แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
: กราบนมัสการพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมปิฎกที่เคารพอย่างสูง ในนามของมูลนิธิ กระผมใคร่ขอกราบเรียนความเป็นมาว่า สืบเนื่องจากมูลนิธิการศึกษาเพื่อสันติภาพพระธรรมปิฎก ปอ.ประยุทธ์โต ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2538 ได้จัดกิจกรรมประชุมสัมมนาทางวิชาการเป็นประจำทุกปี ปีนี้มูลนิธิได้จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง การศึกษาเพื่อสันติภาพ วิถีชาวพุทธที่ควรจะเป็นในสังคมไทยปัจจุบัน ในวันที่ 20-21 ธันวาคม 2543 ณ สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา ในการดำเนินงานดังกล่าวนี้ คณะกรรมการใคร่ขออนุญาต อาราธนาท่านเจ้าคุณอาจารย์แสดงทัศนะ เรื่อง วิถีชาวพุทธที่ควรจะเป็นในสังคมไทยปัจจุบัน และขออนุญาตถ่ายทำวิดีโอเพื่อจะได้นำไปฉายให้ผู้เข้าร่วมประชุมสัมมนาชมในวันเปิดการประชุมสัมมนา ณ สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา และในส่วนภูมิภาคอีก 3 แห่งคือ สถาบันราชภัฏนครสวรรค์ สถาบันราชภัฏอุทัยธานี และสถาบันราชภัฏรำไพพรรณี ในโอกาสนี้กระผมใคร่ขอกราบเรียนถามทัศนะของท่านเจ้าคุณอาจารย์โดนขอขยายความจากหัวข้อเรื่องที่ได้ตั้งไว้ดังต่อไปนี้คือ ในระดับของครอบครัวสังคมก็คาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนลูกให้เป็นลูกที่ดี ในวงการศึกษาไทยมักจะได้ยินคำพูดอยู่เสมอ ถึงเป้าหมายของการอบรมสั่งสอนนักเรียน นักศึกษาว่าต้องการให้เป็นผู้มีความรู้คู่คุณธรรม หรือต้องการคนเก่ง และคนดี สำหรับประชาชนทั่วไปก็มักจะพูดถึงการเป็นพลเมืองที่ดี หรือเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ศาสนานับเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่จะทำให้บรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ จึงใครขออนุญาตกราบเรียนถามทัศนะของพระคุณเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สถาบันครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ สถาบันการศึกษาโดยเฉพาะครูอาจารย์ และสถาบันศาสนาโดยเฉพาะพระสงฆ์ สมควรจะมีบทบาทอย่างไรในการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ให้การศึกษาแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนคนไทยให้มีความรู้ ความเข้าใจเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงจนเป็นวิถีชีวิตชาวพุทธศาสนิกชนที่ดี หรือเป็นวิถีชาวพุทธที่ควรจะเป็นในสังคมไทยปัจจุบันสืบต่อไปครับ
: ขอเจริญพรท่านรองประธานกรรมการ ในนามของมูลนิธิการศึกษาเพื่อสันติภาพพร้อมด้วยท่านอาจารย์กรรมการทุกท่าน และนักศึกษาทุกคนที่ได้มาฟังในโอกาสนี้ อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาที่ทางมูลนิธิได้มีความตั้งใจดีที่จะจัดประชุมขึ้น โดยเฉพาะก็มีความมุ่งหมายเพื่อประโยชน์แก่สังคม แก่ชีวิตคนไทยทุกๆ คน ซึ่งก็หมายถึงในฐานะส่วนร่วมของประชาชาวโลกก็เท่ากับว่าในที่สุดก็เพื่อประโยชน์แก่โลกนี้ทั้งหมด ท่านได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องวิถีชาวพุทธ หรือจะเรียกว่าชีวิตชาวพุทธก็ได้ ซึ่งจะใช้คำพูดอีกอย่างหนึ่งก็คล้ายๆ กับคำว่าวัฒนธรรม เพราะเรามักจะให้ความหมายคำว่าวัฒนธรรมว่าวิถีชีวิต แต่ว่าคำถามของท่านก็โยงไปหาการศึกษา ซึ่งก็ตรงกับแนวคิดในพระพุทธศาสนาหรือหลักธรรมสอนไว้อย่างนั้น ในทางพุทธศาสนานั้นก็ถือว่าชีวิตคือการศึกษา การศึกษาก็ทำให้เกิดชีวิตที่ดี ทำไมจึงว่าชีวิตคือการศึกษา ชีวิตคือการที่เราเป็นอยู่ เราเคลื่อนไหว เรามีชีวิตอยู่ทุกวันที่เราเคลื่อนไหวเนี่ย เราก็ต้องพบประสบการณ์ใหม่ๆ เราต้องพบสถานการณ์ใหม่ๆ เราต้องคิด ต้องหาทางที่จะปฏิบัติต่อสิ่งที่เราเข้าไปพบเห็นเกี่ยวข้องนั้นให้ถูกต้อง การที่พยายามจะปฏิบัติต่อสิ่งที่พบเห็นเป็นต้น จัดการกับปัญหา สถานการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องในแต่ละขณะให้ถูกต้องเนี่ยก็คือการศึกษา เพราะฉะนั้นคนจะมีชีวิตอยู่ดีได้ต้องมีการศึกษาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นชีวิตก็เป็นอันเดียวกับการศึกษา ถ้าชีวิตใดไม่มีการศึกษา ก็เป็นชีวิตที่จะดีไม่ได้ คือมันไม่เจริญก้าวหน้า ท่านเรียกว่าเป็นพาน??? พาน???เนี่ยทางพระแปลว่าเป็นอยู่สักว่า???ลมหายใจ นี่ ความหมายของคำว่าพาน คือได้แค่หายใจเข้าออก ถ้าชีวิตจะเป็นอยู่ดีก็แน่นอนว่าเราก็ต้องคิดหาทางแก้ไขปัญหา สถานการณ์ ประสบการณ์ที่เราพบ เราต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นอะไร มันคืออะไร เราจะจัดการกับมันอย่างไร เนี่ยเรามีการศึกษาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในทางพระนี่ถือว่าชีวิตก็คือการศึกษา แต่ต้องวงเล็บว่าหมายถึงชีวิตที่ดีนะ ถ้าเป็นชีวิตที่ไม่ดีก็เป็นชีวิตว่างเปล่า เป็นชีวิตพาน???ก็ไม่มีการศึกษา คือพบประสบการณ์อะไรก็ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้หาทางคิดแก้ปัญหา หรือจัดการกับสิ่งนั้นให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะมีชีวิตที่ดีเนี่ย เราก็ต้องศึกษาตลอดเวลา เดี๋ยวนี้เขามีคำว่า Life Long Education Life Long Learning การเรียน การเรียนตลอดชีวิต การศึกษาตลอดชีวิต ฝรั่งมาได้ฟังทัศนะพระพุทธศาสนา เขาเลยไปได้ความคิดใหม่ มีท่านที่เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ที่ประชุมของนานาชาติฟังแล้วท่านก็เอากลับมาเล่าอีกทีหนึ่ง การศึกษาในพระพุทธศาสนาเนี่ยนะมันเป็นชีวิตอย่างนี้แหละ ฝรั่งเขาก็เลยบอกว่า อ้อ ของเขานี่เป็น Life Long Learning เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่ของพุทธศาสนาเนี่ยเป็น Leaning Life เลย เป็นชีวิตที่เรียนรู้หรือเป็นชีวิตแห่งการเรียนรู้ก็ได้ ณ ตอนนี้เท่ากับว่ามีแนวคิด 2 แบบ ถ้าเป็นแบบฝรั่ง แม้จะเป็น Life Long Education เป็น Life Long Learning มันเหมือนกับแยกชีวิตและการเรียนรู้หรือการศึกษาออกเป็น 2 อย่าง แล้วก็เอามาควบคู่ไปด้วยกัน ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็เรียนรู้ไป ศึกษาไป แต่ในพุทธศาสนานี่ ชีวิตนี่เป็นตัวการศึกษา การเรียนรู้ไปเลย เพราะฉะนั้นก็ให้เข้าใจว่าแนวคิดเนี่ยไม่เหมือนกันทีเดียว แล้วฝรั่งเนี่ยเขาจับได้ไว เขาฟังเราไปแล้ว เขาเอาไปสรุปว่า อ้อ ตอนนี้มีแนวคิดที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ฝรั่งน่ะหันมาแล้วล่ะ ในแง่ของ Life Long Education Life Long Learning ทีนี้ในเมื่อชีวิตที่ดีเป็นชีวิตแห่งการศึกษาหรือเป็นการศึกษาเรียนรู้ตลอดเวลา ก็เข้ากับธรรมชาติของมนุษย์ ทางพุทธศาสนาเนี่ยถือว่ามนุษย์นี่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และต้องฝึก คำว่าฝึกนั้นก็คือศึกษานั่นเอง ภาษาพระก็คือสิกขา หรือ ศึกษา แปลเป็นภาษาไทยก็ฝึก โบราณเราก็ใช้คำว่าฝึก ฝึก ศึกษา หรือพัฒนาธรรมให้ดีขึ้น เจริญงอกงามขึ้น ทีนี้สัตว์ที่เรียกว่ามนุษย์นี้เป็นสัตว์พิเศษตรงที่ว่าฝึกได้ เรียนรู้ได้ ศึกษาได้ สัตว์ชนิดอื่นนี่เรียนรู้ได้บ้างแต่จำกัด ฝึกได้นิดหน่อย ฝึกได้จำกัดด้วย แล้วแถมจะฝึกให้ดีสักหน่อยก็ต้องให้มนุษย์ฝึก ฝึกตัวเองไม่ได้ เหมือนอย่างช้าง ม้าเนี่ย เป็นสัตว์ที่อยู่ในระดับที่เรียกว่าเรียนรู้ได้มากหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นแกก็เรียนรู้ด้วยตัวเองได้จำกัดอย่างยิ่ง โดยปกติก็อยู่แค่สัญชาตญาณแล้วก็ตลอดชีวิตก็อยู่แค่นั้น เขาเรียกว่าเกิดมาอย่างไรก็ตายไปอย่างนั้น เกิดมาอย่างช้างก็ตายไปอย่างช้าง เกิดมาอย่างม้าก็ตายไปอย่างม้า ทีนี้มาอยู่กับคน คนก็ช่วยฝึกให้ ช้างก็เอาไปลากซุงได้ ม้าก็เอามารบทับจับศึกได้ ลิงก็เอาไปขึ้นต้นมะพร้าวได้ กลายเป็นว่าฝึกมารับใช้มนุษย์ แล้วต้องให้มนุษย์ฝึกให้ ก็ได้แค่นั้นเอง ต่างจากมนุษย์ที่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากว่ามีความเพียรที่จะฝึกตนแล้วก็ฝึกไปเถอะ ฝึกไปจนกระทั่งเป็นมนุษย์อัจฉริยะ จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นไอน์ สไตน์ เป็นมหาบุรุษ อะไรต่ออะไรของโลกจนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์นี่เกิดมาอย่างหนึ่งตายไปอีกอย่างหนึ่ง นอกจากนั้นมนุษย์ยังสามารถสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาซ้อนขึ้นในโลกของธรรมชาติ โลกธรรมชาติเนี่ยเราเห็นอยู่ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ท้องฟ้า แต่ว่ามนุษย์นี่เกิดมาแล้ว ฝึกตัวเอง ศึกษา มีความคิด พัฒนา ทำการต่างๆ มีการประดิษฐ์สร้างสรรค์ มีเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า ทำให้เกิดโลกขึ้นมาต่างหากเรียกว่าโลกมนุษย์ซ้อนอยู่ในโลกธรรมชาติ เนี่ย เพราะฉะนั้นมนุษย์บางคนนี้เกิดมาแล้วดำเนินชีวิตเนี่ย บางคนเนี่ยไม่ได้สัมผัสกับโลกธรรมชาติเพราะอยู่ในโลกของมนุษย์ นี่ก็ในแง่หนึ่งก็แสดงถึงความพิเศษ ความสามารถของมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้นมันก็เป็นจุดอันตรายด้วย ถ้าหากว่ามนุษย์เนี่ยแปลกแยกออกจากโลกของธรรมชาติมาอยู่ในโลกของตัวเอง เข้าไม่ถึงโลกของธรรมชาติ เชื่อมประสานโลกมนุษย์กับโลกของธรรมชาติไม่ได้ก็จะยุ่ง อย่างเวลาเนี้ยมนุษย์ฉลาดในแง่หนึ่ง แต่ฉลาดน้อยไป คือไม่รอบคอบ สร้างโลกของตัวเองแล้วก็ปลีกตัว แปลกแยกจากโลกของธรรมชาติมาอยู่ต่างหาก แล้วกลับไปเบียดเบียนโลกของธรรมชาติที่รองรับโลกของตัวเองอยู่ โลกธรรมชาตินี่รองรับโลกมนุษย์อยู่นะ โลกมนุษย์ไม่ได้อยู่ลำพังโดดเดี่ยว โลกมนุษย์จะอยู่อิสระของมันไม่ได้ต้องอาศัยโลกธรรมชาติ ทีนี้เราสร้างโลกมนุษย์ขึ้นมาเสร็จแล้วเราแล้วกลับไปทำลายโลกธรรมชาติที่ซ้อนรองรับเราอยู่ เพราะฉะนั้นมันก็เลยเกิดปัญหาเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนเป็นต้น อย่างที่เราพบกันอยู่ ทีนี้ก็เป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้นแหละที่มีความสามารถพิเศษ แต่ว่าเราจะจัดการกับความสามารถของเราอย่างไร อันนี้เราก็ต้องมาดูแล้วตกลงว่าในที่นี้ต้องการให้เห็นว่าชีวิตมนุษย์เนี่ยที่เป็นสัตว์พิเศษเนี่ยมันอยู่ดีได้ด้วยการศึกษา คือการฝึก การพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคนเราก็เลยสำคัญว่าจะต้องรู้ธรรมชาติของตนเองเนี่ย ถ้าคนไหนรู้ธรรมชาติของเราเองว่า อ๋อ มนุษย์นี้เป็นสัตว์ที่ฝึกได้จะต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วแย่ที่สุด มนุษย์เราถ้าไม่ฝึก ไม่ศึกษา ไม่เรียนรู้สิ แย่กว่าสัตว์ชนิดอื่นเลย สู้ช้าง สู้ม้า สู้วัวไม่ได้ เพราะว่าสัตว์อื่นมันอาศัยสัญชาตญาณ มันทำได้ มันอยู่ได้ แต่มนุษย์นี่ไม่เรียนรู้นี่อยู่ไม่รอด พอเรียนรู้นี่ก็ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นต้น สอนกันนานด้วย สัตว์นี่บางทีมันเกิดมาวันเดียวมันเดินได้แล้ว อย่างโคเนี่ย ออกเดี๋ยวเดียวแหละเดินและ แต่มนุษย์นี่ต้องฝึกทุกอย่าง เรียนรู้ทุกอย่าง นั่ง นอน กิน ขับถ่าย เดิน พูด ต้องมีผู้ที่ฝึกศึกษาสอนให้ เรียนรู้กันเป็นสิบปีกว่าจะอยู่รอด แต่ทีนี้มนุษย์เราเนี่ยเมื่อรู้ธรรมชาติของตัวเองว่า เอ้อ เรานี่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เรียนรู้ได้ จะต้องฝึกศึกษา ถ้าเราฝึกศึกษาเราก็เจริญก้าวหน้าเรื่อยไป เราก็ไม่พอใจแค่เรียนรู้พออยู่รอด เราต้องเรียนรู้ให้อยู่ดี ให้เป็นสัตว์ประเสริฐ เพราะฉะนั้นในทางพุทธศาสนาก็เน้นเรื่องความสำคัญของการฝึกการศึกษาว่ามนุษย์อย่างที่ว่าแล้วเป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ ใครอย่ามาพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐไม่ถูกหลัก พุทธศาสนาไม่ยอมรับว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ต้องพูดให้เต็มว่ามนุษย์เป็นที่ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ ให้ลองไปคิดดูให้ดี ที่ฝึกที่คือการศึกษา เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนานี่ท่านเน้นไว้อย่างเอ้ายกบาลีก็ได้ ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ (ในหมู่มนุษย์ ผู้ที่ฝึกแล้วประเสริฐสุด) ท่านไม่ได้ยอมรับว่ามนุษย์อยู่ๆ จะประเสริฐขึ้นมา ใครจะไปพูด พุทธศาสนาไม่ยอมรับด้วย ต้องฝึก ต้องศึกษาจึงจะประเสริฐ เอาละเรามีเงื่อนไข ทีนี้รวมความก็คือว่าเราจะมีชีวิตที่ดีเนี่ยต้องมีการเรียนรู้ ต้องมีการศึกษา พัฒนาเรื่อยไป ทีนี้การศึกษาของมนุษย์เนี่ยมันก็อาศัยอะไร อาศัยท่านเรียกว่าปัจจัย ปัจจัยนี่มีภายในกับภายนอก คนเราจะเรียนรู้และฝึกตนได้เนี่ย เรามีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ เราก็เริ่มด้วยว่าเรารู้ธรรมชาติของเราแล้วจะประเสริฐได้ด้วยการฝึก เราก็มีจิตสำนึกในการศึกษา ถ้าคนใดสร้างจิตสำนึกนี้ขึ้นมาได้ คนนั้นเนี่ยมีหวังที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นมาแน่นอน เพราะว่าเขาจะมีจิตสำนึกตัวเนี้ยคอยเตือนใจตลอดเวลา เวลาพบประสบการณ์ สถานการณ์อะไรเนี่ย มองเป็นการเรียนรู้หมด พอเป็นการเรียนรู้ มองเป็นการเรียนรู้ เราก็ได้ตลอดเวลา อันนี้ก็ต้องเอาธรรมชาติของตัวเองเนี่ยมาใช้ให้ได้ ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของตนเอง ทีนี้ในการที่จะศึกษา นอกจากมีจิตสำนึกในการศึกษาหรือฝึกตนแล้ว ก็จะต้องอาศัยปัจจัยภายในภายนอก ทีนี้คนเราเกิดมาตอนแรกเนี่ยเราก็อยู่กับพ่อแม่ อยู่ในครอบครัวก่อน คนที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือพ่อแม่ จุดเนี้ยเป็นจุดที่สำคัญ ในเมื่อการศึกษามันเป็นชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นชีวิตเราเริ่มต้น เกิดมามันก็ต้องศึกษา ชีวิตเกิดมามันก็ต้องพยายามอยู่ให้รอด ก็ต้องเรียนรู้ ต้องใช้ตาดูหูฟัง เพราะว่าคนเราเนี่ยถ้าไม่มีความรู้เนี่ออยู่ไม่ได้ พอเกิดออกมาพบเห็นประสบการณ์สิ่งรอบตัวไม่รู้คืออะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับตัวเอง ไม่รู้จะปฏิบัติกับมันอย่างไร ตอนเนี้ยติดขัด อึดอัดขัดข้องแล้ว ท่านเรียกว่าไม่มีความรู้ เกิดมาไม่มีความรู้หรือมีความไม่รู้ คนเราเกิดมามีเหมือนกันคือมีความไม่รู้ พอมีความไม่รู้ เจออะไรไม่รู้จะทำไง ก็อึดอัดขัดข้อง เพราะฉะนั้นท่านเรียกว่าความไม่รู้นำมาซึ่งปัญหา ทีนี้ความไม่รู้เนี่ยเรียกว่าอวิชชา ปัญหาเรียกว่าความทุกข์ เพราะฉะนั้นอวิชชาเป็นที่มาของความทุกข์ หรือเป็นปัจจัยของความทุกข์ เมื่อเรามีความไม่รู้หรืออวิชชาทำให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์เราจะทำไง ท่านบอกเรามีอุปกรณ์ติดตัวมานะ ที่เราจะแก้ปัญหาได้ คือทุกคนเกิดมานี่มีอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาไว้ติดต่อกับโลกภายนอก นี่แหละเป็นเครื่องมือของเราที่เราจะแก้ปัญหา เราจะรู้ก็ต้องเรียนรู้ขึ้นมาแล้วเราก็จะแก้ปัญหา แล้วเราก็จะปฏิบัติกับสิ่งทั้งหลายอย่างถูกต้อง แต่ว่ามีคนช่วยก็คือพ่อแม่ของเรา ทีนี้มาเรื่องการศึกษาเริ่มต้นพร้อมกัยชีวิตเริ่มต้น เพราะฉะนั้นการศึกษาก็ต้องเริ่มต้นที่บ้าน ในครอบครัว อันนี้ก็เป็นหลักธรรมดา เพราะฉะนั้นถ้าเราจะดำเนินชีวิตเองนี่ยากมาก ก็ต้องมีคนที่มาช่วยก็คือคนใกล้ชิดที่สุด ซึ่งโดยพื้นฐาน โดยธรรมชาติเนี่ย มีคุณธรรมคือเมตตา กรุณา มีความรักอยู่ในใจเรียกว่ามีเมตตาอยู่แล้ว ท่านปรารถนาดีอยากให้เรามีความสุข ท่านก็อยากจะให้เราอยู่รอดและอยู่ดีได้ด้วย เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็จะมาช่วยตรงเนี้ย ช่วยฝึก ศึกษา เรียนรู้ การที่พ่อแม่ช่วยเนี่ย ช่วยเลี้ยง เลี้ยงก็คือช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง การเลี้ยงคือการอะไร เช่นเราจะเอาวงล้อสักวงหนึ่ง แต่ก่อนนี่เด็กชอบเอามาตีให้มันวิ่งไปโดยไม่ล้ม การกระทำอย่างนั้นเขาเรียกว่าเลี้ยง เลี้ยงก็หมายความว่าทำใล้อนั้นมันดำรงอยู่ได้ ไปได้ด้วยตนเอง ทีนี้ที่พ่อแม่เลี้ยงลูกก็คือว่าพยายามจะให้ลูกเนี่ยสามารถดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง ทีนี้เมื่อไรที่ลูกดำรงชีวิตได้ด้วยตนเอง ดำเนินชีวิตได้เองแล้ว ดีแล้ว พ่อแม่ก็วางใจได้ ก็เลิกเลี้ยง เพราะฉะนั้นการเลี้ยงก็คือการช่วยประคับประคองเกื้อหนุนในเบื้องต้นเพื่อให้ลูกเนี่ยสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง การที่ลูกจะดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเองคือทำอะไร ก็คือเรียนตลอดเวลา ก็คือเรียนรู้ เรียนรู้ เรียนรู้ เรียนสิ่งที่พ่อแม่สอน นั่ง กิน ยืน เดิน พูดอะไรต่างๆ เหล่าเนี้ย พ่อแม่ก็สอน เราก็เรียนรู้ไป เรียนรู้ไป ฝึกหัดตัวเองไป เพราะฉะนั้นการเลี้ยงก็จะคู่กับการเรียน พ่อแม่เลี้ยง ลูกก็เรียนไป เพราะฉะนั้นการเลี้ยงก็คือกระบวนการช่วยเกื้อหนุนการเรียนของลูก อันนี้จะต้องจำไว้ ถ้าการเลี้ยงไม่มีการเลี้ยงก็จะกลายเป็นการเลี้ยงที่ว่างเปล่า บางคนเข้าใจว่าการเลี้ยงคือการเอาอาหาร เอาอะไรต่ออะไรมาให้แก่ลูก บำรุงบำเรอ ไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นเพียงเครื่องประกอบ หมายความว่าพ่อแม่เอาอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ปัจจัย 4 นี่มาช่วยเป็นเครื่องเกื้อหนุนให้ลูกเนี่ยได้พร้อมที่จะเรียน เรียนก็เพื่อลูกจะได้สามารถดำเนินชีวิตที่ดีได้ด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นตกลงว่าพ่อแม่ก็มาเป็นผู้เกื้อหนุน แต่หน้าที่ในการศึกษาเป็นหน้าที่ของทุกคน ของทุกชีวิต อย่างที่บอกแล้วว่าชีวิตคือการศึกษา ชีวิตที่ดีก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อย ทีนี้พ่อแม่ก็มาเริ่มช่วยเกื้อหนุนเรา ชีวิตเริ่มต้นเมื่อไหร่ การศึกษาก็เริ่มต้นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นถ้าใครถามบอกว่าการศึกษาเริ่มต้นที่ไหน ก็บอกว่าการศึกษาเริ่มต้นที่ชีวิตเริ่มต้น แล้วชีวิตเริ่มที่ไหน เริ่มในบ้าน เพราะฉะนั้นการศึกษาเริ่มในบ้าน เริ่มในบ้าน เอาละทีนี้พ่อแม่ก็มีบทบาทสำคัญ ทีนี้ในการศึกษาปัจจุบันเราเนี่ยมักจะเน้นที่โรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา โดยมักจะมองข้ามบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ ครอบครัวไปเสีย อันนี้จะเป็นอันตราย เพราะว่ากว่าไปถึงโรงเรียนเนี่ย การศึกษามันเข้าไปเป็นพื้นฐานชีวิตของคนแล้ว เวลาไปถึงโรงเรียนแล้วเนี่ย ส่วนที่เป็นคุณสมบัติ เป็นแกนของชีวิตเนี่ยมันเสร็จไปแล้ว ครูโดยมากจะไปเติม ไปเสริม ไปแต่ง ไปเพิ่มให้ บางทีก็ไปให้วิชาเฉพาะอย่าง แต่ว่าวิชาสำหรับไปทำหาเลี้ยงชีพ แต่ว่าการศึกษาที่แท้มันต้องเกิดขึ้นเป็นคุณสมบัติในชีวิตของเรา ตัวคุณสมบัติในชีวิตของเราที่จะให้เป็นอยู่ที่ดีเนี่ยแหละคือเนื้อแท้ของการศึกษา ซึ่งจะเกิดขึ้น พออยู่ที่บ้านนี่เราได้การศึกษาพื้นฐานของชีวิตไปแล้ว เพราะฉะนั้นการศึกษาในบ้านนี่พระพุทธเจ้าทรงเน้นว่า ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสว่า พ่อแม่นี่เราเรียกว่าเป็นอาจารย์ต้น อาจารย์ต้นก็คือครูอาจารย์คนแรก หลายท่านเคยได้ยินคำบาลีที่บอกว่า ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร แปลว่า พ่อแม่นี้ท่านเรียกว่าเป็นบูรพาจารย์ บูรพาจารย์ก็คืออาจารย์คนแรกหรืออาจารย์ต้น เมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ต้นเนี่ยพ่อแม่จะต้องทำหน้าที่นี้ให้ดี เพราะฉะนั้นถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่ลูก ก็แสดงว่าพ่อแม่บกพร่อง เพราะฉะนั้นพอลูกจะไปถึงโรงเรียนเนี่ยบางทีก็แทบจะสายไปแล้ว ต้องครูเก่งจริงๆ จึงจะมาแก้ปัญหาที่ติดไปจากบ้านที่พ่อแม่ไม่ได้ให้การศึกษาที่ดีแก่ลูก แต่เราก็ต้องยกย่องว่าครูอาจารย์ที่ทำได้อย่างนั้นนี่เป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่งที่ว่ามันแกนมันไม่ค่อยดีและยังไปสามารถไปแก้ ไปไข ไปแต่ง ไปสรรไปจัดให้มันดีได้ ก็เลยครูอาจารย์ที่โรงเรียนนั้นเป็นผู้เสริมแล้วทำให้ก้าวต่อไป แต่วางพื้นฐานนี้ก็ต้องวางฐานกันที่บ้านในครอบครัวในบ้าน ที่นี้บทบาทที่สำคัญ ที่จะทำให้เกิดวิถีชีวิตที่ดีงาม จะเรียกวิถีพุทธ อะไรก็ได้ เพราะวิถีพุทธก็คือชีวิตแห่งการศึกษาอย่างที่ว่ามา ทำยังไงพ่อแม่จึงจะมีบทบาทที่ถูกต้อง บทบาท??? คนเราเนี่ยเพราะมีการศึกษาที่เป็นคุณสมบัติมันเสร็จไปในระยะแรกเลยก็คือ ท่าทีการมองโลก ความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์ เนี่ยอันเนี้ยสำคัญ มันเป็นไปจากบ้านในชีวิตระยะแรก นั้นพระพุทธเจ้าจะเน้นจุดเนี้ย ถ้าเราเห็นสิ่งรอบตัวเราเป็นปฏิปักษ์ลักษณะที่ไม่ดี มีความก้าวร้าวรุนแรงอยู่เสมอ คนนั้นหรือเด็กนั้นมักจะมีความโน้มเอียงที่จะมีท่าที่ความรู้สึกมองโลกในเชิงเป็นปฏิปักษ์ ก้าวร้าวรุกราน แต่ถ้าหากว่าได้รับความเมตตา กรุณาอย่างดี มีความอบอุ่นในชีวิต ก็จะมองโลกในแง่ดี มีความรู้สึกเป็นมิตรต่อเพื่อนร่วมโลกหรือเพื่อนมนุษย์ หรือว่าอยู่กับพ่อแม่ที่แนะนำให้มองชีวิต มองธรรมชาติแวดล้อมสวยงาม เขาก็จะเริ่มมองแง่ของโลกที่มันสวยงาม ที่มันดี มองในแง่ของสิ่งที่น่าเรียนรู้ พ่อแม่ก็จะแนะนำว่าอันนั้นอย่างนั้นอันนี้อย่างนี้ เด็กก็จะมีความอยากรู้มากขึ้น มากขึ้น ก็มองโลกในแง่ของสิ่งที่น่ารู้ อยากจะออกไปเรียนรู้ มีอะไรที่อยากจะไปร่วม พ่อแม่ก็ทำโน่นทำนี่ ชวนลูกทำ ต่อไปลูกก็จะเกิดทัศนคติที่จะไปร่วมในการสร้างสรรค์ ไปอยู่ในโลกก็ไปทำโน่นทำนี่ ทำการสร้างสรรค์ เนี่ยคือการวางฐานการมองโลกมองชีวิตให้แก่ลูก อันนี้ทางพระท่านเรียกว่าการทำหน้าที่แสดงโลกนี้ให้แก่ลูก อันนี้เป็นหน้าที่ที่หนึ่งของพ่อแม่ที่สำคัญอย่างยิ่ง เวลาเนี้ยกำลังจะพลาด ถ้าหน้าที่ที่หนึ่งนี้พลาดไปแล้วเนี่ย จะแก้ไขลำบากมากเพราะว่ามันเป็นท่าทีทัศนคติพื้นฐานของคน บทบาทปัจจุบันนี้ได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่าพ่อแม่เรากำลังยกบทบาทนี้ให้แก่สื่อมวลชน ทีวี ไอที ต่างๆ พวกทีวีก็เข้าไปอยู่ถึงห้องนอนของลูก วิดีโออะไรต่ออะไรก็มี ในนั้นมีแต่ภาพอะไรบ้าง บางทีก็เป็นภาพของความโหดร้าย การทะเลาะ การฆ่าฟัน การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การแย่งชิง แล้วก็ภาพแห่งความลุ่มหลงมัวเมา การเห็นแก่ตัว จะเอาให้แก่ตัว การจะเอาชนะกัน อะไรต่างๆ เหล่าเนี้ย สิ่งเหล่านี้ที่ลูกเห็น ถ้าไม่มีผู้ชี้นำที่ดีเนี่ย ก็จะเกิดความรู้สึกต่อโลกอย่างนั้น เช่นเด็กจะมองว่า อ้อ โลกนี้คือการที่เราจะต้องไปเอาให้แก่ตัวให้มากที่สุด ต้องไปแย่งชิงกับคนอื่น ต้องไปเอาชนะเขา ต้องไปกำจัดศัตรู แล้วก็มองในแง่รู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์เป็นคู่แข่ง เป็นปฏิปักษ์ จะต้องไปสู้กัน อันนี้ก็คือการพัฒนาท่าทีการมองโลกมองชีวิตตั้งแต่เบื้องต้น นี่คือการศึกษาที่ผิด ถ้าพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่นี้ก็พลาดตั้งแต่ต้นแล้ว นี่ก็คืออันที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องย้ำกันอยู่เสมอว่าเราจะต้องเน้นให้ครอบครัวทำหน้าที่ที่หนึ่งเนี้ย ก็คือให้พ่อแม่ต้องทำหน้าที่แสดงโลกนี้แก่ลูก ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่ก็เรียกว่านำเสนอโลกนี้แก่ลูก คนเราเกิดมาเนี่ยเราเห็นรอบตัวไปหมด อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด ทั้งฟ้า ทั้งน้ำ ทั้งดินภูเขา ป่าไม้เนี่ยที่เราเห็นพร้อมกันหมด แต่เราเห็นบางแง่เท่านั้น คนเราเนี่ยเห็นอะไรไม่ได้เห็นหมดทุกอย่างหรอก เห็นได้แง่มุมหนึ่งเท่านั้น และแง่มุมไหนก็อยู่ที่แง่ความสนใจ แง่การมอง แง่ของเจตนา เนี่ยถ้าเรามองตั้งแง่ผิด เราก้อได้ความหมายที่ผิด พัฒนาท่าทีทัศนคติที่ผิด ถ้าหากว่ามองแง่ถูก อย่างพ่อแม่มีทัศนคติที่ถูกมีเมตตา มีความรักต่อลูก ก็จะมาชี้ในแง่ที่ดีให้เกิดความชื่นชม อย่างที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ แม้แต่ตัวพ่อแม่เองนั่นเอง ตัวพ่อแม่ที่ปรากฏแก่ลูกเนี่ยก็คือการแสดงโลกนี้แก่ลุก ก็หมายความว่าตัวพ่อแม่เองนี้เป็นผู้แสดง เป็นตัวแสดงบทบาทแก่ลุก แสดงยังไง พ่อแม่นี้เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ พ่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ผู้ชาย แม่เป็นตัวแทนของมนุษย์ผู้หญิงทั้งโลกเลย ลูกเกิดมาก็ทันทีก็ได้เห็นพ่อได้เห็นแม่นั่นคือตัวแทนมนุษย์ทั้งโลก นี้ตัวแทนมนุษย์ที่ลุกมองเห็นนี้เป็นตัวแทนที่ดีใช่ไหม เป็นตัวแทนมนุษย์ผู้ชาย คนนี้มีความรักมาก็ช่วยเหลือเรา ไม่มาทำร้าย ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยประคับประคอง ผู้หญิงที่เป็นตัวแทนของโลกก็เหมือนกัน มาถึงก็มาโอบอุ้ม มาช่วยเหลือทุกอย่าง ก็มีความรู้สึกที่ดี เราก็พัฒนา เราก็มองโลกมนุษย์ มองเพื่อนมนุษย์เนี่ย ที่มีพ่อแม่เป็นตัวแทนในแง่ดี ในแง่ของความรู้สึกเป็นมิตร มีเมตตาไมตรี พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ท่านก็แนะนำญาติมิตรพี่น้อง ท่านก็แนะนำให้เรียนรู้ ให้ศึกษาสิ่งที่ดีทั้งนั้นเพราะความรัก ความปรารถนาดี เพราะนั้นโดยธรรมชาติแล้วเนี่ยพ่อแม่จะนำเสนอโลกนี้แก่ลูกในทางที่ดีงาม เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แม้โลกพ่อแม่จะไม่ฉลาดเท่าไร แต่ว่าโดยคุณธรรมที่มีมาเนี่ยจะทำให้ดีเอง แต่ทีนี้ถ้าพ่อแม่มีปัญญาด้วยนะ ยิ่งดีใหญ่เลย พ่อแม่ก็จะทำด้วยความรู้ ความข้าใจ ความตั้งใจว่า โอ เราจะต้องให้ลูกเนี่ยได้มีทัศนคติต่อโลกอย่างไร ต่อชีวิตอย่างไร ต่อเพื่อนมนุษย์อย่างไร ต่อธรรมชาติแวดล้อมอย่างไร ให้มีความรู้สึกต่อเพื่อนมนุษย์นี่มีเมตตา ไมตรีจิตร มิตรภาพ มองธรรมชาตินี้เป็นสิ่งสวยงามน่าชื่นชม มองโลก สิ่งทั้งหลายในโลกนี้น่าเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เราจะไปเรียนไปรู้ ศึกษาได้มากมาย แล้วก็มองว่าโลกนี้เราจะไปร่วมสร้างสรรค์ แล้วถ้าทำได้แบบนี้แล้วก็เป็นการปลูกสร้างทัศนคติพื้นฐานที่ดีเนี่ย เป็นจุดเริ่มต้นเลยของชีวิตที่แท้จริง แต่ทีนี้ถ้าลูกไปเจอปุ๊บปั๊บขึ้นมาก็เจอแต่ทีวี วิดีโอ ยิงกัน ฟันกัน ฆ่ากัน เลือดนอง เจออะไรอย่างเนี้ย แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ ทัศนคติที่ไม่ดีต่อโลก ความรู้สึกที่จะเข้าไปร่วมโลกไม่ใช่แบบสร้างสรรค์ ช่วยกันเกื้อหนุนและ แต่ทีนี้จะไปแช่ง แย่งชิง และจะเอาชนะ จำกำจัด เพราะฉะนั้นเวลานี้ จึงเสี่ยงภัย แม้เราจะมีเทคโนโลยีที่เจริญ แต่การศึกษาของเราเนี่ยเอื้ออำนวยหรือเปล่าที่เราจะใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณประโยชน์ มาเริ่มต้นพ่อแม่ก็จะต้องมาช่วยกำกับการแสดงโลกนี้แก่ลูก ของทีวีเป็นต้น โดยให้ทีวีได้นำเสนอแต่สิ่งที่ถูกต้อง ช่วยเลือกคัดจัดสรรให้ลูก หรือว่าเวลาลูกดูก็มาช่วยร่วมดูด้วย ช่วยชี้แนะว่าให้มองอย่างไร แล้วจะได้แง่มุมที่เป็นประโยชน์ ได้ประโยชน์และได้ความรู้ ได้ความจริง อันนี้ก็คือเริ่มแรกนี้เป็นตัวอย่าง พอได้อย่างนี้แล้ว การศึกษาเริ่มต้น ชีวิตที่ดีงามก็เริ่มต้นแล้ว ต่อไปลูกไปโรงเรียน ก็จะไปเสริม ไปเติม ถ้ามีพื้นฐานทัศนคติที่ดีอย่างนี้แล้วก็ เช่นว่ามีความรู้สึก ท่าทีต่อสิ่งทั้งหลายในโลกแบบ เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างเนี้ย พอไปโรงเรียนลูกก็พร้อมที่จะเรียนเท่านั้นเอง อยากจะเรียน อยากจะได้ความรู้อะไรต่างๆ พัฒนาความรู้ ใฝ่รู้เป็นต้นขึ้นมา เพราะฉะนั้นที่เป็นเพียงตัวอย่างแรก บทบาทแรกของพ่อแม่หรือการศึกษาในครอบครัว แต่ไม่ใช่เท่านั้น ทีนี้จะขอพูดอีกอย่างหนึ่ง คือการพูดเรื่องการศึกษาเนี่ยมันพูดได้หลายแง่ ถ้าเราจะพูดหลักทั่วไปเนี่ยมันก็กว้างเกินไปที่เราจะมาพูดกันในเวลาเท่านี้ ตอนนี้เราก็มาพูดได้บางแง่ บางมุม บางจุด บางส่วน ทีนี้บางส่วนที่อาตมาจะยกตัวอย่างเมื่อกี้นี้ก็เน้นเรื่องการนำเสนอโลกนี้แก่ลูกนะ ที่นี้ก็มาดูว่าอีกอันหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษาของมนุษย์ก็คือการพัฒนาความสุข คนเราไม่ค่อยพูดว่าความสุขนี่มีความสำคัญในการพัฒนาชีวิตของคนอย่างไร ชีวิตที่ดีนั้นแน่นอนทุกชีวิตต้องการพ้นทุกข์ พบสุข เราก็อยากพ้นทุกข์ทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครอยากเจอทุกข์ ที่นี้ว่าเราก็อยากหาความสุข แต่ว่าเราหาความสุขเป็นไหม ในทางพุทธศาสนานั้นท่านสอนว่าความสุขนั้นพัฒนาได้ การศึกษาในความหมายหนึ่งก็คือการมาพัฒนาความสุข แต่ยิ่งกว่านั้นลึกลงไปท่านเรียกว่าการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข อันนี้เป็นจุดที่สำคัญ ตอนนี้เป็นทางแยกคือมนุษย์เนี่ยมันจะมีสองอย่างในเรื่องความสุข ในขั้นต้นๆ หนึ่ง การหาความสุข กับ สอง การมีความสุข มนุษย์พวกหนึ่งนี่ก็จะพยายามหาความสุขแล้วก็พัฒนาความสามารถที่จะหาความสุข การศึกษาเล่าเรียนกันในปัจจุบันเนี้ยไปในทางนี้มากคือพัฒนาความสามารถที่จะหาความสุข แต่ความสุขมันไม่ได้โดยตรงนี่ มันต้องมีสิ่งเสพบริโภค วัตถุต่างๆ ก็เลยความหมายเต็มเขาบอกว่าการพัฒนาความสามารถที่จะหาวัตถุมาบำรุงบำเรอความสุข แต่เค้าลืมไปอีกว่าอีกด้านหนึ่งคนเราเนี่ยมีความสามารถที่จะมีความสุข แล้วความสารถที่จะมีความสุขนี้พัฒนาได้ แล้วการศึกษาที่แท้นี่จะเข้าถึงเนื้อตัวเป็นแก่น เป็นแกน เป็นสาระของชีวิตเนี่ยมันต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ขอให้คิดดูว่าเราสามารถหาความสุข ไอสิ่งที่จะบำเรอความสุขนั้นอยู่ข้างนอก กับการที่เราสามารถมีความสุขเนี่ยอันไหนเป็นตัวการศึกษาที่แท้ การศึกษาที่แท้อยู่ที่การพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข เพราะฉะนั้นอย่างน้อยต้องให้ได้ดุลกัน คือพัฒนาความสามารถที่จะหาความสุขกับพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ก็เลยจะมาพูดเรื่องของที่โรงเรียนเลย จะได้มาดูเรื่องความหมายของความสุขและที่สำคัญคือการศึกษาในแง่นี้ เราไปโรงเรียน เวลาไปโรงเรียนครูอาจารย์ก็จะได้รับคำแนะนำสั่งสอนบอกว่าต้องจัดบรรยากาศให้ดีนะ ให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข เราก็อยากให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข เด็กเรียนอย่างมีความสุขได้ก็ดี แต่ว่าระวังเหมือนกันนะเราต้องแยกดูว่าความสุขของคนเรานี้ขึ้นอยู่กับ หนึ่ง ปัจจัยภายนอก สอง ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกก็คือ เอ้า อย่างง่ายที่สุดก็หลายคนก็จะบอกว่า อ้อ ฉันจะมีความสุขเมื่อฉันได้ดูรูปสวยๆ ได้ฟังเสียงเพราะ ๆ ดนตรีที่ชอบ เพลงที่ชอบ และได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อยเป็นต้น อย่างนี้ฉันมีความสุข อันนี้ก็เป็นความสุขที่อาศัยปัจจัยภายนอก นี่เป็นปัจจัยภายนอกอย่างหนึ่ง แล้วปัจจัยภายนอกอย่างที่สองก็คือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เป็นเพื่อน เป็นครูอาจารย์ เป็นพ่อแม่ที่มีความรัก มีไมตรีจิตร มิตรภาพต่อเรา พอเราเจอคนอย่างนั้น หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือเกื้อหนุนกัน เราก็บอกเราก็มีความสุข อันนี้ครูอาจารย์ก็มาช่วยได้ เราก็จะจัดสรรพยายามให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข เราก็อาจจะนึกไปถึงวัตถุ สิ่งที่จะช่วยให้อำนวยความสะดวกสบายให้เด็กได้ ตาดูหูฟังสิ่งที่ชอบใจ มีความสุข อันนี้อันหนึ่งปัจจัยภายนอก สองก็คือตัวครูเองเป็นคนมีเมตตา มีความรักใคร่ปรารถนาดี จัดบรรยากาศเล่าเรียนให้มีความสุข สภาพแวดล้อมบรรยากาศมีความสุข อันนี้ก็ดีแล้วนะ เรียนอย่างมีความสุข เด็กก็สนใจเล่าเรียน จิตใจก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่ท้อแท้ ไม่หงุดหงิด สบายใจก็ดี อันนี้ได้ขั้นหนึ่ง แต่ว่าไม่พอ ตราบใดที่ยังไม่ถึงปัจจัยภายในแล้วยังพอไม่ได้ ยังไม่เป็นการศึกษาที่แท้จริง ครูนี่จะไปจัดบรรยากาศ จะไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สนุกสนาน ให้มีบรรยากาศที่ร่าเริงผ่องใส มีความสุข เท่านี้ไม่พอ แต่ขาดไม่ได้ มันเป็นปัจจัยด้านหนึ่ง แต่เป็นปัจจัยภายนอก ทำไมจึงบอกว่าไม่พอ อันนี้เป็นความสุขแบบจัดตั้ง เราจัดตั้งในโรงเรียน ในห้องเรียน จัดบรรยากาศกิจกรรม แต่โลกนี้ชีวิตนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นตลอดไป เด็กไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนตลอดไปหรอก โลกชีวิตแห่งความเป็นจริงเนี่ยมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเรื่อยไป จะให้เด็กพบอย่างนี้ตลอดไม่ได้ เราแต่ได้จัดตั้งให้เขา ถ้าอยู่แต่การจัดตั้งนี่ไม่ยั่งยืน ความสุขที่อยู่กับการจัดตั้งนี้ไม่ยั่งยืน พอเด็กออกไปแล้วไม่ได้พบสภาพจัดตั้งอย่างนี้ ไปเจอไอโลกที่เป็นจริงมันน่ารักบ้าง มันน่าชังบ้าง มันกระทบกระทั่ง กระแทกกระทั้นเขา อะไรต่ออะไรเขาก็รับไม่ไหว เพราะฉะนั้นที่เขาจัดสรรปัจจัยเกื้อหนุนความสุขให้มีกระบวนการเรียนรู้ในชั้นเรียนเป็นต้น ให้มีความสุขเนี่ยมันไม่ใช่จบในตัว มันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นเพียงสื่อเพื่อจะเกื้อหนุนปัจจัยภายในให้เกิดขึ้น ปัจจัยภายในคืออะไร เมื่อปัจจัยภายในเกิดแล้วนั่นแหละเด็กถึงจะมีความสุขที่แท้จริง แล้วเป็นตัวของตัวเองในการที่จะมีความสุข ต่อจากนั้นเขาจะออกไปอยู่ในโลกในชีวิตท่ามกลางความผันผวนปรวนแปร มรสุมอย่างไร ไม่เป็นไรเขาจะรู้จักมีความสุขได้ นี่แหละก็คือการศึกษาที่แท้จริง เพราะฉะนั้นการจัดตั้งในห้องเรียนเนี่ยเป็นเพียงปัจจัยเกื้อหนุน เพื่อสร้างของจริง ก็เป็นอันว่าถ้าอยู่ด้วยการจัดตั้งไม่ยั่งยืน แต่การจัดตั้งมีขึ้นเพื่อสร้างสิ่งทีแท้ หมายความว่าการจัดตั้งก็เพื่อสร้างของจริง เราจัดตั้งเพื่อสร้างของจริงนะ ไม่ใช่จัดตั้งแล้วจบแค่นั้น เพราะฉะนั้นเราจะไปจบแค่ที่ให้นักเรียนเรียนในบรรยากาศที่มีความสุข ครูอาจารย์มีเมตตากรุณา เดี๋ยวดีไม่ดีกลายเป็นเอาใจ แม้แต่พ่อแม่ก็เหมือนกัน พ่อแม่ก็จะพยายามเอาใจให้ลูกได้มีวัตถุ อาหารเอร็ดอร่อยกิน เลี้ยงดูให้เงินทองใช้แล้วพ่อแม่เองก็มีเมตตากรุณา ดีไม่ดีลูกเสียเพราะว่าไม่ฉลาด ไม่ได้โยงเข้าหาปัจจัยภายใน และเด็กก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาคุณสมบัติซึ่งจะทำให้เขามีความสุขได้ด้วยตนเอง ก็ต้องพึ่งพาเรื่อยไป พึ่งพาให้คนอื่นมาจัดตั้ง มาจัดสรรสิ่งแวดล้อมให้ เป็นไปไม่ได้ โลกนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราก็โยงปัจจัยภายนอกเข้าไปหาปัจจัยภายใน ทีนี้การจัดตั้งที่ว่าก็จะเป็นประโยชน์ ทีนี้ถ้าเราหยุดแค่ปัจจัยภายนอก เดี๋ยวมาพูดกันก่อนว่ามันจะมีข้อเสียอย่างไร เช่นอย่างพ่อแม่ก็ตาม ครูอาจารย์ก็ตาม โดยเฉพาะพ่อแม่เนี่ยเห็นได้ชัด อยู่กับลูกตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่เนี่ยจัดตั้งแล้วก็จัดสรรอะไรต่างๆ ให้ลูกเนี่ยได้มีความสุขแบบอาศัยปัจจัยภายนอกจะเป็นวัตถุ สิ่งของ สิ่งเสพบริโภค ตลอดจนตัวพ่อแม่เองก็ตาม จะเป็นอย่างไรถ้ามีแต่เมตตา ความรักใคร่ เด็กเนี่ย หนึ่งต่อไปจะอ่อนแอ สู้ชีวิตไม่เป็น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่ทำให้เรื่อย ช่วยเหลือเรื่อย หนึ่งอ่อนแอ สองเป็นคนต้องพึ่งพาพ่อแม่ เพราะทำไม่เป็น สามก็คือไม่รู้จักความจริงของชีวิต ไม่รู้จักความเป็นธรรม ไม่รู้จักกติกา กฎเกณฑ์ในชีวิต ในสังคม ความเป็นจริงของธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันเป็นต้น ไม่สามารถแม้แต่รักษาหลักการของสังคม ออกไปอยู่ในสังคมแล้วก็จะเอาแต่ระบบของการที่ต้องมีคนช่วยเหลือเกื้อหนุนเป็นส่วนตัวเรื่อยไป ก็เสีย แล้วถ้าหาว่าเอาอกเอาใจโอ๋มากเกินไปนะ ลูกจะเป็นนักเรียกร้อง เป็นนักเรียกร้องก็คือว่าจะเอาอย่างเดียว คราวนี้ไม่ดีและ ทีนี้ถ้าพัฒนาพอดี จัดสรรปัจจัยแวดล้อมที่พอดี มีเมตตา กรุณา ลูกก็พัฒนาทัศนคติที่ดีอย่างที่ว่าเมื่อกี้ มีมิตรไมตรี มีความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนมนุษย์ มีความรักใคร่อบอุ่น อันเนี้ยเป็นความรู้สึกที่ดี และพร้อมที่จะช่วยคนอื่น คือพ่อแม่ที่ช่วยเรา มีเมตตากรุณาเนี่ยเป็นตัวอย่างให้เราจะได้ไปมีเมตตาช่วยเหลือคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายที่จะรอรับท่าเดียว ถ้าอย่างนั้นแล้วก็การศึกษามันก็ผิดทางไปเลย เอาละทีนี้ปัจจัยภายนอกมาเกื้อหนุนก็นำไปสู่ปัจจัยภายใน ปัจจัยภายในเมื่อกี้บอกแล้วว่าที่พ่อแม่ ครูอาจารย์จัดสรรสภาพแวดล้อม สิ่งต่างๆ มานั้นเพื่อเกื้อหนุนให้เราได้ศึกษา ตัวเรานั่นแหละต้องเรียนรู้ ตัวเราเรียนรู้อย่างไร เราก็พัฒนาคุณสมบัติภายในที่ท่านเรียกว่าปัจจัยภายในขึ้นมา ปัจจัยภายในอะไรที่จะทำให้เรามีการพัฒนา แม้แต่ความสุข ตอนแรกนี้นะพอเราอาศัยปัจจัยภายนอกให้มีความสุขเนี่ย เราจะต้องหาความสุขอยู่เรื่อยเพราะมันอยู่ข้างนอก มันไม่ได้อยู่ในตัวเนี่ยเราต้องหา เราก็ต้องหาสิ่งเสพบริโภค เราก็ต้องหาคนที่เราชอบใจ อะไรเป็นต้นเนี่ย ต้องหากันอยู่เรื่อย ทีนี้ตอนนี้ถ้าบอกว่าให้พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขขึ้นภายใน คนเรานี้เจอสิ่งที่ชอบใจทางตาหู เห็นรูปสวย ฟังเสียงเพราะ เราก็มีความสบาย มีความสุข แล้วก็ชอบใจ เราก็เลยหาสิ่งที่ชอบ แล้วสิ่งที่มันทำให้ไม่สบายไม่ชอบ เราก็พยายามหลีกเลี่ยง แล้วเจอสิ่งที่ชอบเราก็มีความสุข เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็มีความทุกข์นี่คือมนุษย์ปุถุชน ท่านเรียกว่ามนุษย์ที่อยู่บนความยินดียินร้าย ได้เห็นสิ่งที่สบายก็ชอบใจ ได้เห็นสิ่งที่ไม่สบายก็ไม่ชอบใจ ก็ยินดียินร้ายอยู่อย่างนี้ สุขทุกข์ก็อยู่ที่ยินดียินร้ายชอบชัง ทีนี้ถ้าเราอยู่แค่นี้นี่เราไม่พัฒนาเพราะว่าสิ่งที่เราชอบชังหรือมีความรู้สึกน่ะ เราเรียนรู้ได้น้อย เราก็ได้แค่นั้น เจอสิ่งที่ไม่ชอบเราก็ไม่เอา เราก็เป็นทุกข์ เราก็หนี เราก็จะพยายามไปหาสิ่งที่ชอบ แต่ที่นี้ว่า ขอให้ดูเถอะตา หู จมูก ลิ้น กายของเราเนี่ย ที่เมื่อกี้บอกว่าการศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนเริ่มมีชีวิตเนี่ย แล้วที่ว่ามันเริ่มที่ชีวิตเนี่ยมันเริ่มที่จุดไหนของชีวิตล่ะ เอ้า ก็มาดู เมื่อกี้บอกแล้วนี่ เกิดมาเราโผล่มาในโลกนี้เราไม่รู้จักอะไรสักอย่าง แต่ว่าเรามีอุปกรณ์ติดตัวมาสำหรับรู้จักมันก็คือตา หู จมูก ลิ้น ของเรา เพราะฉะนั้นตา หู จมูก ลิ้นของเรานี่แหละเป็นทางที่เราจะได้รู้จักโลก เราก็เรียนรู้หาความรู้จากนี่ แต่ทีนี้พอดีว่า ตา หู จมูก ลิ้น กายของเรานี่มันทำหน้าที่ 2 อย่าง เราไม่ค่อยรู้นะ โดยมากเราจะพูด ถ้าถามว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีไว้ทำไม ทำหน้าที่อะไรบ้าง หลายคนก็บอก ฉันเป็นนักการศึกษา ฉันตอบได้ว่าทำหน้าที่รับรู้ อย่างนี้ให้คะแนน 50% ไม่ถูก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเดียว ทำหน้าที่ 2 อย่างพร้อมกันต้องแยกให้ได้ อะไรบ้าง มันพร้อมกันเลย ตา หู ทำหน้าที่ หนึ่ง รู้สึก สอง รู้ จะต้องแยกได้ รู้กับรู้สึก รู้สึกนี่อย่างที่ว่าเมื่อกี้ พอเห็นรูปสวยงาม เห็นต้นไม้ใบเขียวขจี อะไรต่ออะไรก็สบาย อันนี้ก็เป็นรู้สึก ฟังเสียงนี้ได้ยินเสียงเอะอะอันนั้นอาจจะบอกว่า เอ้ย ไม่สบาย เป็นทุกข์ละ ก็แล้วแต่ ลิ้นก็เหมือนกันไปเจอรสขมก็ทุกข์ ไม่สบาย พอไปเจอรสหวานพอดีๆ ก็อร่อยชอบใจ อันนี้ก็คือเรื่องของรู้สึก พอรู้สึกเนี่ย รู้สึกสบายก็ชอบใจ รู้สึกไม่สบายก็ไม่ชอบใจ อันนี้ด้านรู้สึก มีปฏิกิริยาแบบนี้ แล้วคนก็วนเวียนอยู่ที่บอกเมื่อกี้ไง พอรู้สึกสบายก็ชอบใจ ชอบใจก็จะเอา รู้สึกมีความสุข แล้วถ้าไม่ชอบใจ เจอก็จะหนี จะหลีกเลี่ยงแล้วก็มีความทุกข์ ทีนี้อีกด้านหนึ่ง ตา หู จมูก ลิ้นของเราเนี่ยทำหน้าที่รู้ ก็คือว่า รู้เขียว รู้แดง รู้ยาว รู้สั้น รู้ต้นไม้ รู้ว่าเป็นต้นมะม่วง รู้ต้นมะละกอ รู้ต้นกล้วย รู้ทุกอย่าง อันนี้ทำหน้าที่รู้เนี่ยสำคัญ ทีนี้มันจะทำหน้าที่พร้อมกัน ทีนี้คนจำนวนมากเนี่ยไปตามความรู้สึก พอรู้สึกสบายก็ชอบใจ จะเอา พอรู้สึกไม่สบายก็จะหนี จะทำลาย แล้วสุขทุกข์ก็อยู่ที่ชอบใจไม่ชอบใจก็วนเวียนอยู่แค่นั้น แต่ทีนี้คนที่รู้จักชีวิตจริงว่า อ๋อ ตา หู จมูก ลิ้นของเรานั้นมันทำหน้าที่สองอย่าง หน้าที่ที่สองคือรู้นะ อ่าว เพราะฉะนั้นเราก็ใช้มันให้ถูก เรียนรู้ซะว่าไอนี่เป็นอะไร ไอนี่คืออะไร ไอนี่เป็นอย่างไร ไอนี่เป็นเพราะอะไร อันนี้จะใช้ทำอะไร อันนี้เป็นมาอย่างไร เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอะไรอย่างไร เอาละทีนี้ได้ความรู้ เอาละทีนี้ถ้านักเรียน นักศึกษารู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้นทำหน้าที่ที่สองตอนนี้การศึกษาจะเริ่มละ เพราะฉะนั้นจะต้องแบ่งหน้าที่ให้ถูกต้องว่าเรามีตา หู จมูก ลิ้น กายเนี่ย มันทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกันนะ หน้าที่รู้สึกไม่ใช่ไม่เป็นประโยชน์ เรายังไม่ทันรู้เนี่ย เราต้องอาศัยความรู้สึกก่อน ถ้ามันไม่สบายตาเนี่ยเราต้องรีบหนีก่อนเลย พอได้ยินเสียงตูมตามมานี่ เรารู้สึกไม่ดีละ เรารีบหนีก่อน มันช่วยชีวิตในขั้นต้นแต่มันไม่แท้จริง เราจะปลอดภัยได้ประโยชน์แท้จริงที่ต้องขั้นรู้ เพราะฉะนั้นเราก็ก้าวจากรู้สึกไปสู่รู้เราก็ใช้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราเนี่ย ทำหน้าที่รู้ ตอนนี้แหละ เราก็จะพัฒนาชีวิตของเรา การศึกษาก็เริ่มต้น บอกว่าตาดูหูฟัง รู้สึกสบายไม่สบาย ชอบใจไม่ชอบใจ แล้วสุขทุกข์ก็อยู่แค่นั้น คนนั้นก็เที่ยววิ่งหาสิ่งที่ชอบแล้วก็วิ่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบอยู่นี่เรื่อยไป สุขทุกข์ของเขาก็อยู่แค่นี้ ทีนี้พอเขาใช้ตาดูหูฟังเพื่อรู้นี่ เขาจะก้าวหน้าเพราะว่าการทำหน้าที่รู้ของตาหูเนี่ย มันไม่ขึ้นกับสิ่งที่ชอบไม่ชอบ สิ่งที่ชอบก็ได้รู้ สิ่งที่ไม่ชอบก็ได้เรียนรู้ เราเรียนรู้ได้หมด สิ่งที่ชอบก็ได้เรียนรู้ สิ่งที่ไม่ชอบก็ได้เรียนรู้ ทีนี้เราเกิดอยากรู้ขึ้นมา ตอนนี้มันจะพัฒนา คนเรานี่ความสุขเกิดจากการได้สนองความอยากหรือสนองความต้องการนั่นเอง เราต้องการที่จะเสพรสของวัตถุ เช่น ดู สิ่งที่รู้สึกว่าสวยงามสบายตา หรือสิ่งที่รู้สึกว่าไพเราะแต่หู เราอยู่กับความรู้สึก เรามีความต้องการเสพด้านความรู้สึกที่สบายชอบใจ พอเราได้สนองความต้องการนั้น ได้ดูสิ่งสวยงามเป็นต้น เราก็มีความสุขเพราะได้สนองความต้องการนั้น แต่ทีนี้พอเราใช้ตาดูหูฟังเพื่อรู้ เพื่อนเรียนรู้ขึ้นมา เราเกิดความต้องการรู้อยากรู้ขึ้นมา ทีนี้พอเราได้รู้ ได้สนองความต้องการเรียนรู้ เราก็มีความสุข เพราะว่าความสุขเกิดจากการสนองความต้องการ ทีนี้พอสุขจากการสนองความใฝ่รู้ อยากรู้ คราวนี้แหละมีความสุขได้เรื่อยๆ เจอสิ่งที่ชอบก็ได้รู้ ก็มีความสุข เจอสิ่งไม่ชอบ ก็ได้เรียนรู้ ก็มีความสุข ตอนนี้ท่านเรียกว่าหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งนะ อย่างนี้แหละอิสรเสรีภาพของมนุษย์มันมาอย่างนี้ แล้วความสุขก็พัฒนา จะเห็นได้ว่าความสุขเราเพิ่มละ แต่ก่อนนี้ความสุขของเรานี่ต้องอยู่กับสิ่งเสพที่เราชอบใจไม่ชอบใจใช่ไหม พอเจอสิ่งที่ชอบใจ เรามีความสุข เจอสิ่งที่ไม่ชอบใจ เราทุกข์ ความสุขทุกข์ของเราจำกัดมาก เรามีโอกาสเจอสิ่งไม่ชอบใจเยอะเหลือเกิน แล้วเราจะทุกข์บ่อยๆ แต่พอเราพัฒนาความต้องการรู้ เราใช้ตาหูเพื่อเรียนรู้ ตอนนี้เรามีความสุขประเภทที่สอง พัฒนาความสุขชนิดใหม่ คือความสุขจากการเรียนรู้ ตอนนี้เรียนรู้ได้หมด สิ่งที่ชอบใจก็ได้เรียนรู้ สิ่งที่ไม่ชอบใจก็ได้เรียนรู้ เลยสุขไปหมดเลย ตอนนี้สุขทุกสถานการณ์ นี่คือการศึกษาที่มีผลต่อความสุข เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่สามารถพัฒนาความสุขชนิดนี้ขึ้นมาได้ อย่าเพิ่งเรียกตัวเองว่ามีการศึกษา เพราะฉะนั้นมันไม่เรียกว่ามีการศึกษาเลยเพราะว่ามันไม่มีความสุขจากการศึกษานี่ การศึกษาก็เริ่มเรียนรู้ เราเรียนรู้เราก็มีความสุข เพราะฉะนั้นเด็กที่เป็นอย่างนี้นะพ้นอันตรายเยอะเลย เพราะถ้าสุขจากการสนองความรู้สึกท่าเรียกว่าสุขจากเสพใช่ไหม ก็จะหาแต่สิ่งชอบใจ สิ่งสวยงาม ไพเราะ ก็ตามหาสิ่งเสพ หาความสุขอยู่เรื่อยไป ก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวแล้วก็ต้องแย่งชิง เบียดเบียนกับคนอื่น แล้วมันก็ยุ่งน่ะสิ โลกมันก็เป็นปัญหาอย่างเนี้ย อย่างปัจจุบันเนี้ยคนไม่ค่อยรู้จักความสุขประเภทอื่น รู้จักความสุขประเภทเดียว คือการเสพบริโภคสิ่งที่จะให้ความรู้สึก ที่จะเป็นความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย พอเรามีความสุขจากความต้องการรู้ ใฝ่รู้ คราวนี้แหละเราก็เดินหน้าไปเลย ความสุขของเราไม่ขึ้นต่อสิ่งภายนอกมากแล้ว ขึ้นต่อสภาพจิตของเราที่มีความใฝ่รู้ เราเจอสถานการณ์ดีไม่ดี ชอบใจไม่ชอบใจเราสุขได้ทั้งนั้น ได้เราเรียนรู้ทั้งนั้นเลย ตอนนี้แหละเราก็ก้าวหน้า แล้วความสุขแบบนี้ไม่เบียดเบียนใคร มีอยู่ในตัวเอง เป็นอิสระ เพราะฉะนั้นจึงได้บอกว่าการศึกษานั้นเป็นการพัฒนาความสุขด้วย แล้วท่าที่ทำหน้าที่ทางการศึกษาจะต้องช่วยเด็กให้ทำอันนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ ถ้าเด็กเกิดอันนี้ทางพระท่านเรียกว่าเกิดฉันทะ ถ้าเด็กยังมีแต่ความต้องการสนองทางด้านความรู้สึก ท่านเรียกว่ามีแต่ตัณหา คือต้องการสนองความรู้สึกสบายไม่สบาย ชอบใจไม่ชอบใจ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย อันนี้เรียกว่าตัณหา แต่ถ้าเมื่อไรเกิดความใฝ่รู้ ต้องการเรียนรู้แล้วมีความสุขจากการได้รู้ อันนั้นเรียกว่าเกิดฉันทะขึ้นมา พอเกิดฉันทะแล้ว เดินหน้าแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่คือรุ่งอรุณของชีวิตที่ดีงาม เขาเรียกว่าแสงเงินแสงทองของชีวิตที่ดีงามหรือรุ่งอรุณของการศึกษา พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า เมื่อดวงอาทิตย์จะอุทัย ย่อมมีแสงอรุณคือแสงเงินแสทองขึ้นมาก่อนฉันใด ชีวิตที่ดีงามที่เรียกว่า???ก็มีฉันทะคือความใฝ่รู้ อยากรู้ เนี่ยตัวนำมาก่อนฉันนั้น เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านจำไว้เลยว่าเราจะต้องพัฒนาอันนี้ให้ได้ทั้งกับตนเองแล้วก็แก่เด็กทั้งหลายที่เราจะไปช่วยเขา จะไปสอนเด็ก ถ้าเป็นครูก็ต้องไปพัฒนาตัวความสุขอันนี้ ซึ่งก็หมายถึงต้องพัฒนาความต้องการใหม่อันนี้ให้ได้แล้วเด็กก็จะพัฒนา ถ้าเป็นพ่อแม่ก็เช่นเดียวกันก็ต้องพัฒนาตัวความใฝ่รู้ ความอยากรู้อันนี้ขึ้นมา แล้วชีวิตของเขาก็จะดีงามแน่ พอเด็กมีฉันทะอันเนี้ย มีความต้องการรู้ ใฝ่รู้เนี่ย เด็กเรียกหาเองเลย อยากรู้โน่น อยากรู้นี่ แล้วชีวิตของเขาพัฒนาโดยเราไม่ต้องไปเรียกร้องนะ ถ้าเด็กมีแต่ตัณหา ความใฝ่เสพ พ่อแม่จะต้องไปคอยบังคับจ้ำจี้จ้ำไชให้เรียนให้รู้ เด็กก็ฝืนใจมีความทุกข์ แต่ถ้าเด็กมีความใฝ่รู้ อยากรู้ คราวนี้มาเรียกร้องพ่อแม่เอง เรียกร้องที่ดีนะคืออยากรู้นั่น รู้นี่ เรียนรู้ อยากอ่านหนังสือ อยากได้ความรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ทีนี้สบายใจได้ว่าเด็กเนี่ยจะต้องพัฒนาแน่นอน เพราะฉะนั้นการศึกษาที่ถูกต้องตามกฏธรรมชาติเนี่ยท่านบอกว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัย มันเป็นไปเอง ไม่ต้องไปเรียกร้อง ท่านบอกว่าเมื่อแม่ไก่ขึ้นไปฟักไข่แล้วถึงเวลาลูกไก่ออกมาไม่ต้องกลัว แต่ถ้าแม่ไก่เนี่ยไปยืนอยู่นอกเล้าแล้วก็ร้อง แล้วก็คร่ำครวญ อ้อนวอน ขอให้ลูกไก่ออกมาจากไข่เถิด ท่านบอกว่าไข่เน่าแน่ เพราะฉะนั้นนักเรียนนักศึกษาปฏิบัติตามหลักที่แท้ของพระพุทธศาสนา การศึกษามันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันเป็นไปเองในชีวิตที่ดี ท่านจึงบอกว่าการศึกษากับชีวิตที่ดีงามเป็นอันเดียวกัน เมื่อชีวิตที่ดีงามดำเนินไปการศึกษาก็ดำเนินไป เมื่อการศึกษาดำเนินไปก็คือชีวิตที่ดีงาม เพราะชีวิตของคนนี้ต้องเป็นอยู่ ต้องเจอประสบการณ์ใหม่ สถานการณ์ใหม่ ต้องปฏิบัติต่อมันให้ถูก ต้องคิดแก้ปัญหาตลอดเวลา การศึกษามันเป็นไปเอง เพียงแต่ว่าเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วปฏิบัติต่อมันให้ถูกเช่นว่า คิดเป็น มองเป็น อย่างนี้ ใช้ตา หู จมูก ลิ้นให้เป็น การศึกษามันมาเอง เพราะฉะนั้นการศึกษาเนี่ยไม่ต้องอาศัยครูก็ได้นะ แต่ครูเป็นกัลยาณมิตรมาช่วยบอก มาช่วยแนะทางถ้าเรายังมองไม่เป็น คิดไม่เป็น ท่านก็มาชี้แนะหนทางให้ นี่แหละอาตมาก็ยกตัวอย่างความสุขที่ว่าพัฒนาแล้ว ความสุขอย่างนี้เรียกว่าเกิดจากปัจจัยภายใน พอเกิดจากปัจจัยภายในแล้วเป็นความสุขด้วยตนเอง คราวนี้เด็กจะไปอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ไม่ต้องกลัวใช่ไหม อย่างที่บอกเมื่อกี้แล้วนะ เด็กคนนี้มีความต้องการรู้ ไปเจออะไรต่ออะไรนี่แกหาความสุขได้เองโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาจัดสรรความสุขให้ ทีนี้แกก็ไปอยู่ในโลกได้ รับผิดชอบตัวเองได้ แต่ว่ายังดีกว่าอีกก็คือว่าคนเราเนี่ยเป็นสัตว์ที่มีธรรมชาติที่ต้องฝึก ต้องพัฒนา ต้องเรียนรู้ เราจะมีชีวิตที่ดีงามก็ต้องฝึก เป็นสัตว์ที่ประเสริฐด้วยการฝึกเนี่ย เราก็มีจิตสำนึกอย่างที่ว่าแล้วเนี่ย เราก็เลยรู้ว่า อ้อ ชีวิตที่มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าแล้วเนี่ยต้องเป็นชีวิตที่มีแบบฝึกหัด ต้องรู้จักทำแบบฝึกหัด ชีวิตไหนไม่ทำแบบฝึกหัดเนี่ย เอาดียาก เพราะฉะนั้นคนเราเนี่ยเกิดมาเนี่ยมองเป็นแล้ว ไม่มีใครเสียเปรียบ ได้เปรียบ คนรวยก็ได้เปรียบ แล้วก็เสียเปรียบ คนจนก็ได้เปรียบ แล้วก็เสียเปรียบแล้วแต่มอง ถ้ามองไม่เป็นก็เสียเปรียบ คนจนบอกว่าฉันเสียเปรียบ ไม่มีจะกิน จะใช้ ลำบากทุกข์ยากเหลือเกิน ทีนี้คนรวยเรามองในแง่นั้นเขาก็ได้เปรียบสิ มีเงินมีทองใช้เยอะแยะใช่ไหม จะเอาอะไรก็ได้ แต่คนร่ำรวยมั่งมี่เนี่ยเสียเปรียบ เพราะว่าชีวิตของคนเรามันจะเจริญงอกงามมันต้องทำแบบฝึกหัด คนรวยเกิดมาท่ามกลางความสุข ไม่ว่าจะทำอะไรขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมันก็ทำได้ตามสบาย มันก็เลยไม่ได้คิดไม่ได้ฝึกตัวเอง สมองไม่พัฒนา เพราะฉะนั้นเด็กที่ร่ำรวยเนี่ย ถ้าพ่อแม่ไม่ฉลาดไม่หาแบบฝึกหัดให้ลูกทำเนี่ย ลูกจะแย่ ไม่พัฒนา รับผิดชอบตัวเองไม่ได้เพราะว่าชีวิตมันไม่เจอแบบฝึกหัด เขาก็พัฒนาไม่ได้ ทีนี้คนจนเนี่ยถ้ามองเป็นนะ อย่าไปมัวโอดครวญร่ำไร เป็นทุกข์อยู่ มองว่า โอ้ นี่เป็นโอกาสดีแล้ว เราเจอความจน ความทุกข์ยาก ปัญหาทั้งนั้นเป็นแบบฝึกหัด พอเจอแบบฝึกหัด ทำให้ได้สิ คนไหนทำแบบฝึกหัดสำเร็จคนนั้นชนะใช่ไหม เจริญก้าวหน้างอกงาม กว่าเราจะทำแบบฝึกหัดสำเร็จ แก้ปัญหาสำเร็จนี่เราพัฒนาเยอะแยะ หนึ่ง ความจัดเจนในด้านของทักษะ พฤติกรรม กาย วาจา สอง จิตใจ ความเข้มแข็ง ความมีใจสู้อดทน สาม ปัญญา ความคิดแก้ปัญหา เราเจอปัญหาเราเจอความทุกข์นี่ เราต้องคิด ต้องหาทางแก้ไขเอาชนะ เอาปัญหาให้ลุล่วง ให้ผ่านพ้นเนี่ย กว่าเราจะผ่านปัญหาได้ เราทำแบบฝึกหัดเยอะ เราเจริญพัฒนาไปเยอะเลย ขอให้มองให้เป็นเถิดว่าเราเจอทุกข์ เจอปัญหา เจอความลำบาก นั่นคือโอกาสที่จะพัฒนาตนเอง เพราะฉะนั้นไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะฉะนั้นคนรวยจำนวนมากเสียเปรียบเพราะมองไม่เป็น แล้วก็ไม่หาแบบฝึกหัดมาทำ แล้วพ่อแม่บางทีซ้ำเติมลูก ไม่ช่วยลูกหาแบบฝึกหัดมาทำเลยลูกแย่เลย ทีนี้พ่อแม่ที่เก่งเกิดมาจนใช่ไหมหาแบบฝึกหัดให้ลูกรู้จักให้ ฝึกให้ลูกรู้จักทำแบบฝึกหัด แล้วลูกก็มองเป็นไม่มัวอย่างที่ว่า ไม่มัวคร่ำครวญ ร่ำไร โอดครวญ มีความทุกขเวทนาอะไรไม่เอาล่ะ มองให้เป็นแล้ว เอ้อ เราจะต้องหาโอกาสฝึกตัวเอง ทำแบบฝึกหัดแล้วเราก็พัฒนา โดยหลักการก็รวมความว่า ชีวิตที่ดีนั้นจะต้องผ่านแบบฝึกหัด เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาแบบฝึกหัดมาทำ พ่อแม่ที่ฉลาดก็หาแบบฝึกหัดมาให้ลูกทำ อันนี้ท่านเรียกว่าให้มีคุณธรรมครบ มีเมตตา ความรัก อยากให้ลูกเป็นสุข สอง ยามลูกทุกข์เดือดร้อนก็มี กรุณา สงสาร ก็มียาบำบัดความทุกข์นั้น สาม ยามลูกประสบความสำเร็จ มีความสุข ทำอะไรได้ดีแล้ว พ่อแม่ก็พลอยมุทิตายินดีด้วย สนับสนุน เนี่ยด้านนี้พ่อแม่พร้อม แต่ทีนี้ข้อสี่ อุเบกขา พ่อแม่ต้องหาแบบฝึกหัดให้ลูกทำ เพราะว่าไอสามอันแรกนี่พ่อแม่คอยจะมีความโน้มเอียงทำให้ลูก ทำแทนเรื่อย ไม่อยากให้ลูกลำบาก มีอะไรรับ ก็ทำให้ลูก ทำแทนลูก หามาให้ลูก ทีนี้ลูกก็ไม่เข้มแข็ง ทีนี้ไม่ได้คิดถึงภายหน้า ไม่ได้ใช้ปัญญาว่าต่อไปเนี่ยเราไม่ได้อยู่กับลูกตลอดไป ลูกเขาต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเขาเอง เขาอยู่กับความเป็นจริงของชีวิตที่โลกมันไม่เข้าใครออกใครจะทำอย่างไร เอ้อ เราก็ต้องเตรียมสิ ให้เขาไปรับผิดชอบชีวิตของเขาได้ นี่แหละหน้าที่ของพ่อแม่ข้อที่สี่คือ อุเบกขา ก็หาแบบฝึกหัดมาให้ลูกทำ แล้วดูให้ลูกทำ ถ้าสามอย่างแรกนี่ทำให้ลูกดู ทำให้ลูก แต่ข้อที่สี่นี้ไม่ทำให้แล้ว ดูให้ลูกทำ ไม่ใช่ทิ้ง ให้ลูกทำแล้วก็ดูไปด้วย ทำผิดทำถูกแล้วจะได้เป็นที่ปรึกษา ช่วยแก้ปัญหา ช่วยแนะนำให้ทำให้ได้ผลดี ต่อไปลูกก็เข้มแข็งสิ เนี่ยลูกที่ได้คุณธรรมพ่อแม่ครบสี่เนี่ยจัดเป็นลูกที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ หนึ่ง ด้านจิตใจ จิตใจก็ดีงาม มีไมตรีจิตร มีมิตรภาพ มีความรู้สึกอบอุ่น มองโลกในแง่ดี มองเพื่อนมนุษย์เป็นมิตร มีไมตรี มีความรักใคร่ แล้วก็รู้จักเห็นใจเพื่อนมนุษย์ แต่พร้อมกันนั้นก็มีความเข้มแข็ง มีปัญญา รับผิดชอบ ช่วยตัวเองได้ แก้ปัญหาได้ อันนี้เป็นการพัฒนาที่สมบูรณ์ ตอนนี้ท่าเรียกว่าพ่อแม่เป็นพระพรหมของลูกละ ตอนนี้เลยหันกลับมาเรื่องพ่อแม่อีก เป็นอันว่าพ่อแม่นี้มีบทบาทในการให้การศึกษาแก่ลูกก็คือนำลูกในการศึกษา ไม่ใช่ว่าเอาการศึกษามาหยิบยื่นให้ เพราะว่าการศึกษามันเกิดที่ลูกเอง ลูกจะต้องศึกษาเอง มีใครเอาการศึกษามาหยิบยื่นให้เราได้ เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม พ่อแม่ก็มาช่วยลูก ให้ลูกได้ศึกษาเรียนรู้อย่างที่ว่าเนี่ย ที่อาตมาพูดไปแล้วนี่บทบาทของพ่อแม่ก็มี หนึ่ง การแสดงโลกนี้แก่ลูกหรือนำเสนอโลกนี้แก่ลูก อย่าปล่อยให้ไอที ทีวี เป็นต้น มาทำหน้าที่แทน หรือมายึดครองดินแดนของพ่อแม่ เวลานี้น่ะต้องใช้คำว่าพ่อแม่เสียเอกราช เสียอธิปไตยให้แก่ทีวี เป็นต้น ใช่ไหม ถูกยึดครองดินแดนไปแล้ว แทนที่พ่อแม่จะเป็นคนปกครองดินแดนนี้ เปล่าล่ะ บางทีเป็นข้าศึก ศัตรูด้วย เข้ามาทางทีวีเนี่ย มานำมาชักจูงลูกไปในทางที่ผิดพลาด มานำเสนอโลกแก่ลูกในทางที่ผิด เพราะฉะนั้นอันนี้อันที่หนึ่งนะ นำเสนอโลกนี้แก่ลูก ละอันที่สองก็คือให้บรรยากาศในการศึกษาที่ครบถ้วนทั้งสี่อย่าง อย่างที่ว่า ย้ำอีกที หนึ่ง ยามลูกเป็นปกติ ก็มีความรัก หรือเมตตา เลี้ยงดูให้เขาเป็นสุข สอง ยามเขาทุกข์ยาก เดือดร้อน ตกต่ำก็มีกรุณา ปลดเปลื้องความทุกข์ให้เขา สาม ยามเขาประสบความสำเร็จก้าวหน้าในความดีความสุขก็ส่งเสริม สนับสนุน พลอยยินดีด้วย ไอสามอย่างนี้เรียกว่าเป็นด้านความรู้สึก แล้วก็ข้อสี่ เป็นด้านความรู้