แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
อ้าวก็ดีแล้วที่ไปดูไปเห็นมา ก็มาคุยกันต่อ คุยเรื่องอะไรดี หรือท่านมีอะไรจะถามเหรอ ไม่มีนะ ก็อยากจะคุยกันทำความเข้าใจ เรื่องพื้นฐานเกี่ยวกับพุทธบริษัทที่ว่า เวลานี้ค่อนข้างจะขาดความรู้หรือมีความพร่ามัวไม่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องความหมายแม้แต่ว่า ความเป็นพระภิกษุ ความเป็นนักบวชอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะความค่อนข้างห่างเหินจากพระศาสนา แม้จะเชื่อว่าเป็นชาวพุทธก็อย่างที่เรารู้กันนะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบชาวพุทธโดยชื่อ หรือชาวพุทธในนามมาก แต่ว่าความรู้ทั้งหลักพระศาสนาก็น้อย แล้วไม่เฉพาะแค่นั้น แม้แต่เรื่องของสภาพพื้นเพที่เป็นอยู่รอบตัวก็ไม่รู้ ไม่ต้องเอาลึกขนาดหลักพระศาสนาสภาพที่ตัวเห็นอยู่ปรากฏอยู่เป็นสถาบัน เป็นสิ่งแวดล้อม เป็นวัดวาอาราม เป็นพระ ตัวเองก็ไม่รู้จักไม่เข้าใจความหมาย
อย่างเห็นพระเอ้าก็ถือว่าเป็นนักบวช แล้วก็พอได้ยินว่านักบวช ก็มีนักบวชศาสนาโน้น ศาสนานี้ก็ไม่รู้ความหมายความเข้าใจไม่มีว่าต่างกันอย่างไร เพราะคำว่านักบวชนี่ก็คลุมเครือเต็มที แม้แต่พจนานุกรมท่านก็ให้ความหมายลำบาก ท่านลองไปเปิดพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน นักบวชให้ความหมายว่ายังไง ก็ให้ความหมายนิดเดียว ผู้ถือบวช จบ แล้วยังไงผู้ถือบวช ไปถือบวชถือยังไงละ ก็เลื่อนลอยเคว้งคว้างเลยใช่ไหมในใจก็นึกไม่ออก ดูพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2500 เท่าไหร่ 25 ก็อย่างนี้ พอมา 42 ก็เหมือนเดิม
เอ้าแล้วมีอีกคำคู่อีกคำหนึ่ง เรียกว่านักพรต ก็อยู่ใกล้กันนั่นแหละ นักพรตว่ายังไง นักพรตให้ความหมายว่าผู้ประพฤติพรต ทีนี้ผู้ประพฤติพรตหมายความอย่างไงละ ก็ไปเปิดดูพรต พรตก็มี 4 ความหมายอันนี้ยาวเลย ก็ไม่รู้จะเอาความหมายไหนใช่ไหม ประพฤติพรตก็มีตั้ง 4 อย่าง จะเอาอันที่ 1 หรืออันที่ 2 หรืออันที่ 3 ที่ 4 ก็ไม่ได้บอกนี่จะเอาข้อไหน ประพฤติพรตข้อที่ 1 หรือข้อที่ 2 ข้อที่ 3 ที่ 4 เอ้าแล้วนักพรตผู้ประพฤติพรต ยังมีต่อไปยาวกว่านักบวช มีต่อจะให้ความหมายบอกว่าลักษณะนามใช้ว่ารูป ก็หมายความว่านักพรตนี่ท่านหนึ่ง ๆ ก็เรียกว่า 1 รูป 2 รูป 3 รูปนี่ ลักษณะนาม เอ้าแล้วนักบวชไม่มีลักษณะนาม นักบวชก็ทิ้งไว้เฉย ๆ เรียกว่ารูปด้วยหรือเปล่าใช่ไหม เอออย่างงี้ ก็รวมแล้ว ก็คือเราก็ไม่สามารถจะได้ความหมายชัดเจนอะไรได้ ไม่เฉพาะพจนานุกรมไทย ไปถึงภาษาอังกฤษก็ยุ่ง แล้วก็มาใช้ในความหมายทั่วไปออกไปทางกฎหมายอะไรต่ออะไรก็ไม่ชัดทั้งนั้น ถึงได้วุ่นวายกันอยู่นี่ ไอ้คนทั่วไปก็ยิ่งลำบากใหญ่ ถ้าไม่มีพื้นความรู้ความเข้าใจบ้างก็มองแยกยาก
เหมือนอย่างที่เคยพูดเอ้าอิหม่ามเป็นนักบวชไหม นักพรตไหม อิหม่านศาสนาอะไร เอ้าท่านว่าเป็นอะไร เป็นนักบวชไหม คนฟังตอบ เท่าที่ทราบดั่งเดิมในอิสลามไม่มีนักบวช เอ้อนี่เก่งรู้ด้วย ศาสนาอิสลามไม่มีนักบวช แต่คนไทยก็สับสน ฝรั่งยังสับสนเลย ฝรั่ง Dictionary บ้าง หนังสือทั่วไปบ้างจำนวนมากพอพูดถึงอิหม่ามก็จะแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือให้ความหมายว่าเป็น เคอร์จิแมน เคอร์จิแมนก็นักบวช เคอร์จิแมนก็เป็นคำไวพจน์ Synonyms คำหนึ่งของคำว่า Peach คล้าย ๆ กัน แต่ที่จริงมันก็ดิ้นอีกแหละ มันไม่มีความหมายที่ตรงกันแท้สักคำ เอ้าละฝรั่งก็เรียกอิหม่ามเป็นเคอร์จิแมน ทีนี้ไปดูของฝรั่งเอง เอ้าเวลาฝรั่งเรียกพระเรา พระเราฝรั่งก็ไปแปลเป็นเคอร์จิแมน แต่ก่อนนี้ก็เคยเล่าแล้วบอกว่าแปลว่า Peach แล้วก็เลิก ต่อมาก็ถือว่าเอ้าแล้วไม่ใช้แล้ว พระของพุทธศาสนานี้ไม่ใช่ Peach ก็เอาตกลงเป็น Monk
ทีนี้ไปดูพราหมณ์ พราหมณ์ศาสนาพราหมณ์ใช่ไหม ศาสนาพราหมณ์ เอ้า ฝรั่งจะแปลว่ายังไง ฝรั่งบางฉบับก็แปลว่า Peach อีก หรือไม่งั้นเป็นว่า อะเมมเบอร์ ออฟ พีชรีคาด ก็แปลว่าสมาชิกในวรรณะ Peach วรรณะนักบวช นักบวชประเภท Peach นี่ก็คือผู้ที่เป็นเจ้าพิธี ทีนี้พราหมณ์เป็น Peach กับพระนี่ กลายเป็นว่าท่านไปดูภาษาฝรั่งก็ยังแยกกันยากอยู่ แล้วไปดูพระฝรั่งเองมี Peach นี่ แล้วก็มี Minister Peach ก็พระโดยปกติก็เป็นพวกโรมันคาทอลิก ถ้าเป็นพวกโปรเตสแตนด์ ก็ไม่มี Peach พระของโปรเตสแตนต์ก็ใช้ Minister Minister นี่ไทยเรานี่ เดี๋ยวนี้มักไม่แปลกันเพราะฝรั่งมาเมืองไทยเยอะมาเป็นครูอาจารย์นี่ ฝรั่งได้เปรียบเพราะว่าโรงเรียนคาทอลิกบ้าง โรงเรียนโปรเตนแตนต์บ้างใช่ไหม เขาเป็นครูอาจารย์นี่ เขาก็บัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้ ก็บัญญัติศัพท์ Minister ก็แปลว่าศาสนาจารย์ ก็เป็นอาจารย์สอนศาสนา พอได้ยินว่าศาสนาจารย์นี่ คนไทยก็นึกเทียบไปอนุศาสนาจารย์ อนุศาสนาจารย์อยู่ที่ไหนละ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ เป็นทหารด้วย เป็นนายร้อยนายพัน เป็นนายเรือนายเรืออากาศ เอ้าพออย่างงี้ก็โอ้ อนุศาสนาจารย์ก็ไม่ใช่พระชัดเจนแล้วนี่ ปกติก็คือเคยบวชเป็นพระเป็นเปรียญ เป็นพุทธศาสตร์บัณฑิตอะไรออกมาแล้วลาสิกขาไปแล้ว ก็มีคุณวุฒิระดับนั้น ระดับนั้น ก็ไปเข้ารับราชการเป็นผู้สอน สอนทหาร สอนในเรื่องศีลธรรม แต่ว่าชัดเจนว่าไม่ได้เป็นพระแล้วตอนนี้ พอนึกศาสนาจารย์อ๋อเป็นทหารไม่ได้เป็นพระ อ๋อศาสนาจารย์ก็คงแบบเดียวกันไม่ได้เป็นพระนี่ ก็มองดูง่าย ว่าเอ้อของโปเตสแตนต์นี้ไม่เป็นพระแล้ว เป็นนักบวชหรือไม่ก็ต้องไปคิดอีกทีนะ แต่ว่าไม่เป็นพระ พระกับนักบวชก็ชักยุ่ง เดี๋ยวว่าไม่ใช่พระ เอ้าแล้วพระเป็นอะไร พระเป็นนักบวช เอ้าจะยังไงก็ไม่ใช่พระ ก็พระเป็นนักบวช แล้วไม่ใช่พระ ไม่ใช่นักบวชได้ไง ก็เป็นนับบวชนะสิใช่ไหม ยุ่งอย่างงี้แหละ เอ้าคาทอลิกมี Peach โปรเตสแตนต์ก็มี Minister แต่ของฝรั่งเองก็ยุ่งหมือนกันนะ ในบางนิกายของโรมันคาทอลิก Minister ก็มีอีก อยู่ระดับสูงเหมือนกัน แต่อย่าไปเอารายละเอียดอย่างงั้น
เอาเป็นทั่วไปก็คือ คาทอลิกเป็น Peach สูงขึ้นไปเป็นบีสช้อบก็ว่าไป อยู่ในสาย Peach นี่แหละ แล้วก็สายของโปรเตสแตนต์เรียกเป็น Minister เอากว้าง ๆ ไปอย่างไปเอารายละเอียด นี่ของสายคริสต์ก็อย่างที่ว่าแล้ว ทางคริสต์เองก็มาแปลเป็นภาษาไทยเอาตามที่ทางนั้นมาบัญญัติเอง บางทีก็เกิดปัญหา เช่นว่าพอเป็นบีสช้อบเนี่ย ทางคาทอลิกก็บัญญัติให้แปลเป็นไทยว่าสังฆราช เพราะฉะนั้นท่านที่เป็นบีสช้อบ เวลาท่านใช้นามบัตรเป็นภาษาไทยนี่ ท่านก็ลงว่าสังฆราช ทีนี้ถ้าท่านเป็นสูงกว่านั้นก็เป็นอัสบิสช้อบ บีสช้อบแล้วยังมีสูงกว่านั้นเป็นอัสบิสช้อบ อัสบีสช้อบก็ต้องใหญ่บีสช้อบอีก ทีนี้แค่บีสช้อบก็เป็นสังฆราชแล้ว อัสบีสช้อบจะเป็นอะไร ก็เติมเข้าไปเป็นอัครสังฆราช ว่าอย่างงั้นนะ นี่ก็ทางคาทอลิกก็ใช้กันมาอย่างงี้ อัสบีสช้อบก็เป็นอัครสังฆราช ก็สูงการสังฆราช สังฆราชชั้นสุดยอดเลย นี่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในวงการศาสนาที่บางทีก็ยุ่งยากเป็นปัญหากันอยู่ ไทยเราทางพุทธบางครั้งก็เคยบอกคุณอย่ามาใช้เลยศัพท์ให้มันสับสน ก็เลยบางครั้งก็แปลบีสช้อบให้แยกออกไปซะอย่ามาซ้ำกับของพุทธศาสนา เขาก็แปลเป็นมุขนายก บีสช้อบนี่ก็เป็นมุขนายก แล้วก็แยกไปมิสซังไหน มิสซังไหน ท่านเป็นใหญ่ในมิสชั่น เรียกเป็นไทยเรียก มินซัง มิสซังโน้น มิสซังนี้ มุขนายกก็ใช้สลับกันสังฆราช ใช้สังฆราชบ้าง มุขนายกบ้าง ก็จะเห็นว่าในภาษาไทยเองก็สับสนกันพอสมควร ทีนี้ภาษาอังกฤษก็อย่างที่ว่าก็เอาเป็นหลักอะไรไม่ได้
เวลาฝรั่งแปลเรียกอิหม่าม ก็ไปเรียกเป็นเคอร์จิแมนอีก ก็เป็นนักบวชไปซิว่าอย่างงั้นใช่ไหม ทีนี้หนังสือบางเล่มของฝรั่งเองนั่นแหละแต่น้อยเหลือเกิน ที่จะบอกว่าอิหม่ามน้อตเคอร์จิแมน ไม่ใช่เคอร์จิแมน แต่เป็น อะเลอเน็ตซะคอลล่าออฟเดอร์กุลาอาน ว่าอย่างงั้น ก็เป็นนักปราชญ์ผู้รู้ ผู้คงแก่เรียนในเรื่องของคำคัมภีร์กุลาอาน นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญในพระคัมภีร์กุลาอาน อันนี้ก็ชัดไปเลย นี้เราเอามาพูดเพื่อให้เห็นสภาพที่มันวุ่นวายสับสน
หรืออย่างในเรื่องกฎหมายเลือกตั้งเวลานี้ก็อยู่ในรัฐธรรมนูญเลย ก็จะมีบอกว่าผู้ที่ไม่สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ก็มีพระภิกษุสามเณรนักพรตนักบวช เอาละซิยุ่งซิใช่ไหม แล้วจะจัดใครบ้างเป็นนักพรต นักบวชนี่ เป็นปัญหา แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสิน อย่างในปัจจุบันนี้ก็ถือว่าอย่างงี้ ก็เอาละภิกษุสามเณรระบุชัดไปเลย อิหม่ามไม่เข้ามนูญมาตรานี้ อิหม่ามก็มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ ทีนี้นักบวชคาทอลิกเป็น Peach นี่ก็ถือว่าในกฎหมายไทยรัฐธรรมนูญไทยไม่สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงตั้งได้ เอาละนะบาทหลวงนี่ไม่ได้ Peach ของโรมันคาทอลิกก็เป็นบาทหลวง แต่ Minister ศาสนาจารย์ของโปรเตสแตนต์มีสิทธิ สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ ก็เป็นว่าไม่เข้าคำว่านักบวช นักพรต ทั้งนักบวช นักพรตในมาตรานี้
แล้วก็ไปมีนักบวชฮินดู นักบวชฮินดูก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้วได้ แต่นักบวชฮินดูในที่นี้ไม่ใช่พราหมณ์นะ ก็เป็นนักบวชที่บวชจากพราหมณ์อีกชั้นหนึ่ง ผมเคยเล่าแล้วนี่ นักบวชฮินดูนั้นก็สมัยก่อนไม่มี พราหมณ์นั้นเกิดมาก็เป็นพราหมณ์โดยชาติกำเนิดที่เขามี 4 วรรณะไง กษัตริย์พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือว่าของเขาเรียกว่าพราหมณ์กษัตริย์แพศย์ศูทร เกิดมาก็เป็นพราหมณ์เองทันที แล้วก็อยู่บ้านเรือนคลองเรือน ไม่มีวัด ไม่มีคณะสงฆ์ ไม่มีชุมนุมนักบวช ต่อมาก็สังการจารย์ที่มาคิดจะเรียกว่ากำจัดพุทธศาสนานั้นนะ ได้ตั้งคณะสงฆ์ฮินดูขึ้นมา แล้วตั้งวัดขึ้นมา นี่แหละก็เกิดมีนักบวชฮินดู นักบวชฮินดูก็เลยอยู่วัดหรือสถานที่ศาสนสถานของเขา แล้วก็มีภารกิจทำหน้าที่ต่างหากจากพราหมณ์ที่อยู่ครองเรือน ก็กลายเหมือนพราหมณ์ครองเรือน กับพราหมณ์ไม่ครองเรือนขึ้นมา พราหมณ์เขาอยู่บ้านมีลูกมีภรรยา ตามปกติก็แยกกันออกไป พราหมณ์ที่เป็นนักบวชฮินดูไม่มี ไม่สามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเหมือนกันในเมืองไทยนี่
เอ้าละนะนี่เป็นการพูดให้เห็นถึงสภาพที่เป็นอยู่ ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้เห็นถึงความสับสน ความไม่ชัดเจน การที่ต้องมาระบุกันไปเป็นเรื่อง ๆ อย่างง่าย ๆ แม้แต่เรื่องแม่ชีนี่ แม่ชีก็ไม่รู้จะจัดเข้าในอะไร จะเป็นนักบวชไหม จะเป็นนักพรตไหม อะไรก็ยุ่งไปหมด แล้วกฏหมายไทยก็มีปัญหาอีก เอ้าแม่ชีไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่แม่ชีไม่ได้รับสิทธิของนักบวชที่ได้รับยกเว้นค่าโดยสารรถไฟ เอ้อ เอาสิคล้าย ๆ ว่า กฏหมายหนึ่งให้เป็นนักบวช แต่อีกกฏหมายหนึ่งไม่ให้เป็น กฎหมายไทยเองนะ นี่ก็ยุ่งแล้วเมืองไทยเองนี่ คือกฏหมายนั้นเขาก็ไม่ได้ดูกัน เขาก็พิจารณาเวลาของเขาจะบัญญัติ เสร็จพอใช้ไปใช้มา วันหนึ่งมาเผชิญกันเข้า เอ้าแล้วฉันจะมีฐานะอะไร จะไปขึ้นรถไฟ เพราะอย่างพระนี่ มีสิทธิรับการลดครึ่งอะไรอย่างงี้ แม่ชีก็ไม่มีสิทธินี้ เอ้าแสดงว่าเขาถือแม่ชีเป็นคนธรรมดา แต่พอมาจะเลือกตั้ง ทางฝ่ายเลือกตั้งบอกคุณไม่มีสิทธิคุณเป็นนักพรต นักบวช เอาอีกแล้วกลายเป็นเสียสิทธินี้ไป เอ้าทำไม่เสีย รถไฟก็ต้องให้สิทธิ ถ้าหากว่าตัดสิทธิทางนี้ใช่ไหม ตัดสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แสดงว่าต้องได้สิทธิรับยกเว้นค่าโดยสารหรือว่าได้รับผ่อนผันค่าโดยสารให้ลดครึ่งได้ นี่อย่างนี้ก็เป็นความสับสน ก็ยังวุ่นพอสมควร แต่ทีนี้ว่าเรามาดูในหมู่พุทธบริษัทเราเองนี่เราก็สับสน อย่างชาวพุทธส่วนมากก็ไม่รู้เรื่องอิหม่ามท่านไม่เป็นนักบวชอะไรอยู่ครองบ้านครองเรือนมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะมาเป็นรัฐมนตรีก็ได้ จะเป็นส.ส.ก็ได้ เป็นประธานสภาก็ได้ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้ หรืออย่างเป็นประมุขของประเทศ อย่างประเทศอิหร่าน แม้แต่คำว่าอิหม่ามเองนี่ในศาสนาอิสลามเองก็มี 2 นิกาย นิกายซุนนีกับนิกายชีอะห์ ความหมายก็ไม่ถึงเหมือนกันทีเดียว ในนิกายชีอะห์อิหม่ามมีความหมายเท่ากับกาหลิบเลย ประมุขของศาสนาอิสลามนี่เป็นอิหม่าม อย่างอิหม่ามอาลี นี้ในนิกายซุนนีอิหม่ามโดยปกติก็เป็นอาจารย์ผู้คงแก่เรียน ผู้สอนศาสนาชำนาญในพระคัมภีร์กุลาอาน แต่เรียกประมุขเรียกกาหลิบชัดไปเลย เป็นผู้สืบต่อตำแหน่งไปจากพระศาสดา ทีนี้ฝ่ายของชีอะห์ก็ไม่ยอมรับกาหลิบ 3 ท่านแรกของฝ่ายซุนนี แล้วก็เรียกที่ตัวยอมรับว่าเป็นอิหม่าม อันนี้ก็เป็นเรื่องของรายละเอียด เราก็มาดูในเมื่อมีความสับสนไม่ชัดเจนทั่วไป แต่ว่าอย่างน้อยชาวพุทธนี่ก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพระศาสนาของตน นี้เมื่อไม่รู้ตัวเองเข้าไปสู่ภาวะสับสนในทางระหว่างศาสนาหรือในทางถ้อยคำภาษาก็ยิ่งวุ่นวายไปหมด ที่ผมพูดนี่ก็ต้องการให้เข้าใจเรื่องนี้ว่านักบวชของเราที่เราเรียกพระภิกษุนี่คืออะไร เราจะเข้าใจชัดด้วยการเปรียบเทียบบ้าง เปรียบเทียบนี่ไม่ได้หมายความว่า เปรียบเทียบว่าดีกว่ากัน หรือเลวกว่ากัน เปรียบเทียบให้รู้ตามที่เป็นว่าของแต่ละอย่างนั้นก็ใช้ในความหมายคนละอย่าง อย่างง่าย ๆ อย่างถ้าถือว่าพราหมณ์นี่เป็น Peach เป็นนักบวช ก็เป็นนักบวชในแง่เป็นเจ้าพิธี เป็นผู้ประกอบพิธีบูชายัญให้ เป็นคนกลาง เป็นสื่อระหว่างพระผู้เป็นเจ้าหรือเทวดากับมนุษย์ คือพราหมณ์ท่านเหมือนกับรู้พระประสงค์ของพระพรหมผู้เป็นเจ้า แล้วก็มาสื่อกับมนุษย์ว่ามนุษย์ต้องการอะไร แล้วก็จะได้บอกเทวดาผู้เป็นเจ้าว่ามนุษย์อย่างจะได้ไอ้นี่ หรือกลัวภัยอันตรายนี้อ้าวแล้วมนุษย์อยากจะพ้นภัยอันตรายก็สื่อกับพระเจ้าด้วยการทำพิธีบูชายัญ เธอมีภัยอันตรายอะไร อยากจะพ้นภัยอันตรายอันนี้พราหมณ์ก็จะแนะนำว่า ควรจะทำการบูชายัญนี้นะ แล้วก็จะได้พ้นภัยอันนี้นะ หรือเธออยากจะได้อะไร อยากจะได้ลาภได้ยศ อยากจะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจ ก็ทำพิธีบูชายัญซะ ทำพิธีบูชายัญอะไรดีแหละ พราหมณ์ก็จะแนะนำก็บอกพิธีอะไรต่ออะไรเสร็จ เพราะฉะนั้นข้อสำคัญมันก็มาอยู่ที่พิธีนี่ก็เลยเป็นเจ้าพิธีเพื่อจะให้สำเร็จความประสงค์ของมนุษย์ พิธีก็คือวิธีการ วิธีการที่จะให้สำเร็จสู่จุดหมายของเขา พราหมณ์ก็บอก นี่ไหนครับ นิมนต์
คนฟังถาม อยากให้ท่านช่วยเปรียบเทียบคำว่าอิหม่ามของศาสนาอิสลาม กับคำว่าพระในศาสนาพุทธ พระในระดับไหนถึงจะเทียบได้กับอิหม่าม
พระตอบ อ๋ออิหม่าม ก็เป็นเรื่องของศาสนาอิสลามโดยเฉพาะที่บอกเมื่อกี้ไง
คนฟังถาม อิหม่ามมีความรู้ทางด้านคัมภีร์กุลาอาน แล้วก็สอนด้วย แล้วศาสนาพุทธนี่พระระดับไหนถึงจะมีความรู้
พระตอบ อ๋อ เป็นเรื่องของด้านความรู้ก็ปกติ เราก็หวังว่าพระภิกษุน่าจะรู้พระไตรปิฎก แต่ว่าเอาเข้าจริงบางทีก็ไม่รู้ใช่ไหม อันนี้มันอยู่ที่เรื่องของระบบวิธีการที่จะเอาจริงเอาจังกันแค่ไหนสำหรับพระในพุทธศาสนาแล้วจะบอกแค่ไหนก็ไม่ได้เพราะมันเป็นยุคสมัยมันมียุคเจริญยุคเสื่อม บางยุคพระทั่วไปก็มีความรู้กันดี รู้พุทธศาสนา รู้พระไตรปิฎก บางยุคนี่ 100 องค์จะรู้สัก 2 องค์ก็แทบแย่ใช่ไหม ฉะนั้นเอายากแต่ว่าถ้าว่าโดยระบบแล้ว เราพูดได้ว่าในศาสนาอิสลามค่อนข้างมั่นใจกว่า เพราะว่าการเรียนคัมภีร์ของศาสนาอิสลามนี้เอาจริงเอาจังมาก ไม่เฉพาะเป็นผู้ที่มามีชื่อว่าเป็นผู้ที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องคัมภีร์พระศาสนาเท่านั้นทุกคนเลย ทุกคนนี่เท่าที่ทราบ 7 ขวบต้องเรียนคัมภีร์กุรอานทุกคน นี้ของไทยเรานี่ พุทธนี่ เอาพุทธไม่มีอะไรกะเกณฑ์เลยใช่ไหมขนาดบวชเป็นพระยังไม่ได้กะเกณฑ์ว่าเรียนพระไตรปิฎกเลยถูกไหมครับ พอบวชเข้ามาแล้วก็ไปเรียนนักธรรมตรีไปเรียนนวกะ พระไตรปิฎกยังไม่ได้แตะ บางทีจบมาแล้วสึกจากพระนวกะบวชมา 3 เดือนยังไม่ได้รู้จักพระไตรปิฎกเลยใช่ไหม จริงหรือเปล่า
คนฟังถาม อันนี้ผมหมายถึง ผมมองว่าอันนี้คือความอ่อนแอกว่าอิสลามมาก
พระตอบ ก็ในแง่นี้ก็ใช่ เป็นอันนึงแหละนี่แหละอย่างน้อยก็ยุคนี้ เราบอกว่ายุคนี้ เราจะพูดทุกยุคก็ไม่ได้ เราจะได้มาฟื้นฟูตัวกันให้เห็นว่าชาวพุทธยุคเนี่ยอ่อนแอมาก สภาพที่เป็นอยู่เนี่ยเต็มที ชาวพุทธนี่ขนาดที่ว่าบวชเป็นพระ มีพระที่ท่านเรียนประโยค 9 ท่านสารภาพ ท่านเรียนประโยค 9 มันจะจบ กำลังสอบประโยค 9 อยู่ ท่านเรียกได้ว่าไม่เคยเปิดพระไตรปิฎกเลย เออนี่เพราะว่าหลักสูตรของเรานี่ไม่จำเป็นต้องรู้จักพระไตรปิฎก เรียนบาลีไปจนจบประโยค 9 นี่คัมภีร์ที่เรียนก็เป็นคัมภีร์อรรถกถาฎีกา คำภีร์ยุคหลังสำหรับอธิบายพระไตรปิฎก เพราะฉะนั้นท่านก็เรียนไปตามหนังสือที่กำหนดให้ตามหลักสูตรว่าต้องแปลคัมภีร์นี้ได้ เอ้าท่านก็แปลไปซิ แปลไปเสร็จแล้วท่านก็แปลได้ เวลาออกข้อสอบมาแล้วท่านก็ผ่าน ท่านก็จบมาแต่ว่าท่านไม่รู้จักพระไตรปิฏก ทั้ง ๆ ที่คัมภีร์นั้นก็อ้างพระไตรปิฎกตลอด คือสมัยก่อนนี่เขาก็หวังว่า นี่คือให้เห็นความเสื่อม การที่ให้เรียนอรรถกถาฎีกาเพราะอะไรก็เพราะตามปกติพระนั้นจะต้องรู้จักพระไตรปิฎกอยู่แล้ว ก็คืออ่านพระไตรปิฎก แต่ทีนี้พระไตรปิฎกนั้นยาก คัมภีร์ที่อธิบายพระไตรปิฎกก็คืออรรถกถา แล้วถ้าอ่านอรรถกถาแล้วยังไม่เข้าใจอีก ฎีกาจะไปอธิบายอีกชั้นหนึ่งจากอรรถกถา เพราะฉะนั้นก็จะได้อาศัยหนังสือค้นคว้านี้เป็นหลักการช่วยให้ท่านนี่ได้อ่านพระไตรปิฎกได้ นี่ก็หมายความว่า แต่เดิมคืออ่านพระไตรปิฎก ศึกษาพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วก็มีคัมภีร์นี้มาช่วยในการที่จะศึกษาอีกชั้นหนึ่ง แล้วต่อมาเพราะการศึกษามันเสื่อมลงท่านก็เอาแค่แปลได้ ไม่ได้รู้เนื้อความอะไรจริงจังหรอกแทนที่จะศึกษาพระไตรปิฎกก็ไปเอาแต่ไอ้ตัวคัมภีร์ที่อธิบาย เอาพอแปลได้ ก็เรียนแค่แปลได้เท่านั้นเลย แล้วก็เลยไม่ได้เอามาเข้าถึงตัวพระไตรปิฎก นี่แสดงถึงความเสื่อม เดิมนั้นก็คือต้องมีพระไตรปิฎกเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วก็จึงได้มาอาศัยคัมภีร์อธิบายนี้ท่านก็มาระบุอีกทีว่า ภัมภีร์อธิบายมันมีเยอะในที่นี้ ชั้นนี้จะให้อ่าน ให้เรียนศึกษา ให้จัดเจนในภัมภีร์อธิบายชื่อนี้ แต่ตอนหลังเป็นกลายไปเอาเฉพาะคัมภีร์อธิบายอันนี้ เลยไม่ถึงตัวหลักเลย ผมผ่านไปก่อนนะ เอาเป็นว่าในแง่ของพุทธศาสนาปัจจุบันอ่อนแอมากแน่นอน ของทางศาสนาอิสลามนั้นพอ 7 ขวบก็ต้องเรียนคัมภีร์กรุอานแล้ว ทีนี้ผู้ที่เป็นอิหม่ามก็แน่นอนจะต้องชำนาญในคัมภีร์กุรอาน นี้ของพุทธเราพอพูดถึงพระไตรปิฎกก็เคว้งค้างหมดไม่รู้อะไรอยู่ที่ไหน จะเป็นยังไงนะ เอ้ากลับมาเมื่อกี้ เดี๋ยวผมจะเลยออกไปซะ เอ้าเมื่อกี้กำลังอธิบายอะไร คนฟังตอบ เรื่องพิธีของนักบวชฮินดูครับ
อ๋อ เอ้าครับ ครับ กลับมาพูดใหม่ วันนี้จะพูดเยิ่นเย้อหน่อยนะ มันสมองมันเฉื่อยเต็มทีเป็นอันว่าในศาสนาพราหมณ์เนี่ย พราหมณ์เกิดมาก็เป็นพราหมณ์เป็นเรื่องของวรรณะอยู่ในสังคมนั้น เขาก็อยู่ครองเรือนตามปกตินี่แหละ มีลูกมีภรรยา แต่ว่าเขาได้ชื่อว่าเกิดมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม พระพรหมณ์ท่านสร้างนี้ สร้างมนุษย์มาสำหรับพราหมณ์นี้ท่านสร้างมาจากพระโอษฐ์ของท่าน ก็มีความสามารถในการสอน แล้วก็สื่อสารกับมนุษย์โดยเป็นเหมือนปากเป็นกระบอกเสียงของพระพรหมณ์ว่าอย่างงั้นเถอะ แล้วก็สามารถสื่อความต้องการของมนุษย์ให้พระพรหมณ์ทราบ เพราะโดยที่สำคัญก็คือทำพิธีบูชายัญ แต่นี้ไอ้ตัวหลักที่จะมาประกอบพิธีบูชายัญ ว่าบูชายัญอะไรทำยังไงก็คือคัมภีร์พระเวศ คัมภีร์พระเวศก็จะกำหนดอีกทีว่าพิธีบูชายัญอะไรยังไงทำยังไงใช่ไหม แล้วพระเวศนี่พราหมณ์ก็บอกนี่แหละมาจากพระพรหมณ์ผู้เป็นเจ้า พระเวศนี่พระพรหมณ์เป็นผู้ตรัส เป็นดำรัสของพระพรหม พระเวศนี่ นี้พราหมณ์เป็นผู้ศึกษาพระเวศเป็นผู้รู้ พระเวศเป็นผู้เชี่ยวชาญ วรรณะอื่นก็มีสิทธิ์เรียนบ้าง อย่างวรรณะกษัตริย์ก็เรียนได้ แต่ว่าผู้เรียนที่ชำนาญแท้ก็คือพราหมณ์ ส่วนพวกศูทรนี้ไม่มีสิทธิ์เรียนก็ห้ามเลย เคยเล่าแล้วนี่ ตอนหลังนี่ถึงกับบัญญัติศูทรคนใดฟังพระเวศให้เอาตะกั่วหลอมหยอดหูมัน ศูทรคนใดสาธยายพระเวศให้ตัดลิ้นมันเสีย ศูทรคนใดเรียนพระเวศให้ผ่ากายเป็นสองซีก เลื่อยตัวออกเป็นสองซีกเลย นี่พวกศูทรเป็นอันว่าไม่มีทางถูกกีดกันออกจากการศึกษาหมดเลย พุทธศาสนาถึงได้มีเรื่องเยอะเรื่องนี้ เรื่องไม่เห็นด้วยกับพวกพราหมณ์นี่ ถึงกับว่าไม่ใช่เฉพาะศูทรหรอก จันทานต่ำกว่าศูทรอีก พระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นจันทานในชาดก แล้วจันทานโพธิสัตย์ก็ไปเรียนในตักศิลาทิศสาปาโมกไปเรียนกับเขาด้วย ก็เหมือนกับปลอมตัวแหละ ก็อยู่กับเพื่อน ๆ ก็เป็นพราหมณ์ทั้งนั้น ต่อมาพวกเพื่อน ๆ มันจับได้ว่าไอ้คนนี้ไม่ใช่พราหมณ์มาเรียน แม้ซ้อมเสียแทบตายเลยนะ พระโพธิสัตว์ถูกซ้อมเป็นจันทานไม่มีสิทธิไปเรียน มีเรื่องเยอะอะไรต่าง ๆ ไปอ่านเถอะ เรื่องที่พุทธศาสนาพยายามแก้ไอ้เรื่องความเชื่อ วรรณะ 4 เรื่องการบูชายัญ เรื่องพระเวศอะไรต่ออะไรนี้เยอะแยะหมด เอาละที่นี้เป็นอันว่าพราหมณ์นี่ท่านก็เป็นเจ้าพิธีบูชายัญ ก็เป็นประเภทพรีสดีวาน เป็นเจ้าพิธี นี้เขาก็เป็นโดยชาติกำเนิดแล้วเขาก็อยู่ครองเรือนตามปกติเลย แต่เขามีสิทธิมีอำนาจโดยระบบของศาสนาเอง นี่พวกพราหมณ์นี้จะถือว่า พระนี่เป็นกาลกิณี พวกหัวโล้น พระพุทธเจ้าเคยไปแกล้งพราหมณ์ ไปสอนพราหมณ์นั่นแหละ วิธีสอนพระองค์ก็รู้แล้ว วันนี้อีตาพราหมณ์คนนี้จะประกอบพิธีบูชายัญ พระองค์ก็ไปประทับนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง คือพระองค์รู้ มีความรู้เรื่องของพราหมณ์ พระองค์ก็รู้หมดว่าพราหมณ์ทำพิธีบูชายัญอะไรทำอย่างไง อย่างไง กระบวนการขั้นตอนเป็นอย่างไรรู้หมดใช่ไหม พระองค์ก็รู้แล้วอีตามพราหมณ์คนนี้ประกอบพิธีบูชายัญนี้เสร็จแล้วก็ต้องมาทำอย่างงี้ อย่างงี้อะไรนี่นะ พระองค์ก็ไปประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งคลุมพระเศียร อีตาพราหมณ์นี่แกทำพิธีเสร็จ เขาก็มีหลักว่า เอาออกมาคล้าย ๆ บริจาคให้คนยากจนหรืออะไรบ้าง อะไรอย่างนี้ เขาก็เห็นพระพุทธเจ้าคลุมพระเศียรอยู่ เออก็นึกว่านี่คงจะเป็นคนยากคนจนคนอะไรต้องการ ๆ สงเคราะห์ ก็เลยเดินเข้าไป เดินเข้าไปเผื่อว่าจะได้เอาบริจาคของสังเวย พอก้าวเข้าใกล้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เปิดพระเศียรขึ้นมา พอเปิดพระเศียรขึ้นมาอีตาพราหมณ์ก็ตกใจ นี่คนหัวโล้นนี่ ด่าเลย กาลกิณีมาแล้ว พบกาลกิณีแหมวันนี้อุตส่าห์ทำพิธีก็ต้องเป็นสิริมงคลใช่ไหม มาเจอกาลกิณีจบเลย แย่แล้วนี่พระพุทธเจ้า เริ่มต้นด้วยวิธีนี้เลยนะทำให้พราหมณ์นี่แหมโกรธมากเลยมาเจอกาลกิณีนี่ เราอุตส่าห์ทำพิธีบูชายัญมันเรื่องชั้นยอดแล้วจะต้องเจอแต่ดี ๆ พอเจอกาลกิณีเสียหมด พอพราหมณ์ด่าแล้วก็ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าก็ตรัส ก็ตรัสไปก็เดี๋ยวพระพุทธเจ้าทรงฉลาดอย่างไงก็รู้กันอยู่แล้วนะ ตรัสไปตรัสมาในที่สุดก็ให้พราหมณ์สำนึก แล้วพราหมณ์ก็ยอมรับ พราหมณ์ก็กลายเป็นมิตรไป แล้วก็ยอมรับคำสอนพระพุทธเจ้า ก็ลงเอยด้วยดี ก็หมดปัญหา
นี่มีเรื่องอย่างงี้เยอะ คนไม่สังเกตุไม่รู้ในพระไตรปิฎกจะมีเรื่องแบบนี้ ทั้งบูชายัญรายใหญ่ที่พวกเจ้าเมืองทำกันนะ เอาไอ้พวกวัว แพะ แกะ อย่างละ 700 มามัดเตรียมฆ่าบูชาพระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วเสด็จมุ่งไปเลยนะ เดี๋ยวก็ได้โอกาสได้คุย ก็ค่อย ๆ พูดจนกระทั่งว่าเขายอมรับ เลิกหมดเลยพิธี ให้แก้มัดพวกสัตว์เสิดทั้งหลาย แล้วก็พิธีบูชายัญย่อย ๆ อย่างงี้ พระองค์ก็เสด็จไปโดยวิธีเจาะจงที่จะไปแก้ไอ้ปัญหาความเข้าใจทิฏฐิอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ จะเห็นว่าสาวกองค์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้านี่ พราหมณ์แทบทั้งนั้นใช่ไหม เพราะพราหมณ์นี้เป็นปัญญาชนชั้นยอดชมพูทวีป นี้พระพุทธเจ้าก็มุ่งไปเอาพวกพราหมณ์นี่กลับใจมา แล้วได้พราหมณ์มาเยอะมาเป็นสาวกชั้นหนึ่งทั้งนั้น อัญญาโกณทัญญะก็พราหมณ์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็พราหมณ์ พระมหากัสสปะก็พราหมณ์ พระอะไรต่ออะไรเยอะแยะหมด ต่อจากพราหมณ์ก็มีกษัตริย์ใช่ไหม กษัตริย์พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระอะไรนี่ก็กษัตริย์ทั้งนั้น แล้วพวกแพศย์ก็มีบ้างแหละ แล้วศูทรก็มี ก็คงจะเป็นสาวกทั่ว ๆ ไป แม้แต่เป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่ค่อยมีชื่อปรากฏ เพราะว่าภูมิหลังความรู้ที่จะเป็นพื้นฐานที่จะให้เก่งในการที่จะมาสอนนี้ไม่ค่อยมี นี่ภูมิหลังนี่ก็สำคัญมากเหมือนกันที่จะเป็นพระสาวกผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่า พระสาวกชั้นยอด ๆ นี่ล้วนแต่เป็นพวกที่ภูมิหลังมาจากวรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์แทบทั้งนั้นเลย ท่านลองไปดูซิใช่ไหม พระสาวกใหญ่ ๆ แต่ว่าเป็นผู้ที่มาเปลี่ยนไปหมดมาเป็นผู้นำในศาสนาเรื่องเยอะเลย เรื่องการแก้ไข เรื่องวรรณะ เรื่องการแก้ไขความเข้าใจ เรื่องพระเวศ แล้วก็โยงไปหาการศึกษา เพราะว่าถ้าถือตามพราหมณ์นั้นเป็นอันว่าคนชั้นต่ำวรรณะสูตรก็ไม่มีทางได้รับการศึกษาไม่ต้องพูดถึงจัณฑาล พระพุทธเจ้าตรัสเลยบอกสังฆะนี้จะเป็นกษัตริย์พราหมณ์แพศย์สูตรแม้จะเป็นจัณฑาลอะไรก็บวชได้ทั้งสิ้น เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็เสมอกันในธรรมวินัยนี้และผู้ใดบรรลุธรรมเป็นอรหันต์เป็นอะไรก็สูงสุดไม่มีความหมายในทางวรรณะ เมื่อท่านบรรลุธรรมเป็นอรหันต์และจะไปเป็นจัณฑาล เป็นสูตรเป็นอะไรก็ท่านก็เป็นผู้สูงสุด อย่างงี้นั้นก็ตรัสใว้ชัด ๆ เลย
เอ้านี่ผมก็พูดเรื่อยเปื่อยไป ก็มาเอาเรื่องนักบวชต่อเดี๋ยวมันจะลืมเรื่องนี้นะ เรื่องที่เรากำลังพูดก็เรื่องนักบวช ก็เป็นอันว่าเรื่องพราหมณ์เป็นอย่างงี้เขาก็เป็นของเขาโดยวรรณะเลยมีบ้านมีอยู่ครองเรือนอะไรต่ออะไรก็ไม่เห็นเหมือนกับพระของเราต่างกันลิบลับเลย ที่นี้มายังศาสนาคริสต์ ศาสนามคริสต์ก็เมื่อกี้บอกแล้วว่านักบวชคือบาทหลวงในนิกายโรมันคาทอลิก ทีนี้นักบวชของคริสต์นี่ก็ไม่เหมือนพระเลย จุดที่อยากจะชี้ที่สำคัญก็คือว่าทางสถาบันหรือองค์กรคริสต์นั้นเป็นผู้ไปกำหนดเลือกตัวว่าจะเอาใครมาเป็นนักบวช แล้วมาทำหน้าที่ก็เหมือนเป็นสื่อของพระผู้เป็นเจ้า คนที่จะเอามานี่เขาเรียกว่าต้องมี Calling Calling นี่เวลาแปล เขาแปลว่าพระกระแสเรียก กระแสเรียกก็หมายความเป็นคำเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า โอ้คนที่จะบวชได้นี่ต้องได้รับ Calling จากพระเจ้า พระเจ้าท่านเรียกจะเอาตัวก็คือหมายความว่าคุณนี่ได้รับเลือกตัวจากพระผู้เป็นเจ้าแล้ว แล้วก็ต้องเข้ารับการฝึกอบรม แล้วผ่านการฝึกอบรมนั้นทางองค์กรศาสนาจึงตกลงว่าจะเอาไหม จะเอามาแล้วก็มาทำหน้าที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนา เป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนาเลยคำว่านักบวชของศาสนาคริสต์คาทอลิกนี่ เป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรของศาสนานั้น ซึ่งเขาเลือกตัวมาแต่งตั้งแล้ว เขาแต่งตั้งแล้วนะให้ทำหน้าที่ระลึกเข้าไปก็ได้รับกระแสเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้ากำหนดตัวแล้วให้ทำหน้าที่เป็นสื่อระหว่างพระองค์กับมนุษย์ จุดสำคัญคือเขาเป็นผู้คัดเลือกเอาไม่เอา
อันนี้มาเทียบกับพระในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตั้งคณะสงฆ์ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในพุทธบริษัท 4 ก็เป็นเพียงว่าเปิดโอกาสไว้ เอ้อทุกคนนี่เมื่อต้องการจะฝึกตนเองแล้วก็เป็นเรื่องของความสมัครใจว่า เอ้าฉันนับถือและฉันเห็นว่าคำสอนพระพุทธเจ้าดีโดยฉันเป็นพราหมณ์ ฉันนับถือพระองค์แล้ว ก็บอกมาฉันเป็นอุบาสก ก็บอกเอง เขาบอกเองใช่ไหม เขาเลื่อมใสแล้วเขาเห็นด้วยกับคำสอนพระพุทธเจ้าเขาบอกฉันเป็นอุบาสกแหละ ขอให้ถือว่าข้าพเจ้าเป็นอุบาสกนับแต่วันนี้เป็นต้นไป เป็นอุบาสิการนับแต่วันนี้เป็นต้นไป เป็นผู้นับถือ เป็นผู้ยินดีจะประพฤติปฏิบัติตามแนวทางของพระรัตนตรัย เขาเป็นผู้ที่ว่ามีสิทธิที่จะสมัครและก็เข้ามาเอง ก็ปฏิบัติไปซิเมื่อเห็นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าดีต้องการที่ฝึกฝนปฏิบัติตัว พัฒนาชีวิตของตัวเอง ทีนี้สังคมโดยเฉพาะสมัยนั้นไม่สะดวกเลย มีระบบวรรณะมีอะไรต่ออะไร บรรยากาศก็ไม่เหมาะมีการกีดกั้นกัน พระพุทธเจ้าก็ตั้งคณะสงฆ์มีวัดขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้คนที่ต้องการฝึกตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เอ้าใครต้องการฝึกตัวเองยิ่งกว่านี้ก็เข้ามา ก็เรียกว่าบวช นี่เรียกว่าบวชมาเป็นพระภิกษุ ตอนเดิมพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องมีพิธีอะไร เขาอยากจะมาอยู่กับพระองค์ใกล้ชิดที่จะฝึกฝนปฏิบัติเต็มที่ พระองค์ก็บอกจงเป็นภิกษุมาเถิด เราเรียกเอหิภิกขุ ก็เท่านั้น ก็มาอยู่ด้วยกันกับพระองค์ก็คือต้องการที่จะฝึกฝนพัฒนาชีวิตของตนเอง ทีนี้แม้จะเปลียนว่าให้มีการบวชยากขึ้น จนกระทั่งมีญัตติจตุกรรมวาจาจนเป็นสังฆกรรมที่ต้องรับมติเห็นชอบจากสงฆ์ที่ประชุมสงฆ์ได้ยอมรับอนุญาต ก็จึงบวชได้ แต่ก็เป็นเพียงว่าเขามีความตั้งใจว่า ข้าพเจ้าจะต้องการศึกษาพัฒนาตนเอง แล้วข้าพเจ้าก็แสดงความประสงค์ของข้าพเจ้า แล้วก็ข้าพเจ้าไม่มีข้อบกพร่องที่จะเข้าไปบวช แล้วทำให้ส่วนรวมเสื่อมเสีย ไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีข้อบกพร่องอย่างงั้น อย่างงั้น ก็เท่านั้น ข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์บวช เขาก็เข้ามาบวชเอง เพียงว่าเขาต้องการฝึกตนเองตามหลักคำสอน ตามระบบวิธีศึกษา เขาเป็นผู้เลือกเข้ามา เขาใช้สิทธิ์ในการเข้ามาสู่สังคมนี้ ชุมชนนี้ เพื่อจะได้ฝึกฝนพัฒนาชีวิตของเขาไม่ใช่มาเป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนา ไม่เกี่ยวเลย คนละเรื่องกันเข้าใจไหม สังฆะนี้ตั้งขึ้นมา ก็คือเป็นเพียงที่ ๆ ต้อนรับคนที่ต้องการฝึกตัวเองให้มีโอกาสที่จะเข้ามาฝึกฝนพัฒนาชีวิตได้เต็มที่ยิ่งขึ้นเพราะว่าอยู่ข้างนอกบรรยากาศสภาพแวดล้อมระบบสังคมมันไม่เอื้อ ท่านก็เลยเปิดโอกาสสังฆะก็คือเป็นชุมชนที่เอื้อโอกาสแก่ผู้ต้องการฝึกฝนพัฒนาตนตามหลักการของพระศาสนานั้นเอง ก็เข้ามาเองซิใช่ไหม ไม่ใช่เราไปคัดเลือกตัวเอามา เขาเข้ามาแล้วก็ศึกษาพัฒนาตัวเอง แล้วก็ขึ้นไปก็ เอ้อมีภูมิรู้ มีความสามารถก็มาช่วยกันเป็นกัลยาณมิตร เป็นครูอาจารย์สอนคนอื่นต่อไป เป็นระบบสังคมแบบนี้ ซึ่งเป็นของกลาง ๆ ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมด แล้วแต่ว่าเราจะใช้สิทธิหรือไม่ เอ้อสังฆะนี่ท่านตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์นี้เพื่อให้มนุษย์ได้มีโอกาสพัฒนาตัวมีการศึกษา เพราะแต่ก่อนนี้ต้องเป็นพราหมณ์เท่านั้นถึงจะศึกษาได้ ไม่งั้นเขาไม่ให้ศึกษาหรอก ตอนนี้พระพุทธเจ้าตั้งจะเรียกว่าเป็นสถาบันหรือองค์กรนี้ขึ้นมาและเปิดโอกาสให้การศึกษา เราก็มีโอกาสก็ขอเข้าไปสะใช่ไหม ก็เท่านั้น ก็เข้าไปศึกษา แล้วก็เลยสังฆะนี้จะให้มีสถานที่เอื้อ ก็จัดเป็นวัดขึ้นมา วัดก็เลยมีสถานที่ไม่งั้นไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนดี ก็มีสถานที่เอื้ออำนวยก็วัดก็กลายเป็นสถานที่ ๆ สร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมให้สังฆะตั้งอยู่ได้แล้วก็ได้มีโอกาสเอื้ออำนวยยิ่งขึ้นในการที่จะเจริญพัฒนาชีวิตในการศึกษานั่นเอง ตกลงในพุทธศาสนาก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ศาสนา เมื่ออย่างนี้มันก็ต่างกันลิบลับถูกไหม เรายกตัวอย่างเช่น อย่างศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกนี่ ผู้จะมาเป็นนักบวชนั้นก็คือองค์กรศาสนาคัดเลือกตัวจะเอาใครหรือไม่เอาใครใช่ไหม เอามาแล้วทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ศาสนาต่อประชาชน เขาก็จัดการได้ตามสบายมีระบบการปกครองอะไรก็ทำไป ทีนี้ของพุทธศาสนานี่แต่ละคนเขามีสิทธิ์นี่ ฉันไม่มีข้อบกพร่อง เรียกว่าอันตรายที่เรียกว่าซ้อมขานนาคกันมาแล้ว ไม่มีข้อบกพร่องฉันมีสิทธิเข้าไปนี่ เพราะฉันต้องการจะใช้สังฆะหรือวัดนี่เป็นสภาพแวดล้อมเอื้อโอกาสในการพัฒนาชีวิตของฉัน เอ้าซิเข้าไป เข้าไปทีนี้ เกิดมีคนที่เจตนาไม่ซื่อใช่ไหม ถ้าให้ดีก็อาจจะมีสักหน่อยว่ามาตราการยังไงจะได้รับคนที่มีเจตนาซื่อจริง ๆ ต้องการเข้ามาฝึกตัว นี้อย่างในสมัยที่วัดวาอารามคณะสงฆ์เนี่ยได้รับศรัทธา มีความเจริญมีลาภมากก็เลยเกิดปัญหาทุกที พอว่าเจริญงอกงามมีศรัทธาญาติโยมมากบำรุงกันใหญ่ พระก็ลาภมาก นี้พวกไม่มีศรัทธา เจตนาไม่ซื่อ เพียงต้องการจะเข้ามาเลี้ยงชีพอยากได้ลาภก็เลยเข้ามาแอบแฝง เข้ามาบอกฉันขอบวชใช่ไหม ฉันก็มีสิทธินี่ฉันไม่ได้บกพร่องอะไรก็เข้ามาบวชกันเยอะหมดเลย เอ้าพระก็รับ เอ้อก็มาช่วยกันมาล่ำมาเรียนนะ ก็พวกนี้ไม่มีความรู้อะไรทั้งนั้น ไม่เหมือนอย่างคาทอลิกเขาจะเอามาบวช เขาจะคัดตัวที่จะตั้ง เขาก็จะสอนกันมาต้องจบปริญญาตรีก่อนแล้วจึงเข้าใน เขาเรียกว่าเป็น Seminary จะรับเข้า Seminary เดี๋ยวนี้เรียกสมเณราลัย อย่างที่สามพรานนี่ก็มี จะเข้า Seminary ได้นี่ต้องจบปริญญาตรีก่อนแล้วนะ ขนาดคนที่จะเข้า Seminary จะเรียนฝึกเป็นบาทหลวงนี่ ได้ปริญญาตรีมาแล้วอย่างน้อย แล้วก็มาคัดมาอบรมกันแล้วก็ดูอีกว่า ทางฝ่ายองค์กรศาสนาจะเอาไม่เอา ต้องคัดตัวกันอย่างงี้ เพราะมาเป็นเจ้าหน้าที่ศาสนา นี้ของเราไม่อย่างนั้นใช่ไหม เข้ามาปั๊บก็เป็นพระแล้ว มีสิทธิเหมือนกันหมดความรู้ไม่มี ฝึกตนยังไม่ได้ฝึก แต่เข้ามาเพื่อจะฝึกเกิดไม่มีเจตนาที่ดี เจตนาไม่ซื่ออีก ต้องการเข้ามาแอบแฝงมาเลี้ยงตัวหาอาชีพหาลาภ เอาละซิ เข้ามาแล้วไม่เรียนสินี่ ไม่ศึกษา แล้วนอกจากนั้นยังเถลไถลอีกอาศัยประชาชนไม่มีความรู้มีศรัทธาผิด ๆ เชื่อไสยาศาสตร์ ไม่เอาพุทธแล้วเอาไสเลย เอาไสยศาสตร์มาเป็นเครื่องมือหาลาภอีก หลอกลวงประชาชนไปกันใหญ่เลย ทีนี้พวกนี้พอมีจำนวนมากก็มีกำลัง พอเป็นใหญ่ขึ้นในวัด เอาละสิทีนี้ พระที่ตั้งใจเล่าเรียนนี่ ชาวบ้านก็ไม่รู้จัก ชาวบ้านเขามุ่งไสยศาสตร์เขาอยากได้ลาภ องค์ไหนที่จะให้ลาภเขาได้ไปหาองค์นั้น ทีนี้พระองค์ที่ตั้งใจเรียนดี ประพฤติดีเขาก็ไม่เอาด้วย นี่ชาวบ้านเป็นอย่างนี้เยอะเลยนะไปหาองค์ที่เก่งไสยศาสตร์ เป็นหมอดูก็ยังดี ให้หวยก็เอา ไม่มีความรู้อะไรเลยให้หวย ให้หวยนี้ให้ได้ทุกองค์เชื่อไหม คือเลขมันมีแค่ 1-0 คนนี้ให้ไป 00 คนนี้ 01 คนนี้ 02 คนนี้ 03 กี่คนถูกคนหนึ่ง แล้วเดี๋ยวก็ได้เรื่องละ คนที่ถูกมันก็พูด คนไม่ถูกมันก็แล้วไป เอาละซิลือแล้ว องค์นี้เก่งให้หวยเก่ง แม่น นี้บางทีความบังเอิญประสงค์เข้าไปเกิดถูก 2 คนขึ้นมา ให้ไปซ้ำกันบ้างอะไรอย่างงี้ เอาละซิชักขึ้นชื่อ ทีนี้ก็มากันเยอะก็ได้ลาภได้อะไร นี้พระที่เป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้ ไม่มีอะไรเลย คนชาวบ้านก็มานิยม พอนิยมมีลาภขึ้นมาก็มีอำนาจ ไอ้ลาภกับยศนี่มันมาด้วยกันนะ พอมีลาภก็มีกำลัง นี้พระที่เล่าเรียนนี่ชาวบ้านก็ไม่เอาใจใส่ไม่สนับสนุน แล้วก็คนไม่นับถือทั้งลาภทั้งยศไม่มี ต่อมาพระองค์ที่เล่าเรียนที่ประพฤติปฏิบัติต้องขึ้นกับองค์ที่มีลาภมียศ ที่เล่นไสยศาสตร์หรือโหราจารย์หรืออะไรก็แล้วแต่จริงไหม ต่อมาองค์นั้นมีอำนาจ องค์ไหนไม่ดีขับไล่เลย องค์นี้ร่ำเรียนตั้งใจปฏิบัติดีนี่น่ากลัวจะเป็นภัยอัตรายต่อไปไล่ไปซะเลย อย่างนี้ก็มี ต่อมาก็กลายเป็นว่ามีแต่พระประเภทเดียวกันนี่มาอยู่ พระศาสนาจะเป็นยังไงท่าน นี่ละครับ นี่สภาพคฤหัสถ์สังคมไทย ก็ชาวพุทธไม่มีการศึกษาไม่รู้พุทธศาสนาคืออะไร ก็ไปนิยมเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องไม่เป็นเรื่อง หาลาภให้แก่ตัวเอง ต้องการไปหาพระเพียงได้ลาภเท่านั้น ก็หมดซิ ต่อมาก็ไม่มีเหลือเนื้อเลยพระพุทธศาสนาทั้งคฤหัสถ์ทั้งฆราวาส แล้วพระที่ดีก็ไม่มีกำลังอะไรอยู่ก็แทบจะแย่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทั้งหมดนะ พระที่ดีก็มี แต่นี่ผมเล่าให้ฟังเป็นตัวอย่าง เพราะฉะนั้นเราก็เหมือนกับไม่มีหลักประกันอะไรเลย ทีนี้บ้านเมืองก็เลยช่วย เช่น ในสมัยโบราณนี่ท่านก็ต้องเข้ามาสนับสนุนพุทธศาสนา เพราะว่าคฤหัสถ์เหล่านั้นที่เป็นผู้ใหญ่มีความรู้เคยบวชเรียนมาแล้ว สมัยก่อนของเรานี่บวชเรียนแล้วทั้งนั้นนะ อย่างรัชกาลที่ 1 อย่างพระเจ้าตากสิน ทุกท่านเจ้านายในราชวงศ์จักรีนี่ทุกพระองค์บวชมาแล้ว บวชสมัยนั้นต้องเรียนจริง ๆ นะ จะเห็นว่าเจ้านายในราชวงศ์จักรีนี่เก่งภาษาบาลี บางองค์นี่ กรมพระจันทรบุรีนี้ได้พระเปรียญนะ เก่ง ๆ กัน มีความรู้ นี้ท่านก็รู้สิว่าอะไรเป็นหลักพระศาสนา เมื่อรู้ก็ต้องร่วมมือกันพุทธบริษัทนี่ก็รู้ว่า เอ้อ เรามีวัด มีพระสงฆ์เพื่ออะไรก็จะได้เปิดโอกาสให้คนที่ต้องการศึกษาพัฒนาตนเจริญสมถะวิปัสสนาเข้าไปศึกษาบ้านเมืองก็ต้องคอยดูแลประชาชนนั่นแหละ 1 ประชาชนก็รักษาพระศาสนาด้วยศรัทธาที่ถูกต้อง ศรัทธาก็คือความเลื่อมใส จะเลื่อมใสพระยังไง ฉันมีหลักอยู่แล้วนิ หลักของความเป็นอุบาสก ท่านลองไปอ่านดูซิ องค์ของอุบาสก 5 เอ้า อุบาสก อย่างนี้มันก็ใช้ได้แล้วซิ มีความรู้แล้ว พระยังไงดีนับถือไหม ทีนี้ชาวบ้านทั้งหลายนี่มีความรู้แล้วก็ศรัทธาพระที่ถูกต้อง พระไม่ดีนี่ไม่เอาด้วย อยู่ไม่ได้สึก หรือไม่งั้นไปเลย ในคัมภีร์อย่างอรรถกถาธรรมบทจะมีท่านไปอ่านดูชาวบ้านเนี่ย พระอยู่กับเจ้าอาวาส พระองค์นี้ประพฤติตัวไม่ดี ชาวบ้านมาเลยมาทั้งหมู่บ้าน ขออภัยก็คือไล่เลย ชาวบ้านนี้ไล่พระนะ สมัยโบราณเป็นอย่างนั้น พระที่ประพฤติตัวไม่ดี ไม่เป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ศรัทธาที่ถูกนะไม่ใช่ศรัทธาเหลวไหลงมงาย ศรัทธาที่มีหลักรู้หลักพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นชาวบ้านพุทธบริษัทก็รักษาพระศาสนา พระสงฆ์ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ท่านรู้หลักพระธรรมวินัยมีเวลาเล่าเรียนตั้งใจศึกษาก็เอามาถ่ายทอดเผื่อแผ่ให้ญาติโยมคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ก็มีความรู้พอที่จะตัดสินใจได้อะไรถูกอะไรผิด ก็รับนับถือเลื่อมใสพระสงฆ์ที่ถูกต้องก็อยู่กันด้วยดี พระก็คุมญาติโยม โยมก็คุมพระ โยมคุมพระด้วยศรัทธา ว่าถ้าท่านประพฤติไม่ดี ไม่มีความรู้ธรรมวินัยฉันไม่นับถือ ก็อยู่ไม่ได้ โยมก็คุมพระด้วยศรัทธาด้วยความเคารพนับถือนี่แหละ ด้วการกราบการไหว้นี่แหละ คุมพระเลย นี้พระก็คุมโยมด้วยศรัทธาของโยมอีก เพราะเมื่อโยมนับถือฉัน ฉันประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ฉันก็เท่ากับมีสิทธิสอนเธอนะ เธอต้องเชื่อ พระที่ท่านประพฤติดีปฏิบัติชอบมีความรู้ดีท่านก็สอนสิ เอ้อ ทำอย่างงั้นไม่ถูกนะโยม ต้องละ แล้วคนที่เขาเป็นผู้มีฐานะ เป็นผู้ที่ได้รับการนับถือพระในสังคม เขานับถือพระที่ดี พระที่ดีก็เท่ากับได้รับอำนาจจากญาติโยมด้วยกันเองอีก พวกคฤหัสถ์ทั่วไปเขาก็นับถือผู้ใหญ่ในสังคมของเขาที่ดี พวกนี้ก็คุมพวกนั้นอยู่แล้ว พระไปสอน พระนี่พูดอย่างไงต้องอย่างนั้นเลย เพราะนั้นหลวงพ่อในชุมชนบทสมัยก่อนนี่พูดอะไรวาจาสิทธิเลยนะ อย่างสมัยหลวงพ่อผมนี่ มีงานวัด เอ้าเราก็ต้องการคุมให้ประชาชนนี่ไม่เถรไถร งานเงินมหรสพอะไร งานกิจการชุมชนเอาไปในวัดให้หมด ท่านอย่าไปนึกว่า ทำไมไปมีงานมหรสพรื่นเริงในวัด เป็นวิธีของโบราณเขา เมื่อไปอยู่ในวัดแล้วอะไรมันคุมได้หมด เอ้าเมื่อมหรสพไปอยู่ในวัด พระก็คุมได้แล้ว 1 ศรัทธาชาวบ้านเองจะไปทำอะไรเหลวไหลในวัดไม่ได้นะบาป เอาละ 1 แล้ว 2 หลวงพ่ออยู่ที่กุฏิ แม้แต่ทะเลาะกันนะ บอกหลวงพ่อมาแล้วเท่านั้นแหละ พอบอกหลวงพ่อมาแล้วหยุดหมดเลยนะ พวกที่ทะเลาะกันจะตีกัน หลวงพ่อพูดคำเดียวคำไหนคำนั้น นี่มันศักดิ์สิทธิอย่างนี้ ทีนี้เขาก็เอามหรสพไปไว้ในวัดเพราะว่ามันคุมอยู่ไม่ให้เถรไถร สมัยนี้มหรสพไปอยู่นอกวัดเป็นยังไงครับ มันไปได้ทุกอย่างเลยใช่ไหม มีอะไรยิ่งกว่าซ่องโสเภณีอีกไปกันได้สาระพัดเลย เพราะมันไม่มีระบบควบคุมทางศีลธรรม นั้นโบราณนี่เขาเอากิจกรรมสังคมทุกอย่างมาไว้ในวัด แม้แต่ที่เรียกว่าเป็นของชาวบ้าน เพื่อให้คุมอยู่แต่แยกส่วนกันนะ ส่วนนี้เป็นส่วนสำหรับพุทธวาทเขตที่ประชาชนเข้ามาจัดอะไรต่ออะไร งานฉลองบูชา สนุกสนานอะไรต่อะไรอยู่กันในแถบนี้ ส่วนแถบนี้เป็นสังฆราวาสส่วนของพระกันสงบไม่ยุ่งกัน พระก็เหมือนกันมีบารมีคุมจากส่วนที่สงบนั่นแหละมาถึงฝ่ายนี้หมดเลย ทีนี้ถ้าระบบของเราเป็นอย่างเดิม ก็เป็นอันว่าประชาชนนี่คุมพระได้อยู่แล้วด้วยศรัทธา ทีนี้ประชาชนคุมอีกชั้นหนึ่ง คือว่าตัวแทนของประชาชนในระดับสูงขึ้นไปคือผู้บริหารผู้ปกครองบ้านเมืองขึ้นไปถึงองค์พระประมุขของชาติ ท่านเหล่านี้ก็เหมือนทำหน้าที่แทนประชาชน เวลามีเรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้นมาก็ไปทำหน้าที่แทน ฉะนั้นถ้ามีพระประพฤติไม่ดีอะไรต่ออะไร มีคนเข้าไปแอบแฝงในพุทธศาสนาหาลาภหาผลอะไรเลี้ยงชีพไปในทางไม่ถูกต้อง แทนที่ว่าชาวบ้านจะต้องไปทำเอง ถ้าทำลำบากก็อีกชั้นก็คือให้ตัวแทนของตัวเองก็คือ ผู้ปกครองผู้บริหาร ตั้งแต่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์นี่ท่านไปจัดการ ท่านก็ไปดำเนินการ เช่นไปปรึกษากับพระสงฆ์ เอ้อมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในพระศาสนาจะเอายังไงกัน แต่ก่อนนี้ก็มีหลักอย่างนี้ จักรวรรดิวัตรบอกแล้วนี่ข้อสุดท้ายเลยนะ บอกเลยว่าหน้าที่ของธรรมราชา ราชาผู้ทรงธรรมเป็นจักรพรรดิ์นี่ วัดข้อปฏิบัติพระองค์ข้อสุดท้าย คุมท้ายก็คือว่า ต้องหมั่นไปหาสมณะเพื่อไปสอบถามว่าการใดดี การใดไม่ดี อะไรควรจะทำยังไง ปฏิบัติยังไง เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์แต่เดิมมาก็ต้องพบกับพระเป็นประจำ ท่านใกล้ชิดกันมากอย่างนายหลวงรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จบางองค์นี้ โอ้ใกล้ชิดกันเป็นกันเอง เอ้าเราได้ยินดีนี่ อย่างสมเด็จโต รู้จักสมเด็จโตทุกคน หลวงพ่อโตนะแหละ หลวงพ่อโตท่านก็คุ้นกันมากกับนายหลวงใช่ไหม โดยเฉพาะรัชกาลที่ 4 นี่ ท่านก็ล้อกันได้ หยอกกันได้ ก็ไม่มีใครจะไปว่าพระมหากษัตริย์ได้ใช่ไหม ใครจะไปเตือนละคอขาด ก็พระนี่แหละ หลวงพ่อโตท่านก็เตือน บางทีท่านก็ถืออะไรนะ เออจุดเทียนเป็นกลางวันไปเข้าวัง เอ้านายหลวงก็ เอ้อหัวโตจุดเทียนมาทำไมกลางวันไม่ได้มืดอะไร หัวโตท่านก็พูดอะไรบางอย่างเป็นการที่ให้ทรงทราบเอง คล้าย ๆ เตือนพระสติ บางครั้งนายหลวงก็ทรงกริ้วมากนะ หัวโตทั้งที่ท่านนับกันอย่างงั้น ไล่หัวโตออกจากแผ่นดินเลยนะ รัชกาลที่ 4 เคยไล่ใช่ไหม หัวโตท่านก็ เอ้าไล่เราทำไง ไล่ท่านก็เข้าไปอยู่ในโบสถ์ เอ้า ทางฝ่ายบ้านเมืองมา เอ้าฉันออกจากแผ่นดินของพระเจ้าแผ่นดินแล้วว่าอย่างงั้น ฉันอยู่ในเขตของพระพุทธเจ้าในสีมา สีมานี่พระเจ้าแผ่นดินยกให้แล้วนี่ใช่ไหม เป็นวิสุงฆาสีมา เวลาจะผูกสีมาพระเจ้าแผ่นดินต้องยกให้แล้ว เอ้าไม่ใช่เขตพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินไม่มีสิทธิ หัวโตท่านก็บอกว่านี่ไม่เกี่ยวแล้วนะ ท่านออกจากแผ่นดินของนายหลวงแล้ว ท่านก็อยู่ของท่านได้ จนกระทั้งนายหลวงหายพิโรธ นายหลวงก็ทรงเลิกเอาโทษก็กลับคืนอยู่แผ่นดินไทยได้ หัวโตก็ออกจากโบสถ์ อย่างงี้เป็นต้น นี่ท่านก็เอาแรง ๆ เหมือนกัน ก็เป็นอย่างงี้เจ้านายพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองบ้านเมือนก็ทราบหลักพระศาสนา แล้วมีการติดต่อสื่อสารปรึกษากับพระสงฆ์อยู่