แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร อนุโมทนาโยมญาติมิตรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ตอนนี้ ทั้งพระทั้งโยมก็ถือว่าได้มาประชุมกันทำกุศล หรือทำบุญกิริยาต่าง ๆ แล้ววันนี้ก็มีบุญหลายอย่าง โยมนับเอาเองว่ามีอะไรบ้าง นี่ในเรื่องบุญที่ทำกันนี่ ก็มีเรื่องที่ต้องพูดเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจน แล้วก็ตอนนี้ให้โอกาสแก่อาตมาภาพที่จะพูดด้วย ก็เลยขอแบ่งเรื่องที่จะพูดเนี่ยเป็นส่วน ๆ
ส่วนที่ 1 ก็คือเรื่องที่โยมปรารภวันที่ 12 มกราคม ก็พูดง่าย ๆ ก็คือวันคล้ายวันเกิดของอาตมาภาพ แล้วก็มาทำบุญเลี้ยงพระ
เรื่องที่ 2 ก็เรื่องวันเด็ก ซึ่งวันนี้พอดีสำหรับปี 2545 เกิดมาตรงกันเข้า ก็จะขอพูดไปตามลำดับ
เรื่องที่ 1 เรื่องเกี่ยวกับโยมปรารภวันที่ 12 มกราคม มาทำบุญเลี้ยงพระเนี่ยก็คงจะพูดสั้น ๆ พอให้ทราบกันเท่านั้นเอง สำหรับเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดนี่ก็ถือว่า โยมให้โอกาสแก่อาตมาภาพพูดเรื่องส่วนตัวได้ วันนี้ก็เลยพูดเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย การพูดเรื่องส่วนตัวนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกัน คือจะได้เข้าใจกันและก็ปฏิบัติต่อกันได้ถูกต้อง
อันที่ 1 ก็คือเรื่องตัววันเกิด ว่าถ้าตามใจอาตมาภาพนี่คิดยังไง คิดว่าสำหรับวันเกิดเนี่ย น่าจะเป็นวันที่เรา จะอยู่กับพ่อแม่ คือเป็นวันที่เราควรให้เวลาแก่ท่าน ที่ให้เวลาแก่เรามากที่สุด คุณพ่อคุณแม่น่ะเป็นผู้ให้เวลาแก่ชีวิตของเรามากที่สุด ดังนั้นเมื่อถึงวันเกิดซึ่งเคยพูดถึงบ่อย ๆ ว่าวันเกิดของเราก็คือวันเกิดของพ่อแม่ พอเด็กเกิด ลูกเกิดเนี่ยพ่อแม่ก็เกิดด้วย คือเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ ยิ่งคนที่ยังไม่เคยมีลูก พอมีลูกทันทีนั้นลูกเกิด ตัวเองก็เกิดเป็นพ่อเป็นแม่ทันที นี่พอลูกคนไหนเกิดพ่อแม่ก็เกิดเป็นพ่อเป็นแม่ของคนนั้น ดังนั้นวันเกิดร่วมกันเนี่ยสำคัญ คนที่เราจะต้องนึกถึงก่อนในวันเกิดก็คือนึกถึงพ่อถึงแม่ ทีนี้เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้นมาเนี่ย เราก็ควรจะให้เวลาแก่พ่อแม่ แต่ว่าแต่ละคนก็มีธุระภารกิจเยอะแยะ วันที่ดีที่สุดก็คือวันเกิด เพราะฉะนั้นวันเกิดก็เป็นวันที่ควรจะให้เวลาแก่คุณพ่อคุณแม่ ทำอะไรต่ออะไรเพื่อท่าน ถ้าอยู่ห่างกันไม่ได้อยู่ด้วยกัน พอถึงวันเกิด ก็อาจไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เป็นพิเศษสักวัน ทีนี้ถ้าอายุมากขึ้น พ่อแม่ก็จากไปแล้ว ก็ให้เวลาแก่ท่านผู้อื่น ท่านผู้แก่ผู้เฒ่า ที่ท่านได้มีส่วนในชีวิตของเรา ได้ช่วยให้เรานี้ได้เจริญงอกงามขึ้นมา ก็คิดว่าทำแค่นี้ก็ได้หลักแล้ว ส่วนอื่น ๆ เป็นเรื่องประกอบ ถึงจะไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะว่าวันอื่น ๆ ที่เราจะทำเรื่องอื่นได้น่ะมีเยอะแยะ อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง คือเรื่องว่า พูดง่าย ๆ ก็คือจะเอายังไงกับวันเกิด ก็ยกให้พ่อแม่นี่แหละ วันเนี่ย
นี้สองก็คืออะไรยาว มองไกลออกไป ว่าจะเอายังไงกับชีวิตของเรา ว่าชีวิตของเราก็เนื่องในวันเกิด สืบต่อจากวันเกิด หลายท่านหรือแทบทุกท่านที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะพูดกันว่า เวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เดี๋ยวก็ปีเดี๋ยวก็ปี นี่ปี 2544 ก็ผ่านไปแล้ว ขึ้นปี 2545 มา เดี๋ยวเดียว 12 วันแล้ว เกือบครึ่งเดือนแล้ว แต่ที่จริงเวลาเนี่ยก็เป็นกลาง เราจะไปบอกว่าเร็วหรือช้านะที่จริงไม่ถูกหรอกเป็นความรู้สึกของเรา เวลาก็เป็นไปตามปกติธรรมดาของมัน แต่ที่แน่นอนก็คือว่าเรื่องของเราเอง เรามีเรื่องต้องทำแล้วก็เราก็ทำไม่ทัน เมื่อเราทำไม่ทันเราก็เลยบอกเวลามันรวดเร็วเหลือเกิน เหมือนอย่างอาตมาภาพเนี่ยก็มีเรื่องทำไม่ทันเวลามากมาย งานการต่าง ๆ ก็ค้างเยอะแยะไปหมด แล้วเรื่องสำคัญก็ยังไม่ได้ทำ ตอนนี้ก็ญาติโยมและพระหลายท่านก็บ่นเรื่องนี้ว่างานสำคัญที่ ตั้งใจว่าจะทำยังไม่ได้ทำเนี่ยแล้วจะเอายังไง นี้ก็เลยพูดถึงใจตัวเองตอนนี้ก็คือว่า อยากจะหาที่เงียบ ๆ แล้วก็ถอนตัวจากทุกเรื่อง ไปทำเรื่องที่ค้างอยู่นี่ให้มากเท่าที่ทำได้ แม้จะไม่เสร็จก็ยังดี ที่จะให้เสร็จคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง
นี้ต่อไปก็วันเกิดก็มีอีกอัน คือกาลเวลาที่ผ่านมาเนี่ย เราไปเกี่ยวข้องกับคนทั้งหลายมากมาย ก็เป็นวันหนึ่งที่จะขอขมาอภัยต่อทุกท่านผู้อื่น ซึ่งเราอาจจะได้ไปล่วงเกินแม้โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยไม่ได้ตั้งใจคงเป็นไปได้เยอะ ล่วงเกินเขา อาจจะทำให้เขาไม่สบายใจ อย่างตัวอาตมาภาพเองก็มีเรื่องหนึ่งที่ต้องขออภัยมาก คือเรื่องให้เวลาแก่ผู้อื่นได้ไม่พอ ก็ไม่รู้จะทำยังไง โดยเฉพาะก็คือพวกจดหมายถามมา บางทีก็ถามมาจากต่างจังหวัดไกล ๆ จากชนบท ถามธรรมะบ้าง ถามโน้นถามนี่ พระบ้าง พระจากวัดไกล ๆ อะไรเงี้ย ใจจริงนะก็อยากจะตอบทุกท่าน แต่นี่วลาตอบเนี่ยก็อยากจะตอบให้ชัดเจนและตอบอย่างจริงจัง ในการตอบชัดเจนจริงจังก็ใช้เวลามาก บางทีเขาถามมาหน้าเดียวเราต้องตอบตั้งห้าหน้า บางทีบางฉบับจดหมายเนี่ยอาตมาว่าต้องตอบเป็นหนังสือเป็นเล่มเลย ซึ่งถ้าทำได้ก็ดีแต่มันไม่ไหว ทั้งเวลาและเรี่ยวแรงกำลัง งั้นจดหมายก็เลยตกค้าง บางฉบับเนี่ยไม่ได้ตอบมาสามสี่ปีแล้ว คือจะตอบแบบเขียนพอผ่านไปเนี่ยทำไม่ได้ จะต้องตอบให้จริงจังและชัดเจน งั้นก็ขอบอกว่าจดหมายทุกฉบับที่มาเนี่ยไม่ว่ามาจากไหน ไม่ได้ละทิ้งเลย เก็บไว้หมดและก็อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ แต่ว่ารอเวลาตอบ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ตอบเมื่อไร อาจจะเป็นห้าปีสิบปี เคยมีเหมือนกันบางฉบับปรากฏว่า 10 ปีแล้วจึงได้ตอบ ท่านผู้นั้นไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ก็ตอบไปจริง ๆ อันนี้ก็ต้องอภัยไว้ด้วย คือถ้าเผื่อถามมาก็บอกว่าไม่ได้ละทิ้ง แล้วก็อยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ รอเวลาตอบเท่านั้นเอง อันนี้มันก็แข่งกับงานอื่น ๆ ด้วยที่จะต้องทำ ถึงบอกว่าเวลาในชีวิตเนี้ยก็ไม่พอ อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ก็ขออนุญาตมาบอกกล่าวในวันนี้ด้วย เอาละก็บอกแล้วว่าเรื่องส่วนตัวเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดเนี่ยไม่ควรจะพูดมากไม่ให้เสียเวลา
(เวลา10.16) นี่ต่อไปนี้ก็มาพูดเรื่องที่สอง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่คือเรื่องงานวันเด็ก ตอนแรกก็ขอทำความเข้าใจก่อน ว่าวันนี้ที่วัดเนี้ยเหมือนกับมีงานวันเด็ก หรือว่าวัดจัดงานวันเด็ก เลยต้องทำความเข้าใจกันว่า ไม่ใช่วัดจัดงานวันเด็ก วัดเพียงแต่ทำหน้าที่ของวัด มีหลักอยู่อย่างหนึ่งแม้แต่ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ก็เขียนไว้ ว่าหน้าที่ของวัดของเจ้าอาวาสอันหนึ่งก็คือ ให้ความสะดวกในการบำเพ็ญกุศล อันนี้ก็หมายความว่า ญาติโยมสาธุชน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เนี่ย มาวัดเนี่ยควรใช้วัดเป็นแหล่งที่ทำบุญทำกุศล หรือบุญกิริยากัน วัดก็มีหน้าที่เอื้ออำนวยความสะดวก แล้วก็เราก็มีประเพณีนี้กันมานาน วัดเป็นที่ ๆ ญาติโยมมาบำเพ็ญกุศลวัดก็อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ อย่างน้องก็ให้ที่ จนกระทั่งว่าเรามีงานวัดกันน่ะ งานนั้นจนกระทั่งกลายเป็นสนุกสนานมีลิเก มีลำตัด มีอะไรต่ออะไร มหรสพเลยกลายเป็นไปอยู่ที่วัด นั่นก็คือเรื่องที่วัดอำนวยความสะดวกในการบำเพ็ญกุศล อำนวยไปอำนวยมาบางทีไม่เป็นกุศลแล้วสิใช่ไหม บำเพ็ญไม่เป็นบำเพ็ญกุศลไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำความเข้าใจกันว่า ที่แท้สาระก็คือว่าให้วัดเนี่ยเป็นที่บำเพ็ญกุศล อย่างวันเด็กวันนี้ก็เหมือนกัน ก็เป็นการที่วัดเนี่ย อำนวยความสะดวกให้ญาติโยมผู้ใหญ่แล้วก็เด็กเนี่ย มาจัดงานทำบุญกิริยากัน ผู้ใหญ่เป็นคุณหมอก็มีเป็นโรงเรียนก็มี ก็มาเหมือนกับมาร่วมกับวัดแต่ว่า ต้องให้ถือว่าวัดเนี่ยอำนวยความสะดวก โยมมาจัด แล้วก็มาจัดให้แก่เด็ก เด็กก็ได้มาร่วมทำบุญทำกุศลเป็นบุญกิริยา ซึ่งเมื่อพูดตามหลักพระศาสนาก็มีสามอย่างคือ ทาน ศีล และภาวนา ถ้าพูดเป็นภาษาสมัยใหม่ ก็คือ ทานการให้การเผื่อแผ่แบ่งปัน การให้ทรัพย์สินสิ่งของ ให้ของขวัญ ให้ทุนการศึกษาเป็นต้น ซึ่งวันนี้ก็มีเรื่องเนี่ย นี่เรื่องที่หนึ่งเรื่องทาน ก็เป็นบุญกิริยาอย่างหนึ่ง
สองก็เรื่องศีล เรื่องศีลก็นอกจากกิจกรรมไม่เบียดเบียนกัน แล้วก็เป็นกิจกรรมในการเกื้อหนุนในการส่งเสริม ในการเกื้อกูลต่อกันของคนในสังคมเนี่ย กิจกรรมแบบนี้ก็ทำได้เยอะแยะ ซึ่งงานวันเด็กก็ควรจะมีกิจกรรมแบบเนี่ยเป็นสำคัญ คือกิจกรรมในการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แสดงออกซึ่งน้ำใจไมตรีในการที่จะอยู่ร่วมกันด้วยดีในสังคมนี้ให้สังคมของเราร่มเย็นเป็นสุข
(13.13) กิจกรรมประเภทที่สามก็คือภาวนา พูดเป็นภาษาปัจจุบันก็คือ การพัฒนาจิตใจและพัฒนาปัญญา ตอนนี้เราก็ต้องการให้เด็กเนี่ย ได้คุณธรรมได้ความดีให้มีจิตใจที่โน้มเข้ามาในทางพระศาสนาในเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องการทำความดี เรื่องการมีความกตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่ มีศรัทธาในพระศาสนา เห็นคุณค่าของการกระทำความดีต่าง ๆ เหล่าเนี้ย อย่างน้อยให้ได้สัมพันธ์กันคุณพ่อคุณแม่กะลูกมามีจิตใจดีต่อกัน นี่ก็เป็นจิตใจที่จะเป็นบุญเป็นกุศล แล้วจิตใจก็ร่าเริงเบิกบานผ่องใสก็มีความสุข แล้วอีกด้านหนึ่งก็คือพัฒนาปัญญา ก็ให้เด็กได้ความรู้ มาตอบปัญหากันบ้าง มาศึกษาสิ่งต่าง ๆ ในวัด มาทายตอบปัญหากันโดยเอาสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ทั้งความรู้ที่มีอยู่เดิม แล้วก็เรื่องสิ่งที่พบเห็นในวัดเนี่ยเอามาเป็นข้อมูลความรู้ในการที่จะ มาตอบปัญหาหรือเล่นกิจกรรมต่าง ๆ
(14.18) นี่ก็เป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลทั้งนั้นแหละ อย่างเนี้ยเรียกว่าวัดอำนวยความสะดวกในการบำเพ็ญกุศล เพราะฉะนั้นงานวันเด็กเนี่ย ก็ขอทำความเข้าใจกันว่า มีสาระสำคัญคือการที่วัดอำนวยความสะดวกแก่ญาติโยมสาธุชนในการบำเพ็ญกุศล โดยเฉพาะบุญกิริยา ทั้งทาน ศีล และภาวนา ซึ่งเป็นภาษาเก่าถ้าเราเข้าใจความหมายดีแล้วล่ะ มันจะกินความหมายกว้างไม่ต้องมาสาธยายมากมาย
(14.49) นี้เป็นเรื่องของ การที่มีงานวันเด็ก เป็นการมาทำบุญร่วมกันของผู้ใหญ่ และเด็ก ๆ ทั้งหลาย หรือว่าคุณพ่อคุณแม่ตลอดจนคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายกับลูกหลายเหลน เนี่ยถ้าได้มากันอย่างนี้ ในบรรยายกาศอย่างนี้คิดว่าจะเป็นประโยชน์มาก แก่ชีวิตครอบครัวแก่ชีวิตของเด็กในอนาคต และก็สังคมประเทศชาติ
นี้เมื่อมาพูดถึงเรื่องวันเด็กแล้วก็ขอพูดต่อไป ว่าการที่ผู้ใหญ่จัดให้มีงานวันเด็กเนี่ย ก็มองความหมายได้หลายอย่าง ที่เราจะเห็นง่าย ๆ กันนึกว่าโอผู้ใหญ่นี่พยายามจะให้เด็กมีความสุข ได้สนุกสนานก็จัดกิจกรรมอะไรต่าง ๆ มากมายเหลือเกิน มุ่งเพื่อให้เด็กเนี่ยได้มีความสุข อันนี้ก็เป็นแง่หนึ่ง เด็กก็สนุกสนานเพลิดเพลินอะไรต่ออะไรกันนี่
(15.47) แต่ว่าคิดว่าสาระที่แท้จริงคงไม่ใช่อยู่แค่นี้ เด็ก ๆ ต้องคิดว่า เอ้ที่ผู้ใหญ่จัดงานวันเด็กนี่ เพื่อเราเนี่ย เพื่อให้เราเป็นอะไร เพื่อให้เรามีความสุขสนุกสนานเท่านั้นหรือ ไม่ใช่แค่นั้นที่จริงผู้ใหญ่จัดเนี่ย เพื่อจะส่งเสริมกำลังใจของเด็ก ให้เด็กมีกำลังใจ ที่จะได้เล่าเรียนศึกษา มีกำลังใจที่จะได้ทำการสร้างสรรค์ต่าง ๆ จะได้มีความสามารถพัฒนาขึ้นไป จะได้ช่วยกันสร้างสรรค์อนาคตของชาติ เพราะเราพูดกันอยู่เสมอว่าเด็ก ๆ เนี่ย เป็นอนาคตของชาติ ทีนี้เด็กจะเป็นอนาคตของชาติอย่างไรผู้ใหญ่เห็นความสำคัญก็เลยมาจัดอะไรต่าง ๆ ขึ้นมาเช่นงานวันเด็กเนี่ย เพื่อจะส่งเสริมสนับสนุน ฉะนั้นเด็กจะได้ประโยชน์จากวันเด็กที่แท้จริงเนี่ยไม่ใช่อยู่แค่ความสนุกสนานแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลายเป็นผู้ใหญ่มาปรนเปรอเด็ก มาบำรุงบำเรอเด็ก ไม่ใช่อย่างนั้น เด็กนี่ผู้ใหญ่มุ่งจะให้ส่งเสริมกำลังใจ ไม่ใช่ชั่วสนุกชั่วคราวเฉพาะหน้า สิ่งสำคัญก็คืออนาคตโน้น ทั้งอนาคตของตัวเด็กเองทั้งประเทศชาติทั้งครอบครัว เนี่ยอันเนี้ย อยู่ในมือของเด็ก ผู้ใหญ่หวังอันนั้นว่า หวังอนาคตเนี่ยก็เลยมาช่วยกันจัดงานวันเด็กเป็นต้น เพื่อส่งเสริมสนับสนุนเด็กมีกำลังใจ ผู้ใหญ่นี่รวมสนับสนุน ผู้ใหญ่เป็นกำลังใจอย่างดี แล้วก็ให้เราได้โอกาสที่จะศึกษาหาความรู้เป็นต้น เราก็จะได้สามารถ หรือมีความพร้อมที่จะสร้างสรรค์ชีวิตของเราเอง สร้างสรรค์ครอบครัว สร้างแสรรค์สังคมประเทศชาติของเราให้เจริญวัฒนาต่อไป อันเนี้ยคิดว่าเป็นจุดที่สำคัญ ถ้าได้อันนี้ละก็ เป็นความสำเร็จในการจัดงานวันเด็ก ถ้าอยู่แค่สนุกสนานจบไปก็ไม่มีอะไร ดีไม่ดีเด็กก็เลยมัวเมาไปเลย ลุ่มหลง แล้วก็ดีไม่ดีก็อ่อนแอ
(17.58) ทีนี้เด็กนอกจากสนุกสนานแล้วก็ต้องให้ได้สาระไป ก็คือว่าให้นึกว่า โอวันนี้คุณพ่อคุณแม่ผู้ใหญ่นี่ตั้งใจส่งเสริมเราแล้วนะ ให้เรานี่ได้เป็นกำลังของประเทศชาติ เป็นอนาคตที่ดี เป็นผู้สร้างสรรค์ ความเจริญงอกงาม เราจะทำยังไง เราต้องมีกำลังใจเป็นเบื้องต้น แล้วต่อจากนั้นก็สะสมกำลังอื่น ๆ ขึ้นไป ให้พร้อมที่จะทำให้สำเร็จ นี้เป็นเรื่องของงานวันเด็ก ที่เราทั้งหลายเนี่ยมาจัดกันอยู่ นี้สำหรับเด็กในยุคปัจจุบันเนี่ยนับว่าเป็นเด็กที่โชคดี เกิดมาในยุคสมัยที่มีความพรั่งพร้อมมาก ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือมีเทคโนโลยี ที่อำนวยความสุขความสะดวกสบายมากมาย ไม่เหมือนเด็กสมัยก่อน ถ้าเทียบกันแล้วเด็กสมัยก่อนเนี่ย เกิดมายากลำบากมาก เช้ามากว่าจะได้รับประทานอาหารนี่ ต้องมีเตาต้องติดไฟ ต้องซาวข้าว ต้องยกหม้อข้าวขึ้นตั้ง ต้องพัดไฟโบกไฟ แล้วเด็ก ๆ ก็ต้องช่วยคุณพ่อคุณแม่นะ ไม่ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่ทำให้ฝ่ายเดียว บางทีเด็กต้องเป็นฝ่ายทำ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็แบ่งงานกันในครัว เช่นว่าคุณแม่ก็ไปทำเรื่องกับข้าว ลูกก็มาติดไฟหุงข้าว เนี่ยตั้งแต่เช้าเลยก็ต้องมีงานมีการทำ เด็กสมัยนี้สบาย หม้อข้าวหุงข้าวก็เสียบไฟปุ๊บตั้งปั๊บเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวได้รับประทานแล้ว เด็กก็เลยไม่รู้จักความลำบาก เด็กสมัยนี้ก็เลยมีความสะดวกสบาย ก็เลยพูดง่าย ๆ ว่าโชคดี ทีนี้เมื่อโชคดีแล้วเราจะใช้โชคดีเป็นไหม อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ พวกเทคโนโลยีเป็นต้นเนี่ยมันก็มองได้สองอย่าง
(19.51) คือ หนึ่งมองเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกให้ความสุข แม้แต่เป็นเครื่องบำรุงบำเรอความสุขไปเลย เราก็จะเห็นทีวีเอ้อจะได้ความสุขสนุกสนาน มีคอมพิวเตอร์เล่นเกม มีอะไรต่ออะไรสนุกสนานเยอะแยะไปหมด นี่มองในแง่หนึ่ง แต่มองอีกแง่หนึ่งเรามีอุปกรณ์สำหรับ ทำการสร้างสรรค์ศึกษาหาความรู้มากมาย นี้อยู่ที่การมอง แต่ว่าเป็นโชคดีทั้งสองอย่างแล้วจะใช้โชคดีอย่างไร ถ้ามองในแง่ว่าเป็นเครื่องบำรุงบำเรอความสุขเราก็ติดอยู่แค่นั้นแหละ ก็เอาเทคโนโลยีเหล่าเนี้ยมาปรนเปรอเราหาความสุขไปสนุกสนานเพลิดเพลินไปวัน ๆ หนึ่ง แต่ว่า ถ้าเรามองอีกแบบว่าเรามีเครื่องมืออุปกรณ์ที่จะช่วยในการศึกษาหาความรู้และทำการสร้างสรรค์ต่าง ๆ ตอนนี้แหละ มันไม่จบแล้ว มันไม่อยู่แค่วันนี้ มันจะต้อง เรียนรู้ศึกษา พัฒนากันต่อไปทั้งชีวิตของเรา และสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น มันมาช่วยให้เราสร้างตัวเอง พัฒนาตัวเองเสร็จแล้วเราก็อาศัยมันเนี่ย แล้วเราก็พัฒนามันด้วย คนที่เก่งจริงเนี่ยเขาไม่ใช่เพียงใช้สิ่งของนะเขาต้องพัฒนาสิ่งของสร้างสรรค์สิ่งของต่อไปให้เจริญงอกงามงอกงามขึ้นไป ไม่ใช่เป็นผู้ใช้ของที่คนอื่นส่งมาทำให้มาเท่านั้น ทีนี้เวลานี้เด็กของเรานี่ต้องมองให้ครบ อย่ามองสิ่งทั้งหลายหรือความมีโชคดี มีสิ่งทั้งหลายอำนวยความสะดวกสบาย อย่ามองเป็นเพียงเครื่องบำเรอความสุขหาความสุข ต้องมองเป็น โชคดีในการที่จะมีอุปกรณ์ในการศึกษาเล่าเรียนหาความรู้และทำการสร้างสรรค์ต่าง ๆ (21.38) มองไปให้ไกลข้างหน้าโน้นและให้กว้างด้วย อันนี้สิ่งต่าง ๆ ที่เราได้มาบำรุงบำเรอความสุขสนุกสนานต่าง ๆ เหล่านี้มากมายเนี่ย โดยมากมันไม่ใช่เราสร้างขึ้นนะคิดให้ดี แม้แต่พูดกันเป็นประเทศไทยเนี่ย วัสดุอุปกรณ์เนี่ยแม้แต่ เครื่องถ่ายวิดีโอที่เอามาฉายเอามาถ่ายตอนเนี้ยก็ไม่ได้ทำในเมืองไทยเลย ปรากฏว่าทำจากประเทศญี่ปุ่นบ้างโดยมาก อุปกรณ์ระดับนี้ก็ญี่ปุ่น ถ้ามีอุปกรณ์อื่น ๆ ก็มีอเมริกายุโรปอะไรต่าง ๆ แทบไม่มีทำในเมืองไทยเลย อุปกรณ์เหล่านี้เราเอามาเสวยความสุขกันเนี่ยมันยุติธรรมหรือเปล่า เราต้องคิดให้ดีแล้วเราใช้ได้ถูกำหรือเปล่า เราเอาอุปกรณ์เหล่านี้มาเพื่อเป็นเครื่องมือเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ต่อไป หรือมันมาจบอยู่แค่เราเนี่ย พอใช้แล้วก็จบแล้วก็แตกหักสลายไปแล้วก็หมด (22.41) แล้วเราก็มองต่อไปว่า อ๋อ ในเมื่อสิ่งเหล่านี้พวกเทคโนโลยีเหล่าเนี้ย สร้างมาจากเมืองนอก อะไรคือความเจริญที่แท้จริง ลองมองให้ดี ความเจริญที่แท้จริงคือวัตถุอุปกรณ์สิ่งของที่เราใช้ หรือว่า กระบวนการสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้เป็นความเจริญกันแน่ ขอให้เด็กคิดดู อย่างเราสนุกสนานมีการบันเทิงมีการเต้นอะไรต่าง ๆ กันเนี่ย โอยสนุกมากมีแสงเสียงสีต่าง ๆ มากมายเด็กก็เพลิดเพลินผู้ใหญ่ก็เพลิดเพลิน ไม่ใช่เฉพาะเด็ก ผู้ใหญ่ก็เพลิดเพลิน ดีไม่ดีผู้ใหญ่นี่เป็นผู้นำด้วยสิ เป็นตัวอย่างในการเพลิดเพลินหลงมัวเมานำเด็กไป ก็เพลิดเพลินกับแสงสีเป็นต้น การเต้นการแสดงต่าง ๆ เนี่ย อันนั้นเป็นความเจริญหรือเปล่า สิ่งเหล่านั้นมันเกิดมีปรากฏ มาถึงเราได้ด้วยอะไร โน้นสิสิ่งที่รองรับเป็นสื่อนำมาเบื้องหลังนั้นคือเทคโนโลยีหลัก???ต่าง ๆ พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านั้นที่มาได้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แหมมันเกิดมาจาก
1ความรู้ 2ความคิด 3การประดิษฐ์สร้างสรรค์ใช่ไหม ไอ้นี่สิตัวความเจริญที่แท้จริง แล้วเรามีไหม เรามีแต่ผลิตผลแห่งการรู้การคิดและการประดิษฐ์สร้างสรรค์ แล้วเราก็เอามาใช้บำรุงบำเรอตัวเอง ไอ้นี่มันไม่ใช่ตัว ความเจริญที่แท้จริง ตัวความเจริญที่แท้จริง ตกลงเมื่อเราดูไปแล้ว อย่างประเทศอเมริกาหรือญี่ปุ่นก็ตามเนี่ย ที่เป็นตัวความเจริญเนี่ย ไม่ใช่วัตถุเหล่านี่ แต่กระบวนการสร้างสรรค์ที่ประกอบด้วย 1ความรู้ 2ความคิด 3การประดิษฐ์สร้างสรรค์เนี่ย (24.32) สามขั้นตอนสำคัญนี่สิ ที่จะเป็นตัวทำให้เกิดความเจริญ พอเราแยกแยะวิเคราะห์ดู เวลานี้เราบอกว่า เราอยากจะเจริญอย่างฝรั่งแม้กระทั่งญี่ปุ่นตามเขามีอะไรดี ๆ ใหม่ ๆ มา เป็นสิ่งเสพบริโภคเราก็อยากมีเราก็มีอย่างงั้นมีแล้วก็โก้ เรารู้สึกว่าเราเจริญงอกงาม นี้วิเคราะห์กันไปแล้วไอ้นี่ไม่ใช่ตัวความเจริญ แล้วไปดูวิเคราะห์ตัวผู้สร้างความเจริญมีอะไรบ้าง เราก็จะเห็นว่า อ้าวอย่างอเมริกาเนี่ย ที่มาถึงเราที่เราลุ่มหลงเพลิดเพลินกันมากนี่ก็ เป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏมีขึ้นในสังคมของเขา เป็นด้านหนึ่งของสังคมเท่านั้น วิถีชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ในสังคมเนี่ยเขาเรียกกันว่าวัฒนธรรม อันนี้ถ้าเราแยกในแง่นี้แล้ว ฝรั่งเนี่ยอย่างอเมริกาก็มีวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ วัฒนธรรมด้านที่ปรากฏแก่เราเราชอบมากก็คือวัฒนธรรมการบันเทิง เวลานี้อเมริกันนี่คุยเลย บอกว่าวัฒนธรรมบันเทิงของอเมริกานี่แพร่หลายได้รับความนิยมไปทั่วโลก ประเทศต่าง ๆ ก็ตื่นกับวัฒนธรรมการบันเทิงของฝรั่งฮอลลีวูดเจริญงอกงาม พวกวิดีโอพวกอะไรต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องของการบันเทิงนี่ เป็นอุตสาหกรรมที่นำรายได้เข้าประเทศอเมริกามากมายเหลือเกิน มหาศาลเลย อันนี้ก็เป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งในแง่ของเขาที่มีรายได้เข้าประเทศ (26.08) อ้าวนี้วัฒนธรรมการบันเทิงนี่เป็นด้านหนึ่งเท่านั้นของประเทศอเมริกา แต่วัฒนธรรมส่วนนี้เป็นวัฒนธรรมส่วนที่เขาเอามาหารายได้ ถ้าว่าในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่วัฒนธรรมที่จะผลิตทำให้สิ่งบันเทิงเป็นต้น หรืออะไรมันจะเกิดขึ้นมา ตลอดจนกระทั่งวัฒนธรรมที่ทำให้ประเทศของเขาเจริญขึ้นมาเนี่ยคือวัฒนธรรมอะไร อเมริกาเนี่ยวันนี้เอาแค่สามวัฒนธรรม
(26.39) หนึ่งวัฒนธรรมที่เห็นง่ายที่ที่สุด วัฒนธรรมการบันเทิง
สองลึกลงไปคือวัฒนธรรมอุตสาหกรรม วัฒนธรรมการผลิต อันนี้เป็นเรื่องใหญ่อุตสาหกรรมการผลิตที่ออกมาเป็นสิ่งบันเทิงผลิตภัณฑ์สิ่งเสพบริโภครายได้ต่าง ๆ เนี่ย มันมาจากอุตสาหกรรม เขาสร้างอุตสาหกรรมกันมาเป็นร้อย ๆ ปี วัฒนธรรมอุตสาหกรรมเนี่ย ถ้าพูดเป็นภาษาง่าย ๆ เขาเรียกว่าวัฒนธรรมการผลิต ถ้าไม่มีการผลิตเนี่ยมันไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ แล้วผลิตจากอะไรจากอุตสาหะ อุตสาหะแปลว่าความขยันหมั่นเพียร อุตสาหกรรมแปลว่าการกระทำด้วยความอุตสาหะ คือการกระทำด้วยความขยันหมั่นเพียร ถ้าคนมองไม่เป็นก็อุตสาหกรรมก็คือ กระบวนการที่จะสร้างสิ่งเสพบริโภคให้ได้กินได้ใช้ บำรุงบำเรอความสุขอันนี้พวกนี้พวกมองแบบนักบริโภค ถ้ามองแบบนักผลิตซึ่งมองตามหมายที่แท้จริง เพราะอุตสาหกรรมมันชื่อมันบอกอยู่แล้ว อุตสาหกรรมแปลว่าการกระทำด้วยอุตสาหะ แปลว่าความขยันหมั่นเพียร การฮึดสู้นั่นเอง อุตสาหะแปลว่าฮึดสู้ หมายความว่าสู้ความยากลำบาก มันมีความยากลำบากในกระบวนการอุตสาหกรรมเนี่ยมากมาย คนที่จะทำการอุตสาหกรรมได้สำเร็จต้องมีความขยัน เพราะฉะนั้นฝรั่งจึงบัญญัติคำว่าอุตสาหกรรมในภาษาอังกฤษว่าอินดัสทรี้ซึ่งแปลว่าความขยันหมั่นเพียร งั้นคนใดไม่มีความขยันหมั่นเพียรไม่มีทางมีอุตสาหกรรม ประเทศไหน (28.12) จะรอกินเสพบริโภคจะพัฒนาอุตสาหกรรมไม่มีทางสำเร็จ ได้แต่เป็นเหยื่อเขา หรือว่าให้เขามาประกอบอุตสาหกรรมในนี้ ให้ดินแดนเขาให้แรงงานราคาถูกเป็นต้น ถ้าตัวเองจะเจริญด้วยอุตสาหกรรมตัวเองต้องมีอินดัสทรี้ต้องมีความขยันหมั่นเพียรต้องมีอุตสาหะ จึงจะทำได้สำเร็จก็คือมีวัฒนธรรมการผลิตนั่นเอง เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่นักผลิตก็ไปไม่รอด ถ้าเป็นนักบริโภคเนี่ยมันไปไม่ไหว อุตสาหกรรมไม่เจริญทีนี้อันนี้เป็นวัฒนธรรมการผลิต วัฒนธรรมอุตสาหกรรม ก็ต้องดูว่าเรามีไหม ถ้าเราอยากเจริญจริง สร้างสรรค์ประเทศชาติเราต้องมีวัฒนธรรมการผลิตให้ได้ แต่ว่าลึกลงไปกว่านั้นวัฒนธรรมการผลิตจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะสำเร็จได้อย่างไร คนไม่มีความรู้แล้วมันทำอุตสาหกรรมไม่ได้หรอกไม่รู้จะผลิตยังไง จะเอาอะไรมาผลิต จะเอาจากที่ไหน จะทำกระบวนการในการผลิตอย่างไรวัตถุดิบมันจึงจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเนี่ย มันต้องมีความรู้เพราะฉะนั้นมันก็เลยโยงไปหาวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ แหล่งความรู้สำคัญของอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันก็คือวิทยาศาสตร์ อาศัยการพัฒนาวิทยาศาสตร์คือการค้นคว้า ทดลอง แสวงหาความรู้นี้ก็ทำให้ เราได้ความรู้มา เรามาพัฒนากระบวนการอุตสาหกรรมอีกทีหนึ่ง นั้นจึงมีวัฒนธรรมอีกอันหนึ่งก็คือวัฒนธรรมการแสดงหาความรู้ (29.39) หรือพูดง่าย ๆ ว่า วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ ฝรั่งมีสามด้านเนี่ย หนึ่งวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ สองวัฒนธรรมอุตสาหกรรมหรือวัฒนธรรมการผลิต และสามวัฒนธรรมการบันเทิง ที่มาสำแดงเดชใหญ่โตอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ นี้คนไทยเราก็ไปเพลินวัฒนธรรมบันเทิงเนี่ย ซึ่งเป็นส่วนผิวเผินของเขาเนี่ย ถ้ายังงี้ไปไม่รอด งั้นเด็กไทยจะต้องมีความเข้มแข็ง ต้องก้าวทะลุวัฒนธรรมการบันเทิง ลงไปให้ถึงวัฒนธรรมการผลิต และก็ลงไปลึกลงไปให้ถึงวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้ เด็กไทยเรามีไหมจิตใจที่เป็นนักใฝ่หาความรู้เนี่ย แสวงหาความรู้ต้องการรู้อะไรแล้วต้องหาจนเจอ ต้องให้รู้จริงให้ได้ ถ้าไม่รู้จริงไม่ยอมหยุดถ้ายังงี้ละก็ไปได้สังคมไทย ถ้าไม่มียังงี้ไม่มีหวัง เพราะฉะนั้นฝรั่งที่เจริญเนี่ยพื้นฐานที่แท้จริงคือวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ แน่นอนไม่มีทางเถียง งั้นเรามีไหมแค่จะหาเด็กนักเรียนเรียนวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เดี๋ยวนี้หายากเต็มทีในประเทศไทย ฉะนั้นเราจะพัฒนาประเทศชาติเนี่ยต้องคิดกันให้ดี เอาละอย่าติดอยู่กับสิ่งผิวเผินคือวัฒนธรรมการบันเทิง สนุกสนานอย่างรู้ทัน แล้วก้าวลึกลงไปให้ถึงวัฒนธรรมการผลิต แล้วลึกลงไปอีกให้ถึงวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้ (31.10) พัฒนาเรื่องการใฝ่หาความรู้ขึ้นมาให้ได้ เรื่องการแสวงหาความรู้ ต่อจากรู้แล้วก็ต้องคิดเป็น คิดกับรู้เนี่ยต้องย้ำบ่อย ๆ เวลานี้บางทีบอกว่าให้เด็กเป็นนักแสดงความคิดเห็น อย่าเพิ่งพูด การแสดงความคิดเห็นต้องคู่กับการแสวงหาความรู้ การแสดงความคิดเห็นต้องตั้งอยู่บนฐานของความรู้ หมายความว่าแสดงความคิดเห็นบนฐานของการมีความรู้ ไม่ใช่แสดงความคิดเห็นเรื่อยเปื่อย ยังงั้นเขาเรียกว่าแสดงความคิดเห็นไปตามชอบใจไม่ชอบใจ ถ้าเอาแค่ตามชอบใจไม่ชอบใจมันไปไม่รอด ใครก็แสดงได้ความคิดเห็น ข้อสำคัญที่ขาดก็คือความรู้ หนึ่งต้องหาความรู้ สองเมื่อมีความรู้แล้วต้องจักคิด คนมีความรู้แต่คิดไม่เป็นเอาความรู้มาใช้ประโยชน์ไม่ได้ นี้คนที่คิดเป็นก็เอาความรู้มาใช้ประโยชน์ได้แต่คนที่คิดโดยไม่รู้ก็ไม่ได้เรื่องก็เหลวไหลเลื่อนลอย งั้นรู้กับคิดนี่ต้องคู่กัน จะขาดกันไม่ได้ แต่ว่านักแสวงหาความรู้ต้องมาก่อน แล้วการคิดนี่ก็คิดที่เป็นพื้นฐานก็คือคิดหาความรู้ ถ้าคิดหาความรู้นี่จะเก่งมาก มันจะมาหนุนกันเลย คิดยังไงจะได้ความรู้ ไปหาความรู้ที่ไหน เวลาจะหาความรู้ให้ได้ดีเนี่ยมันต้องเป็นนักคิดด้วย คิดกับรู้คู่กันไป พอรู้คิดแล้วก็มาสู่การประดิษฐ์สร้างสรรค์นำเอา ก็การสร้างสรรค์ก็คือการคิดเป็นนำเอาความรู้เนี่ย ออกมาทำให้เป็นประโยชน์ การคิดเป็นนำเอาความรู้ที่มีอยู่มาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็เกิดการประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นมา การริเริ่มต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาก็ได้ครบสามประการเลย (32.57) การรู้การคิดการประดิษฐ์สร้างสรรค์ ต้องทำให้ครบกระบวนการ เรื่องนี้ก็ เป็นข้อที่ สำคัญก็เลยขอนำมาเตือนพวกเราไว้ ไม่เฉพาะเด็กเท่านั้นผู้ใหญ่ด้วย เรื่องที่จะต้องพูดน่ะมีเยอะเพราะเรื่องวันเด็กเนี่ย ถ้าเรายอมให้เด็กเป็นอนาคตของชาติเนี่ยเราต้องพูดกันมาก ทำความเข้าใจกันให้เยอะผู้ใหญ่เองก็ไม่ใช่มาทำแบบบำรุงบำเรอเอาใจเด็กนะ ต้องรู้ว่าจัดงานเด็กเพื่ออะไร เราส่งเสริมเพื่อให้เขามีกำลัง ความสามารถที่จะไปสร้างสรรค์ประเทศชาติให้มีอนาคตที่ แน่ใจมั่นใจต่อไป นั้นตอนนี้เอาเป็นว่า วัฒนธรรมฝรั่งถ้าเราจะตามเนี่ย เดี๋ยวนี้เราก็ตามไม่ถูกตามไม่ทัน ที่ว่าตามก็ตามไม่จริง ไปตามการบันเทิงการตามการเสพบริโภคนี่มันผิวเผินเหลือเกินมันไม่ลึกเลย นักตามที่แท้จริงมันไม่ตามผลมันตามเหตุนะ ตามเหตุเนี่ยสำคัญมากเราต้องศึกษาว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้ฝรั่งเจริญใช่ไหม แล้วศึกษาดูเหตุก็ทำเหตุ เราต้องเป็นนักทำเหตุไม่ใช่เป็นนักเสวยผล พอฝรั่งทำผลมาแล้วก็มาบริโภคกันยังงี้ก็จมเท่านั้นเอง ไปไม่รอด งั้นก็เอาเป็นว่าต้องมี หนึ่งวัฒนธรรมการแสวงหาความรู้วัฒนธรรมวิทยาศาสตร์ สองวัฒนธรรมการผลิตวัฒนธรรมอุตสาหกรรม ที่แท้จริงต้องขยันหมั่นเพียร แล้วก็สามวัฒนธรรมบันเทิงอันนี้ผิวเผินมากอย่าไปติดอย่าไปหลงเลย เอาทำมาอย่างรู้เท่าทัน เรียกว่าอย่างน้อยก็ให้รู้จักประมาณในการบริโภค เอาหลักโภชเน มตฺตญฺญุตา (34.47) ความรู้จักประมาณในการบริโภคมา แล้วเราก็จะสามารถทันเขาจริง ๆ การทันของเราคืออย่างไร ฝรั่งญี่ปุ่นสร้างอะไรมาเราเอาเป็นฐาน แล้วยืนขึ้นบนฐานนั้นก้าวต่อไป ไม่ใช่ว่าเขาสร้างความเจริญอะไรมาเต็มไปหมดเราก็จมอยู่ใต้ความเจริญนั้น สิ่งเสพบริโภคมามากมายความเจริญต่าง ๆ มา เราก็จมอยู่ภายใต้ภาพความเจริญนั่น เสวยสุขบริโภคอันนี้เรียกว่าจมอยู่ภายใต้ความเจริญนั้น ถ้าเราเก่งจริงเนี่ยเราเอาความเจริญที่เขาสร้างมาเป็นฐานเลย คอมพิวเตอร์ ทีวีอะไรต่าง ๆ เนี่ยเราทำไงจะให้เป็นฐานของการที่เราจะก้าวต่อไป นักสร้างสรรค์ที่แท้จริงจะต้องรู้จักปฏิบัติต่อความเจริญ อย่าเอาความเจริญนั้นมาหมกตัว จมอยู่ภายใต้ความเจริญ เด็กของเราจะต้องเอาความเจริญที่มีอยู่ที่มาจากเมืองนอกเนี่ยเป็นฐาน แล้วยืนขึ้นเหนือบนความเจริญนั้นก้าวต่อไป ก็เขาอุตส่าห์สร้างมาตั้งเยอะก้าวมาถึงนี่เรากลับไปจมอยู่ภายใต้นั้นมันจะไปรอดอะไร ฉะนั้นวิธีปฏิบัติที่ถูกมันก็ง่าย ๆ นี่แหละ ก็เขาสร้างความเจริญมาเท่าไหนมันก็เป็นโอกาสแก่เราแล้ว เราก็เอาความเจริญทั้งหมดนั้นมาเป็นฐานเราก็ยืนขึ้นไปบนความเจริญนั้นก้าวต่อไปยังนี้มันจึงจะฉลาด ถ้าทำไม่ได้ยังงี้ต้องขออภัย ญาติโยมคงต้องหาคำมาใช้ให้เหมาะแล้ว ถ้าโยมพูดโยมคงบอกว่าโง่ นะใช้ความเจริญไม่เป็น ถ้าใช้ความเจริญเป็นต้องเอามาเป็นฐานก้าวต่อไป เอ้าแล้วเราจะทำได้ไหมเด็กของเราเนี่ย เอาความเจริญที่ฝรั่งก็ตามญี่ปุ่นก็ตามสร้างมาทั้งหมดเนี่ยเป็นฐานให้แก่ตัวเรา ยืนขึ้นบนนั้นแล้วก้าวต่อไป นี้คือนักสร้างสรรค์ที่แท้จริง แล้วจะเป็นอนาคตของประเทศชาติได้ ก็ขอผ่านเรื่องนี้ไปแต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่อยากจะตั้งข้อสังเกตุและก็ให้เด็กช่วยกันคิด เวลานี้เสียงจากผู้ใหญ่แม้แต่ครูอาจารย์จำนวนมากบอกว่าเด็กไทยอ่อนแอ ว่างั้นนะ เด็กจะยอมรับไหมว่าตัวเองอ่อนแอ อันนี้วันนี้ก็เป็นเวลาที่ตรวจสอบตัวเราด้วยนะ เวลานี้มีข้อกล่าวหา อาจจะไม่ใช่ข้อกล่าวหาก็ได้ อาจจะเป็นข้อมูลความจริงก็ได้ เขาบอกว่าเด็กไทยตอนนี้อ่อนแอมาก งานการการศึกษาเล่าเรียนไม่สู้เลย นะจะเอาแต่การปรนเปรอสะดวกสบายอย่าเดียว ถ้าคนอ่อนแอนี่มีลักษณะอย่างหนึ่งก็คือเป็นคนที่ทุกข์ได้ง่ายสุขได้ยาก ปรนเปรอกันไปเท่าไรก็สุขไปทีหนึ่งเดี๋ยวก็เรียกร้องมากขึ้น ปรนเปรอไม่ไหว อันนี้ขาดอะไรนิดหน่อยก็ทุกข์ยังงี้อยู่ไปก็แย่ เขาเรียกว่าเป็นคนที่ทุกข์ได้ง่าย สุขได้ยาก ปรนเปรอกันเดี๋ยวก็เบื่อ เดี๋ยวก็ลำบาก เพราะงั้นคนที่เข้มแข็งจริงเนี่ยเป็นคนที่สุขได้ง่ายแต่ทุกข์ได้ยาก (37.59) ข้อพิสูจน์ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้เด็กเลย ถ้าเป็นคนที่เข้มแข็งนะ สุขได้ง่ายทุกข์ได้ยาก แต่ถ้าอ่อนแอนี่สุขได้ยากทุกข์ได้ง่าย เจออะไรต้องทำนิดหน่อยทุกข์แล้ว ถ้าเด็กที่เข้มแข็งนะเจออะไรต้องทำไม่เป็นไรฉันสู้ทั้งนั้น แล้วฉันจะทำมันอย่างมีความสุขด้วย ถ้าคนที่เข้มแข็งจะมีความสุขจากการทำด้วยนะ ถ้าคนที่อ่อนแอจะมีความสุขจากการเสพอย่างเดียว ได้เสพเมื่อไรก็สุขถ้าต้องทำเมื่อไรทุกข์ทันที แต่เด็กที่เข้มแข็งนี่มีความสุขจากการกระทำ เวลาทำการสร้างสรรค์ต่าง ๆ นี่แกมีความสุขมาก แล้วแกก็ทำก้าวต่อไป เด็กไทยจะต้องมีความสุขจากการสร้างสรรค์ไม่ใช่สุขจากเพียงแค่เสพ ถ้าจะให้ครบชุดก็ ไม่สุขเพียงจากเสพต้องสุขจากศึกษาและสุขจากสร้างสรรค์ด้วย ถ้าศึกษาหาความรู้แล้วมีความสุข คุณพ่อคุณแม่หาหนังสือให้อ่านไม่ทันเลย หาข้อมูลอยากรู้ ยังงี้เด็กมีความสุขจากการหาความรู้เป็นไอน์สไตน์ได้เลย ไอน์สไตน์นี่แกไม่ต้องมาบำรุงบำเรอหาความสุขหรอก แกคิดอยากจะรู้ความจริงของธรรมชาติ แกค้นคว้าแกนั่งหาความรู้แกปล่อยหัวกระเซิงเลย ผมเผิมไม่ต้องตัด แกมีความสุขตลอดเวลานี่คือความสุขของ นักวิทยาศาสตร์ ความสุขจากการศึกษาการหาความรู้ เด็กของเรามีกี่คนที่มีความสุขจากการศึกษาหาความรู้ หายากใช่ไหม นี่ก็เป็นเครื่องหมายของความอ่อนแอ แล้วก็มีความสุขจากการสร้างสรรค์ จากการทำการประดิษฐ์คิดค้นทำอะไรต่าง ๆ ทดลอง ทำงานทำการที่อยากจะทำเนี่ยเห็นคุณค่าเป็นประโยชน์ทำเข้าไป ยิ่งทำยิ่งมีความสุขยังเงี้ยพ่อแม่ ยิ้มได้เลยเด็กจะมีความเจริญงอกงาม แต่ถ้าเด็กมีความสุขจากการเสพบริโภค พ่อแม่เตรียมตัวนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าได้ นะก็ขอให้เรามาคิดกันให้ดี จะพัฒนาประเทศชาติสังคมของเราจะเอายังไง นี้เด็กไทยเนี่ย ต้องคิดดูแล้ววันนี้ตรวจสอบตัวเองว่าเราเนี่ยอ่อนแอจริงตามคำที่มีผู้กล่าวหาหรือไม่ อันนี้เรื่องกำลังเนี่ยพิสูจน์กันได้หลายอย่าง มันมีกำลังอะไรอีกบ้าง กำลังกาย กำลังกายนี้ก็เล่นกีฬาเป็นต้น บริหารร่างกายให้ดีเวลานี้เสพบริโภคจนเสียกำลังกาย จนกระทั่งคุณหมอต้องมาตั้งกิจกรรมวันเด็กอันหนึ่งจุดหนึ่งที่ว่ากลัวเด็กไทยจะอ้วนเป็นเบาหวานเด็กเป็นเบาหวานผู้ใหญ่กันตั้งแต่เด็ก ๆ ท่านก็มีความปรารถนาดี นี่ทั้ง ๆ ที่มีความสุขความเจริญนี่มันแย่ลงมันอ่อนแอแม้แต่ร่างกาย ฉะนั้นต้องทำร่ายกายให้แข็งแรงมีสุขภาพดี รู้จักประมาณในการบริโภค รู้จักกินอาหารให้เป็น การศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนกินอยู่เป็นวันนี้คุณหมอก็มาจัดเต้นท์ตั้ง เรื่องนี้ด้วย นี่กำลังกายนะ กำลังกายไม่พอต่อไปกำลังใจ (41.04) กำลังใจก็ต้องมีเป็นส่วนสำคัญเป็นตัวรองรับเป็นตัวหนุน เป็นเบื้องหลังของกำลังกาย ถ้าไม่มีกำลังใจนะกำลังกายจะใช้ผิดก็ได้ อาจจะไปใช้ในทางเสียหายเอาไปรบราฆ่าฟันเอาไปตีกันยกพวกตีกัน อะไรต่าง ๆ ที่เกิดเรื่องกันเวลาเนี้ยก็เพราะเด็กขาดกำลังใจมีแต่กำลังกาย กำลังใจก็คือกำลังของจิตใจที่ดีงามมีคุณธรรมเป็นต้น มีกำลังใจหนึ่งกำลังใจที่จะควบคุมตัวเองให้อยู่ในความถูกต้องได้ คนไม่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งเนี่ยมันควบคุมตัวเองไม่ได้ มันอ่อนแอมันแพ้ต่อสิ่งยั่วยวนต่อความชั่ว นี้คนที่มีความเข้มแข็งมีกำลังใจดีนี่มันสู้ได้ มีความชั่วเกิดขึ้นกิเลสเกิดขึ้นมีความเข้มแข็งยับยั้งใจตัวเองควบคุมตัวเอง ให้อยู่ในความถูกต้องชอบธรรม อันนี้คือกำลังใจอันที่หนึ่ง
สองกำลังใจที่จะทำกิจการต่าง ๆ ไม่ท้อแท้ไม่ท้อถอยไม่ระย่อ งานอะไรมาการศึกษาเล่าเรียนมาฉันทำได้สู้ตลอด เราเป็นนักสู้บอกว่าชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วมนุษย์นี่จะประเสริฐด้วยการฝึกถ้าไม่ฝึกหาประเสริฐไม่ การฝึกที่ดีก็คือต้องมีแบบฝึกหัด คนเรามีแบบฝึกหัดทำแบบฝึกหัดมากก็เจริญงอกงามมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ถ้าไม่ฝึกก็หาประเสริฐไม่คนไม่ทำแบบฝึกหัดก็ไม่พัฒนา ฉะนั้นก็ต้องพยายามทำแบบฝึกหัดให้มาก ๆ พ่อแม่ก็ต้องรู้จักหาแบบฝึกหัดให้เด็กทำ ถ้าเรียกว่าใช้บทอุเบกขาแล้ว จะมีแต่เมตตากรุณามุฑิตาไม่ได้ เอาอุเบกขามาก็หาแบบฝึกหัดให้ลูกทำ แล้วก็เป็นเพื่อนลูก ให้ลูกมีกำลังใจในการทำแบบฝึกหัด เด็กก็จะเจริญงอกงามแล้วมีความเข้มแข็งด้วยมีความสุขไปด้วย กำลังใจนะนี่ (42.53) ต่อไปกำลังปัญญานี่สำคัญที่สุดเลย กำลังการแสวงหาความรู้ รู้จักแสวงหาความรู้ มีกำลังในการหาความรู้ เอาความรู้มา ใช้ความความคิด ก็ต้องคิดให้เก่ง นี่ก็เป็นกำลังปัญญาคนไหนคิดเก่งก็สามารถประดิษฐ์คิดค้น สามารถแก้ปัญหาได้ดีก็ต้องมีกำลังปัญญาในทางความคิดเนี่ยคิดให้เก่ง แล้วก็เอาสิ่งที่ได้ประสบทุกอย่างมาใช้ประโยชน์อย่างที่ว่าเมื่อกี่เนี่ย เจอคอมพิวเตอร์เอ้อเราจะเอาประโยชน์จากมันยังไงทำไงจะให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต แก่ครอบครัวแก่คุณพ่อคุณแม่ แก่สังคมประเทศชาติเรา ไม่ใช่เจอคอมพิวเตอร์ก็เอ้อเราจะได้สนุกโก้สักทีอย่างนี้ไปไม่รอด พอเจอคอมพิวเตอร์ต้องคิดแล้ว ว่าเอ้อเราจะใช้มันยังไงในการสร้างสรรค์นี่คนมีปัญญาต้องคิดอย่างนี้แหละ พอคิดปั๊บเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ประโยชน์ยังไงได้บ้าง หนึ่งศึกษาหาความรู้ สองทำการงานสร้างสรรค์พัฒนาชีวิตเรา พัฒนาความคิดจิตใจ พัฒนาความสามารถ พัฒนาประเทศชาติสังคมต่อไป เนี่ยเจออะไรต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้หมด ความเจริญของฝรั่งญี่ปุ่นทำมาสิ่งประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมคิดในแง่เนี้ย เอายังไงจะเอามันมาใช้ประโยชน์ให้ได้ ถ้าคิดยังงี้ได้กำลังปัญญามาไม่ต้องกลัว ประเทศเล็ก ๆ จะชนะประเทศใหญ่ได้เนี่ยมันด้วยกำลังปัญญาอย่างเดียว กำลังเศรษฐกิจไปไม่ไหว ตั้งแต่ยุคไหนมาแล้ว มันก็คนมนุษย์นี่สู้กันมาตลอด ถ้าเราจะอยู่ในระบบแข่งขันเนี่ย เราก็บอกต้องเอาชนะ แล้วการชนะต้องมีอะไร กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังทรัพย์นี่มีกำลังยุทโธปกรณ์อะไรต่าง ๆ มากมาย อย่างตอนนี้ประเทศเราเล็กแค่นี้จะไปชนะเขายังไง ทรัพย์สินเงินทองก็ไปไม่ไหว ยุทโธปกรณ์ก็ไม่ไหว ไม่ต้องกลัวตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ทัพเล็ก ๆ นิดเดียวชนะทัพใหญ่ได้ด้วยอะไร ด้วยกำลังปัญญาใช่ไหม แม่ทัพที่เก่งกาจมีกำลังปัญญาดีนี่แกวางแผนปุ๊บเดียวเลยไอ้กองทัพใหญ่มีกำลังแสนคนแพ้กำลังหมื่นเดียว สิบเท่าไม่ต้องกลัว เพราะฉะนั้นกำลังปัญญาสำคัญที่สุด ยิ่งในโลกปัจจุบันแล้วถ้าคน รู้จักพัฒนาปัญญานี่มันมีอุปกรณ์เยอะเลยเนี่ยที่ฝรั่งญี่ปุ่นสร้างมาเนี่ยเราเอามาใช้เป็น ปัจจัยเป็นเครื่องอุปกรณ์ในการพัฒนาปัญญาได้ (45.23) เพราะฉะนั้นเด็กไทยยุคปัจจุบันเนี่ยมีโอกาสดีที่สุดแล้วโชคดีมาก แต่ใช้โชคดีนี้ให้เป็น เอาความเจริญของเขาเนี่ย มาเป็นปัจจัยมาเป็นเครื่องเกื้อหนุนในการสร้างสรรค์ความเจริญโดยเฉพาะในการพัฒนาปัญญา แล้วถ้าเราพัฒนาปัญญาได้ดี สามารถเอาชนะด้วยปัญญาจำไว้ให้ดีเลย ผู้ที่มีกำลังอื่นน้อยต้องเอาชนะด้วยกำลังปัญญาเท่านั้น ถ้าคนไทยไม่สามารถพัฒนากำลังปัญญาขึ้นมาอย่าไปหวังเลยว่าจะชนะอะไรได้ เอานะนี่เป็นเรื่องที่หนึ่ง นี้การพิสูจน์กำลังที่แท้จริงเนี่ย ต่อไปในทางพระศาสนา กำลังปัญญานี้สูงสุด แต่การพิสูจน์กำลังที่แท้จริงมีสองอย่าง
หนึ่งคนที่มีกำลังที่แท้จริงคือคนที่มีอิสระ คนที่ไม่เป็นอิสระยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างมีกำลังกายมากเป็นนักมวยนักกีฬาอะไรถูกมัดซะอย่างเงี้ยกำลังไม่มีความหมายเลยใช่ไหม ทีนี้ถ้าเราไม่ถูกมัดเราเป็นอิสระกำลังมีเท่าไรก็ใช้ได้หมด ฉะนั้นพระพุทธศาสนาถือว่าอิสรภาพเป็นกำลังสูงสุด นี่ความหมายในทางพระศาสนานะ ท่านไม่ได้ถือว่าการที่เรามีกำลังกายเข้มแข็งนั่นมันพอหรอก โดนเขาจับมัดก็หมดแล้ว มีแรงเท่าไรไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นกำลังสำคัญที่สุดกำลังที่แท้คืออิสรภาพ ความเป็นอิสระ ฉะนั้นเช่นในทางจิตใจถ้าจิตใจอยู่ใต้อำนาจกิเลสหมดกำลังเลย ไม่มีความหมายทำอะไรไม่ได้แล้ว โดนความเห็นแก่ตัวครอบงำ โดนความเกียจคร้านครอบงำงี้ไปไม่รอดแล้วมีกำลังก็หมดความหมาย ฉะนั้นกำลังที่แท้ต้องเป็นอิสระ เช่นจิตใจเป็นอิสระจากกิเลสพ้นจากกิเลสแล้วตอนนี้แหละ อย่างพระพุทธเจ้ามีกำลังเท่าไรจาริกไปได้ทั่วทั้งโลกเลย ไปทำเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลกเนี่ยมีกำลังมหาศาลเลยคนที่เป็นอิสระ
(47.27) สอง เครื่องพิสูจน์กำลังอย่างที่สองด้านที่สองก็คือว่า คนที่มีกำลังแท้จริงเนี่ยคือคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นได้ ใช่ไหม ฉะนั้นถ้าช่วยคนอื่นไม่ได้มันก็ยังพิสูจน์กำลังไม่ได้จริงหรอกใช่ไหม ฉะนั้นท่านจะพิสูจน์กำลังท่านต้องเป็นคนที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ แล้วคนในสังคมของเรานี่ มาช่วยเหลือกันได้แค่ไหน คนที่บอกว่ามีกำลัง จะเป็นกำลังทรัพย์หรือกำลังอะไรก็ตามเนี่ย มาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือเพื่อสังคมประเทศชาติได้แค่ไหน ถ้าผู้ใดได้ไปช่วยเหลือเขาก็แสดงตัวเองมีกำลังแท้จริง เอาละ กำลังมีหลายอย่าง กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ก็จะว่าไปก็พูดได้แต่ไม่ต้องพูดก็ได้วันนี้ กำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญาเนี้ยมันมาตามธรรมชาติ กำลังทรัพย์มันนอกกายนอกธรรมชาติ แล้วก็กำลังปัญญาสูงสุด แล้วก็มาพิสูจน์กำลังด้วยความเป็นอิสระ แล้วก็การที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ ฉะนั้นเด็กไทยจะต้องพิสูจน์กำลังของตัวเองแล้วตอนเนี้ย ว่าเรามีกำลังแท้จริงไหมจะสามารถสร้างสรรค์ประเทศชาติได้หรือไม่ นี่ก็เป็นเรื่องที่สาม แต่วันนี้หมดเวลาแน่นอนแล้ว ก็เอาเป็นว่าวันนี้เรื่องวันเด็ก ก็ขอให้เด็ก ๆ ทั้งหลายเนี่ยได้มีกำลังที่แท้จริง อย่าไปพูดแต่เพียงกำลัง ๆ แล้วก็ไปเน้นแค่กำลังกาย กำลังใจก็ไม่มีกำลังปัญญาก็ไม่มี แล้วก็กำลังร่วมกันก็กำลังสามัคคี นะกำลังสามัคคีแต่พิสูจน์กำลังด้วยความเป็นอิสระ และการที่ สามารถช่วยเหลือเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้านี่เป็นแบบอย่างแก่เรา เพราะพระองค์มีกำลังปัญญาสูงสุดแล้ว ตรัสรู้ และพระองค์ก็มีความเป็นอิสระไม่ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเครื่องผูกมัดใด ๆ พระองค์จึงสามารถไปทำกำลังแสดงกำลังที่สอง ก็คือกำลังไปบำเพ็ญประโยชน์ทำเพื่อชาวโลกได้ เสด็จจาริกไป เพื่อประโยชน์สุขแก่พหูชน เพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก อันนี้เราสามารถนำเอาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างแก่เราได้เลย อันนั้นก็ขอให้เด็ก ๆ ทั้งหลายได้คติจากวันเด็กวันนี้ให้คุ้มค่า อย่ามาแค่สนุกสนานอย่างเดียว แต่ว่าสนุกสนานก็ขออนุโมทนาด้วย ก็ขอให้เป็นการสนุกสนานบันเทิงในธรรม แล้วต่อจากนั้นไม่จบแค่นี้ เราได้กำลังที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราเจริญงอกงามต่อไป ในเมื่อเราอยู่ในโลกนี้ที่ยังมีการแข่งขันกันอยู่ เราจะต้องเอาชนะด้วยปัญญา และเราจะต้องเอาความเจริญที่เขาสร้างมานั้นเป็นฐานที่เราจะขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้วก็ก้าวต่อไป นี่คือผู้ที่มีความฉลาดมีกำลังปัญญาที่แท้จริง (50.29) แต่เราทำทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อไปแข่งขันเอาชนะเขาหรอก ในที่สุดก็เพื่อให้เรานี่มีความสามารถไปช่วยเขาได้ในที่สุด คือว่ามาช่วยโลกนี้ที่มันมีการแข่งขันแย่งชิงทะเลาะเบียดเบียนกันมากเนี่ย ให้มันสงบสุขเสียที แต่ถ้าเราไม่มีกำลังเอาชนะเขาไม่ได้ในตอนเนี้ยเราก็ไปช่วยใครไม่ได้ เราจะถูกครอบงำด้วยซ้ำไป เบื้องต้นเราก็เลยจำเป็นจะต้องเอาชนะ แต่เราเอาชนะด้วยปัญญาและด้วยความสำนึกตลอดเวลา ที่มีจุดมุ่งหมายที่ดีงามเพื่อจะไปช่วยทำโลกนี้ให้มีสันติสุขสืบต่อไป วันนี้ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรและสาธุชนทั้งหลาย รวมทั้งเด็ก ๆ นักเรียนเยาวชนที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายมีเมตตาความรัก โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่วันเนี้ย มากมายหลายท่านก็คงได้พาลูกพาหลานมาก็ด้วยความรักความเมตตา ก็ขอให้เด็ก ๆ เนี่ย ได้มีความซาบซึ้งในน้ำใจของคุณพ่อคุณแม่ มีโยมท่านหนึ่งก็ฝากมาด้วยบอกว่าเนี่ยคุณพ่อคุณแม่เนี่ย มีความรักความเมตตาก็ทำเพื่อลูกได้ทุกอย่างไม่เห็นแก่ความทุกข์ความลำบากของท่านเลย ของอะไรที่ท่านจะต้องใช้ อาจจะต้องรับประทานพอลูกอยากได้พ่อแม่ก็ให้ได้ ธรรมดาถ้าให้แล้วก็ต้องมีความทุกข์ แต่พ่อแม่ให้แก่ลูกแล้วมีความสุข เพราะอะไรก็เพราะว่าพ่อแม่รักลูก นี้คุณพ่อคุณแม่เนี่ยรักลูกให้แก่ลูกทำเพื่อลูกได้ทุกอย่าง เราก็ต้องทราบซึ้งในน้ำใจของคุณพ่อคุณแม่ นี้ถ้าท่านทำด้วยใจของท่านแล้วเราก็มีความซาบซึ้งยังงี้ก็เป็นความดีเป็นความสุขด้วยกัน พ่อแม่ก็สุขเราก็สุข
(52.12) แต่ทีนี้ว่ามีอันหนึ่ง ก็คือวันนั้นพูดกับโยมแล้วโยมบอกว่าขอให้มาช่วยย้ำด้วยบอกว่าอย่าให้ เนี่ยคือลูกเนี่ยบางทีถือโอกาสเลย พอพ่อแม่ทำให้เรามีความสุข พ่อแม่อยากทำให้รักเรา ก็เลยถือโอกาสแล้วฉันสบายไม่ต้องทำ อย่างนี้เขาเรียกว่าเอาเปรียบพ่อแม่นะ ไม่คำนึงถึงพ่อแม่เลยว่าท่านจะทุกข์ยากลำบาก ยังงี้กลายเป็น ขออภัยเป็นบาปไปแล้วนะเจตนาไม่ดี ฉะนั้นก็ต้องซาบซึ้งในน้ำใจคุณพ่อคุณแม่มีน้ำใจตอบแทน ถ้าท่านจะลำบากเพราะเราทำให้เรามาก ต้องคิดเห็นใจท่านและพยายามแบ่งเบาภาระของท่าน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนแบบว่า หน้าที่ของลูกนั้นน่ะ การปฏิบัติต่อลูกแสดงความเคารพน้ำใจต่อพ่อแม่อย่างหนึ่งก็คือ การช่วยเหลือทำธุระการงานของท่าน สมัยก่อนเนี้ยพอลูกโตนิดหนึ่งก็ลูกก็ช่วยแล้ว มีอะไรช่วยพ่อแม่ได้ก็ช่วยทำกันไป ช่วยทำก็แสดงน้ำใจของลูกด้วย พ่อแม่ก็มีความสุขมากขึ้น ก็เป็นความสุขร่วมกันเนี่ย เราอย่าคิดเอาสุขฝ่ายเดียวนะต้องเป็นความสุขร่วมกัน ตั้งแต่ในครอบครัวเลย แม้แต่ในเรื่องความสุขก็อย่าให้เป็นความสุขฝ่ายเดียว ต้องพยายามให้เป็นความสุขร่วมกัน ความสุขร่วมกันก็คือความสุขจากความรัก ความเมตตา การที่ให้แก่กัน ให้ทางเวลาบ้างให้ทางกำลังกายช่วยทำอะไรบ้าง ส่วนพ่อแม่น่ะให้ทุกอย่างให้ตั้งแต่เงินทองน่ะ ลูกให้ไม่ไหวก็ให้ด้านกำลังกายบ้าง ให้เวลาบ้าง ให้น้ำใจบ้าง ก็ยังดีให้ความร่วมมือแสดงออกมาแล้วจะสุขด้วยกัน ครอบครัวก็มีความสุข พอครอบครัวสุขสังคมก็มีความสุขไปด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ขออนุโมทนาคุณพ่อคุณแม่ และก็ขอส่งเสริมกำลังใจเด็ก ๆ ทั้งหลาย ขอให้เด็ก ๆ ทั้งหลายเนี่ยมีความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นความสุขชนิดที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มออก เพราะความสุขบางชนิดของลูกน่ะพ่อแม่ยิ้มไม่ออกเชื่อไหม ถ้าเป็นความสุขแบบนั้นขอให้ลูกเห็นใจอย่าทำเลยเพราะทรมานน้ำใจพ่อแม่ ขอให้ลูกมีความสุขที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มได้ แล้วคุณพ่อคุณแม่เป็นสุขด้วย ขอให้เราเป็นสุขด้วยกัน สุขในครอบครัวเป็นฐานของสังคมแสดงน้ำใจต่อกันอย่างที่ได้กล่าวมานี้ แล้วก็ลูก ๆ วันเนี้ยมีความสุขคุณพ่อคุณแม่ก็สุขแน่ แต่ขอให้คุณพ่อคุณแม่ได้สุขระยะยาวก็คือ ลูกเนี่ยได้ประโยชน์จากงานนี้ มีกำลังใจที่จะไปศึกษาเล่าเรียนทำการสร้างสรรค์ต่าง ๆ มีชีวิตที่ดีงามในอนาคต ให้คุณพ่อคุณแม่มองไปข้างหน้า ด้วยความหวังในอนาคตของลูกแล้วยิ้มออกปลื้มใจว่าลูกของเราเนี่ยเจริญงอกงามมีความสุขในอนาคตแน่ แล้วความสุขจะมีอย่างพร้อมบริบูรณ์ ก็ขออนุโมทนาอีกครั้งหนึ่ง และบัดนี้ก็เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ก็ขออารธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร อภิบาลรักษา ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นต้นมาพร้อมด้วยคุณพ่อคุณแม่ของหนู ๆ คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายญาติมิตรทั้งหลายทั่วทุกคน จนกระทั่ง ว่าคนไทยทั้งหมดทั่วประเทศนี้ แล้วก็ทั้งโลกนี้ ก็จงได้เจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัย มีความเบิกบานผ่องใส ทั้งพรั่งพร้อมด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังความสามัคคีที่จะดำเนินชีวิตประกอบกิจอาชีพการงานให้ก้าวหน้าบรรลุผลสำเร็จสมความมุ่งหมาย ยังประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่ชีวิตของตนแก่ครอบครัวแก่สังคมประเทศชาติ และให้โลกนี้ทั้งหมดมีสันติสุขร่มเย็นทั่วกันตลอดกาลทุกเมื่อ ตลอดปีใหม่นี้และตลอดไป เทอญ