แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[00:00] งานเป็นกิจกรรมส่วนใหญ่ของชีวิต
ขอเจริญพรโยมญาติมิตรชาวบริษัทอาหารสยามทุกท่าน วันนี้อาตมาทั้ง 3 รูป ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนที่บริษัททั้งในส่วนของไร่ที่ปลูกสัปปะรดและก็ทั้งในส่วนของโรงงาน ก็ทั้งนี้โดยที่คุณโยมนาม บุญวัตถุ (ชื่อไม่ชัดเจน) ??? ซึ่งเป็นประธานกรรมการของบริษัท ได้นิมนต์มาโดยที่ท่านมีน้ำใจศรัทธา และก็มีเมตตาไมตรีธรรม ความจริงนั้นก็จะได้มาตั้งนานก่อนหน้านี้แล้ว โยมโสภณ ก็ได้นัดไว้ตั้งแต่คงจะสักเดือนมาแล้วมั้ง แต่ว่า พอดีว่าเกิดเหตุขัดข้อง ในเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เล็กน้อย ก็เลยเลื่อนมา ก็มาในตอนนี้ ก็เมื่อมาแล้วก็ได้มีโอกาสได้มาดู กิจการของบริษัท ก็ได้เห็นทั้งในส่วนของวัตถุดิบที่จะนำมาป้อนโรงงานแล้วก็การผลิต แม้ว่าจะมีเวลาดูสั้นๆ แต่ที่ว่าก็เห็นกิจการ เรียกว่าโดยทั่วๆ ไปแล้ว แต่ว่า ส่วนหนึ่งก็คือว่า ไม่ใช่ว่าเป็นการมาดูกิจการเป็นเรื่องเป็นราวหรอก มาเป็นการที่ว่าได้พักผ่อน ถือว่าเป็นการได้เปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย มาที่นี่ก็ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ก็คือที่ไร่สัปปะรด ก็ไปดูรอบทีเดียว โยมโสภณพร้อมทั้งที่ทางไร่นั้นก็มีคุณชาญวิทย์ และก็คุณจีรนันท์ ก็ได้พาไปดูจนกระทั่ง เรียกว่ารอบบริเวณ แต่เวลาจำกัดไปหน่อย เกรงว่าเดี๋ยวจะมาไม่ทันเพลที่นี่ก็เลย ก็พอดูผ่านๆ บางจุดก็ไม่สามารถเข้าไปดูได้ เกรงว่าเวลาจะเนิ่นนาน ก็เลยต้องเดินทางต่อมาที่นี่เพื่อมาฉันเพล ได้มาที่นี่แล้วก็ได้รับการต้อนรับโอพาปราศรัยจากท่านกรรมการอำนวยการพร้อมทั้งพนักงานท่านอื่นๆ ก็เป็นที่น่าอนุโมทนา ก็เป็นบรรยากาศของไมตรีจิตมิตรภาพในหมู่ของผู้ที่อยู่ในนี้เอง แล้วก็ท่านที่มาเยี่ยมเยียน ซึ่งพอดีก็ประจวบกัน นอกจากคณะอาตมาแล้วก็คณะท่านนายอำเภอพร้อมทั้งท่านปลัดก็ได้มาเยี่ยมเยียนบริษัทด้วย ก็เลยว่าเป็นโอกาสดี แล้วก็ โยมได้นิมนต์มาฉัน ฉันเสร็จแล้ว ก็เลยบอกว่า นิมนต์มาแสดงธรรมด้วย ในการแสดงธรรมนี้ก็ถือเป็นรายการ ส่วนจะเรียกว่าแถมหรือเป็นพิเศษขึ้นไป ก็เป็นการมาคุยๆ กันแบบสบายๆ มากกว่า คืออย่าให้ถือว่าเป็นเรื่องหนักอะไรเลย พอบอกว่ามาฟังพระแสดงธรรมก็เดี๋ยวจะนึกว่าแหมเป็นเรื่องที่ยาก เป็นเรื่องของศัพท์วัด อะไรก็แล้วเลย อยากจะง่วง ก็อาจจะเป็นไปได้ ก็ถือว่าอย่างที่ว่าได้มาเยี่ยมเยียน ถือเป็นเรื่องเยี่ยมเยียนซะแล้วก็มีการเยี่ยมเยียนก็มีการมาพูดคุยสนทนาปราศรัยกันก็เป็นทำนองนี้ อาตมาก็ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนแล้วก็ได้มีโอกาสมาพบกับท่านมากๆ ก็ต้องอยู่ในที่ประชุมแบบนี้ มาเยี่ยมประเดี๋ยวเดียวก็ได้พบกันไม่กี่คน อันนี้คุณโยมจัดให้อย่างนี้ก็แสดงธรรมก็เท่ากับว่าให้มีโอกาสได้พบกันหลายๆ ท่าน หลายๆ คนนั่นเอง นี่ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ที่เมื่อได้มาพบกันแล้วก็ได้คุยสนทนาปราศรัยในฐานะที่เป็นพระก็จะคุยเรื่องอะไรดีก็คุยถึงเรื่องธรรมะให้ฟัง ทีนี้มาในที่นี้เป็นที่ทำงาน เป็นโรงงาน เมื่อเป็นโรงงานแล้วก็จะคุยเรื่องอะไรดี ก็ต้องคุยกันเรื่องงาน แต่มองในแง่หนึ่งนั้น คนที่ทำงานอยู่แล้วเนี่ย บางทีเขาก็ไม่อยากให้พูดถึงเรื่องงาน คือตัวเองทำงานอยู่ก็หนักอยู่แล้วพอมีคนมาเยี่ยมก็มาพูดเรื่องงานอีก แทนที่จะเอาเรื่องสนุกๆ มาคุยกัน ให้สบายใจ เป็นการที่ว่าเปลี่ยนบรรยากาศกลับมาคุยกันเรื่องงาน แต่ก็อาตมนาก็นึกว่าในแง่หนึ่ง ถ้าหากว่าเราพูดเรื่องงานนี่แหละ แต่ว่าเราพูดกันให้ถูกแง่มันก็ดีและมันก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิตระยะยาว บางทีไปพูดในแง่อื่นเรื่องอื่นสลับเข้ามามันอาจจะสนุกสนาน เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเฉพาะชั่วครู่ชั่วยามแล้วก็ผ่านไปแล้วเราก็กลับมาทำงานหนักของเราต่อ ทีนี้ถ้าเราเผชิญหน้ากับเรื่องงานเลย เอาหล่ะเรื่องงานเป็นเรื่องหนัก เรื่องต้องใช้กำลัง เรื่องต้องใช้เรี่ยวแรง แล้วก็ใช้ความคิด บางทีก็ถึงกับเครียด เราพูดกันเรื่องงานนี่แหละเหมือนกับเผชิญหน้ากับความจริงก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าอันที่จริงถ้าเรื่องงาน ถ้าเราปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลดีระยะยาวแก่ชีวิตทั้งหมด เพราะอะไร เพราะว่างานนี้เป็นส่วนใหญ่ เป็นกิจกรรมส่วนใหญ่ของชีวิตของเรา มันกินเวลาของเรานี่ ส่วนใหญ่ของชีวิตทีเดียว อย่างท่านที่อยู่บริษัทนี้ก็ต้องสละเวลาให้แก่กิจการของบริษัทเนี่ยวันหนึ่งมาก อาตมาได้เดินไปชมกิจการแล้วท่านที่นำชม ท่านก็เล่าให้ฟัง อธิบายให้ฟัง ก็ได้ทราบว่า ทำงานกันนาน อย่างพนักงานที่ยืนๆ เท่าที่มองเห็นนะ ท่านบอกว่าต้องยืนบางทีต้องยืนถึง 12 ชั่วโมง นานมากทีเดียวยืนตั้ง 12 ชั่วโมง นี่ก็เป็นเรื่องที่หนักทีเดียว ก็แสดงว่ามันกินเวลาเข้าไปตั้งครึ่งวันแล้ว เวลาวันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงนี่หมดไป 12 ชั่วโมงกับการยืนอย่างนั้น แล้วก็นอกจากนั้น เราต้องไปทำกิจธุระส่วนตัวของเราอีก แล้วก็พักผ่อนหลับนอนซะบ้างเนี่ย เวลาในวันหนึ่งนี่เราเหลือไม่เท่าไหร่จากการงาน แล้วก็เหลือวันพักผ่อนอีกก็บุคคลคงจะคนละ 2 วัน อาตมาก็ไม่ได้ทราบรายละเอียด แต่รวมแล้วก็เป็นอันว่าสรุปได้ว่า เราใช้เวลาไปกับการงานมาก
[07:15] การปฏิบัติงานให้ถูกต้อง เพื่อให้ชีวิตนี้เป็นอยู่อย่างมีความสุข
การงานครอบครองชีวิตส่วนใหญ่ของเรา เพราะฉะนั้นเราควรจะปฏิบัติต่อเรื่องการงานให้ถูกเพื่อให้ชีวิตนี้เป็นอยู่อย่างมีความสุข เพราะคนเราต้องการให้ชีวิตมีความสุข ทีนี้ การที่จะมีชีวิตที่มีความสุขนั้น งานนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขได้ เพราะว่าเวลาเรามองว่างานทำให้ชีวิตนี้มีความสุขได้ เรามักจะมองอย่างไร เรามักจะมองที่ว่า โน้น ผลที่เกิดจากการทำงานแล้ว คือว่า หลังจากทำงานแล้ว ก็ได้เงิน แล้วก็ไปซื้ออะไรต่างๆ ที่เราชอบใจ ไปเที่ยวอะไร แล้วเรามีความสุขจากการที่หลังจากทำงานไปแล้ว ได้ผลของงานเป็นเงินเป็นทองไปใช้จ่าย เรามีความสุข อันนั้น ไม่ได้มองว่า เป็นความสุขจากตัวงานเลย คือไม่ได้มองว่าตัวงานนั้นทำให้มีความสุข ก็เลยกลายเป็นว่ามองงานนี่เป็นความทุกข์ไปก็มี บางคนก็มองไปว่า เวลาทำงานนี่เราต้องทน เราต้องทนทำมันไป ทำให้มันเสร็จ เราจะได้รับผลตอบแทน ผลตอบแทนนั่นจึงจะทำให้เรามีความสุข ไปมีความสุขตอนโน้น ก็ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าไอ้เวลาที่เราจะมีความสุขนั่นมันเหลือน้อย เพราะเวลาที่เป็นส่วนใหญ่ของชีวิตคือเป็นเวลาที่มีความทุกข์ ต้องอดทน คนจำนวนมากจะมองเรื่องงานอย่างนี้ ก็แสดงว่า นี่มองจุดว่า ความสุขนั้นเป็นผลที่ได้จากงานก็จริง แต่ว่ามองคนละจุด คือคนทั่วไปจะมองจุดที่ว่าตัวงานไม่ใช่ความสุข แต่ว่าต้องได้ผลจากงานนั้นอีกทีหนึ่ง เป็นผลตอบแทนแล้วก็ไปหาความสุข ทีนี้ ถ้าอย่างนี้ก็หมายความว่า ไอ้ตัวงานนั้นก็ไม่ทำให้เราเกิดความสุข ก็เท่ากับบอกว่า ชีวิตส่วนใหญ่ของเรานี่มีความสุขอยู่น้อยกว่าส่วนที่ต้องทุกข์ต้องทน ถ้าหากเรามองงานเป็นเรื่องต้องทุกข์ต้องทน ก็แสดงว่าชีวิตส่วนใหญ่ต้องทุกข์ต้องทน ทีนี้ ถ้าเรามองซะใหม่นี่ เราทำไงที่จะให้ชีวิตของคน ของเรานี่แหละมีความสุขให้มากที่สุด ถ้างานเป็นชีวิตส่วนใหญ่ของเรา เราก็ต้องหาทางทำให้งานนี่เป็นตัวทำให้เกิดความสุข แล้วก็เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตจะมีความสุข และยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ตอนที่ทำงานมันก็มีความสุขด้วย และยังได้ผลตอบแทนจากการทำงานไปละก็มีความสุขอีกมีความสุขซ้อนอีกชั้นหนึ่ง ก็เลยสุขไปหมดเลย สุขสองชั้น สุขตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจุดสำคัญนี่ถ้าจะทำให้ชีวิตเรามีความสุข เราต้องมาจัดการเรื่องงานของเราให้ถูกต้อง ถ้าเรามีความสุขตอนทำงานไปเลย มิฉะนั้นแล้วชีวิตของเราส่วนใหญ่จะไม่มีความสุข จะมีส่วนที่เป็นสุขน้อยกว่าส่วนที่เป็นทุกข์ หรือว่าต้องทุกข์ต้องทน เราก็ตกลงกันว่ามาทำให้งานนี่มีความสุข จะมาทำงานให้มีความสุขก็ไม่ใช่มาสนุกกระโดดโลดเต้น เดี๋ยวจะว่าเป็นแบบงานวัด งานลอยกระทง นั่นก็งานเหมือนกันนะ เราเรียกว่างาน งานลอยกระทงก็สนุกสิ งานวัดไปดูหนังดูลิเก ก็สนุก นั่นก็งานเหมือนกันนะ แต่ว่างานแบบนั้นเป็นงานที่เราไปดูเขา เราไม่ต้องทำเอง แต่ว่าที่ท่านถ้าพูดอย่างนั้นแสดงว่ามันมีแง่ของความหมายแล้ว แสดงว่าคนไทยนี่แต่เดิมมองงานในแง่สนุกสนานเหมือนกันว่างานวัด งานลอยกระทง งานสงกรานต์ ทำไมเป็นงานหละ งานนี่มันสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องทุกข์ ก็คือคนไทยสมัยโบราณมองว่า เรื่องงานเป็นเรื่องสนุกสนานเพลิดเพลิน มีความสุข แม้แต่ไปเกี่ยวข้าวกันก็ยังไปร้องเพลงกัน นั่นก็งานเหมือนกัน นั่นก็สนุก คือว่า เราไม่ได้มองเฉพาะไอ้ตัวกิจกรรมที่ทำเท่านั้น แต่เรามองถึงจิตใจที่ว่าให้มีความเพลิดเพลินเจริญใจบันเทิงไปด้วย แต่คนสมัยหลังนี่ มาได้ยินคำว่า งานวัด งานสงกรานต์ งานลอยกระทง เป็นต้น แล้วก็ ไม่ได้มองว่าในแง่ที่จริงเป็นงานในความหมายที่เป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ด้วย ไปมองแต่ในแง่สนุกสนาน คือเดิมมันก็เป็นงานจริงๆ มันเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อประโยชน์แก่สังคมนั้น หมายความว่าเป็นงานไปช่วยกันทำประโยชน์แก่ส่วนรวม เช่น ไปที่วัดแล้วไปช่วยกันก่อพระเจดีย์ทราย เอาทรายเข้าวัด หรือทำงานช่วยวัดอย่างใดอย่างหนึ่งอะไรเนี่ยก็เป็นงานเป็นการทั้งนั้นแหละ เกี่ยวข้าวก็เป็นงานเป็นการแต่ว่าให้มันพร้อมไปกับความรื่นเริง ร่าเริงบันเทิงใจไปด้วย ทีนี้ ตกลงว่าที่จริงแล้วในงานนี่ ในความหมายของประเพณีไทยมันมีตัวกิจกรรมที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่ง แล้วก็ด้านจิตใจที่มีความร่าเริงบันเทิงสนุกสนานอีกส่วนหนึ่ง ให้มี 2 อย่าง ทีนี้งานที่เราต้องการที่แท้จริงมันจะต้องมีความหมายได้ 2 ส่วน คือ 1. ตัวงานที่ทำให้เกิดผลสำเร็จของงานนั้นที่เป็นจุดมุ่งหมายของงานให้ได้ผลงานหรือผลดี เรียกว่า ทำโรงงานสัปปะรด ก็หมายความว่า ได้ผลิตภัณฑ์ขึ้นมาที่มีคุณภาพดี ได้ปริมาณ ได้ถึงเป้า มีเป้าหมายว่าจะทำได้เท่าไหร่ก็ทำได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ คุณภาพจะให้ได้ขั้นไหนก็สามารถทำให้ดียิ่งขึ้นไปอันนี้ก็ส่วนหนึ่ง นี่ก็คือตัวงานต้องให้ได้ผลด้วย แล้วก็ อีกด้านหนึ่งก็คือว่า เวลาทำงานนั้นให้มีความสุขไปด้วย ถ้าเมื่อไหร่ได้สองอย่างอย่างนี้ แล้วก็เรียกว่ามีผลสมบูรณ์ งานที่จะมีผลสมบูรณ์นั้นให้มองดูทั้งสองด้านนี้ แล้วสองด้านนี้มันจะกลับมาช่วยกันเอง [13:32-14:04] ถ้าเราทำงานด้วยการ ด้วยมีความสุขแล้วนี่ มันจะทำให้เรามีความพอใจที่จะทำงานให้ยิ่งขึ้นไป แล้วก็จะทำงานให้ได้ผลยิ่งขึ้น แล้วพอเราทำงานได้ผลดียิ่งขึ้น เราก็อิ่มใจ เรียกว่า เรามีปีติ เกิดความอิ่มใจในผลงานนั้น ก็มีความสุขมากขึ้น พอมีความสุขก็ยิ่งทำให้ดีขึ้น มันก็เลยเป็นลูกโซ่ เรียกว่า เป็นตัวปฏิสัมพันธ์ มีผลย้อนกลับต่อกัน ให้ได้ผลดีขึ้นทั้งในแง่ผลงานแล้วก็ความสุข นี่ก็เรียกว่าจะต้องมีการปฏิบัติต่องานอย่างถูกต้อง
[14:12] วางใจต่องานให้ถูก และมองเห็นคุณค่าของงาน
เริ่มต้นตั้งแต่วางใจต่องานให้ถูก ถ้าวางใจผิดจากงานแต่ต้นแหละก็ไปเลย คลาดเลย อย่างที่ว่าทัศนคติ ถ้าวางทัศนคติต่องานเป็นว่าเรื่องต้องทุกข์ต้องทนแล้ว เรามาทนทำงานให้เสร็จแล้วเราจะได้ไปเสวยผลงาน ได้ผลตอบแทนแล้วเราค่อยไปสนุกทีหลัง ตอนนี้แหละวางท่าทีผิดแล้ว แล้วอะไรต่ออะไรมันจะคลาดเคลื่อนไปหมดเลย ผลงานก็อาจจะไม่ค่อยได้ดี จิตใจของเราก็ไม่ค่อยสบาย ความสุขก็น้อย แล้วเวลาไปได้ผลตอบแทน ไปหาความสนุกสนาน คนพวกนี้ก็จะเรียกว่า เลยเถิดไปง่ายๆ หลงง่ายๆ ระเริงไป หลงไป ลืมไป เลยไป เรียกว่าไปหาความสนุกสนาน แล้วบอกว่า ทนทุกข์มานานแล้วเอาให้เต็มที่ อะไรทำนองนี้ ก็เลยเสียไปเลย แล้วถ้าเขามีความสุขอยู่ตั้งแต่ทำงานไปแล้ว เวลาเขาเลิกงานไปแล้วเขาไปหาความสุขเพิ่มเติมเขาก็สบายอยู่แล้ว มันเป็นส่วนแถมมาแล้วก็ไม่มีปัญหานี่ก็เป็นวิธีที่ว่า มันต้องเริ่มต้นจากการวางใจให้ถูกต้องก่อน แล้วก็มีท่าทีหรือทัศนคติที่ถูกต้องต่อการทำงาน แล้วอะไร ทำอย่างไงจึงจะให้ทำงานได้ผลด้วยแล้วก็มีความสุขด้วย ก็เหตุผลง่ายๆ ที่จะทำให้เรา ทำงานได้ผลดีแล้วก็มีความสุขไปด้วย ก็คือ เราต้องมีความพอใจในงาน รักงานนั้น มีความรัก มีความพอใจ ถ้าใจเรารัก เราพอใจในงานเสียแล้วนี่ แหมมันอยากจะทำอยู่นั่นแหละ ใครมาห้าม ก็ไม่อยากจะหยุด ไม่ยอม อยากจะทำอยู่แล้ว ใจเราจะทำ เพราะฉะนั้น ใจมันพอใจจะทำ มันก็ทำด้วยใจรัก มันก็ทำได้ ตั้งใจทำ แล้วก็ทำแล้วนอกจากได้ผลแล้วก็มีความสุขในขณะว่าทำได้ นอกจากตั้งใจวางท่าทีต่องานให้ถูกต้อง อย่าไปมองว่าเป็นเรื่องต้องทุกข์ต้องทนแล้วก็มีใจรักจะทำอย่างไร [16:15-16:24] จะทำอย่างไรให้เราเกิดความพอใจ รักใคร่งาน เราจะพอใจรักงานได้นี่ มันก็ต้องเห็นคุณค่าของงาน เอาหล่ะก็ต้องมามองขั้นต่อไป เห็นคุณค่าของงานนั้น จะเห็นคุณค่าอย่างไร คุณค่าของงานนี้มีหลายอย่าง พรรณนาไปได้มากมายหลายแง่ ถ้าเรายิ่งมองเห็นคุณค่าของงานหลายแง่หลายด้านนี่ เราจะยิ่งมีเหตุผลที่ทำให้เกิดความรักงานมากขึ้น คุณค่าของงานประการแรก ง่ายที่สุด ก็คืออะไร คนทุกคนก็มองเห็นคุณค่าของงานประการแรก ก็ต้องมองไปที่เรื่องของการได้ผลตอบแทนก่อน ผลตอบแทนก็คืออะไร ก็คือเครื่องเลี้ยงชีพ ปัจจัยเครื่องเลี้ยงชีพ เราก็รู้ว่า อ๋องานนี้แหละมันทำให้เรามีเครื่องเลี้ยงชีพ ทำให้เราเป็นอยู่ได้ดี อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผูกพันกับชีวิตของเรา มันเป็นคุณ มันเป็นสิ่งที่มีคุณต่อชีวิตของเรา งานมีคุณต่อชีวิต ทำให้ชีวิตของเราดำรงอยู่ได้ด้วยดี เพราะฉะนั้น งานนี่เป็นสิ่งที่มีคุณต่อเรา เมื่อมีคุณต่อเรา เราก็ควรจะรักจะชอบมัน นอกจากว่าจะมีคุณต่อชีวิตของเราแล้ว ก็หมายถึงครอบครัวของเรา ญาติพี่น้องของเราด้วย เราทำงานได้แล้ว เรามาอยู่ห่างบ้าน บางทีเราเก็บเงินได้แล้วเรายังส่งไปช่วยบ้านเรา เราไปช่วยพ่อช่วยแม่ในท้องถิ่นอะไรอีก ก็รู้สึกว่าโอ้งานนี้มีคุณค่ามาก นี่ก็เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีคุณต่อชีวิตเราก็ควรจะรักมัน อย่างคนเราด้วยกันถ้าใครมีคุณต่อชีวิตของเรา เราก็มีความรักใคร่เขาด้วย มีความรู้สึกที่ดีงาม อันนี้ก็เป็นของขั้นง่ายๆ พื้นฐานอันดับที่ 1 แต่ว่า อันที่จริงงานไม่ได้มีคุณค่าแค่นี้ งานยังมีคุณค่าต่อไปอีก คุณค่าของงานข้อต่อไปก็คือว่า งานนี่แหละที่ทำให้กิจการของโลก ของสังคม ของประเทศชาติมันเป็นไปได้ และงานบางทีก็เป็นประโยชน์โดยตรงเลยต่อชีวิตของผู้อื่น อย่างงานโรงงานสัปปะรดหรือโรงงานอาหารนี่ ไม่ว่าจะทำสัปปะรดหรือทำอาหาร ทำผลไม้อื่นก็ตาม ก็เป็นเรื่องอาหารของมนุษย์เป็นปัจจัย 4 อย่างหนึ่ง เขาจะชอบหรือเขาจะพอใจรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่เราทำเนี่ยเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของคนทั้งหลายเพราะทำไปแล้วก็เป็นประโยชน์แก่มนุษย์แก่เพื่อนมนุษย์อยู่ เมื่อเราทำสิ่งเหล่านี้ เรารู้เข้าใจคุณค่าของสิ่งที่เราทำ ว่าทำสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ นอกจากว่าเป็นงาน เป็นสุจริตแล้วนะ ก็ยังเป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตอื่นด้วย ช่วยหล่อเลี้ยงเพื่อนมนุษย์ให้เขาได้มีอาหารรับประทาน แล้วก็ได้อาหารที่เขาพอใจ อันนี้ก็ควรเป็นสิ่งที่เราควรจะระลึกด้วยว่าเราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ระลึกขึ้นมาแล้วเราก็มีความพอใจ ว่าเราทำสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่าอย่างโรงงานอาหารสยามนี่ นอกจากว่า ทำอาหารที่ไปหล่อเลี้ยงเพื่อนมนุษย์ หล่อเลี้ยงชีวิตแล้ว ก็ยังมีส่วนที่เกี่ยวกับสังคมประเทศชาติส่วนรวมด้วย อาตมาได้ทราบว่า ผลผลิตจากที่นี่ส่วนใหญ่ออกนอกประเทศ ออกนอกประเทศตั้ง 80-90% หรือ 90 กว่าเปอร์เซนต์เนี่ย มีผลดีอย่างหนึ่งคือทำให้เงินตราเข้าประเทศ ประเทศไทยเราเนี่ยต้องการเงินตราเข้าประเทศมาก เรามีปัญหาเกี่ยวกับดุลการค้า เราเสียดุลการค้ามาก เอ๊ะถ้าหากว่า ที่นี่ส่งอาหารออกไปต่างประเทศมาก เราก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยแก้ปัญหาของประเทศในการเสียดุลการค้า แก้ความเสียเปรียบของประเทศ นำรายได้เข้าประเทศ อันนี้ก็มองกันในแง่ส่วนวงกว้าง อันนี้ก็ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอีก เพราะฉะนั้นเรามานี่เป็นสมาชิกส่วนหนึ่งของโรงงานของบริษัทก็เท่ากับว่า เรานี่ได้ช่วยกัน ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย พอนึกขึ้นมาแล้วก็ให้มีความสบายใจเวลาทำงานก็รู้สึก ว่าเอ้อนี่เรากำลังทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติอีกอย่างหนึ่งด้วย นอกจากทำอาหารอร่อยๆ ให้คนรับประทานแล้ว ก็ยังช่วยเหลือเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย นึกขึ้นมาแล้วก็สบายใจ มีความภูมิใจ ปลื้มใจ อันนี้เขาเรียกเกิดปีติขึ้นมา อันนี้ก็ส่วนหนึ่ง
[21:02] งานเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณภาพ มีการพัฒนา มีความสุข
ทีนี้มองไปอีกงานนี้ยังมีคุณ มีคุณค่า มีประโยชน์อะไรอีก คนเราเนี่ยชีวิตของเราเนี่ย เราต้องการความเจริญก้าวหน้า การพัฒนาตนเอง ให้มีสติปัญญา มีความเก่งกล้าสามารถ มีความชำนิชำนาญในเรื่องอะไรต่างๆ เนี่ย ความเก่งกล้าสามารถชำนิชำนาญของคนแสดงออกที่สำคัญจากงานของเขานั่นเอง ทีนี่เราต้องการจะเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถ เป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น เราก็จะต้องมีการพัฒนาตนเอง ส่วนสำคัญของชีวิตที่จะทำให้คนพัฒนาตนเองได้ ก็คืองาน นั่นเอง ในการทำงานนี่เป็นการพัฒนาตนเอง เป็นการฝึกฝนตนเองในทุกด้าน ถ้าเราอยากจะเป็นคนเจริญก้าวหน้า เป็นคนมีคุณภาพ เราต้องการพัฒนาตนเอง เราก็มาพัฒนาตนเองที่การทำงาน ใช้งานให้เป็นเครื่องพัฒนาตนเอง การทำงานนั้นเป็นการพัฒนาตนเองที่สำคัญมาก จะมองกันในแง่ ความเก่งกล้าสามารถก็ได้ ความสามารถในงานในชีวิตของเรานี่ก็เกิดจากการทำงาน แต่เราต้องตั้งใจทำ ทำให้ถูกต้อง และก็พยายามทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป คอยสังเกต คอยดู คอยศึกษาอะไรอยู่เสมอ คอยสอบถาม คอยหาความรู้อะไรต่างๆ ในการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถในการทำงานขึ้นมา การพัฒนาตนเองให้มีความเก่งกล้าสามารถในการทำงานนี้ นอกจากว่า ผลภายนอกคือการที่ว่า เช่น อาจจะได้ผลตอบแทน หรือว่าได้การเลื่อนชั้น เลื่อนระดับงานแล้ว ก็มีผลในภายในตนเอง ซึ่งว่า ภายนอก เราจะได้รับผลตอบแทนหรือไม่ก็ตาม แต่ตัวเรา เรารู้ ก็คือการที่เรามีความชำนิชำนาญทำอะไรได้ดีขึ้น ซึ่งเขาจะไม่มีผลตอบแทนให้ หรือเขาจะมีก็แล้วแต่ แต่ก็เรา รู้สึกในตัวเอง เราทำไปแล้วเราก็สบายใจของเรานะ ให้รู้สึกว่า เราทำอะไรแล้วทำได้ดีขึ้นคือการพัฒนาตนเอง แล้วให้มีความภูมิใจ สบายใจในตัวเลย ไม่ต้องรอว่าให้คนอื่นเขามาให้ผลตอบแทน ฉะนั้นมันเป็น 2 ชั้น ตอนที่ 1 ก็คือตัวเราเนี่ยได้แน่นอนก่อน เพราะฉะนั้นบางคนไปมองแต่แง่ว่า เอ๊ะ เขายังไม่ได้ให้ผลตอบแทนเรา เรายังไม่ได้รับรางวัล ถ้าไปรอหวังผลแบบนั้นแล้วก็อาจจะทำให้ผิดหวัง เพราะนั่นเป็นส่วนของคนอื่น เขาจะให้ไม่ให้อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าส่วนที่เราได้แน่นอนก็คือ ตัวเราเอง เราพัฒนาความสามารถขึ้นมา เราเห็นประจักษ์ชัดกับตัวเราเอง เพราะฉะนั้นเราได้ตลอดเวลา จากการทำงานหรือว่าการทำงานเป็นการพัฒนาตน นอกจากความพัฒนาในความชำนิชำนาญความเก่งกล้าสามารถแล้ว เรื่อง นิสัยการเป็นอยู่ในสังคมอะไรต่างๆ เนี่ย มันพัฒนาไปด้วย ถ้าเรารู้จักทำ นิสัยของเราก็ดีขึ้น ความเป็นคนมีระเบียบวินัย ความขยัน ความอดทนนี่ มันฝึกไปในตัวเสร็จเลย ความรู้จักสังเกต ความมีปัญญา ได้รู้เข้าใจพิจารณาเหตุผลในการแก้ปัญหา เราฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เรื่อยตลอดเวลา เพราะฉะนั้น นี่คือ ลักษณะชีวิตที่ดีงามต้องมีการพัฒนา ต้องมีการก้าวหน้า และก็งานนี่แหละ ถ้าเราปฏิบัติได้ถูกต้อง มันจะเป็นเครื่องพัฒนาชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นเราก็มองว่า [24:35] งานนี่ เป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตมีคุณภาพ มีการพัฒนา แล้วเราก็มีความสุขกับการทำงาน เรียกว่าเราได้ทำงานเราก็ได้พัฒนาตนเอง อันนี้นอกจากนั้นแล้ว ก็คือบรรยากาศ บรรยากาศในการทำงาน ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ ความยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกันในหมู่ผู้ร่วมงาน แล้วก็ นอกจากนั้นก็อาจจะมีพวกสวัสดิภาพอะไรต่างๆ มีความเป็นอยู่ ที่ว่าเหมาะสม ทางพระเขาเรียกว่า สับปายะ สับปายะก็คือ บรรยากาศสภาพแวดล้อม สถานที่อยู่ อะไรต่างๆ ปัจจัยต่างๆ มันเกื้อกูลต่อการที่จะดำรงชีวิต ก็จะทำให้เราสบายใจไม่ห่วง ไม่กังวล และเราก็พอใจในการทำงานด้วย แล้วส่งผลกลับย้อนมา อันนี้ก็เป็นเรื่องตัวประกอบแวดล้อม ซึ่งทำให้เราทำงานด้วยความสบายใจ มีความรัก ความพอใจงานเกิดขึ้น แต่ว่าข้อสำคัญก็คืออย่างบอกเมื่อกี้ตอนต้นว่า ต้องตั้งท่าทีให้ถูกต้องต่องาน อย่าไปมองงานว่าเป็นเรื่องต้องทุกข์ต้องทน ต้องมองงานว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีประโยชน์แล้วก็เกิดความรักความพอใจงาน พออย่างนี้แล้วเราก็ทำงานด้วยความสุข มีความตั้งใจ เวลางานเดินหน้าไป พอมีความรักงานแล้วผลตามมาก็คือว่า พอรักงานนี่เราก็อยากจะทำ พออยากจะทำ พองานมันเดินหน้าไปได้หน่อย เราก็รู้สึกว่า มันได้ผลแล้ว มันได้ผลเราก็เกิดความอิ่มใจ ผลงานที่เกิดขึ้นแต่ละระยะทำให้เกิดความอิ่มใจและทำให้เกิดความสุข ทางพระเขาเรียกว่า ปีติ เป็นกระบวนการของจิตใจที่จะทำให้คนมีสุขภาพจิตที่ดี บางคนที่ทำงานอย่างนี้แล้วไม่ค่อยมีความเครียด ถ้าคนไม่มีปีติ ไม่มีความอิ่มใจจากงาน มีงานเดินหน้าไป ก็ไม่ได้นึก เพราะไปมัวใจแต่ไปหวังโน้นเลิกงานแล้วจะได้ไปสนุกสนาน ใจไปอยู่ที่โน้น แล้วก็มัวไปมองที่ผลตอบแทน ใจมันก็ไม่อยู่กับงานแล้วตอนนี้ ที่นี้เมื่อใจไม่อยู่กับงาน ก็หาความสุขจากงานไม่ได้ มันก็กลายเป็นต้องทนต้องทุกข์ในการทำงาน ใจมันก็ไม่สบาย เพราะฉะนั้น อันนี้ ก็เรียกว่าตั้งท่าทีที่ผิดต่องาน ก็ต้องทำใจให้มีความสุขกับงานไปเลย อย่างที่ว่าพอใจรักงานแล้ว งานก้าวไปนิดมันก็อิ่มใจ ในการที่ได้เห็นผลงานก้าวไปทีละหน่อยๆ มีความสบายใจตลอดทุกขั้นตอน นอกจากว่า การมีความรักงาน ทำงานไปด้วยใจสบายมีความสุขแล้วก็เห็นผลงานก็มีความสุข มีปีติมากยิ่งขึ้น แล้วก็ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การทำใจตัวเองตลอดเวลาให้มีสติเตือนใจตัวเองว่าทำใจให้ร่าเริงผ่องใส เรื่องใจของเราเนี่ย เราปรุงแต่งได้ ปรุงแต่งให้ดีก็ได้ ปรุงแต่งให้ร้ายก็ได้ ปรุงแต่งไม่ดี ก็หมายความว่า ให้เกิดความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง เดือดร้อน กระวนกระวาย อันนี้เราก็ปรุงแต่งได้ ไปนึกอะไรที่ไม่ดีขึ้นมาอย่างที่ว่า เกิดอยากจะไปโน้นไปนี่ยังไม่ได้ไป ตอนนี้ทำไมยังไม่ถึงเวลาสักที ฉันอยากจะเลิกงานไปทำโน้น ไปสนุกที่นั่น นี่ยังเหลืออีกตั้ง 2 ชั่วโมง ไปคิดรออย่างนี้ เอาแล้ว ตอนนี้ปรุงแต่งขึ้นมา เรียกว่าคิดปรุงแต่ง ใจฟุ้งซ่านขึ้นมา กระวนกระวายตอนนี้ทำงานก็ไม่มีความสุข เกิดความเครียดด้วย ทีนี้เราปรุงแต่งในทางที่ดี ก็ร่าเริงสนุกสนาน เออทำงาน เรามองงานที่เราทำอยู่ข้างหน้า ไม่ต้องไปคิด เดี๋ยวถึงเวลามันก็เลิกงานเองแหละ มันครบ 12 ชั่วโมง ก็ 12 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง ก็ 8 ชั่วโมง ครบเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เวลามันยุติธรรมกันทุกคนแหละ ไม่เคยเอาเปรียบใคร เราไปคิดเอาเองว่า เวลามันช้าเหลือเกิน อ้าวทำไมหละ เพราะเราไปรอมัน ถ้าเราไม่รอมันซะอย่างมันก็ไม่ช้า เราก็ทำไป เวลามัน อย่างที่ว่า เวลานี่ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกคน เสมอกัน แต่ว่าเวลาตั้งใจ ถ้าตั้งใจผิด มันก็ทำให้เวลาช้าหรือเร็วตามแต่เราจะตั้งใจไว้ นี่เราก็ทำใจไว้ให้ถูก เราก็รู้อยู่ว่าเวลามันเป็นอย่างนั้นของมันตามธรรมชาติ เราก็เอาใจมาอยู่กับงานของเรา ทำใจให้ร่าเริงกับงาน สนุกสนานกับงาน ถ้าบอกว่าปรุงแต่งใจให้13 ร่าเริงเบิกบาน ท่านเรียกว่า ปราโมทย์ ทำใจให้ปราโมทย์ เวลาทำงานนี่ทำให้ร่าเริงเบิกบาน พยายามยิ้มแย้มแจ่มใส นึกถึงงานก็ทำให้ร่าเริงเบิกบาน เตือนสติตัวเองอยู่เรื่อย พอเรารู้สึกว่าใจเริ่มขุ่นมัว เอ๊ะเอาละนึกได้ เอ๊ะ เรานี่เริ่มจะชักไม่ได้การณ์แล้วมั้ง ใจเราชักจะเริ่มเดือดร้อนกระวนกระวาย ชักจะขุ่นมัว เศร้าหมอง ไม่ได้ๆ ผิดแล้ว มันต้องร่าเริงเบิกบาน พอเราได้สติอย่างนี้ เราเตือนตัวเอง เราก็ปลอบใจตัวเอง พอปลอบใจตัวเอง เราก็ทำใจร่าเริง ทำได้ อันนี้อยู่ที่ฝึก ทีนี้เราก็ปรุงแต่งใจของเรา ปรุงให้มันดี ปรุงให้เป็นดีมันก็ดี ปรุงให้ไม่ดีมันก็ไม่ดี เหมือนกับอาหารเราก็ปรุงแต่งได้ ปรุงให้มันน่ากินหรือปรุงให้ไม่น่ากิน อันนี้ใจเรา เราก็ปรุงได้ ปรุงของข้างนอกยังปรุงได้ ปรุงในใจตัวเองทำไมจะปรุงไม่ได้ ก็มาปรุงใจตัวเอง ปรุงด้วยของดีๆ นึกแต่สิ่งที่ดี นึกงานในแง่ดีอะไรต่างๆ นึกให้มันสบายใจ ทำงานก็ร่าเริงไปกับงาน เบิกบานไปกับงาน พอมีร่าเริงปั๊บ ทำงานด้วยใจร่าเริงท่านเรียกว่ามีปราโมทย์ พอมีปราโมทย์แล้วต่อมาทำงานไป งานมันเดินหน้าไป มันก็อิ่มใจว่า งานมันก้าวหน้า มีผลเกิดขึ้นทีละน้อยๆ เกิดที่เรียกว่าปีติ อิ่มใจ พอมีปีติอิ่มใจนะ สบายใจ ท่านบอกมีปัสสัทธิ ความผ่อนคลายกายใจ จะไม่มีความเครียด คนที่ทำงานอย่างนี้มีปีติอิ่มใจ ก็สบาย ใจไม่เครียดมีความผ่อนคลายสงบเย็น มีปัสสัทธิ แล้วก็มีความสุข มีความสุข ก็โปร่งใจ โล่งใจ ไอ้ความสุขนี่แปลว่า โปร่งโล่งใจ มันไม่มีอะไรมาบีบคั้น ติดขัดคับข้อง คำว่าทุกข์นั่นแปลว่าบีบคั้น คนที่มีความทุกข์ก็คือ มีอะไรมาบีบคั้นใจตัวเอง ถ้าบีบคั้นกายก็เรียกว่าทุกข์กาย ถ้าบีบคั้นใจก็เรียกว่าทุกข์ใจ ในคนจำนวนมากเนี่ยเอาอะไรต่ออะไรมาบีบคั้นใจตัวเองเขาเรียกว่าจึงทำให้เกิดความทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นก็ติดขัดคับข้อง ไม่โปร่ง ไม่โล่ง ทีนี้พอคล่องใจ สะดวกใจ โปร่งโล่งใจก็มีความสุข มีความสุขแล้วต่อไปท่านก็บอกว่าต่อไปใจมันก็มั่นคง แน่วแน่ ทำอะไรใจก็อยู่กับเรื่องนั้น ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย อันนี้ท่านเรียกว่ามีสมาธิ สมาธิก็เกิดขึ้น พอมีสมาธิแล้ว จิตใจเราสงบตั้งมั่นแน่วแน่แล้วจะคิดจะอะไรต่ออะไร มันก็ความคิดมันก็เดิน ปัญญามันก็เดิน จะใช้พลังจิตไปทำงานอะไร แม้แต่ว่าไปทำกรรมฐาน ก็เป็นสมาธิได้ผลดีด้วย อันนี้ดีไปหมดเลย เพราะฉะนั้นนี้ตกลงว่า เป็นเรื่องของการที่ว่าทำให้ชีวิตของเรามีความสุขอย่างแท้จริง เพราะว่างานเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามทำให้การทำงานเนี่ยเป็นตัวนำมาซึ่งความสุข แล้วก็สุขด้วยการทำงานนั้นด้วย สุขตั้งแต่ในการทำงานนั้นแล้ว ต่อไปหลังจากทำงานนั้นแล้ว ขณะทำงานก็มีความสุข เสร็จงานก็มีความสุขเพิ่มขึ้นไปอีก แล้วก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศอีกอย่างหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่า ทำให้ชีวิตมีความสุขโดยที่เอางานเป็นหลัก เป็นส่วนใหญ่ของชีวิต นี่ก็ถ้าหากเราทำงานได้อย่างนี้แล้ว ก็คือความหมายของงานที่เราได้พูดกันมาตามวัฒนธรรมประเพณีไทยที่บอกว่า ไปงานวัด งานสงกรานต์ ก็มองในแง่สนุกสนานบันเทิง เราก็มาทำงานของเราแม้แต่ในโรงงาน ให้มันมีจิตใจที่เบิกบาน สดชื่น ผ่องใสอย่างนั้นด้วย โดยที่รู้เข้าใจคุณค่าของงาน แล้วมีสติเตือนตัวเองให้คอยทำใจให้ร่าเริงเบิกบาน และชีวิตของเราก็พัฒนาไปด้วย ชีวิตของคนที่ปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้องนี่แหละ เป็นชีวิตที่เจริญก้าวหน้า ถ้าแม้แต่สิ่งที่เราทำอยู่ตลอดเวลา คือ งานเป็น
ของประจำ เรายังปฏิบัติไม่ถูกต้องแล้ว มันก็ทำให้เราไปปฏิบัติต่อสิ่งอื่นไม่ได้ถูกต้องเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งประจำของเราตลอดเวลา นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ การงานนี่แหละ ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นกรรม คำว่า กรรมนั้นแปลว่าการกระทำ การกระทำในชีวิตส่วนใหญ่ของคนก็คืองาน เพราะฉะนั้นคำว่ากรรมในความหมายที่ละเอียดที่สุดก็คือเจตนาที่ทำการ เจตนาในใจนี่เป็นตัวที่ทำให้เราทำโน้นทำนี่ แล้วก็เวลาทำออกมาเป็นกิจกรรมภายนอก เราเรียกว่า กิจกรรม ทีนี้ถ้าเป็นกิจกรรมที่เป็นหลักของชีวิตก็เรียกว่า เป็นตัวงาน เพราะฉะนั้น กรรมมีความหมายหลายด้าน ทีนี้กรรมในความหมายที่เป็นกว้างที่สุดก็คืองานที่แต่ละคนทำ พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า กัมมุนา วัตตะติโลโก โลกนี้เป็นไปตามกรรม [33:53] โลกนี้เป็นไปตามกรรม ก็คือ เป็นไปตาม ขั้นพื้นฐานก็คืองานของคน คนหรือมนุษย์ที่มาทำงานกันในสังคมนี่แหละ เป็นตัวบันดาลให้โลกสังคมเป็นไป โลกสังคมจะเป็นไปก็ด้วยกิจกรรมสำคัญคืองานของคนที่ทำ อาชีพ การทำงาน เรื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในชีวิตของคนส่วนใหญ่เป็นเรื่องนำให้โลก ให้สังคมเป็นไป ในโลกสังคมประเทศไทย เอาตั้งแต่ในสังคมประเทศไทยเนี่ย จะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่งานที่คนไทยทำ เพราะฉะนั้นเราจะให้สังคมประเทศชาติของเราไปในทางไหน ก็คนแต่ละคนที่มาอยู่ในประเทศเป็นพลเมืองก็ต้องทำงานให้ถูกเรื่องกัน ให้เป็นงานที่จะนำประเทศชาติสังคมไปสู่ความเจริญก้าวหน้า แล้วก็งานในความหมายต่อมาก็คือว่า ผลที่สุดแล้ว กิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างมาจากเจตจำนงในใจ เจตจำนง เจตนา ความตั้งอกตั้งใจ แล้วก็เป็นตัวที่ ปรุงแต่งสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง โลกมนุษย์นี้เป็นโลกของเจตจำนง โลกของความคิดปรุงแต่งสร้างสรรค์ สังคมมีความเจริญก้าวหน้า มีเทคโนโลยี มีอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นเรื่องของเจตจำนง ความคิดสร้างสรรค์ทั้งนั้น ซึ่งต่างจากโลกของสัตว์ทั้งหลาย โลกของธรรมชาติที่มันไปอีกแบบหนึ่ง แต่โลกของมนุษย์เป็นโลกแห่งเจตจำนง โลกของเจตนาปรุงแต่งสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นท่านจึงบอกว่า โลกนี้เป็นไปเพราะกรรมหรือเป็นไปตามกรรม มนุษย์ท่านก็บอกความหมายหลายชั้น นี้คนที่มีเจตจำนง เจตนา ปรุงแต่งสร้างสรรค์ที่คิดเก่งจะเป็นผู้คิดริเริ่มในการที่จะนำสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลง แล้วก็คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไปตามวิถีนั้น สังคมก็เป็นไปตามนั้น แต่ว่าโดยปกติแล้วก็ กิจกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็คือการงานนี่แหละ ที่ทำให้สังคมเป็นไป เพราะฉะนั้น เราเนี่ยมีส่วนที่จะปรุงแต่งชีวิต ปรุงแต่งสังคม ปรุงแต่งโลกให้เป็นไปต่างๆ เราก็มาช่วยกันปรุงแต่งในทางที่สร้างสรรค์ในทางเป็นประโยชน์ การงานที่เป็นอาชีพสุจริตก็เป็นส่วนที่จะช่วยปรุงแต่งโลกให้เป็นไปตามทางที่ดีงาม ให้โลกร่มเย็นเป็นสุข ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และยิ่งถ้างานนั้นไม่เพียงแต่สุจริต แต่ยังเป็นงานที่เกื้อกูลเป็นประโยชน์ด้วย ก็เป็นการหล่อเลี้ยงให้โลกนี้ได้มีความสุขเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ก็ให้เราได้มีความพอใจในสิ่งที่เราทำอย่างถูกต้องตั้งแต่งานเป็นต้นไป ก็เมื่อเรารู้คุณค่าของงาน เราก็มีความพอใจเรื่องงาน และเมื่อเรานึกขึ้นมาเมื่อไหร่ เราได้มีความอิ่มใจว่าเราได้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว อันนี้ก็อาตมาก็ได้มาพบปะกับโยมญาติมิตรกับชาวโรงงานชาวบริษัทนี่ ก็เป็นผู้ที่ทำงาน ทำงานที่สุจริตทำงานที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ก็ขอให้ เห็นคุณค่าแห่งงานของตนเองอย่างที่อาตมาได้กล่าวมาแล้ว แล้วก็นอกจากเราทำประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว ก็ต้องทำจิตใจของเราให้สบายมีความสุขด้วย แล้วจิตใจของเราที่สบายและมีความสุข ก็เป็นปัจจัยให้เราทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ผลยิ่งขึ้นด้วย มันก็จะอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ผูกพันกันไปอย่างนี้ มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ฉะนั้นก็ตกลงว่า เราทำนี่ ให้ชีวิตของเราได้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนที่ได้นี้ก็มีทั้ง 2 ด้าน ก็คือ ด้านที่ว่าเป็นตัวงาน ซึ่งอาจจะออกมาเป็นผลเป็นวัตถุด้านหนึ่ง แล้วก็ด้านของจิตใจที่มีความสุข มีความสบาย มีการพัฒนาของชีวิตอยู่เรื่อย ให้ได้อยู่เรื่อยไป
[37:40] สำรวจตัวเอง เวลาแต่ละขณะ อย่าให้ล่วงไปเปล่า
ทีนี้เราก็เอาอันนี้มาตรวจสอบ เราก็ดูว่าการทำงานของเรา การดำเนินชีวิตของเรานี่ มันได้เจริญก้าวหน้าขึ้นหรือไม่ การที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นไปมันก็ ก็ดูจากหน่วยย่อย ที่จะเจริญก้าวหน้าไปปีหนึ่งๆ นี้ก็มาจากแต่ละเดือน มาจากแต่ละวัน เราก็มาสำรวจเลย คนที่จะเจริญจริงๆ นี่เขาจะต้องสำรวจแต่ละวันเลย สำรวจแต่ละวันว่า แต่ละวันเราได้พัฒนาได้ผลเพิ่มพูนหรือเปล่า ถ้ามัวไปสำรวจชักช้าเดือนปีไม่ทันหรอก คนที่จะมีฐานะดีขึ้นตั้งตัวได้เขาต้องสำรวจแต่ละวัน พระท่านสอนเตือนไว้เลยนะ มีคำที่เป็นพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่ง จำไว้ได้ก็ดีเอาไว้สำรวจตัวเอง ท่านบอกว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง นี่จำเป็นคติเลย ถ้าจำอันนี้หล่ะก็เจริญงอกงามแน่เลย เพราะแต่ละวันเราจะสำรวจตัวเอง สำรวจตัวเองว่า เออ วันนี้เราได้อะไร ก่อนจะนอนสำรวจ ทีนี้ถ้าเราสำรวจว่าเราได้ เราก็มีความพอใจ ถ้าเรารู้สึกไม่ได้ เนี่ยเท่ากับเตือนสติแล้วว่าพรุ่งนี้ต้องพยายามทำให้ได้ผล เพราะต่อไปเราจะต้องให้รู้สึกว่าได้ทุกวัน ปีหนึ่งไม่รู้ได้เท่าไหร่ เดือนหนึ่งก็เยอะแล้ว ปีหนึ่งก็มากมาย เพราะฉะนั้นให้สำรวจแต่ละวันเลย ทางพระนี่ท่านบอกเป็นคาถาภาษาบาลีบอกว่า (อะโมคัง ทิวะสัง กะยิรา อัปเปนะ พะหุเกนะ วา) จำเป็นคาถาไว้ก็ได้ คาถาอย่างนี้มีประโยชน์ คาถาบางคนท่องไปไม่รู้เรื่อง ท่องไปไม่รู้ความหมายเลย แต่คาถาที่อาตมาให้เนี่ย ใช้ได้ด้วยศักดิ์สิทธิ์ด้วย เป็นถาคาที่ได้ผลศักดิ์สิทธิ์ด้วย แล้วเรารู้ความหมายเป็นประโยชน์แท้จริง บอกว่า (อะโมคัง ทิวะสัง กะยิรา อัปเปนะ พะหุเกนะ วา) เท่านี้ (อะโมคัง ทิวะสัง กะยิรา อัปเปนะ พะหุเกนะ วา) แปลว่า เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง เอาแค่นี้ แต่ละวันแต่ละคืนนี่สำรวจตัวเอง ทีนี้ว่าได้เนี่ย หลายคนก็มองไปในแง่ได้เงิน อย่าไปคิดแค่นั้น ชีวิตของเราไม่ใช่ได้แค่นั้น ชีวิตของเราจะได้ความสุข เราได้เงินมาเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่จะหล่อเลี้ยงให้มีความสุข แต่ไมใช่ว่าได้เงินแล้วจะมีความสุขแน่นอน เงินยังไม่ใช่หลักประกัน แต่เป็นตัวเอื้อให้มีความสุข แต่ไม่ใช่หลักประกันให้มีความสุข บางคนได้เงินมามากแต่ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นได้เงินไม่พอ อ้าวได้งาน เอาอีกแล้ว ได้งาน งานนี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เรารู้แล้วนิ มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิต ในการพัฒนาตน ในการที่จะช่วยพัฒนาประเทศชาติสังคม เราได้งานไหมวันนี้งานได้ผล ได้งาน แล้วก็ได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วต่อมาก็คือได้ผลทางจิตใจ ได้หรือเปล่า ทางจิตใจของเราได้บ้างไหม เราทำอะไรต่างๆ เนี่ย เราทำเพื่ออะไร หาเงินหาทองเพื่อจะให้มีความสุข แต่เสร็จแล้วเราได้ความสุขหรือเปล่า ให้เราสำรวจแต่ละวัน บางคนไม่เคยสำรวจเลย เป้าหมายคือความสุข แต่ไปมองที่ได้เงิน เสร็จแล้วได้เงินแล้ว ไม่ได้ดูว่าแล้วว่าได้เงินมามีความสุขหรือเปล่า เสร็จแล้วหาเงินตลอดชาติ ไม่มีความสุขสักที ก็ไม่ได้เรื่อง ตกลงว่าสำรวจเลย สำรวจแต่ละวันนี่แหละ ด้านเงิน ด้านงาน ด้านความเป็นอยู่อะไรก็แล้วแต่ มาลงท้ายที่จิตใจได้มีความสุข มีความสงบ มีความเจริญทางจิตใจไหม จิตใจมีความพัฒนา มีความรู้สึกอย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ มีความร่าเริงเบิกบานใจ มีความอิ่มใจ มีความผ่อนคลายสงบเย็นกายใจ มีความปลอดโปร่งคล่องใจ มีความสงบ มั่นคง แน่วแน่ของจิตใจ สำรวจ ที่นี้ถ้าเราดูจนกระทั่งถึงจุดนี้แล้วแหละก็สบายใจเลย เรียกว่า ดูครบวงจร ไม่ได้ดูเฉพาะเงินอย่างเดียว ไม่ครบวงจร ได้วัตถุอย่างเดียวไม่พอ ฉะนั้น สำรวจว่า ที่ได้แต่ละวันต้องให้สำรวจครบวงจร ไล่ตั้งแต่วัตถุที่หยาบ มาจนกระทั่งสาระของจิตใจของเราที่เป็นนามธรรม ละเอียดบริสุทธิ์ว่า ความสุขความสงบของจิตใจ ความร่าเริง เบิกบานใจได้ไหม ต้องให้ได้แต่ละวัน ก่อนจะนอนหลับ อย่างน้อยก็เครียดมาทั้งวันแล้ว มันเศร้าหมองขุ่นมัวมาก่อนจะนอน ให้มันยิ้มกับตัวเองได้ก็จะดี ยิ้มในใจ แล้วทำใจให้ร่าเริง แม้จะนอนก็ยังปรุงแต่งได้ในใจของเรา เวลานอนนะ เจริญพร เวลานอนก็นอนลงไปวางตัวให้สบายนะ แล้วก็ปล่อยมือปล่อยเท้า แล้วก็บอกตัวเองบอกสบาย ให้มันได้สักหน่อยก็ยังดีนะ ทำใจอย่างนี้มันนำตัวเอง จิตใจของคนเรานี่มันนำตัวเองได้ พอเรานอนแล้วเราบอกตัวเองว่า สบาย ทำใจให้สงบ เพราะบางคนนี่ไม่เคยนึกถึง ใจไม่เคยมีเวลาพักเลย ร่างกายไม่ได้หยุดพัก พอใจพักแล้วใจไม่พักอีก คิดวุ่นวาย งุ่นง่าน แต่ก่อนคนโบราณบอกว่า กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว หมายความว่าร้อนรุ่มตลอดเวลา อันนั้นต้องมีวิธีการ อย่างน้อย พอพักผ่อนกายแล้วก็ให้ใจมันพักด้วย บอกตัวเองว่าสบาย ทีนี้ก็ทำใจให้ร่าเริงเบิกบาน ให้มีความสุข ถ้าเกิดนอนไม่หลับจะเป็นทุกข์นะ บางคนนอนไม่หลับแล้วไปซ้ำเติมตัวเองอีกนะ ไอ้ตัวนอนไม่หลับก็แย่อยู่แล้วยังทุกข์กระวนกระวายเพราะความไม่หลับอีก โอ้ย ทำไงเราก็ไม่หลับสักที ก็นอนเป็นทุกข์อย่างนั้น พอถึงเช้านี้ โหลเหล โหวงเหวง จะเป็นลมเอา นี้ถ้านอนไม่หลับไม่เป็นไร มีเทคนิคหลายอย่าง จะลอง คำพระท่านว่าลองกำหนดลมหายใจ นับหายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ สัก 50 ครั้ง บางคนนับไม่ทันครบหรอกเพราะเป็นคนนอนไม่หลับ ไม่ถึง 50 ครั้งหลับไปก็ได้ไม่รู้ ถ้าลองนับลมหายใจดู ถ้านอนไม่หลับ ทีนี้เอาบางคนนับแล้วก็ไม่หลับ มีเหมือนกัน 50 ครั้งไม่หลับ 100 ครั้งก็ไม่หลับ ไม่ต้องเป็นห่วงบอกอีกคาถาหนึ่ง หลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง ภาวนาเลย หายใจเข้าหลับก็ช่าง หายใจออกไม่หลับก็ช่าง ถ้าทำใจนี้ให้สบายมันไม่หลับทั้งคืน พอถึงเช้าก็ไม่เห็นค่อยเพลียเลย เออ อาตมาเคยป่วยแล้วมันนอนไม่หลับเพราะว่าเป็นเรื่องของความเจ็บป่วย ก็ต้องทำบอกว่าหลับก็ช่าง ไม่หลับก็ช่าง จังหวะของไฟ อย่างนี้ได้ผล ถึงเราจะไม่หลับเราก็ไม่ค่อยเพลีย แต่คนที่ไม่หลับแล้วใจว้าวุ่น เป็นห่วงตัวเอง กังวลไม่หลับ พอถึงเช้าแล้วนี่เพลียแทบแย่เลย ฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอก ถึงมันไม่หลับก็ช่างมัน เราก็ได้พักใจของเราไปพอสมควรแล้ว พักใจ กายไม่พัก ก็ให้ใจมันพัก หลับก็ช่างหลับไม่หลับก็ช่าง ใจพักสบาย ก็นี่แหละมีวิธีการต่างๆ ตกลงว่าถ้าทำได้ทุกวัน ชีวิตไม่สูญเสียเปล่าได้กำไรเรื่อยฉะนั้นเอาคาถามพระพุทธเจ้าไปใช้ คาถานี้ชนะศักดิ์สิทธิ์แน่นอน บอกว่าอะไรเมื่อกี้นี้ (อะโมคัง ทิวะสัง กะยิรา อัปเปนะ พะหุเกนะ วา) เวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้าง เอาหล่ะทั้งหมดนี้ มีความเพียรขยันมากไปยิ่งกว่านี้อีกนะ พระพุทธเจ้าบอกคาถาไว้สั้นกว่านี้อีกไอ้เมื่อกี้มันยังยาว อันนี้ให้มันสั้นลงไปอีก เวลาก็สั้นลงจะบอก (ขโณ โว มา อุปจฺจคา) เท่านี้เอง บอกว่า[45:49] เวลาแต่ละขณะอย่าให้ล่วงไปเปล่า โอ้โหเอาหนักกว่านี้อีก นี่ก็ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วท่านให้เพียรพยายามแม้แต่ละขณะก็อย่าให้ผ่านไปเสีย หากแปลตามตัวจะบอกว่า เวลาแต่ละขณะอย่าล่วงข้ามไปเสีย อย่าล่วงข้าม อย่าล่วงก็หมายความว่ามันล่วงข้ามตัวเราไป โดยเรายังไม่ได้ทำอะไร นี่ก็เป็นคติต่างๆ ซึ่งอาตมาคิดว่า จะเป็นผลเป็นประโยชน์ในการทำงานและในการดำรงชีวิตของทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนก็ขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เป็นข้อคิดในทางธรรม วันนี้อาตมาก็ใช้เวลาในที่ประชุมไปมากแล้ว ก็คิดว่าพอสมควรแก่เวลา ก็ขออนุโมทนาแก่คุณโยมผู้เป็นประธานกรรมการและท่านรองประธานอำนวยการ คุณโยมโสภณ คุณชาคริต เป็นต้นและก็ทุกๆ ท่านแหละที่ได้ พนักงานทุกท่านที่ได้ต้อนรับ เราก็มาพบกันในบรรยากาศที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอันนี้ก็เป็นส่วนช่วยทำให้มีความสุข ก็ขอให้ความสุขนี้เกิดขึ้นในใจของทุกท่าน แล้วก็ดำรงอยู่ยั่งยืนพัฒนาเพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป