แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระนวกะ: จะเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะครับ ถามเผื่อโยมแม่นะครับ พอดีว่าโยมแม่เคยผ่าตัดสมอง แล้วก็จะมีปัญหาว่าบางช่วงควบคุมจิตไม่ได้ อย่างเช่น ความคิดฟุ้งซ่าน ถ้าช่วงที่ควบคุมไม่ได้ จะมีเรื่องว่าหลับตาแล้วเห็นกรรมเก่า ว่าเคยทำอะไรไว้ก็จะยึดอยู่ตรงนี้ พอดีเมื่อกี้คุยเรื่องจิตเลยจะเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า มีวิธีอย่างไรให้โยมแม่หลุดจากตรงนี้ หรือว่าก่อนจิตสุดท้ายในระหว่างยังมีชีวิตอยู่ มีวิธีฝึกอย่างไรให้จิตสุดท้ายไม่ยึดถึง โยมแม่มีปัญหาทางร่างกายว่าเคยผ่าตัดมา ทำให้บางขณะควบคุมจิตไม่ได้
พระอาจารย์: ใช่เป็นเรื่องที่ร่างกายมาเป็นตัวก่อกวน หรือว่าเป็นปัจจัยแก่ทางจิต เป็นปัจจัยหนุน ทำให้การปฏิบัติทางจิตยาก วิธีแก้มี 2 อย่าง คือ วิธีทางจิตกับวิธีทางปัญญา
วิธีทางจิต
เราต้องเอาตัวอารมณ์ที่จิตจะยึดมา ตอนนี้จิตท่านไปข้องอยู่กับกรรมบางอย่าง เป็นฝ่ายที่ทำให้รบกวน หรือไม่ดี เราจะหาตัวอะไรที่มาแทน ถ้าคนใกล้ชิดรู้ เช่นว่า เคยทำอะไรที่เป็นกรรมดี ที่มีตัวเด่น อย่างคนโบราณ เขาจึงให้สร้างพระพุทธรูป ให้ไปปิดทองลูกนิมิต เพราะอะไรครับ นอกจากว่า สมัยก่อนไม่ใช่อย่างสมัยนี้นะ นานๆ จึงจะมีทีหนึ่ง วัดจะมีการฝังลูกนิมิตผูกสีมา บางทีเป็นกี่สิบปีไม่รู้จะมีได้ ยากเหลือเกิน แล้วก็สร้างพระพุทธรูป แต่ก่อนไม่ได้มีวางตามตลาดอย่างที่สำราญราษฎร์ หรือมากมายประตูผี สร้างกันยากหรอกพระ สร้างกันทีนี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ฉะนั้นเป็นบุญที่เด่น แล้ววัตถุที่สร้างเป็นบุญก็เด่นมาก ลักษณะนี้ก็เข้ากับความจริงของชีวิต จิตของคนเราจับสิ่งที่มันเด่น สร้างพุทธรูปองค์เบ้อเริ่มเป็นทองอร่าม จิตใจก็จับ เป็นสิ่งที่ประทับใจ ประทับใจรุนแรง เพราะฉะนั้น ก็ตราตรึงอยู่กับใจ เวลานึกปั๊บใจไปอยู่ที่นี่แหละ โบราณเขาจึงให้สร้างเพราะว่าเป็นจุดเด่นของจิตที่จับจิตง่าย เหมือนกุศลที่ไปทำอะไรต่ออะไรมาพอพูดถึง ปีนั้นไปสร้างพระมา แหมเด่นขึ้นมาเลย จิตจับได้ ไปปิดทองลูกนิมิต หินก้อนเบ้อเร่อ สร้างโบสถ์นั่น โบสถ์หลังเบ้อเริ่มเลยใช่ไหม? และเหตุการณ์ก็ใหญ่ด้วยหายากนะ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จิตจับได้ดี ฉะนั้นโบราณเขาเลยสอนกันมา เพราะจะได้เป็นตัวเหตุการณ์ที่ประทับใจไว้แรงมาก เวลาจะนึกถึงอย่างเวลาจะตายปั๊บ พอลูกหลานบอกปั๊บว่า สร้างพระพุทธรูปวัดนั้น ปีนี้เป็นประธานเป็นพระประธานอยู่วัดนี้ แหมชื่นใจเหลือเกิน จับจิต ไม่ไปไหนละ อยู่นั่นแหละ ก็เลยกลายเป็นกุศลไป
เป็นอันว่า หาอารมณ์ฝ่ายกุศลที่แรงไปสู้หรือไปแทนอารมณ์ที่ไม่ดีทางฝ่ายอกุศล ฝ่ายอกุศลนี้ อาจจะเป็นตัวที่ชินถึงขั้นเป็นอาจิณณกรรมแล้ว พอคิดแล้วคิดอีก จิตก็ลงร่อง คล้ายๆ ไปขุดร่องลงแล้ว แม้จะไม่ได้เป็นกรรมแรงอะไร แต่เพราะมันลงร่องแล้ว เป็นอาจิณก็เลย พอขึ้นมาปั๊บลงร่องนี้ ทีนี้แก้ยาก ทำอย่างไร ต้องหาตัวที่แรงจริงๆ มาช่วย นี้ท่านก็ต้องนึกว่า เคยทำอะไรไว้ ที่มันแรง เอามาพูดให้ท่านฟัง ถ้าไม่งั้นก็เอากรรมฐานให้ท่านมากำหนด ให้จิตอยู่กับกรรมฐานนี้ เพื่อจะให้จิตไม่ไปตามตัวสิ่งที่ชักจูงอื่น เพราะว่ากรรมฐานนี้ ก็คืออันนี้แหละ ให้สติมาช่วยจับอยู่กับอารมณ์เดียวที่ทำสมาธิ ถ้ามิฉะนั้นท่านก็ต้องหาเรื่องใหม่ให้ทำ ชวนโยมแม่ทำกุศลกรรมหรือบุญใหญ่สักอันหนึ่ง ชวนพูดแล้ว โยมแม่เรามาทำอันนี้กันดีไหม? พูดโน้มน้อมจิตใจอยู่บ่อยๆ แล้วให้เป็นบุญที่ว่าเด่น และให้ท่านนึกอยากจะทำอันนี้อยู่เรื่อย ถ้าหากว่าเบนได้ จะเริ่มมาแข่งความที่จิตนั้นไปวุ่นอยู่กับตกร่องอันนี้ หาร่องใหม่ให้ ก็เริ่มขุด ยากหน่อย แต่เรานี่เราเป็นคนที่มาช่วยขุดไม่ใช่ท่านขุดคนเดียว เพราะฉะนั้นแรงมันมากขึ้น เราก็มาช่วยท่านให้การขุดร่องใหม่ เราพูดให้ท่านได้ยินอยู่เรื่อย แต่ว่าต้องเอาที่ท่านพอใจนะ ต้องพูดเริ่มก่อน ดูสิว่าท่านจะชอบอันนี้ไหม? บุญหรือกุศลอันนี้ เรื่องนี้ที่ดี และมาพูด พอท่านสนใจละก็ พูดแล้ว พูดอีก พูดแล้ว ก็มา เดินหน้า ว่าเราจะทำกันเมื่อนั้น เราจะทำกันอย่างนั้นๆ ให้ท่านช่วยคิด ทีนี้พอท่านชักชอบใจ แล้วท่านจะมาคิดเรื่องนี้มากขึ้น จิตมาอยู่กับเรื่องนี้ ต่อไปก็เปลี่ยนอารมณ์ได้ เปลี่ยนอารมณ์ ถ้าเกิดสิ่งนั้นเป็นจริงใช่ไหม? ไปทำเลย ชวนท่านไปทำ ให้ท่านได้ทำด้วยมือตัวเองเลย เป็นประสบการณ์ เหตุการณ์ใหญ่ๆ ทีนี้เข้าไปอยู่ในความจำแม่นเลย และเป็นเหตุการณ์ใหญ่อันนี้ อยู่ในจิตประจำเลย ทีนี้สบายละถ้าถึงขั้นนั้น พอจะเห็นทางไหม? เอานะนี่วิธีแก้ทางจิต หาอารมณ์แทน อารมณ์ทดแทนหรือมาแทนที่
วิธีการทางปัญญา
ให้เห็นความรู้เข้าใจหลักกรรม ความเป็นเหตุเป็นปัจจัย การแก้ไขทำให้ดีขึ้น ให้โยมรู้หลักว่าเรื่องกุศล-อกุศล เป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นธรรมดา ทำพลาดบ้าง ถูกบ้าง แต่ว่าต้องมีการพัฒนา มีการแก้ไข พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ยังเคยทำพลาด ขนาดเป็นพระโพธิสัตว์ บางทีก็ยังไปหลงผิด ไปทำผิดก็มีนะ ใช่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์แล้วต้องทำถูกหมด แล้วท่านก็แก้ไข ท่านก็ปรับปรุง ชีวิตมนุษย์ เป็นชีวิตแห่งการแก้ไขปรับปรุงพัฒนา ทำให้ดีขึ้น อันไหนเป็นกรรมไม่ดีก็แก้ไข ท่านเรียกว่าเป็นปฏิกรรม คือ กรรมที่ทำขึ้นมาเพื่อแก้ไขกรรมเดิม หมายความว่า กรรมเดิมก็อยู่ แต่ว่าเราทำกรรมนั้น ทำใหม่ในทางที่ดี เพื่อปรับปรุงตัวเอง ที่เคยทำอกุศล ก็ละ เลิก เปลี่ยนมาทำกุศล ที่ทำกุศลชนิดที่มีกำลังน้อย หรือกำลังกุศลชั้นต่ำระดับกามาวจร ก็ทำสูงขึ้นไประดับรูปาวจร ถ้าเป็นระดับกามาวจรด้วยกันเคยเป็นแค่กุศลธรรมดาก็ทำเป็นมหากุศลทำกุศลยิ่งใหญ่ขึ้นไป เรื่องของมนุษย์พัฒนาได้ แก้ไขปรับปรุงได้ จากผู้ที่ไม่ดีมา องคุลีมาลยังมาเปลี่ยนเป็นพระอรหันต์ได้ พระพุทธศาสนาบอกว่า ถ้าเรามีปัญญารู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเองแล้วพัฒนาได้ เรามาทำกรรมที่ดี เปลี่ยนจากอกุศลมาเป็นกุศลแล้วพัฒนากุศลยิ่งขึ้นไป ฉะนั้นเรามาใช้วิธีนี้ หลักหนึ่งคือว่าเราอย่ามามัวติดพันธ์ข้องขัดอยู่กับกรรมที่ทำไปแล้ว รู้แล้ว เอาแค่รู้ อย่าไปติดกับความรู้สึก เอาแค่รู้ว่า ทำกรรมนี้ไม่ดี เป็นอันทำไปแล้ว ทำไปแล้ว อย่าไปมัวหวนละห้อย หมกมุ่นอยู่ คิดในแง่ว่า แล้วเราจะแก้อย่างไร เราจะทำกรรมอะไรดี แล้วหันจิต ไปคิดเรื่องที่จะทำดีซะ เราหันไปคิดเรื่องที่จะทำความดี กุศล เป็นการแก้ไขปรับปรุง พัฒนาตัวให้กรรมเก่าหมดกำลัง หรืออ่อนกำลัง เพราะว่ากรรมใหม่ เมื่อเราทำกรรมใหม่ที่ดีขึ้นมา กรรมใหม่ที่ดีมีกำลังมากกว่า กำลังกรรมเก่าที่ไม่ดีก็อ่อนแรง มีกรรมกำลังเท่าเดิมนั่นแหละ แต่เทียบกันแล้วอ่อนกำลัง
มีท่านนักปราชญ์ท่านเคยเปรียบไว้ ท่านว่าไว้ดี ผมเลยจำมาเล่าให้ท่านฟังเพราะมันเข้ากับหลัก บอกว่า เหมือนกับเรามีแก้วน้ำอินฟินิตี้ แก้วน้ำอินฟินิตี้หมายความว่า ไม่รู้จักเต็ม ตอนแรกเราทำกรรมไม่ดีไว้เหมือนกับเราใส่น้ำสกปรกในแก้วนี้ ใส่เข้าไปสักลิตรหนึ่ง ใส่เข้าไปดำมืดสกปรกไปหมดเลย แล้วเรามัวไปขุ่นข้อง เราก็ไม่ได้ทำอะไร พอเรารู้ตัวแล้ว ไม่ได้แล้วต้องปรับปรุงแก้ไข เลิกละไม่ใส่ละน้ำสกปรกอีกต่อไป ทีนี้เราก็ต้องทำใส่น้ำดี ใส่น้ำใส ท่านก็ใส่น้ำใสไปวันนี้ลิตร พรุ่งนี้ลิตร วันต่อไปใส่ถังหนึ่งเลย ต่อไปใส่สองถัง สิบถังต่อไป ปรากฏว่าแก้วน้ำนี้ น้ำลิตรหนึ่งที่สกปรกไม่เห็นเลยใช่ไหม? ทั้งๆ ที่มันก็เท่าเดิมถูกไหม? แต่มองไม่เห็นเลยใสแจ๋วเลย กรรมที่ไม่ดีทำไว้ มีอยู่ก็เหมือนไม่มี เพราะหมดกำลัง ไม่มีอิทธิพล ฉะนั้นก็ทำกรรมดีไป
ต่อได้เลย เข้าใจนะ? มีอะไรสงสัยไหม? นิมนต์
พระนวกะ: อย่างนี้เราสามารถที่จะสรุปได้ไหมครับว่า อย่างนั้นเราก็ประพฤติหลักไตรสิกขา คือทำศีลให้ดียิ่งขึ้น จะได้เป็นฐาน เป็นพื้นฐาน ที่ดีในการทำให้จิตมาตั้งมั่น แล้วก็เกิดกำลัง แล้วประกบด้วยปัญญาเข้าไป
พระอาจารย์: ต้องทำไปทั้ง 3 อย่างพร้อมกัน แต่ว่าศีลเป็นตัวเน้น เพราะเป็นรูปธรรมที่ปรากฏชัด และเป็นพื้นฐาน พื้นฐานของอีก 2 อัน เราอาศัยศีลมาเป็นฐาน แต่ว่าเราไม่ได้อยู่กับมัน มีฐานเท่าไหร่ เราก็ทำจิตปัญญาไปเรื่อยด้วย ไม่ใช่รอให้ฐานเต็มซะก่อน นี่ไม่เหมือนวัตถุ ไม่เหมือนสร้างบ้าน ที่จะต้องไปรอให้ฐานเสร็จ เป็นด้านวัตถุ แต่ด้านจิตใจสัมพันธ์กัน ถ้าหากว่าจิตใจเราไม่พัฒนาปัญญา เราไม่มีการสร้างฐานมันก็ไม่ได้เรื่องใช่ไหม? จะสร้างฐานได้ดี เพราะว่าปัญญาพัฒนาขึ้นไป
พระนวกะ: อย่างหลังที่ท่านพระเดชพระคุณให้ คือ ใช้ได้สำหรับทุกอย่าง
พระอาจารย์: นี่เป็นของกลาง เป็นหลักทั่วไป เราเข้าใจหลัก ก็เป็นเรื่องเหตุปัจจัยธรรมดา แต่เราให้ทุกแง่มุมของมัน ใครสงสัยอะไรนิมนต์ถาม? มีอะไรสงสัยไหมไม่ต้องไปเกรงใจ ถามเลย นิมนต์
พระนวกะ: ได้ยินมาว่า ถ้าเกิดเราทำกรรมอย่างหนึ่งแล้ว แล้วเราทำความดีไว้ ความดีส่วนนี้จะมาปกกับกรรมส่วนนั้นได้หรือครับ
พระอาจารย์: ไม่ใช่ไม่ได้หักล้างเลย หมายความว่า น้ำในแก้วที่หนึ่งลิตร มันก็อยู่ของมันตามเดิม แต่เหมือนกับไม่มี เพราะว่าฝ่ายดีนี่ท่วมท้นไปหมดเลย เหลือเหมือนกับว่า มีก็เหมือนไม่มี หมด เหมือนกับว่าเทียบกันแล้ว หมดแรงเลย ตอนแรกมีมดสองตัว มดสองตัวแรงพอกัน เกิดพอเจอฝ่ายหนึ่งยังเป็นมด อีกฝ่ายหนึ่งเป็นช้าง มดนี่ไม่มีความหมายเลย