แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ในราชวงศ์กุษาณะ ของชนเผ่าสักกะนี่ มีองค์หนึ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ชื่อพระเจ้ากนิษกะ ตอนนี้เป็นปีที่ 78 ขึ้นคริสตศักราชแล้ว ตอนนี้ขึ้นคริสตศักราชแล้วน่ะ พระเจ้ากนิษกะได้ขึ้นครองราชย์ในแคว้นแถวคันธาระเนี่ย เมื่อปี ค.ศ 78 78 ลองคิดเป็นพุทธศักราชนับแบบเราซิเท่าไหร่ ก็ได้ 621 ได้ พ.ศ.621 พระเจ้ากนิษกะ ขึ้นครองราชย์นับถือพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นก็อุปถัมภ์บำรุงพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ และเป็นมหาราชที่ยิ่งใหญ่ด้วย เพราะสามารถเอาชนะที่แคว้น
บักเตรีย แคว้นคันธาระ แผ่อำนาจลงมาตั้งเมืองหลวงชื่อแคว้น ชื่อเมืองบุรุษปุระ บุรุษปุระที่บอกเมื่อกี้คือเมืองเปชวาร์ อยู่ในปากีสถานตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน ซึ่งเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่ว่า เป็นทางผ่านของกองทัพและการค้าขายที่สำคัญ ชุมทางของพานิชย์
ทีนี้บุรุษปุระก็เป็นเมืองหลวงของพระเจ้ากนิษกะ พระเจ้ากนิษกะนี่เป็นชนเผ่าสักกะน่ะ ก็ตั้งศักราชขึ้นมา เป็นศักราชปีที่ขึ้นครองราชย์ก็เป็นปี 1 นับตั้งแต่นั้น เป็นที่มาของคำว่าศักราชที่เราใช้อยู่ ศักราชก็แปลว่าราชาของชาวสักกะ น่ะชนเผ่าสักกะ ที่จริงมันไม่มีความหมายปีอะไรด้วยซ้ำ ต่อมาก็กลายเป็นศกเป็นปีไปเลย ใช่ไหม คำว่าสักกะนี่เป็นชื่อชนเผ่าของพระเจ้ากนิษกะ นี้จะได้รู้ที่มา พระเจ้ากนิษกะตั้งศักราชนี้ อินเดียใช้มาจนบัดนี้ แล้วอินเดียปัจจุบันก็ใช้เทียบคู่กับของฝรั่ง ใช้คริสตศักราชด้วย ปี 2001 ด้วย ถ้านับทางศักราชของอินเดียที่นับพระเจ้ากนิษกะเป็นต้น เอ้า ปี 78 มาถึงปีนี้จะเป็นศักราชเท่าไหร่ ได้ยังครับ
1923
เอ้อ ปัจจุบันนี้ ศักราชได้ 1923 นี่ศักราชของอินเดีย ก็เอาแล้วน่ะเป็นกันรู้ว่า พระเจ้ากนิษกะมหาราชเป็นต้นของศักราช ถ้าแปลก็ราชาแห่งชาวสักกะว่าอย่างงั้นน่ะ ตั้งเป็นราชวงศ์กุษาณะ ราชวงศ์กุษาณะนี้ก็ยิ่งใหญ่ต่อมาพระเจ้ากนิษกะก็อุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ 4 แต่เป็นสังคายนาครั้งที่ 3 ของที่ฝ่ายมหายานยอมรับ ของเราเขาไม่ยอมรับเพราะว่าเป็นฝ่ายที่ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ อ้า ตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ดูว่าวงศ์ของพระเจ้าอโศกอยู่ที่ปาฏลีบุตร ใต้ราชคฤห์อยู่ทางตะวันออกใช่ไหม มาทางบังคลาเทศใกล้ๆ แต่ว่าพระเจ้ากนิษกะตั้งเมืองหลวงที่บุรุษปุระ หรือเปชวาร์นี่ อยู่ในปากีสถานภาคเหนือ ไปคนละทางเลย
นี้กนิษกะก็อุปถัมภ์การสังคายนา ตอนนั้นพวกพุทธศาสนาเถรวาทบางนิกาย ไม่ใช่เถรวาทพวกหินยานบางนิกาย เช่น สรวาสติวาท อะไรพวกนี้ไปรุ่งเรืองแถบนั้น และต่อมานิกายเหล่านี้ก็สาบสูญไป แล้วต่อมาก็เกิดมหายาน แต่ตอนนั้นยังเป็นหินยานอยู่ พระเจ้ากนิษกะนี้ก็ได้อุปถัมภ์การสังคายนานี้ แล้วต่อมาพระเจ้ากนิษกะก็ช่วยเผยแผ่พุทธศาสนา ส่งพระไปทางอาเซียกลาง อาเซียกลางก็ไปจีน พุทธศาสนาประเภทไปจีนก็ไปจากอาเซียกลางเนี่ย แถวทาจิกิสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน อะไรพวกนี้น่ะ ก็ไปทางนี้ แต่อย่าลืมว่า พวกนี้เคยเป็นเมืองของพระเจ้าอโศกมาก่อนน่ะ
ก็มีเรื่องว่า อาณาจักรบางอาณาจักรในอาเซียกลาง เมืองโขตาน ที่มีชื่อเสียง ปัจจุบันชื่อเมืองโฮตัน อะไรนี่ ก็ตามตำนานบอกว่า พระราชโอรสของพระเจ้าอโศกนี่เป็นผู้ไปสร้างไว้ ก็พุทธศาสนาก็อาจจะได้แผ่ไปอาเซียกลางไปทางโน้นตั้งแต่ระยะพระเจ้าอโศก แต่ว่ากว่าจะไปถึงจีนนี่ก็ระยะหลัง ก็ถือว่าระยะช่วงพระเจ้ากนิษกะอะไรมาแล้วเนี่ย ต่อจากนี้ก็เริ่มจะเกิดพุทธศาสนามหายาน อันนี้ก็คือพระเจ้ากนิษกะนี่ ค.ศ.78 อย่างที่ว่าพุทธศักราช 621 นะครับ เนี่ยเป็นระยะที่จะเกิดพุทธศาสนา พุทธศาสนามหายานเริ่มเกิดแล้ว ก็มีเกิดคู่อยู่กับหินยานในแคว้นแถวๆ นั้น แล้วมหายานก็เจริญเติบโตมาแล้วก็หินยานในแถบนั้นก็สาบสูญไป
ที่นี้กนิษกะก็ครองราชย์มา ต่อมาราชวงศ์กุษาณะนี้ก็ ก็ค่อยๆ แตกสลายลง ก็เป็นธรรมดา พวกอาณาจักรยิ่งใหญ่ในที่สุดก็ต้องแตกสลายลงไปตามเหตุปัจจัยน่ะ อันนี้ ต่อมาก็มีราชวงศ์ใหม่เกิดขึ้นทางปาฏลีบุตรอีก คือทางตะวันออกอีก ราชวงศ์นี้เรียกว่า ราชวงศ์คุปตะ พวกนักศิลปินศิลปะนี่จะรู้จักดี เพราะศิลปะคุปตะนี่สร้างพระพุทธรูปมีชื่อเสียงมาก ศิลปะคันธาระเนี่ยยิ่งใหญ่มาเป็นแบบกรีก แล้วก็มาค่อยๆ เลือนลางลงไปเมื่อศิลปะคุปตะนี่ยิ่งใหญ่ขึ้น พระพุทธรูปแบบสมัยคุปตะก็เป็นศิลปะแบบของเขา ทีนี้พวกพระเจ้าแผ่นดินทางนี้ก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ก็ตั้งเมืองหลวงกลับไปที่ปาฏลีบุตรอีก เรียกว่าพระราชวงศ์คุปตะ เขาก็ให้ไว้ว่าศักราช เมื่อ 320 ปีก่อนคริสต์ 320 ปีก่อนคริสต์ ราชวงศ์นี้ครองอยู่ 220 ปี จึงสิ้น
ตอนนี้ก็จะมีแทรกอันหนึ่ง ก็คือพุทธศาสนารุ่งเรืองมาเรื่อย แผ่ขยายทั่วไปเข้าถึงประชาชนให้การศึกษาแก่ประชาชน เพราะวัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาให้การศึกษามวลชน ก็ทำให้วัดเริ่มกลายเป็นมหาวิทยาลัย ในระยะนี้ ด้านหนึ่งศิลปะ ศิลปะบอกแล้วว่าตั้งแต่ มิลินทะ เมนันเดอร์ กนิษกะ นี่น่ะ ช่วงนี้ในระยะ ค.ศ. น่ะ ค.ศ. ซัก 250-300 อะไรนี่ ไม่แน่ 3-400 ราวๆ นี้ เขาก็สันนิษฐานว่าอะไรอันนี้ ก็เกิดพระพุทธรูปใหญ่ที่พามียาน ที่ว่า ที่ห่างจากกาบูลไปพามียาน 22 กิโลเมตรทางตะวันตกน่ะ เป็นพระพุทธรูปแบบคันธาระสูง 55 เมตรองค์ 30 กว่าเมตรองค์
ทีนี้ พอมาทางด้านนี้ ก็คือเรื่องการศึกษา ตอนนั้นตักศิลาเนี่ยกลายเป็นเมืองการศึกษาพุทธศาสนา ว่าอยู่ใกล้ๆ เปชวาร์ด้วย แล้วทางด้านมคธ ภายในเนี่ย ก็พุทธศาสนาก็รุ่งเรืองต่อมา มาถึงสมัยหนึ่งในวัดเป็นวัด บางวัดนี่ใหญ่ให้การศึกษาแก่คนมาก ก็มาตกลงกันรวม 6 วัดเป็นวัดเดียวสร้างกำแพงใหม่ เนี่ย วัด 6 วัดเนี่ยได้กลายเจริญมาเป็นมหาวิทยาลัยนาลันทา ก็ช่วงนี้ก็เป็นหลังจากพุทธกาลมาแล้ว ก็คงจะ 5-6-700 ปี แล้วก็เจริญมาจนกระทั่งถึงราชวงศ์คุปตะ
พอราชวงศ์คุปตะขึ้นครองราชย์พุทธศาสนาก็เจริญมาก มหาวิทยาลัยนาลันทาก็รุ่งเรืองขึ้นมา ราชวงศ์คุปตะซึ่งมีทั้งพุทธ ทั้งฮินดู แต่ส่วนใหญ่เป็นฮินดู นี่ตอนนี้ฮินดูกำลังแข่งขึ้นมา แม้จะเป็นฮินดูก็ต้องอุปถัมภ์มหาวิทยาลัยพุทธศาสนา เพราะเป็นแหล่งศูนย์กลางการศึกษา พอถึงราชวงศ์คุปตะเนี่ย มหาวิทลัยนาลันทาตอนนี้เจริญรุ่งเรืองมากเลย ตีซะว่าแถวๆ ค.ศ.3-400 อะไรนี่ 400 400 ก็พุทธศักราชก็เข้าไป 900 ร่วมพันแล้วใช่ไหม ตอนนี้การศึกษาเจริญรุ่งเรือง ก็เป็นศูนย์กลางการศึกษาอย่างนี้
ต่อมาจนกระทั่งว่า ราชวงศ์คุปตะก็แตกสลายอีก ว่าปี ค.ศ.540 540 นี่เทียบพุทธศักราชก็ 1000 กว่าปี ใช่ไหม ตอนนั้นมหาวิทยาลัยนาลันทากำลังรุ่งเรืองอยู่ ทีนี้การที่แตกสลายก็เพราะว่ามีภัยอันตราย มีพวกกองทัพภายนอกมาตอนนั้นแหละมันมีการรุกรานจากข้างนอกคือพวกฮั่นเข้ามา พวกฮั่นนี่ก็มาจากแถวอาเซียกลางนี่แหละ ค้นพบนักรบสมัยก่อนนักรบหลังม้า พวกฮั่นนี่ร้ายมาก เข้าที่ไหนแหลกที่นั่น ทำลายหมด ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า พวกฮั่นนี้ก็เข้ามาทางโน้นแบกเตรียใช่ไหม ก็เข้ายึดอาณาจักรแบกเตรียนี่ก็โดนทุกทีนะใครเข้ามา อเล็กซานเดอร์เข้ามาก็ยึดแบกเตรีย โยนกก่อน ฝ่ายฮั่นนี่เข้ามาก็ยึด เข้าครอบครอบแคว้นแบกเตรีย หรือโยนกนี้ได้ แล้วก็ตีลงมาคันธาระภายใน ก็ตักศิลา เผาเรียบเลย ตักศิลาสิ้นหมดตั้งแต่ครั้งนั้น ตอนฮั่นเข้ามา ฮั่นเข้ามาก็ ค.ศ.500 ประมาณนะ 500 เศษๆ นิดหน่อย ก็ พ.ศ.1000 ประมาณ พ.ศ.1000 ก็เอาเป็นว่าตักศิลาสูญสิ้น แต่ว่าพวกฮั่นนี้ก็ถูกพวกกษัตริย์ทางชมพูทวีปตีกันไว้รบกันไปกันมาก็เข้ามาได้ ไม่ลึก ก็เลยอยู่แค่นั้น ข้างในก็ยังปลอดภัยอยู่ พุทธศาสนาอย่างนาลันทาก็ยังรุ่งเรืองต่อมา อันนี้ ตอนนี้ฮั่นเข้ามาแล้ว ต่อมาราชวงศ์คุปตะก็สิ้น ราชวงศ์อื่นก็ขึ้นมา ก็เป็นอาณาจักรเล็กๆ น้อยๆ มา
ในตอนราชวงศ์คุปตะนี่ ก็มีอันหนึ่งที่ได้หลักฐาน ก็คือมีหลวงจีนประเทศจีนเข้ามา หลวงจีนนี้ก็ชื่อว่า หลวงจีนฟาเหียน เคยได้ยินไหม หลวงจีนฟาเหียนนี่เข้ามาเมื่อ ค.ศ.400 หรือ 402 402 นี่พุทธศักราชเท่าไหร่ ก็เป็น 945 โดย ประมาณ หรือ 943 ถึง 945 หลวงจีนฟาเหียนก็เข้ามาทางนั้นแหละ เข้ามาทางคันธาระ เข้ามาทางเส้นทางสายไหมน่ะ แล้วก็เข้ามาทางแคว้นคันธาระ ก็ได้เขียนเรื่องราวบันทึกไว้ ก็ทำให้รู้เรื่องความเป็นไปในอินเดียพอสมควร นี้ 400 ราชวงศ์คุปตะ ต่อมาเป็นอันว่า 500 เนี่ย ฮั่นรุกรานเข้ามา ฮั่นรุกรานเข้ามา ต่อมาราชวงศ์คุปตะ ซึ่งต้องรบเหนื่อยยากมากกับพวกนี้แล้วตัวเองก็อ่อนแอลง ก็สิ้นอำนาจ ราชวงศ์กษัตริย์วงศ์อื่น ที่อื่น อาณาจักรอื่นก็เกิดขึ้นมา อินเดียก็กลายเป็นว่าปั่นป่วนอยู่พอสมควร
จนกระทั่งถึง ค.ศ.606 นะ ค.ศ.606 ก็มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รวมดินแดนต่างๆ ตั้งอาณาจักรใหม่ได้ เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ 606 นี้เทียบเป็นพุทธศักราชเท่าไหร่ เอาล่ะ ก็เป็นอันว่า 606 นี่ มีกษัตริย์ยิ่งใหญ่ขึ้นมาชื่อพระเจ้าหรรษะ เรียกเต็มว่า หรรษวรรธนะ ก็เป็นกษัตริย์พุทธอีก กษัตริย์พุทธผู้ยิ่งใหญ่ให้จำไว้น่ะ ใน อินเดียมี 3 องค์ 1 พระเจ้าอโศกมหาราช 2 พระเจ้ากนิษกะเมื่อกี้ อโศกนั้นก็ 268 ปีก่อนคริสตศักราช ถ้าเทียบพุทธนี่ของเรา เอาตัวเลข 218 ปีก่อนคริสตศักราช เอ้าพุทธศักราช 218 เทียบกับของฝรั่งเทียบกันไม่ได้ ต้องใช้คนละเลข แล้วก็ของ ต่อมาพระเจ้ากนิษกะ ค.ศ. 78 นับเป็นศักราชต้น ต้นศักราชใช่ไหม 1923 ปัจจุบัน ก็ค.ศ. ประมาณ 621 ใช่ไหม พระเจ้ากนิษกะ แล้วก็มาองค์ที่ 3 นี่พระเจ้าหรรษวรรธนะ หรรษวรรธนะนี้ก็ ค.ศ.606 ก็ พ.ศ.พันกว่าๆ ที่ว่า พระเจ้ากนิษกะนี้ก็ ขออภัย หรรษะ หรือ หรรษวรรธนะเนี่ยตั้งเมืองหลวงชื่อกันยากุพชะ ปัจจุบันนี้เขาเรียกเมืองกานเนาช์ กานเนาช์ยังอยู่ ใกล้ ๆ ไม่ตรงทีเดียว อยู่ที่กันโดชะ เมืองกานเนาช์ ซึ่งห่างจากกรุงเดลลีมาทางทิศตะวันออก ประมาณสัก 320 กม.
นี่ก็หมายความว่ามาทางกึ่งคล้ายๆ ว่าค่อนข้างกึ่งประเทศ ถ้าเป็นปาฏลีบุตร ก็อยู่ทางตะวันออก ถ้าเป็นพวกตักศิลาก็อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ กานเนาช์นี่อยู่ทางกลางๆ เลยเดลลีมา เอาล่ะ นี้กนิษกะขึ้นครองราชย์ ขออภัย เดี๋ยวจะสับสนพระเจ้าหรรษวรรธนะ หรรษวรรธนะนี้เป็นผู้อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก พุทธศาสนาก็ยิ่งรุ่งเรืองใหญ่ พอถึง ค.ศ.630 แผ่นดินพระเจ้าหรรษวรรธนะ ก็มีหลวงจีนอีกท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดเดินทางมา ชื่อพระถังซัมจั๋ง ตอนนี้เป็นยุคที่เมืองจีนมีราชวงศ์ยิ่งใหญ่รุ่งเรืองมาก คือราชวงศ์ถัง
ทีนี้นักปราชญ์แห่งราชวงศ์ถัง ก็คือพระถังซัมจั๋งก็เดินทางเข้ามา ก็มาทางคันธาระ เข้ามาทางตักศิลาอะไรนี่ เดิน ทางมา ท่านก็เขียนจารึกไว้ เรียกว่าบันทึก แปลเป็นภาษาอังกฤษ เขาแปลว่า The Record of the Western World ว่าอย่างงั้นน่ะ บันทึกโลกตะวันตก ตะวันตกของหลวงจีนซัมจั๋ง แต่บางคนเขาแปลว่า Record of the Western Journey ว่าอย่างงั้นน่ะ บันทึกการเดินทางไปตะวันตก ไปไซที ไซทีตะวันตกใช่ไหม นี่หลวงจีนถังซัมจั๋งก็ไปไซที คือมาสืบพระไตรปิฏกที่ไซที มาที่ประเทศทางตะวันตก ก็มาทาง เพราะต้องเดินทางมาทางตะวันตก และที่จริงอ้อมกลับออกมาทางตะวันออกหน่อย แล้วเข้ามาในอินเดีย เดินทางยากลำบากมาก ท่านบันทึกไว้ ท่านผ่านคันธาระ ผ่านอะไรต่ออะไร เป็นยังไง ยังไง
นี้ค.ศ.630 แล้วก็มาเรียนที่มหาวิทยาลัยนาลันทา นาลันทาตอนนั้นก็รุ่งเรืองมาก แล้วก็ได้จบที่นั่น แล้วก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นาลันทาด้วยหลายปี แล้วเสร็จแล้วก็ขนเอาคัมภีร์พระไตรปิฎก เพราะท่านมาสืบพระไตรปิฎก เอาพระไตรปิฎกเดินทางกลับไป กว่าจะถึงนี่ ผ่านความยากลำบากมากใช่ไหม ก็เลยต้องเดือดร้อนพวกเห้งเจีย ซัวเจ๋ง ตือโป๊ยก่าย 3 คนนี่ต้องมาช่วยท่านอย่างมากเลยนะ ก็เกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเรียกว่าไซอิ๋ว ใช่ไหม เนี่ยมาเมื่อปี ค.ศ.630 ก็คิดเป็นพุทธศักราชเท่าไหร่
1173
อ่า เก่ง ก็ได้พุทธศักราชเศษ เอาล่ะ 1173 ก็ตีซะว่าแถวๆ นั้น นี่ก็พระถังซัมจั๋งมา ก็เลยได้รู้เรื่องนาลันทาที่ยิ่งใหญ่ มีการจัดการศึกษาอย่างไร มีวิธีรับนักศึกษาเข้าอย่างไร มีวิชาเรียนอะไร มีการแพทย์ก็มี ดาราศาสตร์ก็มี คณิตศาสตร์ก็รุ่งเรือง ตอนนั้นวิชาจากนาลันทานี่เผยแผ่ไปยุโรป เลขฝรั่งใช้ปัจจุบันเรียกว่าเลขอะไร ฝรั่งมันหลงผิดอยู่ตั้งนาน ว่าเป็นเลขอาหรับ อารบิกนี่แปลว่าเป็นของอาหรับ คือเข้าใจว่าเลขนี่ 1234 แบบฝรั่งที่นาฬิกาเนี่ย ฝรั่งนึกว่าได้จากอาหรับ เพราะฝรั่งได้จากอาหรับจริงๆ ที่จริงอาหรับนี่ไปได้จากอินเดีย อาหรับมาตอนนั้น เริ่มมาแล้วน่ะ ก็เข้ามาก็ได้ความรู้จากอินเดียไป ก็เอาความรู้จากอินเดียไป รวมทั้งตัวเลขนี้ด้วย เลขอินเดียก็กลายเป็นเลขอาหรับไปถึงฝรั่ง ฝรั่งเรียกว่าอารบิก ตอนหลังฝรั่งสืบรู้ เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนแล้วเขาไม่เรียกเลขอารบิก ฝรั่งเรียกเดี๋ยวนี้เรียกฮินดูอารบิก เดี๋ยวนี้ให้ไปดูตำรา เขาเรียกฮินดูอารบิค นิวโมแลนซ์ ( Arabic Numerals ) แปลว่าตัวเลขฮินดูอาหรับน่ะ นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ให้รู้อารยธรรมวัฒนธรรม ก็นาลันทาเนี่ยเป็นแหล่งการศึกษาที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้ เอาแล้วนะ ถึงยุคนี้ก็ต้องเล่าประวัติศาสตร์ทางตะวันตกมา เพราะว่ามันมีการรุกราน เมื่อกี้นี้เล่าไปทีแล้วจากตะวันตกเนี่ย พวกฮั่นเข้ามาเมื่อปี ค.ศ. ประมาณ 500 ทำลายตักศิลาแหลกลาญไปแล้ว ทีนี้พอพระเจ้ากนิษกะได้รวม ขออภัย หรรษวรรธนะ นี่รวมประเทศดินแดนต่างๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเนี่ย ต่อมาพระองค์ก็หมดวงศ์ พระเจ้าหรรษวรรธนะนี้เป็นกษัตริย์พุทธ เพราะฉะนั้นจะใจกว้าง ให้เสรีภาพในทางศาสนาเต็มที่ เพราะฉะนั้นพวกพราหมณ์ พวกอะไรก็เข้ารับราชการก็โดนพวกพราหมณ์นี่ ปลงพระชนม์อีก พวกพราหมณ์ก็สมคบกันปลงพระชนม์พระเจ้าหรรษวรรธนะ ครั้งแรกไม่สำเร็จ พระเจ้าหรรษวรรธนะก็เมตตาไม่ประหารชีวิต ปล่อยไว้อีก จนกระทั่งพวกนี้ก็เลยสมคบกันครั้งที่ 2 ก็เลยปลงพระชนม์พระเจ้าหรรษวรรธนะสำเร็จ ก็ทำให้อาณาจักรของพระเจ้าหรรษวรรธนะนี้ต้องล่มสลายลงไป ที่ยิ่งใหญ่ นี่ก็พระเจ้าหรรษวรรธนะนี่ครองราชย์อยู่ 41 ปี ยาวเหมือนกันนะ 606 ก็ถึง 647 ซิ ใช่ไหม ทีนี้ตอนนี้ก็พอดีช่วงนี้ ตอนที่พระถังซัมจั๋งเข้ามาเป็นตอนที่เกิดศาสนาอิสลามในอาหรับ ตรงกันเลยใช่ไหม บอกแล้วว่าศักราชอิสลามเมื่อปีอะไร ฮิจเราะห์เริ่ม ค.ศ.เท่าไหร่จำได้ไหม 622 อ่ะ ฮิจเราะห์ศักราชเริ่มเมื่อ นบีมูฮัมหมัด ยกพวก ยกทัพ ยกพล ยกกำลังออกหนีจากเมกกะมาเมืองมาดินะ ใช่ไหม เขาเรียกฮิจเราะห์ศักราช
ตั้งศักราช เริ่มนับวันนั้น 1 ก็ปี 622 ตอนนั้นก็คือตอนที่พระเจ้ากนิษกะกำลังปกครองในชมพูทวีป แล้วเป็นตอนที่พระถังซัมจั๋งมา พระเจ้าถังซัมจั๋งมาก็ตอนที่ศาสนาอิสลามกำลังเริ่มเกิดใหม่ ตอนนี้แหละ นี่เดี๋ยวอิทธิพลจะมาแล้วละ พอพระนบีมูฮัมหมัดสิ้นในปี 632 ใช่ไหม บอกไปแล้ว กาหลิบองค์ที่ 2 นี่ก็แผ่ขยายศาสนาอิสลาม ยกทัพไปตีได้เมืองเยรูซาเล็ม เมื่อปี 640 จำได้ไหม หลังจากพระนบีมูฮัมหมัดได้เสด็จสู่สวรรค์ได้ 8 ปี พอตีเยรูซาเล็มได้ แล้วต่อมาก็ อาหรับก็เรืองอำนาจ ก็ยกรบกับพวกโรมัน รบกับพวกฝรั่ง แล้วก็ยกทัพมาทางนี้ด้วย ตอนนี้เริ่มมา กว่าจะมาถึงแถวนี้ก็พอคริสตศักราช 700 เศษ กว่าจะได้ยกทัพมาอะไรต่ออะไร พอตอน ค.ศ.700 เศษ ทัพอาหรับก็เริ่มบุกเข้ามาทางคันธาระนี้ มาทางบักเตรียอีกแล้ว
ก็ต่อมา อาหรับก็ยึดบักเตรียได้อีก ก็เข้าครอบครองแล้วก็รบกันไปรบกันมา ตอนนี้พอกนิษกะล่มไปแล้ว ขออภัย หรรษวรรธนะ เรียกผิดเรื่อย หรรษวรรธนะล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นพวกเมืองเล็กน้อย เมืองใหญ่อะไรบ้าง รบกันไปน่ะ แต่ก็ยังตรึงพวกอาหรับไว้ได้อยู่ ก็เข้ามาไม่ลึกนัก ตอนนี้ก็ ผ่านมาอีกในราว 200 ปีก็เป็นยุคเติร์กมุสลิม คือในดินแดนของทางตะวันออกกลาง มาทางตะวันตกอะไรพวกนี้ ที่ไปรบกับยุโรปนี่ ทางมุสลิมเองก็มีการเรืองอำนาจเป็นระยะ ยุคแรกนี่อาหรับรุ่งเรือง ต่อมาก็เติร์กมุสลิมรุ่งเรือง เติร์กมุสลิมก็เก่งกว่า แล้วพออาหรับก็พ่ายอำนาจลดลงไป พวกเติร์กมุสลิมก็ยกทัพมาอีก เข้าอินเดียในราว ค.ศ.700 เอ้อ 900 เศษ อาหรับมา 700 เศษใช่ไหม เติร์กก็เข้ามาซะ 900 เศษ แต่ที่จริงมาก่อนบ้างแล้ว แต่ 900 เศษนี่กลายเป็นยุคของเติร์กแล้ว พอเติร์กเข้ามาตอนนี้ใกล้จบแล้ว ท่านฟังนี่สับสนหรือเปล่า ไหวไหม เดี๋ยวมันใกล้จะจบแล้ว เล่าอีกนิดเดียวก็จะจบ
ทีนี้ เติร์กมุสลิมเข้ามาในราว ค.ศ.900 เศษแล้ว ก็ยกทัพตีเข้ามา ตีเข้ามา บางกษัตริย์บางองค์ที่มาตั้งตัวเป็นใหญ่นี้น่ะ ก็ใช้วิธีที่ว่า คอยปล้นวัดต่างๆ ไปเอาพวกทรัพย์สมบัติ เพราะตอนนั้นพุทธศาสนารุ่งเรืองมากใช่ไหม ดินแดนแถบนั้น ฉะนั้นเขาก็สร้างสิ่งดีๆ ไว้ ก็เรียกว่ามีทรัพย์สินมากเหลือเกิน พวกนี้ก็มาปล้นเอาไป ก็มาปล้นวัดกัน ปล้นวัดกันเอาเงินเอาทองไปสั่งสมเพื่อจะได้ลูกหลานต่อ นี่ก็เป็นเรื่องเก่าในอดีต ประวัติศาสตร์ของเขาจารึกไว้
นี่ก็ตีเข้ามาเรื่อย ตีเข้ามาเรื่อย จนกระทั่งถึง ค.ศ.1200 ค.ศ.1200 นี่ เติร์กมุสลิมก็ตีเข้ามาตลอดเลย ถึงมคธ ถึงปาฏลีบุตร เรียบหมด ค.ศ 1200 ก็เป็นพุทธศักราชเท่าไหร่
1743
เป็น 1743 นี่แหละเป็นช่วงนี้ที่พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย เพราะว่าทัพเติร์กมุสลิมนี่ก็ดุเดือดมาก รบที่ไหนก็ฆ่า เผา ฆ่า เผา นี้มหาวิทยาลัยพุทธศาสนานี้ก็ เช่น โอทันตปุระ มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาตอนนั้นมีตั้ง 4-5-6 แห่ง ไม่ใช่เฉพาะ นาลันทาแห่งเดียว ก็เข้าไป ก็ ที่เคยเล่าให้ฟังไง ที่ว่า เข้าไปก็ฆ่าพระหมด แล้วก็ที่แห่งหนึ่ง ที่บอกว่า เอ้า เกิดไปเจอหนังสือเยอะแยะห้องสมุดใหญ่ ให้ไปตามตัวพระมา จะให้มาอ่านว่าจะเป็นอะไรกัน ตำราอะไร บอกว่าฆ่าเสียหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลยก็เลยเผาห้องสมุดต่อ เผากันพินาศหมด ตอนนั้นแหละ ก็พุทธศาสนาก็หมดสิ้น นักประวัติศาสตร์ของมุสลิมเอง เติร์กเนี่ยก็เขียนอวดแสดงความภาคภูมิใจไว้ แล้วก็บอกว่าเรานี่ได้ยกทัพไป แล้วก็ไปตี เรารบชนะ เราจับได้เชลยเป็นอันมาก เราก็ได้ให้เขาเลือกเอา ดาบหรืออัลเลาะห์ ก็โดยวิธีนี้ก็หมด แล้วก็บอกว่าเราได้ยึดทรัพย์สินมามากมายเหลือเกิน นับจนมือชาว่างั้น นี่นักประวัติศาสาตร์เขาเอง เขียนไว้ด้วยความภูมิใจ เรื่องก็เป็นมาอย่างนี้ก็ไปเอาพุทธศาสนาก็สูญสิ้น เมื่อค.ศ.1200 หรือพุทธศักราชประมาณ 1743
อันนี้เป็นเรื่องของความรู้ เราไม่ได้เล่าเพื่อความแค้น ชาวพุทธน่ะไม่ต้องแค้นใคร แต่ว่าต้องรู้ เพราะบอกแล้วเมตตากรุณาต้องมากับปัญญา ใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันจะรักษาอะไรไว้ไม่รอด ก็รักษาโลกให้สงบ มีสันติสุข แล้วต้องมีปัญญา ไม่ใช่มีแต่เมตตาอย่างเดียว เอาล่ะพุทธศาสนาก็หมดสิ้นลง
พระที่หนีได้ก็หนีไปทางอะไร เนปาลอะไรพวกนั้น ทิเบต แล้วก็ลงเรือไปพม่า อะไรอย่างนี้น่ะ หนีกันไป ก็เป็นอันว่ากำหนดจุดสำคัญไว้พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย ค.ศ. 1200 หรือพุทธศักราช 1700 เศษ ตอนนั้นพุทธศาสนาก็เสื่อมมากอยู่แล้ว เพราะว่าไปพยายามแข่งกับฮินดูเป็นต้น นี้ต่อจากนั้นก็เหลือแต่มุสลิมกับฮินดู รบกันต่อไป พุทธศาสนาหมดไป ก็เคยเล่าแล้วมั้ง เหตุที่ทำให้พุทธศาสนาหมดง่าย ก็ (1) คือ ตอนนั้นน่ะ พระนี่มักไปรวมตัวกันในถิ่นที่เจริญ แหล่งการศึกษาใหญ่ ๆ เพราะฉะนั้น เวลาเขากำจัดทีเดียวแทบหมดเลย แล้วตอนนั้นพุทธศาสนาในชนบทเนี่ย เสื่อมโทรมมาก เพราะมาในกรุงกันหมด (1) ก็การศึกษา (2) ก็ลาภผลใช่ไหม พวกแหล่งการศึกษาอย่างนาลันทานี่ พระเจ้าแผ่นดินให้เก็บภาษีในถิ่นใกล้เคียงมาเลี้ยงเลยน่ะ เพราะฉะนั้นก็อยู่กันอย่างสบาย พระก็ห่างเหินกับประชาชน เพราะว่าได้รับการอุปถัมภ์บำรุงอย่างดี ใช่ไหม แล้วก็ถิ่นชนบทก็ทิ้ง ทอดทิ้งไว้ ไม่มีพระที่มีคุณภาพ ดูๆ จะคล้ายกับประเทศไทยปัจจุบัน
ทีนี้ก็เลย เวลาทางเติร์กมุสลิมเข้ามาก็ปราบเรียบไปเลย ฆ่าล้างหมดเลย ส่วนฮินดูนั้น ก็ยังกระจายอยู่ทั่วไป แล้วเขาเป็นแบบว่า พราหมณ์เขาอยู่บ้านมีลูกมีเมีย ใช่ไหม เขาก็อยู่ตามปกติ แล้วพราหมณ์นี้เขาไม่ค่อยถือหลักอหิงสาอย่างเรา เพิ่งมาถือตอนหลัง พราหมณ์นี้เขาไม่ใช่ลัทธิอหิงสา ตอนหลังเราบอกฮินดูอหิงสา ไม่กินเนื้อสัตว์อะไร นี่เป็นเรื่องทีหลัง นัยหนึ่งเป็นเพราะว่าตามพระเจ้าอโศก ทีนี้ พราหมณ์นี่เป็นนักบูชายัญจะเป็นอหิงสาได้ยังไง ใช่ไหม ฆ่าสัตว์บูชายัญ พวกพราหมณ์นี้ก็สู้กับมุสลิมต่อมา ก็เลยต่อจากนั้นก็มีเรื่องประวัติศาสตร์ ในแง่การรบระหว่างฮินดูกับมุสลิม ฮินดูก็ไปตั้งเมืองเล็กเมืองน้อยตั้งวงของตัวเองขึ้นมา เดี๋ยวรบกันที่นั่นที่นี่ สู้กันตลอด ฝ่ายมุสลิมเติร์กนี่ก็ตั้งอาณาจักร ตอนนี้ได้ศูนย์กลางอยู่ที่เดลลี เรียกว่าสุลตาเนท ออฟ เดลลี ( Sultanate of Delhi ) หรือเรียกเป็นคน ก็สุลต่าน ออฟ เดลลี ( Sultan of Delhi ) ในปี 1206 ก็คือช่วงนั้นแหละ ช่วงที่ทำลายนาลันทาเป็นต้นไป พ.ศ.1206
ต่อจากนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับพุทธศาสนาแล้ว เอ้าทีนี้ก็เล่าย่อๆ พอปี 1206 ตั้ง สุลตาเนท ออฟ เดลลีราชวงศ์ของมุสลิม ต่อมาก็รบกันเองด้วย ก็รบกับฮินดูด้วย นี่ก็แย่งความเป็นใหญ่กันมา จนกระทั่งว่า ต่อมาก็มีราชวงศ์มุสลิมระลอกที่ 3 หนึ่ง พวกฮั่นนั่นยังไม่ใช่ เพราะว่า 500 นั่นคืออิสลามยังไม่เกิด ต่อมาระลอกที่ 1 อาหรับ ในราว ค.ศ.700 เศษๆ ระลอกที่ 2 เติร์กมุสลิม ค.ศ.900 เศษๆ ใช่ไหม ระลอกที่ 3 ก็คือพวกมองโกล มุสลิมมองโกล เรียกว่าราชวงศ์โมกุล หรือ มุกข่า เคยได้ยินไหมโมกุล โมกุลก็ที่สร้างทัชมาฮาล
ราชวงศ์โมกุลนี้ก็เช่นเดียวกันมาจากตะวันออกกลาง เพราะเหตุที่ว่ามุสลิมนั้นได้ตีหมดแล้วใช่ไหม ตะวันออกกลางตอนนี้กลายเป็นมุสลิมไปหมด ก็ปรากฏว่าพวกตะวันออกกลางแถวๆ นั้นที่เป็นมองโกลมาอยู่ ก็เรืองอำนาจขึ้นมา ก็ยกทัพเข้ามา ตั้งราชวงศ์โมกุลได้เมื่อปีค.ศ 1526 1526 ตอนนี้เท่าไหร่พ.ศ.
2069
พ.ศ.2000 เศษแล้ว ตอนนี้นะ นี่คือยุคที่ 3 ของมุสลิม เป็นราชวงศ์ หลายราชวงศ์ แต่หมายความว่า ถ้าจัดเป็นกลุ่มก็มี อาหรับ แล้วก็เติร์ก แล้วก็มองโกล พวกมองโกลนี้สืบมาจากเจงกิสข่าน เมื่อกี้เล่าข้ามไปน่ะ ตอนที่เติร์กมุสลิมตีได้ทาง
นาลันทา ปาฏลีบุตรกำจัดพุทธศาสนาหมดสิ้นไปนี่น่ะ ตั้งอาณาจักรสุลตาเนท ออฟ เดลลี ที่เดลลีปี 1206 นี่ ตอนนี้แหละเป็นช่วงที่เจงกีสช่านเกิด แต่ว่าพวกเติร์กมุสลิมนี่เข้ามาอยู่ข้างในอินเดียแล้ว เจงกิสข่านนั่นมองโกลใช่ไหม ก็ยกทัพมาเมื่อปี 1221 ก็คือหลังจากนี้ไม่กี่ปีใช่ไหม เนี่ย ตีว่าเติร์กมุสลิมเข้ามาซะก่อนใช่ไหม เลยรอดไป นี้พอเจงกิสข่านใหญ่ขึ้นมาก็ต้องการไปยุโรป ก็เป็นธรรมดาต้องผ่านแถบนี้ใช่ไหม ก็ยกทัพมาผ่านที่ไหนก็ราบที่นั่นหมดเหมือนกัน เจงกิสข่านก็ผ่านกันดาฮาร์นี้ด้วย กันดาฮาร์นี้ก็เรียบราบหมดเลย ประวัติศาสตร์บอกฆ่าตายหมดเลย คนไม่มีเหลือเลย แล้วแกก็เข้าไปยุโรป เติร์กแตกพังพินาศหมดตอนนี้ เรียกว่าไม่มีใครต้านเจงกิสข่านได้เลย ไม่ว่าทัพอะไรที่เก่งแค่ไหน บางทัพนี่นึกว่าตัวเองแน่มาก พอเจอ หมดเลย หนีเอาตัวไม่รอด มีเจ้าชายของเติร์ก พวกมุสลิมบางคนนี่รบกัน โอ้โห หนีมาทางอินเดีย มาทางตะวันออก เอาตัวแทบไม่รอด ก็เป็นว่าแหลกลาญหมด พวกนี้ก็เข้าไป พอต่อมาก็ขยายไปถึงมอสโกเลย ยึดมอสโกได้ ไหนครับ
ทีนี้เอาแล้วจะจบแล้ว นี่ มีแทรกๆ เข้านิดหนึ่ง ที่นี้ 1221 นี้เจงกีสข่านเข้ามา แล้วก็ไปยุโรปตีได้หมด พอลูกเจงกิสข่านชื่อกุบไลข่าน ก็เป็นพระเจ้าแผ่นดินจีนใช่ไหม ครองแผ่นดินจีนผู้ยิ่งใหญ่ ยกทัพไปตีญี่ปุ่นด้วย แต่พอดีว่ากองทัพเรือนี่ถูกลมพายุ พินาศหมดเลย ก็เลย ญี่ปุ่นก็เลยรอดมา ทีนี้กุบไลข่านยิ่งใหญ่มากก็พอดีว่าปี 1271 50 ปีหลังจากเจงกิสข่านยกทัพผ่านไปนี่ มาโคโปโลเป็นชาวเมืองเวนิสที่อิตาลีก็เดินทางอาศัยทางสายไหมเนี่ย ผ่านทางเนี้ย เข้าไปประเทศจีน แล้วไปรับราชการอยู่ที่เมืองจีน เป็นที่โปรดปรานของกุบไลข่าน และก็เป็นเหตุให้ทางพวกฝรั่งนี้ได้รู้เรื่องราวของทางดินแดนตะวันออกทางฝ่ายจีน อันนี้ผมเล่าข้ามไปเมื่อกี้ แล้วก็มาตอนนี้ก็ ราชวงศ์ของพวกถังตอนนี้ก็เสื่อม เป็นอันว่าตอนนี้หมดไปแล้ว เพราะ ว่ากุบไลข่านขึ้นครองอะไรต่ออะไรไปหมดแล้ว
อันนี้กลับมาทางอินเดีย เมื่อกี้เล่าถึง ตอนที่พวกมองโกลเนี่ย ลูกหลานของสายเจงกิสข่านนี้น่ะ มีคนชื่อตีเมอร์
( Teymour ) นี่ก็ใหญ่มากน่ะ ตีแหลกลาญเหมือนกัน แล้วก็มานี่หลานเหลนอะไรเนี่ย ก็เลย พวกเนี้ย พวกโมกุลนี่แหละ ซึ่งเป็นพวกมุสลิมไปแล้ว ก็ตีเข้ามาที่คันธาระ แล้วก็ จากที่คันธาระน่ะ องค์แรกของราชวงศ์โมกุลชื่อบาเบอร์ ( Babur ) นี่ ตั้งเมืองหลวงปกครองที่นั่น เข้ามาปกครอง แล้วพอใหญ่ขึ้นต่อมา ก็เข้ามาปกครองที่เดลลี และต่อมาก็มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งชื่ออัคบาร์มหาราช เคยได้ยินมั้ยฮะ อัคบาร์มหาราชนี่ เขาเคยทำเป็นหนังยิ่งใหญ่มาก แต่เป็นกษัตริย์ที่ใจกว้าง มุสลิมก็จริง แต่ว่าเปิดใจต่อศาสนาฮินดู แต่งงานกับเจ้าหญิงฮินดู ก็ทำให้ ตอนนั้นอินเดียเนี่ย ค่อนข้างรวมกันได้ เพราะว่าพระเจ้า อัคบาร์เนี่ย ในราชสำนัก เปิดหมด ฟังหมด คำสอนศาสนาฮินดู และอะไรต่ออะไร แกฟัง แกไม่ปิด แต่พอถึงลูกหลาน ถึงลูกหลานก็เริ่มปิดอีก รุ่นหลานก็มีพระเจ้าชาห์ชะฮันที่สร้างทัชมาฮาล แล้วก็ต่อจากนั้น ก็มีชื่อ ออรังเซพ ออรังเซพเนี่ย กลับเป็นคนที่ใจแคบมาก กำจัดฮินดูใหญ่เลย พอกำจัดฮินดูก็เลยเกิดศัตรู ใช่ไหม ก็รบกันใหญ่อีก
นี้ตอนนี้ ก็จะเริ่มเป็นยุคที่ฝรั่งเข้ามาแล้ว เอาล่ะนะ นี้ฝรั่งเข้ามา เริ่มเข้ามาจริงๆ เนี่ย ก่อนบาเบอร์ตั้งราชวงศ์โมกุลนิดนึง เมื่อกี้บอกแล้วว่าราชวงศ์บาเบอร์โมกุลนี้ตั้งเมื่อปี 1526 ใช่ไหม ชนะหมด ก่อนนั้นนิดนึง ปี ค.ศ.1498 ก็ตีซะ ค.ศ.1500 ก่อนนั้นสัก 28 ใกล้ 9 ปี มีฝรั่งคนหนึ่ง เป็นชาวโปรตุเกส เดินทางโดยทางเรือมาอินเดีย มีชื่อเสียงมากชื่อ วาสโก
ดา กามา ใครเคยได้ยินบ้าง ได้ยินไหม นี่แหละมาแล้ว เริ่มยุคใหม่ ตอนนั้นก็หมายความว่า ฝรั่งเนี่ย แกจะมาทางตะวันออกนี่ ทางบก ติดมุสลิม อาณาจักรอาหรับต่อด้วยเติร์กเนี่ย พวกนี้ยิ่งใหญ่ ฝรั่งมาไม่ได้เลย ฝรั่งก็ต้องดิ้นรนออกมาทางเรือ ในที่สุดก็สำรวจกันแล้วก็มาพบทางเรือ และวาสโก ดา กามา นี้ก็เป็นนักสำรวจคนหนึ่งเป็น explorer ก็มาขึ้นอินเดียก็ทำให้เกิดการค้าขายระหว่างตะวันตกกับอินเดีย วาสโก ดา กามา ตีเสียว่าปีค.ศ 1500 ก็พ.ศ.2040 กว่าแล้วใช่ไหม เอาละน่ะ
นี้ก็ต่อจากนั้นก็จะเข้ายุคอาณานิคม ฝรั่งก็เริ่มออกหาดินแดนเมืองขึ้นทางทะเลแล้ว เพราะมาทางบกไม่ได้เรื่องแล้ว ติดกับพวกมุสลิม นี้พวกโปรตุเกสก็แข่งกับสเปน ต่อมาก็อังกฤษฝรั่งเศสก็เข้าร่วม แต่ตอนแรกเนี่ยพวกนักแสวงหาอาณานิคมของโปรตุเกสกับสเปน ตอนนั้นโป๊ปยังยิ่งใหญ่ คริสเตียนศาสนาคริสต์ยังยิ่งใหญ่ในยุโรป ตอนแรกโปรตุเกสกับสเปนนี่หาเมืองขึ้นกันก็มาขัดแย้งกัน ต้องไปให้โป๊ปตัดสิน โป๊ปตัดสิน โป๊ปก็แบ่งเส้นโลกเป็น 2 ซีก ให้โปรตุเกสเป็นเจ้าของซีกหนึ่ง
สเปนเป็นเจ้าของซีกหนึ่ง นี่โป๊ปมีอำนาจขนาดนี้น่ะ เป็นผู้ตัดสินแบ่งโลกเลยนะ เอ้า โปรตุเกส แกไปหาเมืองขึ้นทางหนึ่ง
สเปนแกไปทางหนึ่ง ไอ้เจ้าโปรตุเกสกับสเปนก็ยิ่งใหญ่มาพักหนึ่ง ใช่ไหม มาจนถึงอยุธยาอะไรต่ออะไรของเราเนี่ย ก็หาเมืองขึ้นทางทะเลกัน แล้วก็ขึ้นที่อินเดียด้วย การค้ากับพวกยุโรปก็เริ่มตอนนี้ พวกฝรั่งนี่ก็ไปจนกระทั่งถึงอเมริกา ใช่ไหม อันนี้ค้าขายไปค้าขายมาก็ชิงอำนาจกันเอง ตั้งเมืองอาณานิคมใหม่ แล้วก็แย่งกันนะ รบกัน โปตุเกสเสปน ต่อมาก็แพ้อังกฤษกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสกับอังกฤษ ต่อมาอังกฤษชนะ อังกฤษยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ฝรั่งเศสก็ยังหาอาณานิคมเหมือนกัน หาทางนี้ แล้วก็ยังไปหาได้ทางโน้น เพราะแบ่งซีกโลกกัน ก็เลยไปได้อเมริกาอีกใช่ไหม โคลัมบัสก็ไปพบอเมริกา นี้ทางอินเดียเนี่ย ก็เป็นอันว่าตั้งแต่ 1498 มาก็เริ่มยุคการค้าขายตะวันตก แล้วต่อด้วยลัทธิอาณานิคม พอค้าขายกันไปกันมาอังกฤษนี่มันไม่ใช่ เอ้อฝรั่งนี้ไม่ใช่จะหาแต่สินค้าน่ะ หาอำนาจและก็หาดินแดนด้วย ใช่ไหม อาณานิคม เพราะเหตุที่เสียเวลาในการแย่งชิงอำนาจกันเอง ก็นาน
ต่อมาอังกฤษเป็นใหญ่ อังกฤษก็ได้เบงกอลเมื่อปี 1757 ค.ศ.1757 หลังจากนั้นมา 200 กว่าปี ใช่ไหม หลังจากที่วาสโก ดา กามา มาได้ 200 กว่าปี ก็ไปอันว่า อังกฤษก็เริ่มได้เบงกอล เบงกอลก็ตะวันออกสุด ก็คือบังคลาเทศ พอได้แล้ว ต่อมาแกก็เริ่มขยายอำนาจมา ในที่สุด อังกฤษก็รบชนะราชวงศ์โมกุล ได้ครอบครองแผ่นดินอินเดียทั้งหมด เมื่อปี 1858 เป็นอันว่าอินเดียตั้งแต่นั้นก็กลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษไป
ต่อจากนี้ ต้องถือว่าเป็นยุคของศูนย์อำนาจย้ายไปตะวันตก ย้ายไปยุโรปแล้ว เรื่องของตะวันออกนี้ เป็นอันว่า หมดแล้ว ตอนนี้ก็มีแต่เป็นเมืองขึ้น อินโดนีเซีย ศรีวิชัย อินเดีย อินโดนีเซียนี่คืออาณาจักรศรีวิชัยที่เคยรุ่งเรืองสมัยก่อน ก็มาเป็นอินโดนีเซียกลายเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งกันหมด ใช่ไหม ทีนี้ศูนย์อำนาจเป็นอันว่าไปอยู่ทางยุโรป ก็เป็นเรื่องของอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อะไรพวกนี้นะ
นี้ทางฝ่ายมุสลิมก็อาณาจักรที่ยังยิ่งใหญ่อยู่ก็อาณาจักรเติร์ก ซึ่งต่อมาได้เป็นอาณาจักรราชวงศ์ใหญ่ชื่อ ออตโตมันเติร์ก ตั้งขึ้นสักประมาณ ค.ศ.1290 แล้วก็รุ่งเรืองต่อมา ก็เป็นตัวที่ต้านพวกฝรั่งไว้ไม่ให้มาทางตะวันออก ทางบกน่ะ ต้องมาทางเรือ พวกนี้ก็เจริญกันต่อมา ลัทธิอาณานิคมก็รุ่งเรืองมาก จนในกระทั่งในระยะเนี่ย 1757 ที่บอกว่าฝรั่งอังกฤษเริ่มได้
เบงกอลใช่ไหม ทางอเมริกานั่น อังกฤษก็ไปเป็นเจ้าของอาณานิคมปกครองอยู่ จนกระทั่งอเมริกาก็ต่อสู้เพื่อเอกราช เกิดสงครามปฏิวัติขึ้นมาใช่ไหม ปฏิวัติอเมริกา American Revolution ประกาศอิสรภาพเมื่อปี 1776 776 ไอ้นี่ 1 เท่าไหร่ 1757 ที่เริ่มเสียเบงกอลใช่ไหม พอ 1776 ไอ้ทางโน้นประกาศเอกราช ไอ้ทางนี้ 1758 อ่ะ 1858 ก็เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษหมดน่ะ
ตอนนี้ยุโรปเริ่มเจริญ มีอะไรบ้างที่สำคัญเป็นเครื่องหมายความเจริญของยุคนี้ ก็มีปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดที่อังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1750 แล้วก็ปฏิวัติฝรั่งเศส เรื่องของการเมืองประชาธิปไตย ก็เกิดที่ฝรั่งเศส ค.ศ 1789 ก็ยุคใกล้ๆ กันหมด หมายความตอนนี้ความรุ่งเรืองไปอยู่ทิศตะวันตกหมดเลย แล้วต่อมา ปกครองอาณานิคมกันมา กันมาจนในที่สุดก็แย่งชิงอำนาจกันเองในยุโรป พวกเยอรมันก็ก่อสงครามขึ้นเมื่อปี 1914 ใช่ไหม 1914 ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่ 1 ออตโตมันเติร์กนี่ก็เข้าร่วมกับเยอรมัน รบกับพวกอังกฤษ ฝรั่งเศส พอไป 1918 นี่ ใครแพ้ เยอรมันแพ้ อังกฤษชนะใช่ไหม ออตโตมันเติร์ก ก็เลยพลอยสลายด้วย อาณาจักรมุสลิมออตโตมันเติร์กที่ยิ่งใหญ่มานานแล้ว ไปเข้ารบกับเยอรมันร่วมกัน ก็เลยไป สลาย ก็เลยอาณาจักรก็แตก เลยล่มไปเลย แล้วก็เปลี่ยนแปลงการปกครองการเมืองกันใหม่ อังกฤษช่วงนั้นก็เข้ามายึดที่อิสราเอลได้ เมื่อปี 1917 เนี่ย อังกฤษเข้ามา ไอ้เจ้าอิสราเอล ปาเลสไตน์เนี่ย ตกเป็นเมืองขึ้นของอียิปต์อะไรพวกเนี่ย บาบิโลเนีย อัสซีเรีย กรีก โรมัน มาตั้งนานนะ แล้วก็มาอยู่ในมุสลิมอาหรับ มุสลิมเติร์ก แล้วก็มาเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเข้ายึดได้ ปี 1917 แล้วก็ต่อมา 1918 นี้ก็สิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นอัน ออตโตมันเติร์กแตกสลาย
แล้วก็ฝรั่งก็ยิ่งใหญ่กันมาจนกระทั่งรบกันอีก เยอรมันกับพวกอังกฤษ สัมพันธมิตรก็รบกันอีก สงครามโลกครั้งที่ 2 ปีอะไร ปี 1939 นะ ปี 1939 เป็นปีผมเกิดพอดี ปีนั้นแหละ ที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิด ก็รบกันไปกันมา คราวนี้อเมริกาเข้าร่วมทีหลัง แล้วก็ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ชนะ ใช่ไหม พอสัมพันธมิตรชนะ พวกอังกฤษฝรั่งเศสชนะ แต่ว่าเพลียเปลี้ยไปหมดเลย ไอ้พวกเมืองขึ้นต่างๆ ก็พยายามแสวงหาเอกราช เกิดสหประชาชาติขึ้นมา ก็เลยทำให้ประเทศต่างๆ ได้เอกราชกันในช่วงนี้ ต่อจากสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งสหประชาชาติ ก็อินเดียก็ได้เอกราชเมื่อปี 1947 1947 นี่ พ.ศ.อะไร
2490
พอดีเลย 2490 นี่ อินเดียก็ได้เอกราช อินเดียได้เอกราชก็ มหาตมะ คานธี เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือเป็นผู้นำยิ่งใหญ่ ใช่ไหม เป็นรัฐบุรุษของอินเดีย ก็ถูกลอบสังหาร ใช่ไหม โดยชาวฮินดูด้วยกัน เพราะชาวฮินดูเกรงว่า มหาตมะ คานธี ถือหลักอหิงสา ไม่เบียดเบียนใคร จะอ่อนโยนมากเกินไป จะเสียเปรียบมุสลิม เพราะตอนนั้น เอ้า ประวัติศาสตร์น่ะ เรารู้แล้วนี่ มุสลิมเข้ามาปกครองอินเดียตั้งนาน ใช่ไหม แล้วก็สู้กันมาตลอด จนกระทั่งมาแพ้อังกฤษ อังกฤษก็ยึดครอง แล้วก็ปกครองพวกนี้มา พอได้อำนาจ พอได้เอกราชขึ้นมา ก็กลายเป็นชน 2 พวก มุสลิมกับฮินดู นี้มหาตมะ คานธีนี่อหิงสา ถือหลักมีเมตตากรุณา พวกฮินดูก็กลัวว่าจะเสียเปรียบแก่ฝ่ายมุสลิม ก็เลยจำเป็นต้องฆ่า ผู้ที่ตนเคารพอย่างยิ่ง เพื่อจะไม่ให้ชนเผ่าพวกตัวเนี้ยต้องไปเสียเปรียบแก่ชาวมุสลิม มหาตมะ คานธี ก็เป็นอันว่าจะต้องจากโลกนี้ไป
ทีนี้อินเดียหรือชมพูทวีป ก็เลยต้องแตกเป็น 2 ประเทศ โดยแบ่งแยกว่าส่วนที่มีชาวมุสลิมมาก อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ให้เป็นประเทศปากีสถาน ส่วนที่มีฮินดูมากให้เป็นประเทศอินเดีย พอดีว่าไปแถบตะวันออก แถวบังคลาเทศ หรือเบงกอล ก็มีชาวมุสลิมมากอีก ทำไง ก็เลยต้องแยกเป็นประเทศมุสลิมอันเดียวกัน แต่อยู่ 2 ข้าง ห่างกันลิบลับเลย ก็เลยเกิดเป็นปากีสถานตะวันออกกับปากีสถานตะวันตกในสมัยนั้น ก็ตอนนี้ ต้องใช้รถไฟขนคนกันใหญ่เลย คือว่าคนที่เป็นมุสลิมอยู่ในเขตของอินเดียฮินดูนี่ ก็พยายามขนไปให้เข้าอยู่ในเขตมุสลิม คือปากีสถานให้มากที่สุด คนที่เป็นฮินดูอยู่ในเขตของปากีสถานก็ให้ขนรถไฟมาอยู่ในเขตอินเดียมากที่สุด แต่ก็ไม่หมดก็ยังเหลือ จนกระทั่งปัจจุบัน
แล้วก็ขัดแย้งตีกันฆ่ากันทุกปี ในอินเดียเนี่ย เพราะเหตุว่าเดี๋ยว เอ้า พอชาวมุสลิมไปฆ่าวัวหรือไปตีวัวเท่านั้นแหละ พวกฮินดูก็ถือว่า วัวนี้เป็นเทพเจ้าของเขา ก็ต้องเกิดเรื่องยกพวกตีกันฆ่ากัน ก็เป็นเรื่องกันมาอย่างนี้ แต่ว่าเอาเป็นว่า ก็แยกเป็น 2 ประเทศ ทีนี้ฝ่ายปากีสถานตะวันออกนี่ อยู่มาระยะหนึ่งก็การปกครองมันยาก ในที่สุดก็ตั้งตัวขึ้นมาประกาศเป็น
บังคลาเทศ เปลี่ยนชื่อปากีสถานตะวันออกเป็นบังคลาเทศไป ก็อินเดียก็เป็นดินแดนเก่าที่เป็นศูนย์กลางชมพูทวีป แต่ที่จริงคือไม่ใช่ชมพูทวีป ที่เราได้คุยกันมาแล้ว ก็อินเดียก็กลับไปเอา ปรากฏก็เรื่องพระเจ้าอโศกเนี่ย ชาวอินเดียนี่ไม่รู้จักเลย จมหายไปแล้ว เพราะว่ากลายเป็นฮินดู แล้วมุสลิมเขาไม่เอากับพระเจ้าอโศก จนกระทั่งฝรั่งในสมัยอังกฤษปกครองเนี่ย นักโบราณคดีอังกฤษนี้ได้มาค้นพบเรื่องเก่าๆ ของพระเจ้าอโศก พระเจ้าอโศกก็คืนชื่อกลับมา แล้วก็พอตั้งเป็นประเทศเอกราชก็ไปเอาสัญลักษณ์จากเสาศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมาเป็นเครื่องหมายในธงชาติ และเป็นตราแผ่นดิน อย่างที่เล่าไปแล้วเมื่อกี้ คือตราธรรมจักร
ประเทศไทยซะอีก ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาคนแทบทั้งประเทศ กลับไม่เอาสัญลักษณ์พุทธศาสนา แต่อินเดียน่ะ ก็เป็นว่า (1) ธงธรรมจักร (2) ก็ตราแผ่นดินหัวสิงห์ของพระเจ้าอโศก นี้ก็เป็น 1947 นะ 1947 แล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นเมื่อปี 1945 น่ะ 1939-1945 1947 ก็เป็นเอกราช แล้วพอตั้งสหประชาชาติ สงครามโลกครั้งที่ 2 จบไป เยอรมันถูกแบ่งเป็นตะวันออกตะวันตก เป็นเบอร์ลินตะวันออก เบอร์ลินตะวันตก ผู้ที่ขึ้นมามีอำนาจก็โซเวียตกับอเมริกา ก็เกิดเป็น 2 ค่าย ค่ายโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ เกิดเป็นสงครามเย็น Cold War ขึ้นมา ก็แข่งอำนาจ ตอนนี้แสดงว่าศูนย์อำนาจไปอยู่ตะวันตกหมด ตะวันออกนี้กลายเป็นผู้ตามหมดแล้ว ทั้งๆ ที่แต่เดิมนี่คือศูนย์กลางอารยธรรมยิ่งใหญ่ ใช่ไหม อันนี้ สงครามเย็นก็มีมาจนกระทั่งปี 1991 โซเวียตก็ล่มสลาย สงครามเย็นก็สิ้นสุดลง พอสงครามเย็นสิ้นสุดลงไม่มี 2 ค่าย คราวนี้ สงครามเล็กน้อยก็เกิดกันใหญ่เลย รวมทั้งมาถึงตาลิบันนี้ด้วย ฉะนั้นจึงน่ากลัวว่าถ้าไม่คุมให้ดี จะกลายเป็นสงครามศาสนาอีก เพราะว่าความแค้นมี แม้แต่นายบินลาเดนเนี่ย พยายามโฆษณาชักจูงชาวมุสลิมให้ร่วมใช่ไหม แล้วจะให้เป็นสงครามระหว่างชาวมุสลิมกับชาวคริสต์ให้ได้ อันนี้ก็ต้องระวัง
ตอนนี้อิสลามยังมีกาหลิบอยู่ไหมครับ
กาหลิบหมดยุคไปแล้ว เดี๋ยวนี้ก็เรียกชื่ออย่างอื่นกันไป ใช่ไหม กาหลิบนี่ก็คือผู้สืบทอด Successor แปลเป็นภาษาฝรั่ง สืบทอดจาก พระนบีมูฮัมหมัด คำว่า นบี ก็คล้ายๆ คำว่า ศาสดาหรือพระศาสดา คำยกย่องนำหน้าชื่อ
ก็นี่เป็นอันว่าก็จบ เรื่องราวก็มาถึงจบสงครามเย็น แล้วก็มายุคนี้ ยุคนี้ที่สหรัฐกลายเป็นอภิมหาอำนาจประเทศเดียว แล้วก็กลายเป็นว่า ถ้าไม่ระวังตัวให้ดี กลายเป็น เปลี่ยนมารบกับชาวมุสลิม แล้วก็จะกลายเป็นศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม ซึ่งโลกในสมัยที่มนุษย์มีอารยธรรมไม่น่าจะเกิดอย่างนั้นอีก ใช่ไหม น่าจะได้มีวิธีคิด มีความคิดที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีที่สงบสันติ นี้จะสำเร็จหรือไม่ ถ้ามองไปแล้วชาวพุทธเนี่ย เป็นมนุษย์ที่มีสันติภาพมากที่สุด ฝรั่งเอาไปเรียกเลยน่ะในประวัติคำว่า แปซิฟิซึ่ม ( Pacifism ) แปซิฟิซึ่ม ก็หมายถึงว่าสันตินิยม ฝรั่งบอกว่า สันตินิยมที่มีแรกในโลกก็คือพุทธศาสนา เขาบอกว่าของเราไม่มีสงครามศาสนาเลย จะมีบ้าง ก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์เฉพาะเรื่องเกี่ยวการเมืองอะไรบ้าง โกรธแค้นกันอะไร แต่ไม่มีสงครามที่อ้างหลักศาสนานี้ทำไม่ได้เลยใช่ไหม เพราะว่ามีแต่เมตตา แต่เมตตาถ้าไม่ระวังนะ หมด ใช่ไหม ก็เป็นบทเรียน พุทธศาสนาก็หมดไปจากดินแดนต่างๆ อัฟกานิสถาน แคว้นคันธาระ กันดาฮาร์นั่น แล้วก็แบกเตรีย ก็คือแคว้นโยนก แล้วก็มา ต่อมาก็แคว้นในๆ ลงมาจนกระทั่งมคธอะไรนี่ ก็หมดไป แล้วก็อินโดนิเซียนี่ก็อาณาจักรศรีวิชัย ที่ส่งพระส่งคนไปเรียนที่โน่น
เอ้า ทายสุดท้าย มีหลวงจีนอีกคนหนึ่งหลังจากพระถังซัมจั๋ง ใครทราบบ้าง หลวงจีนถังซัมจั๋งนี่ ค.ศ.630 ที่บอกเมื่อกี้ ต่อมาอีกครึ่งศวรรษคือ 50 ปีเนี่ย มีหลวงจีนอีกท่านหนึ่งมา ไปเรียนที่นาลันทาเหมือนกัน ชื่อหลวงจีนอี้จิง หลวงจีนอี้จิงนี่แทนที่จะมาทางบก แคว้นคันธาระไม่มา มาทางเรือ อาจจะเป็นได้ว่ายุคนั้นเริ่มแล้ว ความไม่สงบทำให้ไม่ค่อยปลอดภัย หลวงจีนอี้จิงนี่ก็มาทางเรือ ก่อนไปถึงอินเดียก็มาแวะที่อาณาจักรศรีวิชัย ก็เลยมีบันทึกเรื่องอาณาจักรศรีวิชัยที่จะได้พบกับพระมหากษัตริย์ที่ปกครองแคว้นศรีวิชัย เอ้อ อาณาจักรศรีวิชัย
หลวงจีนอี้จิงนี่ได้มาถึงอาณาจักรศรีวิชัยเมื่อ ค.ศ.671 แล้วก็ไปที่อินเดีย นาลันทาราวๆ ค.ศ.680 หลังพระถังซัมจั๋ง 50 ปี แล้วก็เรียนที่นาลันทา แล้วก็นำเอาคัมภีร์ตำรับตำรากลับไปประเทศจีน แล้วก็ไปแปลคัมภีร์เป็นภาษาจีน พร้อมทั้งเขียนบันทึกเรื่องราวการเดินทางของท่านไปด้วย งั้นหลวงจีนก็มี 3 องค์ หนึ่ง ฟาเหียน มาทางคันธาระนั่นแหละ แถวตักศิลา อะไรพวกนี้ ค.ศ.400 หรือ 402 แล้วต่อมาอีก 230 ปี ก็หลวงจีนถังซัมจั๋ง หรือหลวงจีนเหี้ยนจัง ที่ว่ามากับ พวกตือโป้ยก่าย ซัวเจ๋ง เห้งเจีย นั่นก็ 630 แล้วก็มา 680 ก็หลวงจีนอี้จิง
3 ท่านเนี่ยมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ระหว่างจีนกับอินเดียมาก ก็พระทางอินเดียตะวันออก เอ้ย ทางอาเซียกลางไปจีนเยอะเลย ระยะนั้นนำพุทธศาสนาเข้าไป ตอนแรกก็ไปจากอาเซียกลาง แล้วก็พอถึงอินเดียมีก็ไปยังพระโพธิธรรม ที่ไปตั้งนิกายเซน ไปที่จีนก็นิกายฉาน ฉานก็มาจากคำว่าฌาน ไปจีนก็เป็นนิกายฉาน ไปถึงญี่ปุ่นก็กลายเป็นนิกายเซน เป็นภาษาสันสกฤตว่า ธยานะ ธยานะ บาลีว่าฌาน ไปจีนเป็นฉาน ไปญี่ปุ่นเป็นเซนเนี่ย เรื่องตะวันออกอารยธรรมของเรานี่ เราไม่ได้ค่อยรู้เรื่อง ไปเรียนตะวันตกกันเสียหมด ถึงไปตะวันตกก็ยังไม่ค่อยรู้น่ะ กลับไม่รู้จักฝรั่งด้วย ภูมิหลังรากฐานฝรั่งมาอย่างไร อเมริกา สร้างประเทศมายังไง หนีมาจากยุโรปอย่างไง ถ้าไปเรียนยุโรป ไปเรียนตะวันตก ไปเรียนอเมริกา ต้องรู้เลย ต้องถือเป็นสำคัญ ต้องรู้รากฐานภูมิหลัง รากเหง้าของฝรั่ง แล้วก็ของตัวเองต้องรู้ อารยธรรมวัฒนธรรมของเรา แล้วมันไปโยงกับพวกนี้ อย่างอเล็กซานเดอร์กับอินเดีย ใช่ไหมครับ อโศกกับทางตะวันตก ตลอดมาจนกระทั่งยุคอาณานิคมการค้าขายอะไรต่ออะไรนี่ ไปมาแล้วก็การเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ ศูนย์อำนาจเปลี่ยนย้ายไป
มนุษย์ก็รบกันได้ 3 อย่าง (1) ตัณหา ความอยากได้ผลประโยชน์ สิ่งบำรุงบำเรอความสุขนี่ 1 ล่ะตัณหา (2) มานะ ต้องการความยิ่งใหญ่ อำนาจ แย่งชิงอำนาจ ใช่ไหม นี่รบกันมาก (1) แย่งชิงผลประโยชน์ตัณหา (2) อำนาจมานะ (3) รบกันเพราะลัทธิความเชื่อถือ อุดมการณ์ลัทธิศาสนา แล้วนี่สงครามตัณหามานะ สงครามแย่งผลประโยชน์กับอำนาจนี่ จะยืดเยื้อน้อยกว่ากว่าสงครามทิฏฐิ สงครามลัทธิศาสนาและอุดมการณ์ อย่างค่ายเสรีประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์นี่ ว่ากันตั้งยาวนานใช่ไหม แล้วเดี๋ยวนี้สงครามศาสนา ครูเสดก็เกิดระยะ ค.ศ. บอกไปแล้ว 1095 ใช่ไหม ถึงในราว 1271 หรือในราว 1271 หรือ 75 ก็คือตอนที่มาโคโปโรเดินทางไปจีน นั่นแหละตอนสิ้นสุดของสงครามครูเสดน่ะครับ สงครามครูเสดสิ้นสุดตอนไหน บอกสิ้นสุดตอนระยะมาโคโปโรไปจีนว่าอย่างงั้นน่ะ นี่รบกันมา 200 ปี ระหว่างมุสลิมกับพวกยุโรป ใช่ไหม อันนั้นก็โดยบัญชาของโป๊ปเหมือนกัน โป๊ปบอกว่าเราต้องเอาเยรูซาเล็ม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คืนมาให้ได้ กษัตริย์ยุโรปก็ตั้งกองทัพมารวมกัน ยกทัพมาตีว่ากัน 200 ปีนี่ นี่ก็ยุคนั้น 1095 ก็เป็นยุคของอะไรในประเทศอินเดียชมพูทวีป ชมพูทวีปเป็นยุค 1095 1200 นี่แหละ ยุคที่เติร์กมุสลิมเข้ามา ใช่ไหม แล้วก็ถึงพุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดีย ก็ 1275 ของเขา สิ้นสุดครูเสด พุทธศาสนาก็สิ้นจากอินเดียเหมือนกัน 1200 ใช่ไหม ก็ก่อนนั้นหน่อย ก็ถ้าจำง่ายก็เทียบกัน พุทธศาสนาสูญสิ้นจากอินเดียเมื่อไร เมื่อครั้งระยะเดียวกับสงครามครูเสดน่ะ ตอนสิ้นสุด
นี่ก็เป็นเรื่องเก่าๆ นี้สงครามตัณหามานะไม่เท่าไหร่ สงครามทิฏฐิเนี่ย ตอนนี้เขาพยายามจะให้เป็นสงครามทิฏฐิ สงครามความเชื่อ ซึ่งจะเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง ฉะนั้นก็เป็นบทเรียนว่ามนุษย์จะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าจะแก้ปัญหาต้องรู้ ต้องรู้เข้าใจเรื่องราวเป็นมาอะไรต่ออะไรอย่างไร ใครเชื่ออย่างไร มีลัทธิคำสอนอะไรอย่างไร แต่ว่า ก็โยงมาหาหลักพระศาสนาของเราว่าจะแก้ปัญหายังไง บอกไปแล้วว่า ต้องมี 1 ก็เมตตา เมตตาที่เป็นสากล มองมนุษย์เป็นมนุษ์เหมือนกันหมด มาเอาความเป็นมนุษย์สากลเหมือนกัน ใครที่ไหนก็เป็นมนุษย์ แล้วก็ 3 ความจริงเป็นสากล ทำเหตุปัจจัยอย่างไรผลก็เกิดอย่างนั้น เมื่อทำที่ไหนก็ได้อย่างนั้น ทำดีที่นี่ก็ต้องได้ผลดี ไม่ใช่ไปทำดีที่โน่นแล้ว มาต้องโดนลงโทษอะไรอย่างนี้ อย่างนั้นก็ไม่ถูก (1) ความเป็นมนุษย์สากล (2) ความจริงที่เป็นสากล (3) เมตตาที่เป็นสากล แล้วก็พยายามแก้ไขปัญหาตัณหามานะทิฏฐิ แล้วพุทธศาสนายังให้แก้อีก 3 ตัว มัจฉริยะ 5
เอ้า จบด้วยมัจฉริยะ 5 ความใจแคบ ห่วงแหนกีดกั้นกัน 5 ประการ ซึ่งมันเป็นนิสัยกิเลสของมนุษย์อยู่ แต่ว่าเมื่อมนุษย์พัฒนามีการศึกษาก็จำเป็นต้องพยายามแก้ไข เพื่อให้อยู่ร่วมกันด้วยดี มีความสันติสุข เอ้า มัจฉริยะ 5 มีอะไรบ้าง หลักธรรมจะได้จำไว้นะ
(1) หวงแหนกีดกั้นใจแคบในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัยแว่นแคว้นดินแดนใช่ไหม อันนี้มันธรรมดามนุษย์ เราก็ต้องให้หวงแหนรักประเทศชาติ แต่ในเวลาเดียวกัน ในการแก้ปัญหาถึงที่สุดแล้วนี่ ยิ่งโลกนี้ไร้พรมแดน มันจะต้องไปถึงจุดหนึ่งที่ต้องทำให้เรื่องนี้เบาบางลง ไม่งั้นมนุษย์ก็ขัดแย้งกันไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ยังไม่เจริญก็ต้องอาศัยความรักถิ่นรักอะไร แต่นี่รักถิ่นต้องเปลี่ยนใหม่เป็นรักเพื่อทำให้เจริญ แต่ไม่ใช่รักเพื่อไปฆ่ากัน 1 ก็เรียกว่า อาวาสมัจฉริยะ หวงแหนถิ่นที่อยู่อาศัย
(2) เรียกว่ากุลมัจฉริยะ หวงแหนพงษ์เผ่า ชาติพันธ์ เหล่ากอพวกพ้อง ใช่ไหม นี่ตอนนี้ชัดเลย ถ้าเป็นพวกแล้วเราก็เอา ถ้าไม่เป็นพวกก็ฆ่าได้ เป็นดีไปน่ะ ชาติพันธ์ก็รบกันไม่รู้จักสิ้นสุด หวงเผ่า แต่งงานกันก็ไม่ยอมแต่ง ประเทศไทยนี่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ประเทศอื่นมันยุ่งจริงๆ ไอ้เรื่องแม้แต่ อยู่ในดินแดนเดียวกันมาไม่รู้กี่ศตวรรษแล้ว แต่งงานกันไม่ได้ ใช่ไหม เนี่ยเคยพูดเล่นๆ มันจะเป็นตลกไป เราเอาปาเลสไตน์กับยิวแต่งงานกันไม่ได้เลย ใช่ไหม เอ้อ ถ้าแต่งงานกันมันก็ หมดปัญหาไป ยอมกันซะแต่ว่ามันก็ต้องมีข้อต่อไปด้วย
เอ้าต่อไป ลาภมัจฉริยะ หวงแหนผลประโยชน์ ลาภผล ผลประโยชน์ ผลประโยชน์นี่ก็เรื่องใหญ่ แย่งชิงกันต่อไปก็ วัณณมัจฉริยะ หวงแหนกีดกั้นใจแคบในเรื่องชั้นวรรณะ แบ่งชั้นวรรณะกัน เหมือนอย่างอินเดียแบ่งชั้นวรรณะ เดี๋ยวนี้ก็ยังแบ่งกันอยู่อย่างนี้ แต่งงานกันไม่ได้อะไรต่ออะไร บางคนเป็นรัฐมนตรี เป็นชั้นวรรณะศูทร ไปที่ทำงานโดนดูถูกตั้งแต่คนเฝ้าประตูเลย แล้วไปกินข้าวร่วมโต๊ะกับรัฐมนตรีอื่นก็ไม่ได้ เป็นคนละวรรณะ เอ้านี่ วัณณมัจฉริยะ ก็อย่างอเมริกาก็ผิวขาวผิวดำ ผิวขาวผิวเหลือง ผิวขาวผิวอะไร กับพวกผิวอินเดียนแดงอะไรก็ยังเหยียดกันอยู่ใช่ไหม นี่วัณณมัจฉริยะ
แล้วก็สุดท้ายธัมมมัจฉริยะ หวงแหนความดี หวงแหนความผลสำเร็จ หวงแหนภูมิปัญญา ภูมิธรรมภูมิปัญญา การสร้างสรรค์ผลงาน ตลอดจนกระทั่งทรัพย์สินทางปัญญาด้วย เดี๋ยวนี้หวงกันจัง ใช่ไหม อันนี้มันต้องมีวิธีที่แสดงใจกว้าง ไอ้การที่จะให้กรรมสิทธิ์นี้ต้องรู้เท่าทันว่า เพื่อจะให้เป็นไปด้วยดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ แต่ไม่ใช่มามัวหวงแหนเพื่อใจแคบ ใช่ไหม มันต้องมีความใจกว้างในวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของอริยธรรม เพื่อให้มนุษย์มีความเจริญงอกงาม ก็ต้องแยกได้ระหว่างการปฏิบัติในลักษณะสมมติอยู่ร่วมกัน กับเรื่องของวัตถุประสงค์ที่แท้ในบั้นปลาย ถ้าพัฒนามนุษย์ การศึกษาเนี่ย ทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก็แก้ปัญหามนุษย์ไม่ได้ จริงไหม ก็แค่มัจฉริยะ 5 นี่ก็รบกันตายแล้ว
ตกลงวันนี้พูดธรรมะ 3 ข้อ 3 หมวด อะไรครับ
(1) ความเป็นสากล 3 อย่าง ความเป็นมนุษย์สากล ความจริงที่สากล เมตตาสากล นี่ก็ไม่มี เดี๋ยวนี้
(2) ตัณหามานะทิฏฐิ สาเหตุสำคัญอยู่เบื้องหลังชักใยครอบงำ ให้มนุษย์เนี่ยต้องแตกแยกขัดแย้ง รบราฆ่าฟันทำสงครามกัน
(3) มัจฉริยะ 5 ซึ่งจะต้องกำจัด สันติภาพโลกจึงจะมีได้ ถ้ากำจัดได้จริง มีแน่ๆ มนุษย์ก็เป็นญาติมิตรกันหมดใช่ไหม ทำได้ไหม แต่นี่คือความจริง ถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านก็ไม่มีทางสำเร็จ ท่านก็ต้องรบกันต่อไป
เนี่ย พุทธศาสนาเราสอนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นชาวพุทธจึงค่อยๆ หมด ชาวพุทธจึงได้เบาบางลงไป ใช่ไหม ปัญหาเหล่านี้น้อย อย่างเมืองไทยนี่ มัจฉริยะ 5 มีอยู่แต่ว่าเบาบางมากน่ะ ถ้าเทียบกับที่อื่น จริงไหมจริง มัจฉริยะ 5 ก็บาง แล้วก็ทิฏฐิตัณหามานะก็มีเยอะ แต่ทิฏฐิจะไม่ยึดหนักจนกระทั่งบางทีกลายเป็นความอ่อนแอ เป็นคนไม่มีหลัก เพราะว่าปล่อยปละละเลย ไม่พัฒนาปัญญาไง ใช่ไหม ก็เรื่อยเปื่อย ก็ตกลงว่า ความเป็นสากลเราก็มีอยู่ หลักของเราชัดเจน ความเป็นมนุษย์สากล มนุษย์ทุกคนรักสุขเกลียดทุกข์ กลัวต่อความตาย ไม่ควรเบียดเบียนฆ่าฟันกัน แล้วก็ความจริงสากล ทำเหตุปัจจัยอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกัน ทำเหตุดีผลดี ทำเหตุชั่วผลชั่ว ไม่ว่าใครทำบุญก็ไปสวรรค์ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องถือศาสนาไหน นับถือนั้นก็เป็นเรื่องของการก้าวหน้าพัฒนาตัวเอง แล้วก็ ไม่ต้องมีป้ายไม่ต้องมีสังกัด แล้วก็ความเป็นเมตตาสากลไม่มีขอบเขต
ก็เป็นอันว่าให้หลักสำคัญ ก็จบกันที ตรงนี้ วันนี้ก็เลยยาวหน่อย จบแล้วนะ วันต่อไปจะได้คุยกันเรื่องใหม่ก็จะได้มองประวัติศาสตร์โลกไปเลย คล้ายๆ กับหนังสืออริยธรรมที่ท่านเขียน ก็ไม่เหมือนทีเดียว อันนั้นก็เยอะ อันนั้นจะเน้นไปที่เรื่องของระหว่างตะวันตก ตะวันออก ศาสนาของเขาเป็นมาอย่างไร การหาอาณานิคม แต่เรื่องเก่าไม่มี ในเล่มนั้นจะไม่มีในชมพูทวีป ถูกไหม ประวัติศาสตร์ความเป็นมา เรื่องพระเจ้าอโศก เรื่องอเล็กซานเดอร์ มาตียังไงไม่มี ที่จาริกบุญ จาริกธรรม
จาริกธรรมมีบ้าง อันนี้จะมาเล่าด้านนี้ วันนี้ก็เอามาประสานกันซะ มีอะไรสงสัยไหมครับ
ส่งเสริมมัจฉริยะ คือส่งเสริมการลด
มัจฉริยะ 5
มัจฉริยะ 5 หลวงพ่อมีแนวความคิดอย่างไรบ้างครับ
ก็มันก็ต้องปลูกฝังกัน คือว่าให้แยกได้ คือมันเป็นไม่ได้ที่จะให้คนนี้หมดกิเลสไปเลย แต่ว่าหมายถึงว่าการศึกษาอบรมนี่ มันต้องตั้งเป้า คือให้แยกได้ อย่างที่ว่า การรักหมู่รักพวก กับการชิงชังผู้อื่นนี่ ไอ้ตรงนี้ที่มนุษย์มันมักจะ พอได้อันหนึ่งก็เสียอันหนึ่งเลย เพราะรักพวกก็ต้องเกลียดผู้อื่น ใช่ไหม ที่นี้ทำยังไงจะให้ความรักพวกเนี่ย เป็นเพียงการคืบหน้าของคุณธรรมของเรา หมายความว่า เรานี่แต่ก่อนนี่เรารักตัวเอง ใจแคบมาก ใช่ไหม ก็ขยายความรักไปยังกลุ่มหมู่ เห็นแก่หมู่ เห็นแก่หมู่คณะส่วนรวม ต่อมาก็ไปสัมพันธ์กับหมู่อื่นที่กว้างออกไปก็ขยายความรักออกไปซิ นี่
คือหลักการที่แท้จริง นี่คือการพัฒนามนุษย์ แต่ทีนี้มนุษย์มันไม่เป็นอย่างนี้ซิ พอไปได้กลุ่มนี้ แล้วมันก็ไปชังกลุ่มโน้น มันก็เลยกลายเป็นมนุษย์สมัยหินตามเดิม ใช่ไหม มันก็ไม่พัฒนา อันนี้คือ จุดสำคัญก็คือต้องสร้างแนวคิดการศึกษาพัฒนามนุษย์ให้ถูกต้อง ขยายออกไปซิ ขยายกว้างออกไป ขยายออกไป ต่อไปก็รักคนได้ทั้งโลก ใช่ไหม ตอนแรกเห็นแก่ตัวคนเดียว ต่อมาก็เห็นแก่ครอบครัว เห็นแก่พ่อแม่พี่น้อง เห็นแก่หมู่ชนร่วมกัน เห็นแก่เพื่อนมนุษย์กว้างออกไป เห็นแก่ประเทศชาติ แล้วก็เห็นแก่เพื่อนร่วมโลก ก็คนเรามันก็ต้องมีเขตในการกระทำความดี เพราะคนเรานี่ไม่ได้มีกำลังที่ยิ่งใหญ่ทำได้ทีเดียวทั้งโลก มันก็ทำแต่ในขอบเขตแคบๆ ก่อน เรามองในแง่ทำความดีสร้างสรรค์ช่วยเหลือ ค่อยกว้างออกไป กว้างออก กว้างออกไป ใช่ไหม มันก็ขยาย มันก็ยิ่งดีใหญ่ คนเราก็ค่อยๆ ทำไปในขอบเขตเล็กก็ไม่เสีย แต่ว่าไม่เบียดเบียนขอบเขตใหญ่ด้วย แล้วก็ค่อยๆ ขยายคุณธรรมจิตใจปัญญากว้างออกไป ไปด้วยกัน โลกก็อยู่ด้วยสันติ ทีนี้คนเวลาโลกเจริญขึ้น มันกลับไปยึดไอ้ความทิฏฐิเก่าใช่ไหม มันกลับทำตัวให้แคบลง นั้นโลกขยายไกล วันนั้นก็พูดที่ตั้งชื่ออะไร โลกถึงกันกว้างไกล แต่ใจคนกลับแคบลง อันนี้ก็คือสภาพปัจจุบัน เนี่ยก็เป็นเรื่องท้าทายถ้าว่าไปในแง่หนึ่ง ว่าจะเอาหลักพุทธศาสนานี้ไปช่วยแก้ปัญหาชาวโลกได้ไหม เพราะเราไม่เห็นหลักอื่น เชื่อไหมว่าแก้ 3 เรื่องนี้ได้ หมดปัญหาเลย แค่มัจฉริยะ 5 เท่านั้นแหละ ใช่ไหม หมดแล้วมันไม่มีอะไรที่จะต้องมารบกันแล้ว
ดูเหมือนจะริบหรี่หรือเปล่าครับอาจารย์ ดูเหมือนกับพูดกันคนละภาษา หมายความว่าทางตะวันตก เขาอาจจะเน้นตัวเลข ทางตะวันออกกลาง เขาอาจจะเน้นพระเจ้าของเขา มันก็ดูเหมือนพอเอาคน 2 คนนี้มาพูดกัน มันเลยพูดกันคนละภาษาครับ ผมก็เลย โอกาสที่จะ
ไม่ยอมฟังกัน ก็ถ้าเทียบกันน่ะ พวกหนึ่งพวกโลภะ พวกหนึ่งพวกโทสะ พวกโลภะนี้จะหาผลประโยชน์เรื่องเศรษฐกิจ เอาเศรษฐกิจไปครอบงำหาทางให้คนอื่นเป็นเครื่อง อ่า เป็นเหยื่อ เป็นที่ป้อนลาภผลประโยชน์ให้กับตัวเอง วัตถุดิบ เป็นต้น ใช่ไหม อันนี้พวกนี้พวกไหน
พวกตะวันตก
พวกตะวันตกนี่ต้องเรียกพวกโลภะ อีกพวกหนึ่งก็พวกโทสะใช่ไหม โทสะก็รุนแรง ไหนครับ
มีโมหะด้วยไหมครับ
มีโมหะอยู่ทั้ง 2 เลย ไอ้โมหะมันต้องมีอยู่ โมหะนี่เป็นกิเลสพื้นฐาน แล้วก็โมหะก็จะมาดิ่งไปที่ทิฏฐิ โมหะนี้จะซ่อน
อยู่ทั้งโลภะโทสะ แล้วจะเป็นตัวร้ายที่จะดำรงรักษาไปแสดงออกที่ทิฏฐิ ทีนี้พอมีทิฏฐิ ไอ้นี่น่ะ ทั้งโลภะโทสะนี่มาอาศัยทิฏฐิทั้งคู่ เพราะว่าฝ่ายตะวันตกเขายึดถือในลัทธิทุนนิยมแค็ปปิตอลลิส ( Capitalist ) ของตัวเอง แค๊ปปิตอลลิสซึ่ม ( Capitalism ) ลัทธิฟรีมาร์เก็ต ( Free Market ) ก็ยึดถือแนวคิดนี้ ไอ้ความสุขมันมองไปตามแบบของตัวเองหมด ความสุขจากการมีวัตถุเสพมากมายอะไรต่างๆ เหล่านี้ ใช่ไหม และฝ่ายอีกพวกหนึ่งก็ทิฏฐิก็ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทำให้โกรธผู้อื่นหมดเลย ใช่ไหม ไม่ตรงตามทิฏฐิของตัวเอง โกรธเรียบไปหมดเลย
ฝ่ายหนึ่งก็เหมือนเอาแต่ทะเลาะ อีกฝ่ายหนึ่งก็กำไรอย่างเดียว
เออใช่
มันก็รู้สึกคุยกันคนละภาษา
นั่นซิ ก็นี่ก็เป็นปัญหาว่า ทำให้อย่างที่ท่านว่า ริบหรี่จริง ๆ การแก้ปัญหาสันติภาพโลก ก็ตัวแก้ปัญหาหลักการในการแก้มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี แต่ใครจะมายอมทำ ใช่ไหม แก้มัจฉริยะ 5 แค่นี้ก็ ถอยหลังกันกรูดแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า ท่านจะบอกไม่ให้ถืออะไร แต่ว่าให้อยู่ด้วยเหตุผล ท่านจึงเรียกให้รู้จักสมมติ นี่ก็เพื่อให้มนุษย์อยู่กันด้วยดี สังคมเป็นไปได้ก็ต้องมีการยอมรับร่วมกัน สมมติแปลว่ามติร่วมกัน ตกลงกันว่า เอาอย่างนี้น่ะ คนนี้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่นี่ ที่นี่ แล้วปฏิบัติตามนั้น แต่ใจจริงไม่ได้มัวยึดถืออยู่ ไม่มาเอาเป็นเหตุให้คับแคบ แล้วก็มุ่งไปเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน กว้างออกไป มันก็เป็นไปได้ ไม่งั้นพระเจ้าอโศกจะปกครองได้ยังไงใช่ไหม ก็สามารถสร้างประโยชน์สุขได้กว้างขวาง
มองเหตุปัจจัยแล้วก็ไม่ท้อ แล้วก็ใช้ปัญญาใช่ไหมครับ
ใช่ เอ้า ก็ปัญญา อันนั้นแหละเป็นตัวมองเหตุปัจจัย 1 มีเมตตาเป็นพื้นใจ เมตตาเป็นพื้นใจ รวมทั้งกรุณามุฑิตา แต่พร้อมกันนั้นต้องมีปัญญาในการแก้ปัญหา ถ้าขืนมีแต่เมตตากรุณาก็โดนเขาฆ่าอย่างเดียว แล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้
เอ้ ถ้าอย่างนี้ให้สอนพุทธศาสนาชาวตะวันตกมากขึ้น จะมีโอกาสบ้างไหมครับ เพราะว่าดูคนตะวันตกจะใจกว้างน่ะครับ ที่จะเปิดรับ
ก็มีบางส่วนที่เขา ก็เวลานี้ก็รู้กันอยู่แล้ว ทางตะวันตกนี่มาสนใจพุทธศาสนามาก แล้วมากขึ้นทุกที คือ (1) ปฏิกิริยาจากศาสนาเขาเองน่ะ ภูมิหลังที่เจอ ไอ้เรื่องคำสอนที่มันเอาแต่เชื่อ เขาก็ผละหันหลังมาทีแล้วตั้งแต่ยุคพวกเรเนสซองส์
( Renaissance ) อะไรพวกนั้นน่ะครับ ที่หันหลังออกจากศาสนา แล้วมาวิทยาศาสตร์ หันมาหาสนใจเหตุผลแล้ว อันนี้ก็อันหนึ่งที่ทำให้มาสนใจพุทธศาสนา เป็นเรื่องของปัญญา เหตุผล ความจริงตามธรรมชาติ
แล้ว (2) เขาเบื่อหน่ายกับลัทธิวัตถุนิยม บริโภคนิยม ทุนนิยม การหาผลประโยชน์แย่งชิงกันเอาแต่ตัวใครตัวมัน
แข่งขัน อันนี้ฝรั่งจำนวนมากขึ้นเริ่มเบื่อหน่าย ซึ่งมันมีปฏิกิริยาอันนี้ มาตั้งแต่ ค.ศ.ประมาณ 1960 ที่เกิดพวกฮิปปี้ จำได้ไหม พวกฮิปปี้เกิดราว ค.ศ.1960 เศษ พวกนี้ก็คือเบื่อหน่ายบรรพบุรุษ พ่อแม่ของเรานี่ วันๆ หนึ่งไม่ได้เห็นทำอะไร มีแต่เช้าก็ตื่นรีบขับรถออกไป เดินอย่างกับวิ่งแข่งกันน่ะ หาเงินหาทองไม่เห็นมีความสุขจริงเลย แต่งตัว ใส่ไอ้ชุดอะไรนะ สูทหรือเนี่ย นั่งโก้ในห้องแอร์ ไอ้พวกฮิปปี้บอก โอ้ ไม่ได้ความ ความสุขที่แท้ อยู่สบายๆ ดีกว่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องตัดผม ไม่ต้องซักเสื้อผ้า ไม่ต้องรีด ใช่ไหม นอนกลางดินกินกลางทราย ใครจะสบายกว่ากัน ใช่ไหม ถ้าบอกว่าอย่างงี้ สบายมีความสุขกว่า ก็เลยปฏิเสธสังคม เป็นปฏิกิริยา ใช่ไหม สมัยยุคฮิปปี้ ก็เริ่มจากนั้นมา อันนั้นมันไปสุดโต่ง ทีนี้ตอนหลังได้สติขึ้นมา บางพวกก็กลับไปถูกสังคมเก่ากลืน บางพวกก็แสวงหาทางเป็นเหตุเป็นผลขึ้น มาเรียนสมาธิ มาเรียนหลักพุทธศาสนา
แต่สำคัญว่าพวกเรานี่ จะเอาของแท้ไปให้เขาหรือเปล่า ปรากฏพวกตะวันออกนี่ ไปหลอกฝรั่งเยอะเลย ไปหาเงิน ตัวเองว่าไม่เป็นคนเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ อะไรได้ ปรากฏพวกตะวันออก โยคีบ้าง อาจจะไปจากเมืองไทยด้วยมั้ง ก็ไปหลอกฝรั่งเพื่อจะได้เงินมากๆ อย่างฤาษีคนหนึ่ง ไปจากอินเดียชื่อ อรัชนี อะไรนั่น แกรวยเพราะฝรั่งกำลัง จะเรียกว่าเห่อ พวกสมาธิเรื่องจิตใจใช่ไหม สอนนี่ฟังกันเหลือเกิน สมัยหนึ่งเขาบอกว่านี่ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่งผ้าขาวทำเป็นโยคะ โยคี หน่อยไปนั่งตามข้างถนนในเมืองอเมริกาน่ะ โอ้ย หาเงินได้เยอะเลย ฝรั่งมารุมตอมเลย นี่ก็ อย่าง ตาอรัชนีอะไรนี่ แกก็ไปที่แคว้น
โอเรกอน แกสอนฝรั่งจนฝรั่งมาเลื่อมใสนับถือมีรถโรลสรอยด์ 14 คัน มีเครื่องบินส่วนตัวอีก แล้วก็ตั้งเป็นดินแดนแทบจะเป็นเขตของตัวเองเลยน่ะ รวยมหาศาลเลย ฝรั่งมันคงเห็นว่ากระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรืออย่างไงไม่รู้ ในที่สุดเกิดคดีเรื่องละเมิดเรื่องภาษี เรื่องอะไรพวกนี้ ก็ถูกไล่เนรเทศกลับมาอินเดีย
แล้วอย่างฤาษีอื่นอีกหลายคน บางคนนี้หนุ่มมาก ก็ไปพูด ในสมัยก่อน ฝรั่งเขาถ่ายรูปมาลงในเอ็นไซโคพีเดีย ก็มี ฤาษีคนนี้อายุซักแค่ 21-22 อะไรแถวๆ นั้น ไปพูดที่ใช้ Stadium ของฝรั่งพูด คนฟังเป็นหมื่น พวกฝรั่งหนุ่มๆ บางคนก็มาเกาะไอ้ที่แท่นที่นั่งของโยคีนี้ ด้วยความจงรักภักดี หาเงินกันเป็นเศรษฐีใหญ่ แล้วกลายเป็นว่าเมืองฝรั่งเป็นแดนที่กอบโกยเงินของพวก อะไร พวกอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ พวกอะไรพวกนี้ พวกโยคีฤาษีดาบสอะไรไป ไม่รู้มันวนเวียนกันไปมา ฝรั่งหลอกไทย ไทยหลอกฝรั่ง ที่นี้มันก็ต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ก็ทำเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนตัว ทำด้วยเมตตากรุณาที่แท้จริง แล้วก็สร้างปัญญากับมนุษย์ อย่างไปเมืองฝรั่งนี่ ไม่ใช่ไปให้เขาหลงอยู่แค่เรื่องของทางจิต พุทธศาสนานี่สูงสุดบอกแล้วนี่ สูงสุดที่ปัญญาใช่ไหม ให้เขาได้จิตใจดีแล้วมีปัญญา เข้าใจความจริงของธรรมชาติ
แต่ตัวเราก็ยังไม่แข็งพอ แล้วจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร
ก็ต้องพัฒนาตัวไปซิครับ
ก็เรายังมีปัญหาอยู่ สะสมอยู่ภายในเยอะเหมือนกัน
ก็อันหนึ่งก็คือ พัฒนาตัวไป แล้วก็พยายามบำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นไป ท่านบอกว่าเหมือนกับอย่างพระโสดาบันนี่ ท่านจะบำเพ็ญตนเหมือนกับ เปรียบเทียบคล้ายๆ กับแม่โค แม่โคเนี่ยเล็มหญ้าไปก็ดูแลลูกไปด้วยใช่ไหม ก็หมายความว่า ฉันก็ยังต้องกินหญ้าอยู่ แต่ฉันก็ไม่ละทิ้งลูกของฉัน ฉันก็รักมีเมตตา แล้วก็ดูแลให้เขาได้ความสุข บำเพ็ญประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ไปด้วย แต่เมตตาไม่ใช่ตามใจน่ะ ใช่ไหม ต้องระวัง ถ้าเมตตา เราปลูกฝังเมตตาก็ได้ความรักความเป็นมิตร แต่ถ้าตามใจก็เสี่ยงภัย เขาก็ตามใจ ต่อไปทุกคนก็ต้องเอาใจเขา ใช่ไหม เหมือนเลี้ยงลูก มีแต่ตามใจ มันเลยเมตตาไปแล้ว ต่อไปลูกโตขึ้น คราวนี้เอาแต่ใจตัวเอง คนอื่นต้องตามใจฉันหมดเลย คราวนี้ไม่รู้จะเมตตาใครเลย ใช่ไหม มีจริงไหม