แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ระยะนี้ก็มีข่าวที่ไม่ค่อยดีเยอะนะ ได้ยินข่าวอันหนึ่งก็แปลก ที่ว่า อบจ. องค์การปกครองท้องถิ่นระดับจังหวัด ก็เกิดเป็นเรื่องเป็นราว จับได้ว่าทางด้านการศึกษาของท้องถิ่นก็ต้องใช้หนังสือแบบเรียน ก็มีการสั่งหนังสือเรียนมาให้เด็ก เด็กนักเรียนมีจำนวนเป็นร้อยๆ กี่ร้อยไม่ทราบ แต่หนังสือที่สั่งมานั้นเป็นหมื่น ที่สั่งมาเป็นหมื่นก็เพราะว่าเรื่องเงินเรื่องทอง มันก็หลายด้านที่ว่าเซ็นต์กับบริษัทที่ขายหนังสืออะไรพวกนี้ อาจจะอะไรหลายอย่าง รวมแล้วก็คือเรื่องผลประโยชน์ ก็ทำให้มองว่าแม้แต่การศึกษาของเด็กก็ยังเป็นปัญหาขนาดนี้เลย แล้วมันก็โยงไปอีกด้านหนึ่งคือการปกครองท้องถิ่นที่มีปัญหา ซึ่งเราก็ได้ยินมาเยอะแล้ว อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเรื่องใหญ่ด้วย เรื่องการศึกษา แล้วจะให้มีคุณภาพการศึกษาอย่างไร รากฐานอนาคตของประเทศชาติ เวลานี้ก็เดี๋ยวก็ข่าวโน้น เดี๋ยวก็ข่าวนี้ ตอนที่แล้วก็เรื่อง ตชด. ที่จับคนยัดข้อหายาบ้า เดี๋ยวก็มีเรื่องตรวจกันเรื่องรถ แชร์รถ เรื่องผลประโยชน์ แล้วก็มาเรื่องถอดน็อตที่หมอนรางรถไฟ ถอดน็อตเสาไฟฟ้าแรงสูง ดูมันไปกันใหญ่ ข่าวในเรื่องสังคมเสื่อมโทรมนี้ คนได้ยินกันไปจนกระทั่งเป็นบรรยากาศธรรมดา จะชินชากันไป ยิ่งคนที่ดูโทรทัศน์ด้วยก็คงจะเห็นจำเจ อาจจะทำให้นึกไม่ออกว่าสังคมอีกสมัยหนึ่งมันเป็นยังไง ข่าวอย่างนี้สมัยก่อนก็นึกไม่ถึงว่ามันจะมีขึ้นได้ ที่คนจะมาถอดเอาน็อตเสาไฟฟ้าแรงสูง หรืออะไรขนาดนี้ ทำให้มันถึงกับพังทลายลงมา แล้วก็ขนาดสายไฟแรงสูงที่มันไม่มีพวกหุ้ม สายที่ไม่หุ้ม เขาก็ตัดกันเยอะแยะเลย อย่างที่ภูเขาที่พนมสารคาม โยมก็โดนเรื่อยแหละ ที่พระที่นี่ไปพักกันบ่อยๆ เดี๋ยวก็มาตัดสายไฟเอาไปขาย โยมก็ต้องแก้ปัญหา ในที่สุด อันไหนที่ลงดินได้ก็ทำลงดินไป ตอนนี้ก็เหมือนกับว่าเรื่องความปลอดภัยก็ดี ความปลอดภัยต่อชีวิตก็ดี ต่อทรัพย์สินก็ดี แย่ลงไปเรื่อยๆ จะอยู่กันไม่เป็นสุข นอกจากนั้นพวกสินค้า พวกอะไรต่างๆ เครื่องอุปกรณ์ก็ราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเป็นต้น ขึ้นอีก ก็เป็นเรื่องของความเจริญ ซึ่งที่จริงก็ควรนำมาซึ่งความสุขแก่มนุษย์ สมัยก่อนมนุษย์ก็วาดภาพว่า เมื่อมีอะไรต่ออะไรพรั่งพร้อมทุกอย่าง เทคโนโลยีเจริญมาก อุตสาหกรรมเจริญ มีสิ่งเสพบริโภค ทุกอย่างทุกประการ แสนจะมีความสุข แต่พอมาถึงยุคนี้ก็ไม่เห็นว่าคนจะมีความสุขกัน ดูมันจะทุกข์หนักเข้าไปอีก แล้วในสภาพสังคมแบบนี้ ก็มีคนสองพวกที่จะมีความสนใจกับสภาพความเป็นไปเป็นพิเศษ ก็คือหนึ่ง-พวกที่ถูกผลกระทบรุนแรง เช่นว่าจะไม่มีอยู่มีกิน หาทางออก ทำยังไงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ มันก็มาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การลักขโมยอาชญากรรมชนิดที่แปลกๆ อีกพวกหนึ่งคือพวกที่ได้ผลประโยชน์จากสภาพความเป็นไปของสังคม สังคมที่มันเสื่อมแบบนี้ก็มีคนได้ผลประโยชน์มาก บางคนก็อยากจะให้มันเป็นอย่างนี้ แล้วจะได้ผลประโยชน์มากขึ้นๆ ส่วนคนทั่วไปก็ได้แต่รับข่าว พออยู่กันไปได้ก็เพียงแต่รับรู้ว่ามันไม่น่าสบายแต่ก็ชินชาพอสมควร ก็อยู่ไปเรื่อยๆ ทีนี้ว่าระยะยาวมันก็คือปัญหานั่นแหละ แล้วจะแก้กันอย่างไรล่ะ
คำถาม : ??? การสร้างจิตสำนึก ??? เราต้องรับผิดชอบสาธารณสมบัติ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ครับ อันนี้แหละทำไง เพราะว่าจิตสำนึกต่อส่วนรวมนี่ เดี๋ยวนี้ มันแทบจะไม่มี มันทั้งหมด ไม่เฉพาะทรัพย์สมบัติ จิตสำนึกในการมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมของสังคมมันแทบไม่มีเหลือ มันก็คำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว อย่างน้อยก็ความอยู่รอดส่วนตัว
คำถาม : ตรงท่อระบายน้ำ??? ต้องเอารถสิบล้อมาขน ???ท่อระบายน้ำ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็นี่แหละ คือมันไม่ใช่แค่เพียงความจำเป็นเพื่อรอดชีวิตเท่านั้น มันกลายเป็นว่ามันเห็นเป็นเรื่องที่ว่าจ้องหาจ้องเอา ไม่ใช่ว่าหมดทางากิน มันจะตายอยู่ไม่ได้ ก็เลยเอาเท่าที่มันช่วยให้ชีวิตรอดไปก่อน นั่นก็ระดับหนึ่ง อันนี้มันกลายเป็นว่าจ้องของที่ตัวอยากจะได้อยากจะเอาสิ่งเหล่านี้โดยไม่คำนึงถึงโทษผลเภทภัยอะไรที่จะเกิดขึ้นกับส่วนรวม ก็นั่นแหละจิตสำนึกต่อส่วนรวมไม่มีเลย ทีนี้ท่ามกลางสภาพแบบนี้มนุษย์ก็เลยไม่ได้คิดอะไรที่มันสูงขึ้นไป ด้านหนึ่งก็เหมือนกับว่าอยู่ในสังคมแบบนี้ ก็หวังความสุขจากการเสพบริโภค มีวัตถุสิ่งของบริโภคพรั่งพร้อม อีกด้นหนึ่งก็คือว่ามันมีความบีบคั้นในความเป็นอยู่ ทำยังไงจะอยู่รอด แล้ววัตถุประสงค์จุดหมายมาเพื่อได้แค่นี้ เพื่อจะได้มาเสพบริโภคให้พรั่งพร้อม มันก็เลยไม่มามองกว้างออกไปถึงความเป็นมนุษย์ที่ว่ามีอะไรที่มันนอกเหนือจากการที่ว่าเกิดมาแล้วก็กินอยู่เสพบริโภค แล้วก็หมดชีวิตไป ว่าไปแล้วชีวิตมนุษย์นี่มันเป็นชีวิตที่แสนวิเศษ คนเรานี่ประกอบด้วย จะมองเป็นแบบกลไกอย่างที่พระท่านเรียกว่า สรีระยันตระ ท่านใช้คำว่า ยันตะ ก็ในแง่ร่างกายก็มหัศจรรย์ที่สุดแหละ มันมีสเกลค่าความสามารถอะไรต่างๆ เยอะแยะ ความสามารถพิเศษของมนุษย์ที่ธรรมชาติมีไว้ให้ มนุษย์ได้ใช้แค่ไหน ถ้าเราเกิดมาแค่อยู่หาเงินหาทอง เสพบริโภคแล้วจบชีวิต ความวิเศษที่มีในตัวชีวิตของมนุษย์เองก็เลยยังไม่ได้เอามาใช้เลย ว่าไปก็คล้ายๆ อย่างนั้น มันก็กินอยู่เสพบริโภคพอๆ กับสัตว์ เพียงแต่มีความสามารถในการทำสิ่งที่จะมาเสพบริโภคให้มากขึ้น ก็เพื่อสนองความต้องการพื้นฐาน แต่ทีนี้ว่าความพิเศษที่เรียกว่าประเสริฐของมนุษย์ ที่มันมีอะไรเป็นฐานรองรับเป็นพื้นไว้ให้เนี่ย น่าจะคิดกันว่าน่าจะได้อะไรที่เขาเรียกว่าศักยภาพที่จะบรรลุผลอะไรพิเศษสูงกว่านี้อีกมากมายสักเท่าไหร่
คำถาม : นอจากจะสร้างจิตสำนึก จะต้องการแก้ปัญหาได้ถูกต้อง บังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ทีนี้ปัญหามันเป็นที่เขาเรียกว่าวงจรร้าย บอกว่าจะแก้ปัญหาได้ก็ต้องบังคับใช้กฎหมายให้ได้ผลดี เด็ดขาด แล้วใครเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายละ ใช่ไหม พวกนั้นแหละตัวสำคัญ นั่นก็เป็นตัวที่เอาซะเองอีกก็เยอะ ก็อย่างปัญหาเมื่อกี้ใช่ไหม แล้วทำยังไงถึงจะให้พวกนี้สามารถบังคับใช้กฎหมายออกไปตลอดกระบวน ไปถึงผู้ที่ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่บังคับใช้กฎหมาย ขั้นตรากฎหมายอีก พวกตรากฎหมายนี่มีคุณสมบัติดีพอไหมที่จะมาสร้างกฎหมายให้มันดี หรือเอาใจใส่ที่จะสร้างกฎหมายให้มันดี กฎหมายอะไรที่มันบกพร่องก็แก้อันนั้น กฎหมายที่จะให้ได้ผลดี เอาใจใส่ปรับปรุงพัฒนาเรื่องนิติบัญญัติ เรื่องกฎหมายเรื่องการออกกฎหมาย ก็ไม่ได้เอาใจใส่เท่าไหร่ มันจะไปคำนึงให้กฎหมายอะไรได้ผลประโยชน์แก่เรา มันก็ไปอีกชั้นหนึ่งใช่ไหม แล้วก็ไปถึงประชาชน ประชาชนก็ไม่ได้รับการพัฒนาคุณภาพ จิตใจคิดแต่ว่าจะได้อะไรผลประโยชน์ที่มาถึงตัว แม้แต่ว่าจะเลือกตั้งก็แล้วแต่ใครจะมาให้ผลประโยชน์ มันก็เลยกลายเป็นวงจรร้ายทั้งสังคม แล้วเริ่มที่ไหนล่ะ
คำถาม : ??? คนที่มีอยู่ก็ไม่มี ???
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็ต้องหมายความว่าใครตระหนักรู้ต้องเริ่มที่จุดของตัว แล้วก็โยงไป จากจุดเริ่มที่ตัวแล้วก็โยงไปอันไหนโยงได้โยงทางนั้น แต่ไม่ใช่มารอปัด ไปเอาโน่น รอนายคนนั้น รอจุดนั้น อะไร ไม่มีทาง สังคมแบบนี้มัน คือมันไปเสียถึงฐานแล้ว คุณภาพคน ใช่ไหม ทีนี้ถ้ามันเป็นที่ระบบเท่านั้น ระบบที่มีอยู่เนี่ย มันแก้ที่ระบบเป็นขั้นๆได้ ทีนี้มาแก้ ตัวคนมันเสียแล้ว ทำไง มันก็ต้องแก้ที่ตัวคน ทีนี้เราก็หวังว่ายังมีตัวคนดีอยู่ คนที่ดีอย่ามัวไปรอระบบ ไม่ได้เลย ก็ต้องเริ่มที่ตัวนั่นแหละ มีคนดี มีคุณภาพดีที่ไหน ก็ต้องเริ่ม เริ่มสิ่งที่ตนทำได้ แล้วก็ไม่ละทิ้งส่วนรวม ก็โยงไปสิ ส่วนรวมอันไหนที่ตัวเกี่ยวข้อง ก็โยงกันไป ไม่อย่างนั้นแล้วก็ซัดกันไปซัดกันมาอยู่นี่แหละ ตอนนี้เป็นสังคมที่เกี่ยงกันใช่ไหม ซัดทอดกัน ฉะนั้นรอไม่ได้นะสังคมนี้ ก็คำนึงถึง 2 ประการ ก็ต้องสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมด้วย พร้อมกันนั้นก็ความเป็นมนุษย์ที่มีในตัวเอง ให้ตระหนักรู้ว่าเรามีศักยภาพอะไรเป็นพิเศษของความเป็นมนุษย์ ที่จะทำอะไรเป็นผลประเสริฐสูงขึ้นไปได้อีกเยอะ ทำไมเรามามัวอยู่กันแค่นี้ พัฒนาชีวิตพัฒนาศีกยภาพที่ดี ให้มันเข้าถึงสิ่งเหล่านั้น ให้มนุษย์ตระหนักในความสามารถ ศักยภาพอื่นๆ ด้วย ใช่ไหม ให้รู้ว่ามันมีอะไรที่สูงขึ้นไปกว่านี้ที่จะได้ ระบบเศรษฐกิจสังคมปัจจุบันนี้ที่พูดกันบ่อยๆ ว่ามันเอาเศรษฐกิจเป็นจุดหมายแล้ว ก็คือเอาความพรั่งพร้อมของสิ่งเสพบริโภคเป็นจุดหมาย ทีนี้มันก็ขัดกับหลักทางพุทธศาสนา ทางพุทธศาสนาบอกว่าเศรษฐกิจเป็นปัจจัย เป็นฐาน เป็นเครื่องเกื้อหนุน เพราะเรามีจุดหมายที่สูงขึ้นไป แต่เราจะไปไม่ได้ ถ้าเราไม่มีปัจจัยมีวัตถุเป็นเครื่องเกื้อหนุน เราก็อาศัยวัตถุมาเป็นเครื่องเกื้อหนุนที่จะให้เราพร้อมก้าวต่อไป มันจึงจะมีอะไรที่จะเดินหน้าไป ทีนี้เขาไปมุ่งหวังสิ่งเสพบริโภคเป็นจุดหมาย แต่ละคนมันก็ต้องมุ่งมาเอานี่ ก็ต้องแย่งกันอยู่นี่ แล้วมันก็ไม่ไปไหน ก็ต้องแก้กันไปล่ะนะ แต่อย่าไปยอม
คำถาม : ??? ต้องให้การศึกษาแก่คนแต่ละคน
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ครับ ก็การศึกษา ถ้าพูดแบบคลุมก็คือต้องให้การศึกษา เข้าพัฒนาคน แต่ว่าถ้าพูดการศึกษา เดี๋ยวนี้ก็มีตัวเงื่อนไขข้อแม้ขึ้นมาอีกว่า ต้องเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง หรือว่าต้องเป็นการศึกษาที่จริงที่แท้ ไม่ใช่การศึกษาเพียงที่เรียกๆ กัน แล้วก็เข้าใจกันไม่ชัด ถ้าไปถามคนทั่วไป แม้แต่ชาวบ้านว่าการศึกษาคืออะไร อ้อ คือการไปโรงเรียน แล้วก็ได้ขึ้นชั้นต่อไป ไปมีงานทำ แล้วก็จะได้หาเงินได้ไงล่ะ ใช่ไหม นี่เขาเรียกการศึกษา การศึกษาในความหมายของพระก็คือว่าการศึกษาก็คือการทำชีวิตให้ดีขึ้น ดีขึ้นในทางไหนบ้าง ทางความสัมพันธ์กับโลกภายนอก ที่ท่านเรียกว่ามีศีล ใช่ไหม สัมพันธ์กับวัตถุปัจจัยสี่ เสพบริโภคก็ได้ผลดี ใช้ตา หู เป็นต้น ให้ได้ผลดี มีประโยชน์กับชีวิตของตนเอง ไม่เกิดโทษ แล้วก็อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ได้อย่างมีความสุขด้วยกัน เกื้อกูลกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ก่อทุกข์ให้แก่กันอันนี้เขาเรียกการศึกษา การศึกษาในความหมายของพระก็คือว่า การศึกษาก็คือการทำให้ชีวิตตัวเองมีความสุข มีอิสระมากขึ้น มีความสุขที่ยั่งยืนยาวนานมากขึ้น ไม่ใช่ชั่วแวบๆ ผ่านไป อะไรอย่างนี้ ทางด้านจิตใจก็มีเรื่องต้องก้าวหน้าไปอีกเยอะ แล้วก็ทางด้านปัญญาความรู้ความเข้าใจ อะไรต่างๆ หันไปดูแล้วคนเรา ตัวเองถามตัว ยังไม่รู้เยอะแยะ เรื่องชีวิตของตัวเองก็ไม่รู้ เรื่องความเข้าใจ ความเป็นไปของโลกอะไร ที่มันเป็นเรื่องของสิ่งรอบตัวที่เราอาศัยกันอยู่ ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ จะอยู่กับมันยังไงจึงจะดีให้มันเกื้อกูลต่อเรา ให้โลกนี้มันเป็นที่น่าอยู่น่าอาศัย แต่ก่อนนี้ทำไมคนอยู่กันก็ไม่เจริญอย่างนี้ แต่กลับมีธรรมชาติแวดล้อม ลมดี ออกไปบ้านนอกบางทีบางแห่งก็ยังมีลมดี สดชื่น ไปทะเลน้ำก็ดี ต้นไม้ยังเขียวสดชื่น มันก็เป็นความสุข เป็นความสุขที่ขาดไม่ได้ด้วยนะ ความสุขจากวัตถุเสพบริโภคเสียอีก กลับไม่ยั่งยืน กลับไม่แน่นอน เราขาดไม่ได้หรอก อยู่โดยปราศจากธรรมชาติ ในที่สุดพื้นฐานของชีวิตมันก็เป็นธรรมชาติ ก็นี่ให้คนได้คิดกันซะบ้าง แล้วอย่างน้อยคุณก็มีความสุขให้ครบด้าน แล้วก็ให้สูงขั้นขึ้นไป แค่ครบด้านก็ไม่ครบแล้ว ความสุขของคนเรามันก็ต้องมีทั้งกินเสพบริโภค อันนี้ประการที่หนึ่ง ใช่ไหม ซึ่งเป็นเรื่องตัวเอง ความสุขกับคนรอบตัว อยู่ร่วมกันด้วยความสุข ตอนนี้ก็ไม่ค่อยสุขแล้วไปไหนก็ระแวง มันจะเอาอะไร ทรัพย์สินบ้าง ชีวิตบ้าง อันตราย ความสุขกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ภูเขา น้ำทะเล อากาศ ต้นไม้อะไรต่างๆ เหล่านี้ ที่มันสบายตาสบายใจ สัมผัสแล้วก็มีชีวิตชีวา แล้วลึกเข้ามาก็เป็นใจของตัวเอง อยู่กับใจตัวเองได้สบายตลอดวัน อะไรอย่างนี้ เป็นอยู่แต่ละด้านๆ ความสุขของเรามันเป็นอย่างนี้ มันมีครบด้านไหม แล้วสูงขึ้นไปนี่ความสุขมันก็ยังขึ้น มีหลายระดับ ความสุขระดับเสพบริโภค อาศัยผัสสะ อาศัยสิ่งภายนอก ความสุขที่พึ่งพา นี่ก็ระดับหนึ่ง ต่อไปก็ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอก ไม่มีก็อยู่ได้ มีความสุขได้ มีความสุขในระดับของจิตใจ แล้วก็มีความสุขในระดับปัญญาขึ้นไปอีก อะไรต่างๆ เหล่านี้ ความสุขก็มีหลายด้านและหลายระดับ มนุษย์ก็ควรจะได้รู้ การศึกษาสมัยนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ พอเข้าเรียนก็มุ่งหน้ามุ่งตา วิชานี้เป็นอุปกรณ์ที่จะไปทำมาหากิน การศึกษามันก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การอยู่ในโลกสิ่งแวดล้อม การอยู่กับตัวเองก็ไม่ดีขึ้น จิตใจก็ไม่มีความสุขสบายมากขึ้น ไม่มีความสามารถที่จะสร้างความสุข นอกจากว่าความสุขก็ต้องอาศัยพึ่งพาสิ่งภายนอกแล้ว ความสามารถที่จะสร้างความสุขก็ไม่ได้พัฒนา ก้ได้แค่ความสุขที่มันพึ่งพาสิ่งเสพบริโภคอย่างนั้น ก็เลยต้องยิ่งพึ่งพามากขึ้นด้วยซ้ำ กลับลดทอนความสามารถในการสร้างความสุข มันก็ลำบาก การศึกษาเหล่านี้มันก็เลยไม่ได้ช่วย ศีลก็ไม่เกิด สมาธิก็มาเกิด ปัญญาก็ไม่เกิด ฉะนั้นต้องให้การศึกษาที่มันเป็นของจริงของชีวิต
คำถาม : ??? เป็นแบบอย่าง ??? แล้วก็ในทางปฏิบัติด้วยครับ??? คือการศึกษาด้วยปัญญา ??? เป็นแบบอย่างในการพัฒนาตัวเอง ???
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ก็นี่แหละที่สำคัญก็คือ จิตสำนึกของพระ พระที่มองในแง่เมื่อกี้ก็คือมองเป็นบุคคลหนึ่งๆ ที่ร่วมในสังคม ตอนนี้กำลังพูดถึงว่าทั้งสังคมนี้ ก็ต้องเพิ่มไปว่ารวมทั้งพระด้วย มันทรุดไปหมด ทีนี้ว่าเราจะไปหวังอะไรก็ยาก เพราเวลานี้ก็คือว่า ภาพของพระเองก็อย่างที่เรารู้กัน ข่าวเยอะแยะ คาดหวังแต่ผลประโยชน์ พัฒนาทางหาเงิน ใช่ไหม มันก็เป็นแบบเดียวกับสังคมนี้ ทีนี้ที่เราว่านี่มันเป็นทั้งสังคม แย่กันพร้อมไปหมด เป็นหมดทุกส่วนองค์ประกอบของสังคมรวมทั้งพระสงฆ์ด้วย ทีนี้เมื่อพระสงฆ์เป็น เราก็ต้องเข้าใจนะ เวลาเรามองจิตสำนึกต้องเตือนแต่ละกลุ่มพวกกลุ่มคน แล้วคนไหนฝ่ายไหนมีความรับผิดชอบมากที่สุด ทีนี้อีกอันหนึ่งก็คือพูดแบบรวมที่ว่าทุกคนนี้เป็นส่วนประกอบของสังคมนี้ในขณะที่สังคมมันเสื่อม ไม่ต้องรอพระด้วยซ้ำ คฤหัสถ์ก็รอไม่ได้ ถ้าใครมีจิตสำนึกแล้วก็รู้ขึ้นมา เพราะในทางพระจริงๆ ในที่สุดก็ทุกคนก็มีตัวศักยภาพเหมือนกันหมด คฤหัสถ์ก็แม้แต่ในภาวะที่เจริญงอกงามขึ้นมา สงฆ์เจริญวัตรอยู่ดีแล้วก็ยังมีอยู่เป็นธรรมดา พระที่ดีบ้าง พระไม่ดีบ้าง แล้วโยมก็ไปได้ไกลกว่าก็เยอะ โยมส่วนใหญ่อาจจะไปไม่ได้ โยมที่มีสำนึกดี มีความใฝ่ในฉันทะ ฝึกตนอย่างดี ก็ในสมัยที่อยู่ร่วมกันอย่างนั้นน่ะ โยมก็อาจจะเป็นโสดาบัน สกทาคามี ในขณะที่พระจำนวนมากก็เป็นปุถุชน แต่ว่าโดยอัตราส่วนแล้วพระก็ควรจะไปได้ไกลกว่า อันนี้เป็นธรรมดา ทีนี้ถ้าเตือนสำนึกพระก็ต้องเตือนอย่างนั้น แต่ถ้าว่าทั้งสังคมแล้ว เวลานี้จะเอาอย่างนั้นก็อย่าไปหวัง เพราะไปเรียกร้องพระอะไรก็เรียกร้องไม่ได้หรอก เขาไม่ฟัง พระที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ฟัง ก็ต้องเตือนกันอยู่ ต้องเตือนแต่ว่า ไม่ทิ้ง แต่ว่าเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็คือว่า ใครรู้ตระหนักปัญหาก็เริ่มคนนั้น ทีนี้ปัญหาของพระถ้ามองในแง่สังคมเป็นส่วนรวม เป็นองค์ประกอบในทางสังคมเนี่ย ก็อย่างที่เคยพูดแหละ ด้านหนึ่งเราก็บอกว่าพระแยะ เดี๋ยวนี้ประพฤติเสื่อเสียอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่ปัญหา แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องมองสังคมย้อนกลับว่า โอ้ สังคมส่วนรวมของไทยเวลานี้ ขนาดพระสงฆ์ซึ่งเป็นส่วนที่น่าจะผ่านการกลั่นกรองได้ดีที่สุด เพราะปกติสังคมจะกลั่นกรอง สังคมเวลาที่ดีเนี่ยก็จะกลั่นกรองให้สังฆะเป็นองค์ประกอบ เป็นส่วนที่ดีที่สุด เป็นส่วนคลีนของสังคมนี้ ทีนี้เวลานี้เราต้องพูดว่า แม้แต่ส่วนประกอบที่นับว่าดีของสังคมไทย พระสงฆ์แม้แต่ส่วนประกอบที่ดีที่สุดยังขนาดนี้ แล้วสังคมไทยส่วนรวมจะเหลวเละขนาดไหน ต้องมองกลับ คือคนจะได้รู้ตัวว่าสังคมของตัวเองมันแย่ขนาดไหน ไม่ใช่ไปมองแต่ว่าพระแย่ๆ แต่ที่จริงถ้าพระแย่ขนาดนี้ สังคมส่วนรวมมันถึงขนาดแหละ มันจะล้มแล้ว มันถึงได้ปล่อยให้สงฆ์เป็นอย่างนี้ได้ มองกลับกันนะ ใช่ไหม สังคมส่วนใหญ่มันก็เป็นปัจจัยแก่สังคมย่อย คือสงฆ์ สงฆ์ก็เป็นส่วนที่มาสนับสนุนช่วยสร้างสังคมใหญ่ เวลาที่มีกำลังดี พระหรือสงฆ์จะเป็นปัจจัยมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นผลผลิตของสังคมนั่นแหละ แต่ว่ามันมีระบบที่ช่วย คนที่มีคุณภาพมาช่วยให้เป็นปัจจัยฝ่ายสร้างสรรค์ แต่เวลาสังคมมันเสื่อลงไปมากๆ ตัวที่จะเป็นปัจจัยฝ่ายสร้างสรรค์ในสังฆะ หรือส่วนประกอบที่ดีของสังคม ก็จะลดปริมาณเป็นต้นลงไป ก็จะเหลือแต่ที่เป็นผลผลิตของสังคม ทีนี้พระพวกนี้ก็จะเป็นพระประเภทผลผลิตของสังคม แล้วก็เป็นสังคมที่มันแย่ ก็ผลิตผลที่มันแย่ส่งเข้ามา แล้วข้างในก็ไม่มีตัวที่จะมาเปลี่ยนผลิตผลอันนี้ให้มันดี มันก็ยิ่งแย่ใหญ่ใช่ไหม ก็ซ้ำเติมกันไป เวลานี้ก็ถ้าท่านทราบ เรามองแค่นี้ไม่รู้เรื่องหรอก วันนั้นก็เล่าให้ญาติโยมที่มาเรื่องจะมาแก้ไขสังคมไทย ให้รู้สภาพชนบทอะไรต่ออะไรเป็นต้น มันไปขนาดไหนแล้วเดี๋ยวนี้ เขาประมูลพระแล้ว ประมูลมาหลายปี ท่านทราบไหมครับ หลายปีแล้ว เป็นสิบปีแล้ว เล่าให้ฟังนิดหน่อย คือสภาพสังคมไทยนี้มันมีปัจจัยมันซับซ้อน วันนั้ผมเล่าให้แกฟัง ในช่วง 40-50 ปีนี้ เอาแค่ว่าความเคลื่อนไหวเป็นไประหว่างสังคมชุมชนพระสงฆ์กับชุมชนใหญ่ของสังคมไทย มันมีความเปลี่ยนแปลงเป็นมายังไงบ้าง ในระดับองค์กร แค่นี้ก็ไม่รู้เข้าใจ แล้วสภาพเวลานี้อย่างคนเข้ามาพูดถึงยังไงๆ สภาพการบวชเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่เอาเป็นว่าผลขณะนี้ก็คือสภาพในท้องถิ่น วัดนี้ก็เหลือพระน้อยใช่ไหมในชมบท อันนี้ก็ทราบกันอยู่ จนกระทั่งเวลานี้ วัดที่ขาดเจ้าอาวาส ไม่มีเจ้าอาวาสประมาณ 5,000 วัด ทราบใช่ไหม วัดไม่มีเจ้าอาวาสเพราะอะไร เพราะไม่มีพระที่มีคุณภาพที่จะเป็นเจ้าอาวาสได้ 5,000 วัดนี้ไม่น้อยนะ แม้แต่ที่มีก็คุณภาพไม่ดีเยอะ แล้ววัดที่หาพระอยู่แทบไม่ได้นี่มาก ทีนี้จะทำยังไง ก็กลายเป็นช่องทางพวกที่หนึ่งที่ดีหน่อยก็คนที่อายุมาก ไม่มีแรงทำมาหาเลี้ยงชีพ หมดภาระแล้ว อยากหาความสงบ ก็เข้ามาบวชอยู่วัด ก็ช่วยวัด นอนเฝ้าวัด แต่บางพวกนี่หมดทางทำมาหากินจึงเข้าวัดมาบวชเพื่อหาเงินหาทอง ก็ไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษาอะไร อายุ 60 -70 สภาพนี้เป็นมานานแล้ว ผมเคยไป ตอนนั้นร่างกายยังไปไหนได้อยู่ ไปเยี่ยมตามวัดต่างๆ ผ่านไปก็ถาม ท่านอายุเท่าไหร่ 70 บวชมากี่พรรษา 2 พรรษา องค์นี้เท่าไหร่ 60 บวชกี่พรรษา พรรษาเดียว อะไรอย่างนี้ ก็ที่ผ่านมาตอนนี้มันหลายปีแล้วนะ ที่เกิดวัดหลวงชนิดใหม่ ทราบใช่ไหม ที่จริงมันเกิดมาหลายปี เขาทายกัน ท่านรู้ไหมเดี๋ยวนี้เขาเกิดวัดหลวงชนิดใหม่แล้ว คนก็งงว่าอะไรวัดหลวงชนิดใหม่ ถามไปถามมา ก็เฉลย วัดหลวงตา คือมันไม่มีพระจะอยู่ ก็ได้แต่หลวงตามาเฝ้าวัด เพราะฉะนั้นเราไปเห็นตามชนบท พระอายุมาก ถ้าเป็นสมัยก่อนก็พระมากตามอายุพรรษา ก็จะได้เล่าเรียนศึกษาปฏิบัติ ฝึกหัดอบรมมา ก็จะน่าเคาระนับถือ แต่เดี๋ยวนี้ญาติโยมก็ไม่รู้ ก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้น แล้วจะไปหวังให้ท่านรู้เรื่องแล้วก็ปฏบัติอะไรได้ ใช่ไหม ก็อยู่ไปวันๆ ทำอะไร ทำประโยชน์ ทำบทบาทของตนต่อชุมชน สอนชาวบ้านก็ไม่ได้ เมื่อหลายปีแล้วก็มีโยมคนหนึ่งแกมาจากวัดตามบ้านนอก แกก็มาแนะนำตัว ผมมาจากวัดนั้นจังหวัดนั้นครับ แล้วแกก็เล่าสภาพที่วัดให้ฟัง ว่าที่วัดผมท่านก็มีพระ หลวงตา ท่านมาบวช แล้วทีนี้หาพระไม่ได้ก็ทำไง ท่านก็ต้องช่วยอยู่ สนองความต้องการญาติโยมนั่นแหละ โยมมาทำบุญทำกุศลอะไร ที่เราเห็นถวายสังฆทาน อะไรเหล่านี้ โยมก็บอกว่า พระท่านก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าตอนไหนทำอะไร ตัวแกนี่ก็ทำเหมือนกับมัคนายก ก็ต้องแนะ ก็บอกให้ว่าขั้นตอนนี้ให้ศีลนะ ตอนนี้มให้ทำอย่างนี้อย่างนั้น ต้องมีโยมบอกบท นี่จะเป็นผู้นำอะไรได้ล่ะ ก็อย่างนี้ ก็คือหมดนั่นแหละ คือมีแต่ตัวพระแต่ไม่มีพุทธศาสนาอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือในเมื่อวัดไม่มีพระอยู่ จังหวัดไกลๆ เขาก็มีความจำเป็น อย่างน้อยเวลามีคนตาย ต้องหาพระ อันนี้ก็เป็นเรื่องของวัฒนธรรมประเพณี แม้จะไม่ใช่ส่วนสำคัญ แต่มันก็เป็นส่วนเปลือกที่ว่ามันห่อหุ้มพระศาสนาไว้ แล้วถ้าใช้เป็นมันก็เป็นสื่อนำเข้าสู่หลักธรรมเบื้องสูง โบราณเขาก็ใช้พวกประเพณีวัฒนธรรมนี่มาเป็นสื่อ ทีนี้อตอนนี้มันก็ไม่มีแม้แต่สื่อ แล้ววัดไม่มีพระ โยมมีงานศพเป็นต้น ทำไง โยมก็เดือดร้อน ก็ไปเที่ยวหาพระตามท้องถิ่นอื่น อย่างหลายปีมาแล้วก็มีแหล่งที่จะได้พบ ผมก็ได้พบมากมาย ก็อย่างที่พบ มีพระที่ค่อนข้างเป็นหลวงตามาสององค์ ถามว่ามายังไง อยู่ที่ไหน จะไปไหน บอกว่าผมจะไปจังหวัดเชียงราย เป็นไงจะไปนั่นล่ะ บอกโยมเขามาหา บอกว่าที่นั่นไม่มีพระ ช่วยไปอยู่หน่อย แล้วเขาก็ให้เท่านั้น ก็ไปอยู่ แล้วก็จะให้ผลประโยชน์ ให้เงินให้ทอง ก็ได้ยินตั้งแต่ไม่เจอพระก็ได้ทราบๆ มาแล้ว เขามีประมูลพระ ให้ข้าวสารเท่านั้นเท่านี้กระสอบ เพื่อให้พระไปอยู่ทำพิธีเท่านั้น ไม่ใช่อะไรหรอก เอาแค่ทำพิธี อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราจะไปเรียกร้องหาให้พระเหล่านี้มีจิตสำนึกอะไรได้ ใช่ไหม แล้วใครจะไป ก็ต้องมีพระสอน แล้วจะเอาพระที่ไหนไปสอนล่ะ มันก็ต้องถามกันไปต่อๆ อีก ไม่มีกำลัง ฉะนั้นจึงว่ารู้ตัวตระหนักที่ไหนต้องเริ่มตรงนั้น ทำได้ทำไปเท่าที่ทำได้ ฉะนั้นอย่าไปหวังเลย เราได้อุดมการณ์อุดมคติ พระต้องมีจิตสำนึก แล้วจะให้มีจิตได้ยังไง เมื่อไม่นานนี้ก็มีโยมที่เอาลูกมาบวชที่นี่ พอดีเป็นญาติกัน เขาก็เล่าถึงสภาพวัดในชนบท ขนาดห่างจากกรุงเทพฯส่วนกลางนี้แค่ 100 กว่ากิโลเมตร ตอนนั้นพอดีเป็นระยะที่เรื่อยาบ้ายาเสพติดมันกำลังระบาดมาก เดี๋ยวนี้ก็เริ่มระบาดมากแล้วนะ นั่นแกก็มาบอกว่าเนี่ย เดี๋ยวนี้ที่โน่นชาวบ้านเขาพูดกันว่า ตอนยังไม่บวชก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอบวชเสร็จแล้วเป็นหมด เอ๊ะ หมายความว่าไง เป็นหมด หมายความว่าที่ทำไม่เป็นเช่นสูบยาบ้า ก็เป็น หมายความว่าวัดกลายเป็นแหล่งที่รวมศูนย์เหล่านี้ เพราะอะไร เริ่มต้นที่ว่าตำรวจก็ไม่ค่อยกล้ามายุ่งกับวัด เพราะฉะนั้นพวกที่มันขายยาเสพติดมันก็มาใช้วัดเป็นแหล่งที่ซื้อขายยาเสพติด นัดกัน ต่อมาก็บางคนสูบหรือติดยาบ้าเอง ทำไงดี ใช่ไหม มันจะได้ไม่ค่อยมีใครสนใจ ตำรวจไม่ในใจ มาหลบบวชเป็นพระแล้วสูบดีกว่า ก็เข้ามาบวช โดยเจตนาอย่างนี้ก็มี แล้วต่างจังหวัด แล้วสภาพทั่วไปเหล่านี้เราก็เวลาบวชไม่ได้กลั่นกรองใช่ไหม ก็มาสมัครบวชชก็บวช ก็เข้าไป แล้วเป็นยังไง แม้แต่ท่านที่มีสำนึกดีอยู่บ้างนะ มารบกับปัญหาเหล่านี้ก็แทบตาย ไม่ต้องไปสร้างจิตสำนึกให้การศึกษากับใครหรอก เพราะฉะนั้นสังคมไทยมันยับเยินยู่ยี่หมดแล้ว คือเราต้องรู้ปัญหาด้วย เวลานี้ต้องเข้าใจสภาพการณ์พระศาสนาของเรานี้เป็นยังไง อยู่ในภาวะที่ผมว่าร่อแร่ ได้พูดมานานหลายปีแล้วเป็น 20-30 ปีแล้ว บอกระวังนะพุทธศาสนาในเมืองไทยนี่จะเหมือนต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตาย ไปดู โห ต้นไม้ต้นนี้ใหญ่จริงๆ ต้นไม้ใหญ่มันก็มีสง่าดีนะ แต่ว่าพอดูใกล้ๆ ปรากฏว่ามีนมีแต่ต้น มันไม่มีชีวิต เดี๋ยวนี้มันใกล้สภาพนั้นแล้ว โดยสถาบันองค์กรมันใหญ่ แต่เนี้อชีวิตมันจะไม่มี ฉะนั้นเมื่อรู้ตระหนักปัญหาแล้วก็ ทุกคนทุกท่านจะต้องพยายาม ในส่วนที่เกี่ยวกับตัวนี่เราทำได้เท่าไหร่ทำ แต่ไม่ได้ละทิ้งส่วนขยายไปทางสังคม อันไหนส่วนอื่นที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องได้ เราจะไปกระตุ้นเตือนหรืออะไรได้ เราก็ทำไป แล้วก็ร่วมมือกัน เลยพูดเรื่อยเปื่อยไป มีอะไรอีกไหมครับ
คำถาม : ???
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : นั่นแหละผมก็เคยไป ผมก็เจอ หลวงตาองค์นั้น อาจจะองค์เดียวกันมั้ง ยังอยู่เหรอ ??? ที่ผมไปก็โน่น ก่อนปี 38 ??? พระเหรอมาเอาไม้ ??? อ๋อ ปล่อยให้เขาตัดไป ??? นั่นก็หมายความว่านั่นเป็นตัวโยงใยสิ แล้วก็เปลี่ยนองค์ใช่ไหม แล้วตอนนี้ก็ได้องค์ใหม่ที่คงจะมั่นใจ ??? นี่ขนาดสวนโมกข์ ถ้าได้พระสักองค์ยิ่งหายาก ยิ่งให้ได้ที่ดีด้วย ยากใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงกว้างออกไปหรอก นี่ผมไปพัก เล่าเพิ่มอีกนิดหนึ่ง เวลาฤดูแล้ง ปีนี้มันไปไหนไม่ไหว กระดูกมันแย่ หมอนรองกระดูกมันเสีย แล้วมันก็อักเสบมาปูดมาดันกระดูกสันหลังโดนเส้นประสาท มันก็ปวดลงขา ไปตามเรื่อง ปีนี้เลยออกพรรษาแล้วไม่ได้ไปต่างจังหวัด ทีนี้ปีก่อนๆ ไป บางทีก็ไปอยู่ไกล ใกล้ชายแดนไทย บ้านนอกจริงๆ ก็ไปตามวัดป่าด้วย ไปเยี่ยมวัดป่าลึกๆ อะไรพวกนี้ ก็ได้ยินชาวบ้านเขาก็เล่าด้วย วัดป่าที่ดีก็มี แต่วัดป่านี่ก็ต้องรู้ทัน บอกว่าบางวัดเป็นวัดป่า มีพระอยู่ 3-4 องค์ พอเย็นก็เปลี่ยนเป็นชุดคฤหัสถ์ แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเข้าบาร์ ไนท์คลับ หรืออะไร ในเมือง พวกนี้คืออะไร พวกนี้ก็คือตัวสื่อสำหรับพวกตัดไม้ในป่า อยู่ในรูปพระ แต่ใครมาบวช อาจจะเป็นพวกบริษัทที่จะตัดไม้ก็ได้ ส่งตัวเข้ามา เพราะเดี๋ยวนี้หาพระดีก็ยากแล้ว ใช่ไหม บางแห่งก็เกิดช่องว่าง เช่นไม่มีพระจะอยู่ พวกนี้ก็ได้โอกาสก็เข้าไป พวกนี้ก็คือคนรับจ้าง แล้วก็อาจจะไปบวช ไม่ใช่บวช บวชจริงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ อาจจะไปบวช บวชเดี๋ยวนี้ก็ง่าย เพราะจะได้ตรวจสอบถ้ามีหนังสือสุทธิ ก็อยู่ ทีนี้ก็ให้โอกาสกับพวกบริษัทที่จะตัดไม้ ใช่ไหม เพราะว่ามีพระอยู่นี่คนก็ไว้ใจ นี่โยมเขาก็เล่าให้ฟัง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ มันโทรมขนาดไหนแล้ว
คำถาม : ??? ตอนนี้สภาพแวดล้อมภายนอก ??? ปรับปรุงตัวเอง ให้ตัวเองกลับไปอยู่ในสังคมของทุนนิยม ???
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ครับ อันนี้ก็แน่นอน สภาพแวดล้อมไม่เอื้อมันก็เป็นธรรมดา เพราะว่าการปฏิบัติธรรมพัฒนาตัว การศึกษา ต้องอาศัยนิสัยไง ก็คือที่อาศัย ที่อาศัยทั้งบุคคล ที่อาศัยทั้งวัตถุปัจจัย สิ่งแวดล้อม นี่ก็โยงเข้าไปเรื่องระบบสังคม ระบบสังคมก็ไม่ได้เป็นกัลยาณมิตร หรือหากัลยาณมิตรยาก เราก็กลายเป็นว่าเหมือนไปสวนกระแส แต่ว่าในแง่หนึ่งก็ท้าทาย ต้องมีกำลังมาก ต้องเข้มแข็ง แล้วต้องรู้จัดใช้ปัญญา ใช้โยนิโสมนสิการ ในการที่ว่าอยู่ในสภาพที่มันไม่เอื้ออย่างนี้ จะอยู่ได้อย่างไรดีที่สุด แล้วสามารถพัฒนาตัวได้ ถ้าสามารถมีโอกาสก็พลิกเอาสถานการณ์นั้นมาเป็นเครื่องฝึกหัดตน สถานการณ์ที่มันร้ายที่มันไม่ดี อย่างที่ว่ายิ่งยากยิ่งได้ฝึกตนมาก ถ้าเราออกว่ายน้ำ ไปว่ายน้ำในสระน้ำที่เขาจัดไว้ ก็ฝึกง่ายหน่อย แต่ทีนี้บางทีเราไม่มีสระน้ำให้ฝึก ใช่ไหม เราต้องออกแม่น้ำใหญ่ ออกทะเลเลย ก็อยากหน่อยใช่ไหม แต่ว่าถ้าจำเป็นเราก็ต้องสู้ ก็ฝึกกันในแม่น้ำหรือในชายทะเล เอาให้มันสู้ได้ในสภาพที่เป็นจริงอย่างนั้น ที่มันไม่เอื้อแหละ แล้วถ้าฝึกได้จริง ต้องแข็งนะ ใช่ไหม ทีนี้บางคนฝึกอยู่แต่ในสระน้ำที่เขาจัดให้ ตลอดอายุก็ไม่ได้ไปไหน ว่ายน้ำแม้น้ำใหญ ทะเล ไม่ได้สักที คนปฏิบัติธรรมบางคนก็ได้แค่นั้น เหมือนกับคนที่อยู่ที่ เวลาปฏิบัติทีก็ต้องไปสระว่ายน้ำที่จัดให้ ใช่ไหม แล้วก็อยู่แค่นั้นแหละ เวลาออกไปสังคมใหญ่ ก็ไปไม่ได้อีก ต้องใช้ไอ้นี่เป็นฐานในการฝึก แล้วก้าวคืบหน้าพัฒนาให้มันเข้ม แข็งแรงจนกระทั่งไปอยู่ในโลกได้ ใช่ไหม แล้วไปช่วยแก้ไขโลก เราก็ต้องทำไว้ทั้งสองอย่าง ต้องฝึกตัวพัฒนาตัว แล้วเอาสภาพแวดล้อมมาเป็นเครื่องมือในการฝึกตนเอง พร้อมกันนั้นมีโอกาสก็ช่วยแก้สังคม สิ่งแวดล้อม ไปด้วย ทำทุกอย่าง แล้วโดยสาระมันก็กลับมาเป็นการฝึกฝนตนเอง พัฒนาตัวตลอดเวลา ต้องก้าวไป ทำอย่างนี้จึงจะไปไหว เวลานี้สังคมอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว ต้องเอา เวลานี้มรสุมอะไรต่ออะไร คลื่นทะเลมันก็ใหญ่มากขึ้นทุกที ต้องการคนที่เข้มแข็งจริงๆ เพราะฉะนั้นคนที่จะปฏิบัติธรรมหรืออะไรเนี่ย ที่มีการศึกษา พัฒนาชีวิตตามหลักพุทธศาสนาในยุคนี้ ได้สนามฝึกที่ยอดยิ่งเลย ต้องเก่งจริงๆ เก่งจริงๆ ก็ไปได้ ต้องเอา ต้องนึกขนาดนั้น อย่าไปท้อว่าเรามาฝึกฝนปฏิบัติแล้ว เดี๋ยวไปเจอสภาพสังคมอย่างนั้นก็แย่ มันไม่เอื้อ ก็ยอมรับความจริง ไม่เอื้อ มันแสนยาก ตอนนี้เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริง สภาพที่มันไม่เอื้ออย่างนี้ เราอยู่ได้ ปรับตัวได้ ทำให้ดีได้ ก็ยิ่งเก่ง ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่กันแต่สระว่ายน้ำเรื่อย อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส พอท่านฝึกตนเองได้ดีแล้ว จะเข้าสู่คติที่พระพุทธเจ้าตรัส คาเม วา ยทิ วารญฺเญ นินฺเน วา ยทิ วา ถเล ยตฺถ อรหนฺโต วิหรนฺติ ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ ก็บอกว่า ไม่ว่าบ้าน ไม่ว่าป่า ไม่ว่าที่ลุ่ม ไม่ว่าที่นอน ท่านผู้ไกลกิเลสอยู่ที่ไหน ที่นั้นไซร้เป็นสถานที่อันรื่นรมย์ ก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น ใช่ไหม เราฝึกตัวเองแล้ว อย่างพระอรหันต์นี่ พระพุทธเจ้าไปไหนพระองค์ก็อยู่ได้หมด แต่ว่ายอมรับว่ายาก แต่ว่าต้องสู้นะ ตั้งใจไว้ให้เข้มแข็ง อย่าไปท้อ