลิกแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 แต่ว่าถูกปลด ถูกถอด จากเมืองฝรั่ง วันวาเลนไทน์ก็มาขึ้นแท่นโด่งดังในประเทศไทย ก็เลยได้พูดให้เห็นว่าความสำคัญของอเมริกามีอะไรบ้าง พูดประกอบนิดหน่อยว่า วันสำคัญของอเมริกานี้ก็เป็นวันระดับชาติ ถึงได้ยกมาพูดถึง 10 วัน แล้วก็ยังมีวันสำคัญของรัฐอีก การรู้จักวันสำคัญของฝรั่ง ในแง่หนึ่งอย่างน้อย ถ้าเรารู้จักมองจะเห็นภูมิหลังของประเทศ ของสังคมของเขาในระดับหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็จะทำให้รู้เข้าใจลักษณะนิสัย สภาพความคิดจิตใจของประชาชนในสังคมอเมริกันไปด้วย ทีนี้ในเมื่อเมืองฝรั่งไม่ได้ถือวันวาเลนไทน์เป็นวันสำคัญ ทางรัฐต่างๆ ที่มีวันสำคัญทั้งของชาติ แล้วก็มีวันสำคัญของรัฐของตัวเองเนี่ย เขาก็ได้พูดกันถึงการได้พยายามให้ความสำคัญกับวันพ่อวันแม่เป็นต้น คือวันวาเลนไทน์นี้ถูกถอดออกไป กลายเป็นว่าวันพ่อวันแม่เขากลับให้ความสำคัญ ในแง่นี้เรามองว่าในแง่วัฒนธรรม เห็นว่าฝรั่งเขาก็พยายามจะทำอะไรให้ประณีตขึ้น พัฒนาให้เป็นสิ่งสร้างสรรค์ของชีวิตและสังคม แล้วก็นอกจากให้ความสำคัญกับวันพ่อวันแม่ แม้แต่วันวาเลนไทน์ที่เป็น popular festival คือว่าเป็นเทศกาลของชาวบ้านนี้ เขาก็ได้มีการพัฒนา ที่ไม่ให้หยุดอยู่แค่ความรักหนุ่มสาว คือก็มีการขยายขอบเขตออกไป เช่นอย่างที่ได้เล่าแล้วว่า วันนั้นเด็กก็จะให้ของขวัญกับพ่อแม่บ้าง ให้กับคุณครูบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วเท่าที่ อาตมาก็เคยไปอเมริกามาบ้าง ไปพักอยู่บ้างเป็นบางระยะ นึกไม่ออก ไม่ได้สังเกตเห็นวันวาเลนไทน์ แล้วก็พวกนักเรียนนักศึกษาก็นึกไม่ออกว่าเขาพูดถึงด้วยซ้ำ ก็คงจะมีเป็นเพียงว่าผ่านๆ หู แต่กลับมาได้ยินโด่งดังที่เมืองไทย ก็เลยถามท่านผู้ที่อยู่อเมริกามานานเป็นสิบๆ ปี บอกว่าที่โน่นเขาจัดงานวันวาเลนไทน์กันยังไง เขาแสดงออกยังไงกันบ้าง นี่ก็เพิ่งถามไปใหม่ๆ เนี่ย ก็ตอบว่าที่เมืองฝรั่งที่อเมริกา ถึงวันวาเลนไทน์เขาก็เป็นเพียงแค่มาพบกัน แล้วก็ทักว่า happy valentine ก็ให้ความรู้สึกที่ดี มีความเป็นมิตรหน่อย ก็เท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นเรื่องของคู่สามีภรรยา ภรรยาก็อาจจะหวังว่าวันวาเลนไทน์สามีก็อาจจะเอาช่อดอกไม้มามอบให้ หรือว่าจะให้อะไรเป็นของขวัญบ้าง หรือจะพาไปรับประทานอาหาร ก็แล้วแต่ ก็ไม่มีอะไรมากมาย ต่างกันมากเหลือเกินกับที่เมืองไทย แม้แต่ย้อนไปในอดีตที่เล่าไปแล้วเนี่ย ในสังคมอย่างอังกฤษก็เป็นวันที่เขาเสี่ยงทายเรื่องเลือกคู่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคน ถ้าทำในขอบเขตนี้ก็เป็นเรื่องที่ให้เกิดความชื่นบาน สนุกสนาน ร่าเริงกันได้ส่วนหนึ่ง แต่มาเมืองไทยเรานี้ ดูจะเกินไปไหม ได้ยินจากหนังสือพิมพ์ ถ้าเป็นความจริงนี่ ก็ถึงกับมีว่าผู้หญิงบางคนว่าจะอุทิศตัวให้กับผู้ชาย เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ ถึงขนาดนี้ก็เรียกว่าคนไทยนี่ ต้องพูดว่าเลยเถิดไปไกลมากแล้ว ควรจะมีสติยับยั้งกัน แล้วทีนี้เรื่องวันวาเลนไทน์เป็นเรื่องที่เรารับมาจากเมืองฝรั่ง เราก็ต้องดูว่าฝรั่งเขาทำกันแค่ไหน เขาก็มีอารยธรรม วัฒนธรรม ในระดับหนึ่ง เมื่อเรารับมาแล้วก็อย่าให้เสื่อททรุดลงจากที่ฝรั่งเขาทำ ถ้าสามารถก็พัฒนาให้มันดีขึ้น มันก็จะเป็นทางของการเจริญงอกงามได้ อย่างที่ว่าเมืองฝรั่งเขามีวันพ่อวันแม่ เขาให้ความสำคัญ เมืองไทยเราก็มี แต่ว่าเมื่อเป็นเรื่องของความรักนี่ เรื่องความรักของวาเลนไทน์นี่ เน้นในเรื่องหนุ่มสาว แล้วก็ออกมาสู่เรื่องของสามีภรรยา เราก็อาจจะขยายขอบเขตความรักออกมาเป็นความรักระหว่างลูกกับพ่อแม่ หรือกับผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่มีความหมายไปในทางที่มีคุณธรรมมากขึ้น แล้วก็สมกับการเป็นวัฒนธรรม แล้วนอกจากนี้ในแง่ของการรับเอาอะไรต่างๆ จากต่างประเทศ แล้วก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า คนไทยเรานี่ควรจะมีจิตสำนึกในการที่จะสร้างสรรค์สังคมของตัวเอง ว่าฝรั่ง ญี่ปุ่น ทำอะไรขึ้นมา ไทยเราต้องศึกษาให้รู้ทัน เอามาเพิ่มทุนของตัวเอง เพื่อเป็นฐานให้เราสามารถสร้างความเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป อันนี้จึงจะนับว่าเรามีปัญญาและมีความฉลาด ไม่ใช่ตื่นหลงใหลไปตามสิ่งที่เขาทำ เขาทำแล้วก็หลงใหลเพลิดเพลินไป ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่ามันก็หมดความเป็นไทย คือไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง หมดอิสรภาพ ก็ตามเขาก็ได้เกิดเป็นทาส เขาก็ยั่วยุกระตุ้นยังไงก็ไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ควรจะใช้หลักการนี้ที่ว่าเราต้องรู้ทัน ต้องศึกษา ต้องใช้ปัญญา แล้วเราก็จะได้ทุนเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องที่ย้ำสำคัญที่มาเกี่ยวกับมาฆบูชา ในแง่ที่ว่าวันวาเลนไทน์นี้ก็ชัดแล้ว โดยหลักฐานความเป็นมา ข้อเท็จจริงว่าเป็นวันแห่งความรักแบบ romantic หรือ romantic love ส่วนวันมาฆบูชาก็เช่นเดียวกัน ก็หลักฐานความเป็นมา ก็ชัดเจนว่าเป็นวันแห่งความเมตตา ซึ่งแปลว่าความรักสากล หรือ universal love ก็จึงได้มาถึงข้อสรุปที่ว่านี้ วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่ง romantic love แล้วก็วันมาฆบูชาเป็นวันแห่ง universal love ถ้าจะต้องการใช้ภาษาอังกฤษก็ใช้ได้ อันนี้เราก็สามารถเชื่อมสองอย่างนี้เข้ากัน ถ้าเรายังจะต้องการฉลองหรือว่าจะบันเทิงสนุกสนานกันในวันวาเลนไทน์ เราก็อย่าเอาความรักที่สนองความเห็นแก่ตัว ก็ต้องมองคำนึงถึงผู้อื่นให้ขยายความรักนี้ไป เราต้องรักสังคมของเราด้วย ถ้าเรารักสังคมของเรา รักเพื่อนร่วมชาติ รักประเทศชาติ เราก็ต้องคิดถึงผลดีผลเสียต่อประเทศชาติของเรา แล้วก็คิดว่าทำไงจะให้ประเทศชาติ สังคมของเราเนี่ยเจริญงอกงามยิ่งขึ้น ถ้าอย่างนี้ความรักนั้นก็จะมีความหมาย ไม่ใช่เป็นของที่ต่ำทรามลงไป แต่กลายเป็นความนักที่ประณีต งดงามยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะมีความรักแบบหนุ่มสาว เราก็คำนึงถึงความดีงามของสังคม ไม่ให้เสื่อมเสียแก่สังคม ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เรารักสังคมของเราด้วย เราก็พยายามทำให้สังคมของเรานี้ดีงามยิ่งขึ้นไป แล้วก็ขยายความดีงามนี้ไป ถ้าเราทำดี พัฒนาทางด้านจิตใจ ทางด้านปัญญา อะไรต่างๆ ด้วย การที่มีเจตจำนง เป้าหมายที่ดีงามแล้ว ก็จะเกิดผลในทางสร้างสรรค์ แก่สังคมและโลก ทุกอย่างก็จะดีขึ้น สมกับที่เราเรียกว่าวัฒนธรรม
วันนี้อาตมาภาพก็ได้พูดมาในเรื่องของวันมาฆบูชา ก็ขอให้จับจุด จับประเด็นอันหนึ่ง ก็คือการที่ว่าวันวาเลนไทน์นั้น ก็เป็นวันแห่ง romantic love แล้ววันมาฆบูชาก็เป็นวันแห่ง universal love คือเป็นความรักที่สากลแท้จริง เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรเป็นเครื่องตัดสินความเป็นสากล ก็โยมไปพิจารณาเอง ถ้าทำอย่างนี้แล้ว แต่ตามหลักธรรมแล้ว เมตตานั้นแน่นอนในทางที่ดีงาม ด้วย romantic love ไม่พอที่จะสร้างสรรค์โลกนี้ให้มีสันติสุข แต่ถ้าเป็น universal love เป็นเมตตาแล้ว มนุษย์มีความรักมีความปรารถนาดีต่อกัน หวังทำประโยชน์สุขให้แก่กัน อย่างพระอรหันต์ ท่านเป็นผู้นำ เป็นตัวอย่างไว้ โลกก็จะมีสันติสุขแน่นอน เพราะฉะนั้นคนไทยเราจะไปรับวาเลนไทน์หรือไม่ เราไม่ต้องไปห่วงมาก เพราะว่าถ้าไปอยู่กับวาเลนไทน์เองอย่างเดียว เขาไปไม่รอดหรอก ไปไม่รอดยังไง ไปไม่รอดในแง่ที่หนึ่งก็คือว่า ถ้าสังคมหลงใหลไปแบบวาเลนไทน์ อย่างนี้หนักๆ เข้า สังคมก็คงพินาศวอดวายเอง เขาเรียกว่าไปไม่รอด ต่อไปไปไม่รอดอย่างที่สองก็คือว่าพอหลงใหลกันไปมากๆ แล้วได้สติขึ้นมา เขาก็ต้องการสิ่งที่จะมาทำให้มันดีขึ้น มาแก้ไขปัญหา เขาก็ต้องหันมาหาธรรมะเอง เพราะฉะนั้นวาเลนไทน์ก็ต้องมาเป็นวาเรนท์ธรรม อยู่ดี ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะในที่สุด อะไรต่ออะไรก็ไม่พ้นธรรมะไปได้ ก็มีธรรมะ 2 อย่าง ก็คือธรรมะความเป็นจริงของธรรมชาติ คุณทำเหตุปัจจัยไม่ดี คุณทำเหตุแห่งความเสื่อม คุณก็เสื่อมไป อันนี้ก็ธรรมะเหมือนกัน แล้วธรรมะในอีกแง่หนึ่งก็คือ สิ่งที่ดีงาม ทำแล้วมาเป็นประโยชน์สุขแก่ชีวิต แก่สังคมมนุษย์ ก็เป็นธรรมะในทางที่สอง แล้วเราก็ให้ธรรมะสองอย่างนี้มาประสานกัน โดยหวังว่าให้เกิดธรรมะในความหมายว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมมนุษย์ ด้วยการทำเหตุปัจจัยที่ดีตามธรรมะในความหมายที่หนึ่ง แล้วธรรมะสองอย่างนี้ประสานกันเมื่อไหร่ นั่นคือชีวิตสังคมที่ดีงาม เจริญ มีความร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง วันนี้ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรสาธุชนทุกท่าน ที่ได้มาร่วมพิธีวันมาฆบูชานี้ วันนี้ก็เลยขอโอกาสอย่างที่ว่า ความแจ่มแจ้งกันเรื่องวาเลนไทน์ ถ้ายังไม่แจ้งก็ให้มาพูดกันต่อไป ถ้าแจ้งพอแล้วก็ให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง แล้วก็มีความมั่นใจในการที่จะทำบุญในวันมาฆบูชาต่อไป เพราะอันนี้แน่ใจว่าเป็นเรื่องสร้างสรรค์ แต่เน้นในแง่ให้ทำด้วยปัญญา ในโอกาสนี้ทุกท่านก็ได้มีกุศลจิต มีบุญกุศลที่ได้ทำแล้ว อย่างที่กล่าวแต่ต้นว่า ทั้งทำด้วยตนเอง ทั้งทำในครอบครัว แล้วก็ทำเพื่อพระพุทธศาสนา แล้วก็ทำเพื่อสังคม ทั้งหมดนี้ อันนี้ก็เป็นบุญเป็นกุศลที่โยมทุกท่านควรจะมีปรีดาปราโมทย์ หรือปิติปราโมทย์ ดังที่กล่าวมานั้น ให้เกิดความปลาบปลื้ม เบิกบาน ชื่นใจ ให้เป็นทุนแห่งความสุขต่อไปเบื้องหน้าชั่วกาลนาน ในโอกาสนี้ ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญร่วมกันในวันนี้ อันเป็นบุญสามัคคี ให้เป็นปัจจัยอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านพร้อมทั้งครอบครัวญาติมิตร เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย มีความก้าวหน้า ประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน อาชีพการงาน สามารถบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่ชีวิต ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และแก่ชาวโลก ให้อยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข งอกงามในพระธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอกาลทุกเมื่อเทอญ