แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ถาม อยากขอสอบถามในพระพุทธประวัตินะครับ นางมหาประชาวดีโคตรมีก็ขอพระพุทธเจ้าบวช แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสห้ามถึง 3 ครั้ง จนครั้งสุดท้าย ครั้งที่ 3 ก็ถึงจะยอมให้บวชได้ เพราะอะไร เหมือนกับคล้าย ๆ ไม่อยากให้ผู้หญิงบวช หรืออย่างไร
ตอบ อันนี้ก็คืออย่างนี้แหล่ะ ที่จริง ๆ มันชัดอยู่แล้วหล่ะ ถ้าเรารู้หลักการ ก็หมายความว่าในแง่ของความเป็นมนุษย์บรรลุธรรมได้พัฒนาตนเองได้ ไม่มีความเป็นพระ เป็นคฤหัสถ์กีดกั้นอะไร แต่ทีนี้ว่า ในแง่ที่จะมาบวชขึ้นอยู่กับสภาพทางสังคม ถ้าเอาเหตุผลในทางสังคมพระพุทธเจ้าไม่ให้บวช ต้องเอาเหตุผลทางศักยภาพในความเป็นมนุษย์พระพุทธเจ้าให้บวช จับให้ได้จะเห็นว่าตอนที่อ้างเหตุผลที่จะให้ยอมบวช พระพุทธเจ้าก็เหมือนบอกว่าคุณต้องอ้างให้ถูก เมื่อพระอานนท์ทูลถามว่าสตรีบวชแล้วจะบรรลุธรรมได้ไหม พระพุทธเจ้าก็ให้ด้วยเหตุผลอันนี้ ก็หมายความว่าที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตนั้น เรื่องมันบอกชัดอยู่แล้ว ตีความแตกหรือไม่เท่านั้น ถ้าคุณเอาเหตุผลทางสังคมจะไม่ได้ เพราะว่าตอนนั้นปัญหาเยอะเลย เขาไม่ยอมรับสตรี ใช่ไหม พอบวชขึ้นมาก็เป็นปัญหากับ(สังฆะ)อีกด้วย เอาหล่ะสิ ผมเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่าง หนึ่งชีวิตของนักบวชในพุทธศาสนาก็เป็นชีวิตที่อิสระเสรี อย่างที่บอกว่าเหมือนนกมีแต่ปีก 2 ปีก ต้องการจะไปไหนก็ไปอะไรอย่างนี้ พอผู้หญิงบวชแล้วเอาละสิทีนี้ หนึ่งจะเดินทางไกล อ้าวหล่ะสิ เกิดมีปัญหาขึ้นมา ถูกโจรผู้ร้ายทำร้าย ในทางทำมิดีมิร้าย
พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติสิกขาบถว่า ภิกษุณีจะเดินทางไกลต้องมีภิกษุไปด้วย มันก็เป็นภาระทั้งสองฝ่าย ถูกไหมว่า ภิกษุเองก็ลำบากแล้วใช่ไหม และภิกษุณีเองก็ไม่คล่องตัวทั้งคู่เลย ทีนี้อ้าวมีเรื่องอีก พระภิกษุกับภิกษุณีเดินทางไปด้วยกัน ชาวบ้านพวกเขาไม่เลื่อมใสโห่ร้องว่านี่พวกนักบวชสายสมณโคดมนี่มีสามีภรรยา เดินทางด้วยกันไปเป็นชุด เอาอีกแย่อีก มีปัญหาอีก ภิกษุณีไปอยู่ในป่า ก็เอาชีวิตพระภิกษุก็ต้องอิสระ ไปอยู่ในป่าก็ถูกพวกผู้ร้ายมาทำการไม่ดี ก็มีพุทธบัญญัติอยู่แล้วว่า ภิกษุณีต้องอยู่ในวัดที่มีภิกษุ เอาอีกมันก็เป็นภาระกันทั้งสองฝ่าย ภิกษุก็เสียความเป็นอิสระด้วยใช่ไหม นั่นแหล่ะรวมแล้วก็คือว่า ในแง่หนึ่งพระพุทธเจ้ายอมก็คือว่า ยอมเพื่อประโยชน์ด้านหนึ่ง แต่พุทธศาสนาเองก็ต้องยอมเสีย ขณะนั้นทำให้ความเข้มแข็งลดลงไปฮวบเลยนะ เชื่อไหมยิ่งเป็นระยะแรกนี้ลำบากมาก พุทธศาสนากำลังต้องการก้าวไปและอยู่ในภัยอันตรายที่เขาจ้องอยู่จะเล่นงานใช่ไหม อันนี้ก็ได้ขี้ปากไปแล้ว อย่าพูดอย่างนั้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็เรียกว่า เพิ่มความภาระมากขึ้นในการที่ดำรงพระพุทธศาสนาที่จะประกาศธรรม ก็เป็นอันว่า เราต้องมองเป็นขั้น ๆ ก็หมายความว่าในแง่ของการเป็นมนุษย์ที่จะบรรลุธรรมเนี่ยทุกคนก็มีเสมอกัน แต่ทีนี้ว่า ตอนที่มาบวชเป็นภิกษุณีเนี่ยขึ้นอยู่กับทางสังคม แต่ว่าบางอย่างมันก็ไม่เชิงสังคม มันก็โยงกับธรรมชาติด้วยใช่ไหม เช่น ธรรมชาติของความเป็นหญิง-ชายเนี่ย มันก็โยงมาหาปัญหาทางสังคมหมดเลย ท่านยังสงสัยอะไรอีก
ถาม ขอเรียนถามว่า แต่ว่าพระพุทธเจ้าเองก็บัญญัติไว้ว่าภิกษุณีก็ต้องฟังธรรมจากภิกษุอย่างเดียว หวังว่าภิกษุณีไม่มีสิทธิ์ไปเทศน์หรือว่าอยู่เหนือกว่า มันกลายเป็นว่าเหมือนกับแบ่งแยกหญิง-ชายหรือเปล่า ในเมื่อบอกว่าสถานภาพทั้งสองฝ่ายมีความรู้ธรรมเหมือนกัน แต่ว่าฝ่ายภิกษุณีไม่มีสิทธิ์ไปเทศน์ แม้แต่มีภิกษุที่พึ่งบวชได้วันเดียว
ตอบ คืออันนี้เป็นเรื่องทางสังคมนะ พระพุทธเจ้าจะต้องทรงพิจารณามากว่าทำไงจะให้(สังฆะ)ส่วนรวมอยู่ได้ด้วยดี หรือพระพุทธศาสนาทั้งส่วนรวมอยู่ได้ด้วยดี ในนี้ก็คือรายละเอียดในแง่ของการจะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ใช่ไหม จะต้องวางความสัมพันธ์ระหว่างภิกษุกับภิกษุณี บริษัทยังไง ในสภาพสังคมนั้นให้อยู่ได้ด้วยดี อย่างภิกษุไหว้ เดียรถีย์ได้โอกาสทันที เหตุใดพระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าที่ไม่ให้ภิกษุไหว้ภิกษุณี เพราะว่าเดียรถีย์เขาเอาเลย เอาแล้ว อ้าวพวกนี้ไม่ได้เรื่องแล้ว ก็ไปบอกกับพวกสาวกของเดียรถีย์ได้นี่ พวกพระพุทธศาสนาต่ำแค่ไหนนี่ไหว้ผู้หญิง เอาแล้วแค่นี้ก็เสียแล้ว ในการประกาศพุทธศาสนาเนี่ยมันต้องระวังโอกาสกันมากใช่ไหม
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ต้องวางว่าในเมื่อ(สังฆะ)ฝ่ายภิกษุณีเกิดขึ้นแล้วเนี่ย จะให้(สังฆะ)ส่วนรวมทั้งพุทธศาสนาอยู่ได้อย่างไร และจะมีภาระน้อยที่สุดอย่างไร ใช่ไหม สภาพสังคมมันเป็นตัวกำหนด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าต้องวางไว้เลยว่าเพื่อจะให้อยู่กันได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าระวังมาก ขอให้ท่านดูเถอะ เวลาวางไปแล้ว หนึ่งมีภิกษุที่ให้โอวาท(ภิกษุณี???) แล้วให้ท่านไปดูคุณสมบัติไม่ใช่ให้ภิกษุองค์ใดใครจะไปให้โอวาทได้ ต้องมีคุณสมบัติอย่างนี้ มีพรรษาเท่านั้น ต้องได้รับการแต่งตั้งจาก(สังฆะ) ไปลำพังเองก็ไม่ได้ ต้องสงฆ์แต่งตั้งไป เออใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทรงระวังมาก แล้วก็ให้โอกาส ภิกษุณีไหว้ภิกษุได้ แต่ภิกษุไหว้ภิกษุณีไม่ได้ เพราะเดียรถีย์เตรียมอยู่แล้ว และพระพุทธเจ้าก็ตรัสสิกขาบถไว้อีก ถ้าภิกษุณีเห็นว่าภิกษุรูปใดเป็นผู้มีความประพฤติที่ไม่สมควรที่ภิกษุณีจะไหว้ ให้ประชุมกันแล้วตกลงเป็นมติเลยว่าไม่ให้ไหว้ภิกษุ??? อย่างนี้เป็นต้น คือพระพุทธเจ้าต้องทรงลำบาก ถ้าพูดแบบภาษาชาวบ้าน ลำบากทั้งสองทางใช่ไหม จะทำอย่างไร ถ้าเราคิดดูแล้ว ไปอ่านรายละเอียดจะเห็นว่ามีวิวัฒนาการกันอยู่
ถาม แต่จริง ๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้เท่ากับว่าเป็นการกีดกั้นสิทธิสตรีอยู่แล้ว เพราะว่าผู้อบรม??? ก็บอกอยู่แล้วว่า (พุทธบริษัททั้ง 4) ก็มี อุบาสิกาเป็นผู้หญิงอยู่แล้วก็บรรลุธรรมได้ แต่เห็นเมื่อสักช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เหมือนมีเรื่องที่คนไทยไปบวชเป็นภิกษุณี ก็เรียกร้องสิทธิสตรีอะไรเต็มไปหมด ก็ไม่เห็นน่าจะต้องเป็นปัญหา
ตอบ มันไม่ใช่ปัญหาในเรื่องสิทธิ ผมเคยพูดไปแล้วว่า ผู้หญิงมีสิทธิบวช จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็มีสิทธิบวช ไม่ได้หายไปไหน แต่ใครมีสิทธิบวชให้ มันติดปัญหาตรงนี้นะ มันไม่ได้ติดปัญหาที่ผู้บวชจะมีสิทธิ มันติดปัญหาว่าคนไหนมีสิทธิบวชให้นี้ต่างหาก แล้วบวชให้ง่าย ๆ ดีไหม พระพุทธเจ้าที่กำกับไว้ก็เพราะว่าเพื่อไม่ให้มันเสียหายแก่ภิกษุณีเอง บอกว่าภิกษุบวชองค์ไหนบวชได้ ก็บวชกันเข้าไป ก็เหลวเละหมดใช่ไหม ต้องพัฒนากันมามี(สังฆะ) ตอนแรกภิกษุณียังไม่มีก็ให้ภิกษุบวชให้ พอมีภิกษุณีสงฆ์ก็ให้ภิกษุณีสงฆ์ร่วมบวชกับภิกษุสงฆ์ พอร่วมบวชกับภิกษุสงฆ์ ต่อมาก็มีบอกว่าเวลาซักถาม (อันตรายปาราชิกธรรม) เนี่ยผู้หญิงก็อาย พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ให้การบวชเสร็จขั้นตอนมาจากภิกษุณีเลย แล้วก็บวชสงฆ์เรียกว่า (เอกโตสงฆ์) สงฆ์ฝ่ายเดียว คือ ภิกษุณีสงฆ์ บวชเสร็จแล้วจากภิกษุณีสงฆ์ ก็ผ่านขั้นตอนเรียบร้อยแล้วก็มาแจ้งกับสงฆ์ ต่อมาก็ค่อย ๆ ลดทอนบทบาทของพระภิกษุลง จนกระทั่งว่าบวชในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์เสร็จแล้ว จะไปบอกแจ้งแก่ภิกษุสงฆ์อยู่คนละเมือง และเดินทางอาจไม่ปลอดภัย ให้ตั้งทูตไปแจ้งได้ ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าบทบาทของภิกษุสงฆ์เหลืออยู่นิดเดียว รับทราบจากตัวแทน ใช่ไหม ตั้งทูต
ถาม แล้วภิกษุณีในเมืองไทยเนี่ยได้มีขึ้นมาบ้างไหมครับ
ตอบ คือประวัตินี้เรายังไม่ได้พบประวัติแท้ ๆ ไม่ปรากฏว่ามีภิกษุณี แต่ว่าในเรื่องตอนที่ว่า(พระโสณะอุตตระ)มาประกาศพุทธศาสนา ตอนนั้นสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ก็มีสายที่ชัดเจนที่สุด คือสายลังกา อันนั้นจะมีเรื่องราวเป็นประวัติศาสตร์ แต่สายอื่นเนี่ยเรื่องมันคงเป็นว่าส่งไปแล้วเงียบไปก็เลยกลายเป็นตำนาน เพราะเป็นตำนานก็มีแต่เรื่องอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นสายอื่น อย่างสาย(พระโสณะอุตตระ)ที่มาสุวรรณภูมิ ก็มีแต่เรื่องฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ขึ้นมาบนฝั่งแล้วมีผีเสื้อยักษ์อะไรมั่ง เจอกันปราบกัน แล้วคนก็เลื่อมใสกันใหญ่ มีคนเป็นหมื่นก็มาบวชกัน บวชเป็นภิกษุ แล้วถึงจะมีบวชเป็นภิกษุณีอะไรอย่างนี้ ตอนนั้นก็มีเรื่องตำนานเท่านั้นเอง แต่ว่าตัวตนที่เป็นภิกษุณีนั้นไม่ปรากฏมาเลยในประวัติศาสตร์ ถ้ายิ่งตัดช่วงสุโขทัยแล้วยิ่งไม่มีเลย ใช่ไหม นั่นก็แปลว่าอย่างน้อยตั้งแต่สุโขทัยมานั้นไม่มีเลยภิกษุณี
ทีนี้ข้อสำคัญก็คือว่า ใครมีสิทธิที่จะบวชให้แก่ผู้หญิงเป็นภิกษุณี ใช่ไหม พระท่านก็ไม่กล้า ฉันมีสิทธิที่บวชให้ได้เหรอ คือคำจำกัดความของภิกษุณี เมื่อตั้งเป็นหลักเป็นฐานแล้วเนี่ย ภิกษุณีคือใครในวินัยก็จะบอกเลย คือผู้บวชจากสงฆ์สองฝ่าย คือต้องมีภิกษุณีตามนี้นะ แล้วไม่มีภิกษุณีแล้วจะบวชอย่างไร เนี่ยมันติดปัญหา ทีนี้ก็มีผู้ที่อ้างว่าตอนที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้บวชนี่ ก็ให้ภิกษุทั้งหลายบวชภิกษุณี อ้าวก็ตอนนั้นยังไม่มีภิกษุณีจะให้บวชได้อย่างไร ใช่ไหม พอบวชแล้วตอนนั้นยังไม่บอกด้วยซ้ำว่าต้องเป็นสงฆ์หรือเปล่า ก็บอกว่าภิกษุทั้งหลาย ให้ภิกษุบวชภิกษุณีก็ไม่รู้ว่าบวชแบบไหน จะเป็นสังฆกรรมหรือเปล่าด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนที่ต่อมามันแน่นอนอยู่แล้วมีสังฆกรรมหรืออะไรต่อมิอะไรในวินัย ทีนี้ตอนที่จะไปอ้างว่า ภิกษุทั้งหลายบวชได้ พระพุทธเจ้าเคยอนุญาตไว้ ถ้าอย่างนั้นตอนปลาย ๆ สมัยพุทธกาลก็ต้องมีภิกษุณี 2 แบบ ใช่ไหม ภิกษุณีที่บวชแบบสงฆ์สังฆกรรม และภิกษุณีที่ไม่อยากไปยุ่งก็ไปบวชกับพระคนไหนก็ได้ ถ้างั้นไม่ยุ่งตั้งแต่พุทธกาลแล้วเหรอ ใช่ไหม
ตามหลักแล้วมันก็ต้องเป็นว่า เรื่องกฎหมายเนี่ย กฎหมายที่ออกที่หลังก็แปลว่า เขาเรียกว่าอะไรนะ ยกเลิกกฎหมายเก่าไป ใช่ไหม มันก็เป็นธรรมดา ไม่งั้นก็วุ่นวายตายเลยใช่ไหม ก็มีภิกษุณี 2 ฝ่ายทะเลาะกัน แล้วใครจะไปบวชกับสงฆ์หล่ะ ใช่ไหม ก็ไปหาพระสักองค์ สององค์ก็บวชได้แล้ว ก็จะมีภิกษุณีแบบนี้เยอะแยะ อ้าวแล้วต่อไปเนี่ย ถ้าเกิดเมืองไทยอ้างอันนี้แล้วก็ไปบวชกับภิกษุขึ้นมา ต่อไปก็จะเป็นข้ออ้างได้ว่าพอมีภิกษุณีแล้ว ก็จะใช้วิธีบวชเป็นสงฆ์ ก็ต้องมีภิกษุณีมาบวชด้วย แล้วต่อไปก็จะมีผู้หญิงที่ไม่ต้องการบวชแบบนี้ ก็ไปหาพระองค์ไหนก็ได้มาบวชให้ ต่อไปจะยุ่ง ๆ ใหญ่ มันก็ต้องชัด เรื่องนี้ผมไม่เคยตัดสิน ผมได้แต่บอกว่าให้แยกเป็น 3 ขั้นตอน
1. หลักการว่าอย่างไร ข้อมูล ข้อเท็จจริงว่ากันให้ชัด
2. ความต้องการของเราคืออะไร
3. ความต้องการและตัวหลักการนี้มันไปกันได้ไหม หรือมันมีทางที่จะปรับให้เข้ากันได้แค่ไหน เพียงไร
และตกลง ข้อที่ 3 เราจะเอาอย่างไร ไอ้ข้อที่ 3 เนี่ย ให้เป็นของส่วนรวมช่วยกันคิด เพราะฉะนั้นผมจะไม่ไปตัดสิน ตามปกติผมไม่ชอบแสดงความคิดเห็น ก็บอกว่าเอาแค่ข้อมูล ความรู้ หลักการกัน ว่ากันให้ชัดไปเลย อย่าเพิ่งเอาความเห็น ทีนี้ที่มันเป็นปัญหา เวลานี้มาก ก็คือว่า ไม่รู้ว่าตอนที่พูดหลักการ ข้อมูล หรือพูดความเห็น ว่ากันนัวเนียไปหมดเลย มันยุ่งตรงนี้ ใช่ไหม เอาหลักการว่าให้ชัดเลย ข้อมูลในพระธรรมวินัยว่าอย่างนี้ ๆ มันเป็นยังไงกันแน่ เรารู้แล้ว เราทำหลักการ ทำตามความต้องการของเราคืออะไร แล้วในที่สุดก็มาสรุป แล้วเราจะเอายังไง เราจะยอมรับหลักการนั้นไหม หรือเราจะเอาแค่ความต้องการของเรา หรือเราจะปรับให้เข้ากันได้อย่างไร ใช่ไหม อันนั้นเป็นส่วนของความคิดเห็นลงท้าย
ถาม ที่พระเดชพระคุณชอบบอกว่า คนไทยชอบแสดงความคิดเห็น แต่ไม่มีการแสวงปัญญา ???
ตอบ ไม่แสวงหาความรู้ ไม่หาความรู้แต่ชอบแสดงความคิดเห็น เนี่ยมันเลยปนกันวุ่นวายไปหมด