แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
[00:00]: เชิญเจริญพรอาจารย์
:หนูมาจากศิริราชจากภาควิชาสรีรฯศิริราชนะคะ คือตอนนี้ท่านบอกว่าเอาเกณฑ์ทั้งหลายไปวัดประชาชนกำลังคิดว่าจะเอาเกณฑ์มาวัดพระได้ไหมคะเพราะตอนนี้ขณะนี้ก็คือก็พระในสังคมส่วนหนึ่งทำให้คนวิกฤตศรัทธาหนักยิ่งขึ้นใช่ไหมคะทีนี้เราจะทำยังไงที่จะให้คนยังคงศรัทธาในธรรมะในศาสนาโดยที่มองข้ามได้อย่างไรว่ามองข้ามในสิ่งที่เราก็มองเห็นว่านั่นอาจจะไม่ใช่พระนะคะในความเห็นว่าอาจจะไม่ใช่พระที่จริงจริงตามศาสนาและที่นี้ทำยังไงจะสอน คือแม้แต่ในอย่างลูกศิษย์ที่สอนลูกศิษย์เองรู้สึกก็บอกว่าไม่ศรัทธาเพราะว่า เห็นแล้วว่าเป็นพระที่ไม่น่าจะนับถือแล้วเค้าจะศรัทธาในศาสนาได้อย่างไร ทีนี้ก็ยังไม่มีปัญญาที่จะไปสอนเขาว่าขนาดที่จะแยกแยะยังไงจะเอาธรรมะยังไงจะขอเรียนท่านมาช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ
[01:01]พระกับสังฆ
[01:01]: อาตมาขอย้อนกลับนิดหนึ่งก่อนแล้วโยมอาจจะตอบเองได้ไม่ต้องไปถึงโยมที่มองเห็นพระไม่ดีหรอก เอากันตัวหลักเลยโยมบางท่านเป็นโสดาบันเป็นสกทาคามีอนาคามีในพุทธกาลเป็นอริยบุคคลชั้นสูงเค้ามองพระปุถุชนอย่างไรพระปุถุชนถึงแม้นไม่ทำอะไรเสียหายมากมายก็ประพฤติไม่ดีเท่าไหร่ว่างั้นเถอะ เค้ามองยังไงโยมก็ต้องมองพระไม่ดีอย่างนั้นได้ไหมเจริญพร เอาโยมนะโยมที่เป็นอนาคามีเป็นโสดาบันอย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกาก็เป็นโสดาบัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็เป็นโสดาบัน จิตตคหบดีก็เป็นอนาคามีท่านผู้เหล่านี้เป็นอริยบุคคลชั้นสูงนะแล้วท่านก็กราบก็ไหว้พระปุถุชนแล้วท่านมองพระเหล่านั้นอย่างไรโยมต้องมองให้ได้อย่างนั้น ทางพุทธศาสนานี่ท่านแยกได้หมดเรื่องนี้โยมจะมองพระ มาตอบอีกขั้นหนึ่งนี่ตอบขั้นที่สองขั้นที่สองนี่ก็คือมองพระแบบสังฆก็หมายความว่ามองพระเป็นส่วนรวมว่าพระทั้งหลายนี่เป็นองค์ประกอบหน่วยร่วมในหน่วยรวมหรือองค์ร่วมในองค์รวมใหญ่คือสังฆ สังฆนี่แหละรวมแล้วก็เป็นตัวหลักที่รักษาพระศาสนามา แต่องค์พระที่เป็นองค์ร่วมแต่ละองค์ก็ดีบ้างไม่ดีบ้างอะไรต่างๆ ในสถานการณ์ต่างๆซึ่งเราหวังจะให้ดีให้ได้ แต่บางครั้งก็ไม่ดีเนี่ยมันก็มีปนปนกันไปเรามองในแง่ว่าเป็นองค์ร่วมในองค์รวมใหญ่คือ สังฆในแง่นี้แล้วพระทุกองค์เหมือนกันหมดนี่แง่ที่หนึ่งนะเจริญพร นี่คือมองในแง่สังฆแบบพระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดาพระองค์บอกเราเคารพสงฆ์ว่างั้นทำไมยังงั้นล่ะ นี่แหละโยมต้องตีให้แตกพระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเคารพสงฆ์ ทีนี้มองเป็นบุคคลทีนี้โยมต้องกลั่นกรองเราจะสนับสนุนอย่างไรพระยังไงอะไรต่ออะไรนี่ว่ากันอีกขั้นหนึ่งอันนั้น โดยการที่เรามุ่งทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทำไมพระนี่พระพุทธเจ้าตั้งต้นแต่ว่าวางสิขาบทบัญญัติวินัยว่า พระในสังฆอยู่ร่วมกันก็ต้องมีการแสดงความเคารพแล้วจะใช้เกณฑ์อะไรในการแสดงความเคารพ พระองค์ก็ให้พระสาวกเสนอพระสาวกองค์นึงก็เอางี้ องค์ไหนบวชจากวรรณศูทรก็ต้องไหว้วรรณกษัตริย์องค์ไหนบวชจากวรรณแพศย์ก็ต้องไหว้พราหณ์หรืออะไรทำนองนี้วรรณะต่ำก็ต้องไหว้วรรณสูง พระพุทธเจ้าทรงฟังไว้อ้าวองค์นั้นมีความเห็นยังไง อีกองค์บอกเอาอย่างนี้พระย่ะค่ะองค์ไหนเป็นปุถุชนก็ต้องไหว้โสดาบันองค์ไหนโสดาบันไหว้สกทาคามีอะไรอย่างนี้เป็นต้นจนถึงพระอรหันต์ก็ตอบกันต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ให้ว่าไป จบแล้วพระองค์ก็สรุป
[04:03]วินัยและธรรมะ
พระองค์ก็ชี้แจงว่ายังงั้นๆๆในที่สุดก็เอาอย่างนี้ก็ให้ฟังเพื่อความเห็นชอบกันเอาว่าใครบวชก่อนบวชหลังไม่ต้องมาดูละเป็นอรหันต์เป็นปุถุชน นี่เรื่องวินัยเรื่องของการปฎิบัติการทางสังคมไม่เอาเรื่องคุณสมบัติภายใน จะมาไหว้กันมาถามกันอยู่ท่านเป็นอรหันต์หรือเป็นโสดาฯก็ไม่ต้องไหว้แล้วใช่ไหมเจริญพร ถ้าวัดกันด้วยการที่ว่าใครบวชก่อนบวชหลังเพราะฉะนั้นจะเป็นปุถุชนเป็นอรหันต์ท่านไม่เกี่ยงว่าไปตามอายุพรรษา แต่ไม่ได้ถือเรื่องการงานเวลาการงานแล้วอ้าวองค์นี้อาวุโสพระสารีบุตรบวชที่หลังเป็นอัครสาวกเรียกได้ว่าบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหม ถึงแม้นจะพรรษาอ่อนกว่าอีกหลายองค์เอาความสามารถสติปัญญาว่ากันเป็นเรื่องๆ เกณฑ์ทางสังคมนี้ตอนนี้เราเอาความเป็นระเบียบทางสังคมในแง่นี้เอาอายุพรรษาเป็นเกณฑ์จะได้ใช้ปฏิบัติในเวลารับอาหารรับอะไรเป็นต้น ก็ว่าไปตามลำดับอย่างนี้ให้สังคมมันมีเกณฑ์มีกติกาในการอยู่กันเป็นระเบียบเรียบร้อย ทีนี้อย่างพระนี่ที่ท่านไม่ไหว้ก็จะมีเกณฑ์หลักอย่างนี้องค์นี้มีความประพฤติไม่ดีไม่สมควรไหว้สงฆ์ประชุมกันลงมติเขาเรียกว่า ยกวัด อุกเขปนียกรรมยกพระองค์นี้ออกจากหมู่รับไหว้ใครไม่ได้ไม่มีใครไหว้เลยทำการด้วยการสงฆ์มีมติร่วมกัน อย่างภิกษุณีเห็นว่าพระภิกษุองค์นี้มีความประพฤติไม่ดีภิกษุณีประชุมกันลงมติพระองค์นี้เป็นผู้ที่ภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ว่างั้นนะมีมติอย่างนั้นเลยก็นี่เป็นระบบของพระพุทธศาสนาท่าน แยกได้ว่าวินัยระบบของสังคมกฎเกณฑ์สมมุติของมนุษย์เป็นยังไงว่ากัน และเรื่องธรรมะคือหลักความจริงความถูกต้องตามธรรมชาติเป็นยังไงก็ว่ากันไปและให้สองอันนี้มาหนุนกันให้ได้ถ้าเชื่อมเป็นแล้ววินัยต้องมาหนุนธรรมะ แล้วตั้งอยู่บนฐานของธรรมะโยมใช้อันนี้เป็นเกณฑ์แล้วก็สบายใจที่จริงอันนี้อาตมาก็ได้พูดไว้บ่อยแล้วเคยอธิบายกับพระใหม่ยาวมาก แม้แต่มองพระโยมในเมืองไทยเวลานี้ท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนนะขออภัยก็มองไม่ถูก คือมองพระเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ศาสนาของศาสนาอื่นคือศาสนาต่างๆ เขามักจะมีเจ้าหน้าที่ทางศาสนาในพุทธศาสนานั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ทางศาสนาพุทธบริษัทสี่นั้นทุกคนมีหน้าที่ในการฝึกฝนพัฒนาตนท่านเรียกว่าสิกขาทุกคนต้องพัฒนาตน นี้ใครไปเป็นพระก็คือว่าเห็นว่าสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่เป็นต้นในเพศคฤหัสถ์เนี่ยมันไม่เอื้อท่านเรียกว่า (สัมภาโท คา รา วะโส) การอยู่เป็นคฤหัสถ์ฆราวาสคับแคบมีห่วงมีกังวลพะรุงพะรังอะไรต่างๆบีบคั้น (อัพโภปาโทสาคาราวัตชา) การบวชเหมือนที่โล่งแจ้ง ทีนี้เมื่อเราเห็นว่าเรามาฝึกตนอะไรๆปฏิบัติตนอย่างนี้อย่างนี้มันไม่สะดวกเราก็เลยไปขอบวชท่านก็ถามมีคุณสมบัติพร้อมไหม โดยมากก็คือข้อที่ไม่เป็นภาระแก่ส่วนรวมและก็ตกลงมีสิทธิ์ก็บวชบวชไปก็ไปเจริญไตรสิขาเพื่อพัฒนาตนได้เต็มได้สภาพเอื้อทั้งสังฆมีกัลยณมิตรพร้อมทั้งสภาพแวดล้อมมีความสงบวิเวกเป็นต้นได้สภาพเอื้อนี้จะได้ปฏิบัติขัดเกลาพัฒนาตนเองได้เต็มที่การบวชก็มีความหมายเป็นนี้ คือเป็นแหล่งที่จะได้เอื้อต่อการเจริญไตรสิกขาหรือศึกษาพัฒนาตนผู้ที่บวชนั้นก็เหมือนกับโยมทุกคนหมายความว่าโยมทุกคนกับพระนี้เสมอกันนะแล้วก็คือผู้บวชนี่ก็คือผู้ที่ต้องการสภาพเอื้อในการศึกษาพัฒนาตนก็เลยไปบวช แล้วเราก็ให้เกียรติแก่กัน เมื่อมาบวชแล้วอย่างน้อยให้เกียรติตั้งแต่ท่านผู้นี้มีความตั้งใจจริงตั้งใจในทางที่ดี มีเจตนาที่ดีและเป็นผู้ที่กำลังฝึกหัดพัฒนาขัดเกลาตนเอง เพราะฉะนั้นเราให้เกียรติถวายความเคารพ ตกลงกันตามวินัยว่า ไหว้กัน เหมือนอย่างพระอรหันต์ พรรษาน้อยก็ไหว้พระปุถุชนที่พรรษามากกว่าได้
[08:38]พระในฐานะผู้ร่วมบริษัทสี่
โยมก็มองพระในฐานะผู้ร่วมบริษัทสี่เป็นบริษัทสี่ด้วยกัน มีสิทธิในพระพุทธศาสนาเท่ากันหมด เวลานี้โยมมองพระเป็นเจ้าหน้าที่ศาสนาไป ก็ เลยมองอะไรต่ออะไรผิดหมดเลย ที่จริงเราทุกคนมีสิทธิหน้าที่ต่อพระศาสนาเท่ากันหมด แล้วสังฆที่แท้นะแล้วเราก็รู้ด้วยแล้วโยมก็พูดอยู่ว่า พระสงฆ์นี่เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ก็หมายความว่าเป็นสังฆสังฆนี่ไม่ใช่บุคคลนะ เจริญพร คนไทยนี่คลาดเคลื่อนหมดแล้วสงฆ์ไปนึกว่าพระองค์นี้เป็นสงฆ์ได้อย่างไรสังฆนี่ต้อง 4 องค์ขึ้นไปและทำกิจสังฆกรรมบางอย่าง 5 องค์บางอย่างก็ 10 องค์บางอย่างต้อง 20 องค์มีเกณฑ์เขาเรียกว่า องค์ประชุมอย่างต่ำเท่านั้นสำหรับการประชุมกิจกรรมแบบนี้ทีนี้สังฆก็คือการประชุมของพระนี่อย่างต่ำต้อง 4 องค์นั่นก็เป็นสมมุติสงฆ์ว่าสงฆ์ทั้งหมดโดยรวมเป็นสมมุติสงฆ์คือสงฆ์โดยมติร่วมกันตกลงกันไว้สังมติ มติ กับ สัง สังแปลว่าร่วมกัน มติก็มติการรับรู้ยอมรับสังมติก็เป็นสมมุติก็แปลว่ามติร่วมกัน เราตกลงกันไว้ว่านี่คือพระสงฆ์แล้วก็ต้องมีวิธีการในการบวชอย่างนี้เราจึงเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ส่วนอริยะสงฆ์นั้นก็คือผู้ที่ได้ปฏิบัติขัดเกลาตนเองฝึกตนเองจนบรรลุโสดาบันเป็นต้นเป็นโสดาบันเป็นต้นจะเป็นพระหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ได้สังฆที่แท้จริงนั้นเป็นสังฆอุดมคติคือ พระพุทธเจ้าต้องการให้สังคมมนุษย์ทั้งหมดมันพัฒนาขึ้นไปให้เป็นคนที่ดีงามมีคุณธรรมระดับโสดาบันขึ้นไป เมื่อคนมีคุณธรรมระดับโสดาบันขึ้นไปทั้งหมดนี่เป็นสังฆนั่นคือสังฆที่แท้จริงส่วนสมมุติสงฆ์ที่มาบวชกันนี่เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะทำให้การพัฒนามนุษย์ไปสร้างสังฆแบบนั้นนะมันทำได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่ตั้งองค์กรถ้าไม่มีการจัดตั้งขึ้นมาอย่างนี้แล้วสังฆที่เป็นอุดมคติที่เป็นนามธรรมจะเกิดได้อย่างไรยากใช่มั้ย ก็มีสมมุติสงฆ์นี้ขึ้นมามาจัดตั้งองค์กร กฎ กติกา สภาพแวดล้อมเป็นต้นให้มันเอื้อคนที่เข้ามาในระบบนี้จะได้พัฒนาตัวขึ้นมาสร้างบุคคลที่จะไปเป็นองค์ประกอบของสงฆ์ใหญ่นั้นได้เต็มที่แต่ว่าถึงไม่มาบวช แต่ถ้าว่ามีความสามารถบางคนไม่บวชแต่มีปัญญาดีมากทั้งๆที่ไม่ค่อยมีเวลา สภาพแวดล้อมไม่เอื้อแต่ว่าเข้าถึงธรรมได้เก่งกว่าเป็นโสดาบันเป็นสกถาคาทานามีเขาก็อยู่ในสังกัดสงฆ์ใหญ่โน่น โยมต้องเข้าใจอันนี้สงฆ์ใหญ่สงฆ์ย่อยตอนนี้ซ้อนกันอยู่นะสมมุติสงฆ์กับสาวกสงฆ์ สาวกสังโฆ สาวกสังโฆนั้น เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าอริยสงฆ์ ทั้งสองอย่างมีชื่อซ้อนอริยสงฆ์ก็คือสาวกสังโฆที่เราสวดในพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณ สุปฏิปันโนภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ สาวะกะสังโฆนั้นคืออริยสงฆ์ท่านจะบอกว่าได้แก่คู่แห่งบุรุษสี่ บุรุษบุคคลแปด นั่นแหละคือสังฆที่แท้จริงสาวกสงฆ์แล้วก็มี ภิกขุสังโฆ ภิกขุณีสังโค สังมติสังโฆ นี่คือสมมติสงฆ์โยมต้องแยกอันนี้ให้ได้ฉะนั้นมองพระก็มองใหม่ว่าก็คือพวกเราเองนี่แหละที่มีสิทธิ์แต่ตอนนี้ท่านต้องการสภาพเอื้อ และมุ่งมั่นจะปฏิบัติขัดเกลาศึกษาเต็มที่ ท่านก็ใช้สิทธินี้ไปขออยู่ในสังฆนั้นด้วย เมื่อเห็นว่ามีคุณสมบัติพร้อมยอมรับได้ก็ยอมรับเข้าไปแล้วก็ไปอยู่ในนั้นแล้วท่านทำไม่ดี
[12:38]พลเมืองไม่ดีทำร้ายพระศาสนา
สมัยก่อนนี้พระราชาถือว่าท่านมีหน้าที่ปกป้องพระศาสนาดูแลพระศาสนาด้วย ท่านก็บอกพลเมืองที่ไม่ดีของเราเข้าไปบวชไปทำร้ายพระพุทธศาสนาต้องไปเอาออกมาก็หมายความว่าพระเจ้าแผ่นดินหรือบ้านเมืองนี่ไปเอาคนไม่ดีของตัวเองที่ไปบวชออกมาก็คือพลเมืองไม่ดีไปทำร้ายพระศาสนา เดี๋ยวนี้เรากลับมองไปว่าพระไม่ดีพระไม่ดีมีได้ที่ไหนใช่ไหมมีแต่พลเมืองไม่ดีเข้าไปทำร้ายพระศาสนา ฉะนั้นโยมต้องพูดใหม่เวลามีพระไม่ดีก็บอกใหม่ พลเมืองไม่ดีไปทำร้ายพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นพระราชาสมัยก่อนท่านก็ไปเอาออกมาแต่ไม่ใช่ออกมาง่ายๆ นะต้องสอบสวนกันก่อนก็อย่างเนี่ยเพราะฉะนั้นพระนารายณ์มหาราชท่านจึงตั้งกองสอบกองสอบความรู้เอาอย่างพระเจ้าโศกพระเจ้าโศกมหาราชก็ตั้งกองสอบความรู้พระรู้คำสอนรู้หลักธรรมอะไรหรือเปล่ามาบวชหาลาภหรือเปล่า พอเสร็จแล้วพอไม่มีความรู้ตอบไม่ได้ท่านยื่นผ้าขาวให้รู้กันเลยยื่นผ้าขาวก็หมายความว่าให้สึกอันนี้เป็นประเพณี ฉะนั้นโยมมองใหม่ ฉะนั้นตอนนี้ต้องชำระสะสางกันหมดเลยเรียกว่าตอนนี้โยมต้องมาช่วยชำระพระศาสนาด้วยก็ชำระที่ตัวเองนั่นแหละมองให้เป็นมองให้ถูกบอกว่าพลเมืองไม่ดีทำร้ายพระศาสนาทำยังไงพวกเราจะออกมาได้ ก็จบ ใช่มั้ยแล้วไปพูดแต่ว่าพระไม่ดีพระไม่ดีเลยพระศาสนาก็แย่ลงไปพลเมืองไม่ดีก็ไปทำร้ายพระศาสนาจนย่ำแย่เอาละพัฒนาคุณภาพพลเมืองจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ต้องการพูดวันนี้เน้นที่พัฒนาคุณภาพพลเมืองไทยอย่างน้อยก็อย่าให้อ่อนแอ ไม่อ่อนแอ สำคัญหนึ่งคือให้หวังผลจากการกระทำของตนเองและให้หวังผลจากการกระทำของตนเองก็ไม่ต้องรอผลดลบันดาลเมื่อไม่รอผลดลบันดาลก็ให้นับถือเทวดาเสียใหม่ให้ถูกต้องและอยู่กับเทวดาที่ดีอย่าไปอยู่กับมารเจริญพรโยมมีคำถามอะไรมั้ยเจริญพร
: 2ชั่วโมงแล้ว
[14:54]:เจริญพรยาวมากแล้วยังงั้นก็เป็นอันว่าหมดแล้วนะเจริญพร เป็นอันว่าวันนี้อาตมาก็ขออนุโมทนาทางคณะกรรมการประชุมวิชาการ 120 ปีศิริราชที่ได้กำหนดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วได้นิมนต์อาตมาพูดก็ด้วยความหวังร่วมกันคือทำไงที่เราช่วยกันให้สังคมไทยรวมไปถึงสังคมโลกทั้งหมดได้พ้นจากความเสื่อมตั้งตัวตั้งหลักได้และพัฒนาไปสู่ความเจริญงอกงามที่เค้าเรียกว่ายังยืนยังยืนที่แท้ไม่ใช่ยังยืนแค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้นแต่ยังยืนทั้งในสันติสุขที่แท้จริงตั้งแต่ในจิตใจคนเป็นต้นไป ก็การที่จะเป็นยังงั้นได้ก็ด้วยเราทุกคนเนี่ยมีกำลัง กำลังก็กำลังสำคัญหลายอย่างกำลังกายมีสุขภาวะทางกายดี กำลังใจมีสุขภาวะทางจิตใจที่ดีหรือเรียกว่าสุขภาวะทางอารมณ์ก็ได้แล้วก็มีสุขภาวะทางสังคม ทางสังคมก็ให้เป็นสังคมที่ดีอย่างน้อยเมื่อไม่ได้อะไรให้เรามีความสามัคคีกันในหมู่ที่มีเจตนาดีมีความสามัคคีกันก็จะได้กำลังทางสังคม สุขภาวะทางสังคมจะเกิดขึ้นเราจะมาเอื้อต่อกันมาเสริมสุขภาวะกันและกันแล้วที่สุดก็มีสุขภาวะทางปัญญามีปัญญาที่เข้มแข็งจะมองเรื่องอะไรต้องมองให้ชัดศึกษาอะไรต้องให้ชัดโดยเฉพาะเด็กเยาวชนของเราจะต้องพัฒนาให้เขาพัฒนาตัวขึ้นมาชนิดที่ได้ [16:45]ปัญญาที่แท้ไม่ใช่อยู่กับความสักแต่ว่าโก้แต่ว่าต้องชัดต้องกระจ่างแจ่มแจ้งเรียนอะไรรู้อะไรต้องเข้าใจชัดเจนถ้าไม่ชัดเจนอย่าเรียกว่าปัญญาและด้วยปัญญาที่แท้จริงนี้เราก็มาช่วยกันแก้ปัญหา สร้างสรรค์สังคมแล้วสังคมก็จะเดินหน้าได้เมื่อเราเดินหน้าถูกต้องศรัทธามันจะมาเองศรัทธามาก็ยิ่งมีความเข้มแข็งเดินหน้าไปให้สังคมของเราเดินไปอย่างมีจุดมุ่งหมายไม่ใช่เคว้งคว้างเลื่อนลอย เดี๋ยวจะบอกว่าพม่ามาเผากรุงเก่าทำลายพระเจดีย์เจดีย์ยอดหักไปตั้งนานแล้วคนไทยยังไม่สร้างยอดเจดีย์ เดี๋ยวนี้นะอาจจะเป็นได้ [17:35]คนไทยนี่ยังเคว้งคว้างอยู่เหมือนกับเจดีย์ที่ไร้ยอดคือไม่มีจุดหมายเจดีย์นั้นจะต้องมียอดเราจะมีฐานมีอะไรต่ออะไรในที่สุดต้องมีจุดรวมคือยอดใช่ไหม ฉะนั้นเจดีย์ขาดยอดไม่ได้ตอนนี้ต้องทำยอดให้มีให้ได้อย่าให้เป็นเจดีย์หักอยู่ที่กรุงเก่าอย่างเดียวนะแล้วสังคมเราก็จะเดินหน้าไปได้ด้วยดี ต้องฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่งเพราะกรุงเทพทวารวดีนี่ก็เรียกว่าศรีอยุธยาด้วยฉะนั้นก็ฟื้นฟูขึ้นไปและก็เจริญงอกงามแล้วให้เป็นกำลังสร้างสรรค์โลกต่อไปด้วย ขอให้ทุกท่านมีกำลังทุกอย่างดังที่กล่าวมามาช่วยกันเสริมสร้างให้ประเทศชาติสังคมมีความเจริญงอกงามและมีความสุขที่แท้จริงที่ยังยืนสืบต่อไป ก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทุกเมื่อเทอญ