แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
เรามาคุยกันต่อ ก็คุยกันไปเรื่อยๆ มีบางท่านสนใจอรรถกถา พระพุทธโฆษาจารย์ไปศรีลังกา เรียบเรียงวิสุทธิมรรค แปลอรรถกถานั้น พ.ศ. 900 เศษ เนี่ยเรื่องประวัติศาสตร์ก็สำคัญ บางทีอย่างพระไทยเราเรียนคำภีร์อรรถกถาเล่มนี้เล่มนั้น ไม่รู้ว่าคัมภีร์นี้ ไม่รู้แม้แต่ว่าใครแต่ง เรียนกันไปแปลจนกระทั่งจบ ไม่รู้ว่าคัมภีร์เล่มที่ตัวเรียนใครแต่ง แล้วก็แต่งยุคสมัยไหน ก็เลยยิ่งไม่รู้ใหญ่ เนี่ยก็เลยกลายเป็นว่าดูแต่เนื้อในนั้น เค้าเอามาแปลฉันแปลได้ก็จบพอ นิมนต์นะ จะถามอะไร
พระนวกะ : แล้วพระไตรปิฎกอักษรไทยอะครับ เราคัดลอกมาจากอักษรภาษาอะไรครับ
ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต: อ้อ อักษรไทยแต่ว่าเป็นภาษาบาลี คือ คำว่าไทยนี้ต้องแยกว่า พระไตรปิฎกบาลีอักษรไทย หรือพระไตรปิฎกแปลเป็นไทย แปลเป็นไทยก็คือแปลเป็นภาษาไทย พระไตรปิฎกบาลีอักษรไทยก็คือ พระไตรปิฎกเดิมที่สืบกัน ที่ผมบอกเมื่อกี้ว่า ต้องพยายามรักษาให้คงเดิมเท่าที่มีมาถึงเราเนี้ย ไม่ให้ผิดเพี้ยนไปเลย อันนี้ก็ตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ 1 อ้าวก็พอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ใช่ไหม ท่านอาจจะได้เรียนแล้วมั่ง พุทธประวัติจบรึยัง จบ จบก็ชัดแล้วนิ พอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็รอพระมหากัสสปะ ท่านเดินทางอยู่ ที่นี้พอได้ข่าวจากอาชีวกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน สุภัททะพุทธบรรชิต พระสุภัททะที่บวชเมื่อตอนที่สูงอายุเนี่ย ท่านก็แสดงความ คล้ายๆ ว่าดีอกดีใจ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็แสดงความโล่งใจ พระทั้งหลายก็พากันโศกเศร้าร้องไห้ พระองค์นี้ก็บอก โอ้ย อย่าไปร้องไห้เล้ย พระพุทธเจ้าปรินิพพานนี้ก็ดีอยู่ ทำไมอ่ะ ก็ตอนที่พระองค์อยู่นิ พระองค์ก็บัญญัติโน้นบัญญัตินี้ พวกเราลำบาก ปฏิบัติกันยาก ก็ต้องคอยฟัง เดี๋ยวทำอันนี้ พระองค์จะบัญญัติห้ามอีกหรือเปล่า ที่นี้พระองค์ปรินิพพานแล้วไม่มีใครมา จะเรียกภาษาปัจจุบัน ก็ไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชแหละ ก็สบายแล้วแหละ โล่งกันสักที พระสุภัททะว่าอย่างนี้ พระมหากัสสปะได้ยิน ท่านก็เลยเป็นห่วงว่า โอ้นี้ขนาดพระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ ก็ยังมีพระที่คิดอย่างนี้ แล้วต่อไปทำไงอะ ก็ต้องพยายามรักษาพุทธพจน์ไว้ให้ดีสุด เมื่อไปถึงที่ปรินิพพานแล้ว จัดงานถวายพระเพลิงพุทธสรีระเสร็จแล้ว ก็เลยปรึกษากับพระเถระที่อยู่ในที่นั้นว่า เราจะมาสังคายนากันดีไหม ก็ตกลง กำหนด แล้วท่านสงสัยอะไร
พระนวกะ : ประเทศไทยอาจจะตั้งเมื่อ 700 ปีที่แล้ว แล้วภาษาอักษรไทยเนี่ย ไม่ทราบว่าคัดลอกหรือว่าแปลมาจากอักษรภาษาอะไร
ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต: อ้อๆ เดี๋ยวอันนี้ก็ว่ากันไปอีกขั้นนึง เอาเป็นว่าพอตกลงกันทำสังคายนา สังคายนาก็คือรวบรวมคำสอน พุทธพจน์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเนี่ยมารักษาไว้ มาให้ได้รับทราบกัน ตกลงกัน แล้วก็ช่วยกันรักษาต่อ นี้ตอนแรกก็ต้องรวบรวม สังคายนาก็คือสวดพร้อมกัน คำว่า สัง-คะ-ยา แปลว่าสวดพร้อมกัน ที่นี้ภาษาไทยปัจจุบันเพี้ยนแหละ สังคายนากลายเป็น มาชำระสะสาง เดี๋ยวนี้คำว่าสังคายนาแปลว่า ชำระสะสาง ใช่ไหม เนี่ยเพี้ยน สังคายนาเดิมไม่ได้แปลอย่างนั้นเลย เข้าใจเถอะ มารวบรวมเอามาวางเป็นหลักไว้ ก็มาช่วยกันรักษาไว้ให้ดี เรื่องของพระพุทธศาสนาสำคัญที่อันนี้ ก็คือว่า มุ่งไปที่คำสอนของพระพุทธเจ้าว่าจะรักษาไว้ให้พร้อมเพียง ก็มารวบรวมกันตอนสังคายนานั้นอะ แล้วที่ประชุมก็ตกลงกันว่าให้รักษาอันนี้ไว้ให้ดี ต่อมาก็มีวิวัฒนาการนิดหน่อย ตอนนี้เราไม่รู้ชัด ในช่วงประมาณสัก 100 ปีแรก หรือแม้ว่าสังคายนาครั้งที่สาม สมัยพระเจ้าอโศก พ.ศ. 235 หรือ 236 ช่วงเนี่ยที่เป็นระยะที่ว่า นอกจากพระพุทธพจน์ที่รวมรวมในการสังคายนาครั้งที่หนึ่งแล้วเนี่ย ก็ยังมีคัมภีร์เพิ่มอีก จนกระทั่งสมัยสังคายนาครั้งที่สามก็มีเพิ่ม แต่ก็ถือว่าลงตัวซะที นี้คำภีร์ที่เป็นรุ่นแรกๆ มากก็พวกพระสูตรนี่แหละ พระสูตรที่เป็นแกนนี่ มีมาแต่ต้นเลย นี้ก็รักษากันมา ก็รักษาเป็นภาษาบาลี ทีนี้สมัยเดิมรักษาด้วยการ สาธยาย สาธยายก็คือด้วยปากเปล่า ปากเปล่าก็เรียกว่า มุขปาฐะ หรือ มุขบาฐ มุขปาฐ สวดเป็นบาลีด้วยปากเปล่า การสวดภาษาบาลีด้วยปากเปล่านี้เป็นการรักษาพุทธพจน์ที่ถือว่าแม่นยำที่สุด คนสมัยหลังนี้เข้าใจผิด นึกว่าไม่มีเป็นตัวหนังสือ ไม่ได้บันทึกไว้แล้วมันจะอยู่ได้ยังไง สมัยก่อนเค้าถือว่าถ้าไปเขียนแล้วก็มีหวังแหละ จะต้องคลาดเคลื่อนแล้วก็เลือนหาย แล้วก็สูญในเวลารวดเร็ว เพราะฉะนั้นสมัยนั้นเค้าถือการบันทึกเป็นตัวอักษรนี้ เป็นวิธีที่ต่ำที่สุด จะเรียกว่าต่ำก็ไม่ใช่ คือท่านก็ให้เกียรติ เป็นวิธีที่คุณภาพต่ำที่สุด เออคุณภาพต่ำ เพราะอะไรล่ะครับ มองเห็นเหตุผลง่ายๆ ผมจะอธิบายไม่ยากหรอก คือการรักษาสมัยก่อนที่ว่าใช้ปากเปล่าเนี่ย มันไม่ใช่ว่าสักแต่ว่า บอกให้แล้วก็ไปจำกันเฉยๆ นะ มันต้องมีระบบ เพราะท่านถือเป็นสำคัญใช่ไหม จัดเป็นระบบเป็นหมู่คณะ เอาล่ะ หนึ่ง ลูกศิษย์เรียนกับครูอาจารย์ สมัยก่อนเค้าเรียนว่าต่อหนังสือ เคยได้ยินไหมต่อหนังสือ ต่อหนังสือก็ต้องเอาตัวบทก่อน แล้วก็อธิบาย มันก็มีตัวบทแล้วก็อธิบาย ตอนแรกก็ให้ตัวบท เช่นว่าพุทธพจน์พระสูตรนี้ เอ้าลูกศิษย์คนนี้มาเรียน หรือมากันเป็นกลุ่ม พระอาจารย์นี้ต้องแม่นใช่ไหม บอกให้ เอ้าท่านว่ามา ว่าไม่ถูก ต้องว่าจนให้ถูก ก็ว่าให้ถูกจนได้ คราวนี้ไม่ได้ กลับไป วันหน้านัดมาใหม่ ต้องว่าตัวบทไม่ให้ผิดเลย แล้วที่นี้ตัวบทไปก็อธิบายด้วย ว่าเนื้อความมันเป็นอย่างนี้ แต่ตัวบทนี้ต้องแม่น ทุกองค์ต้องให้แม่นลงกันหมด นี้หนึ่งแล้วนะวิธีต่อหนังสือ เค้าเรียกว่าถือการรักษาตัวบทนี่สำคัญเพราะเป็นแม่แบบเลยนิ อ้าว สองที่นี้ การรักษาทำเป็นหมู่คณะ หมู่คณะต้องสวดพร้อมกัน สวดพร้อมกันแล้วใครจะไปเพี้ยนได้อะทีนี้ ถูกไหม จะตัดจะเพิ่มไม่ได้ทั้งนั้นถูกไหม สวดร้อยองค์ สวดพร้อมกันนิใครจะไปเที่ยวผิดจากพวกคำเดียวก็ไม่ได้ถูกไหม มันก็เลยการเป็นการรักษาที่แม่นยำ ทีนี้ท่านถือเป็นเรื่องใหญ่นี่ พระมีหน้าที่จะต้องสาธยายทรงจำพุทธพจน์ไว้ แล้วก็มาประชุมกันสวดนี้แหละ ประเพณีสวดมนต์ก็เกิดจากการสาธยายรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรามาทำวัตรทำเวิตนี้มันเรื่องค่อยๆ มีวิวัฒนาการมา วัตถุประสงค์เดิมคือการสาธยายรักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มาประชุมกันสวด นี้นอกจากนั้นแล้วก็แบ่งกันอีก วัดโน้นวัดนี้เป็นหมู่คณะ หมู่คณะนี้ชำนาญในพระสูตรหมวดนั้นเฉพาะเลย กลุ่มนี้ชำนาญในส่วนนี้ เค้าเรียกว่าทีฆนิกายพวกหนึ่ง มัชฌิมมนิกายพวกหนึ่ง อะไรนี่แหละ แยกกันไป ชำนาญต้องรักษาตัวบท ชำนาญในคำอธิบายด้วยนะ แล้วพวกอาจารย์พวกกลุ่มนี้ก็จะมีชื่อเสียง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย ในหมวดกลุ่มนี้ พวกอื่นเค้าก็รักษานะ แต่พวกนี้จะชำนาญ ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ นี้ก็รักษากันมาแบบนี้นะ ก็คือว่าทรงจำตัวบท รู้คำอธิบาย ก็มีอาจารย์เป็น เราเรียกว่าเจ้าสำนัก หัวหน้าหมู่คณะ เป็นผู้ที่จะเป็นแม่แบบอีกที ก็เนี่ยวิธีทั้งการเรียนแต่ละองค์ ทั้งการรักษาเป็นหมู่คณะ สวดร่วมกัน มันก็อยู่อย่างเนี่ย แล้วก็ถือสำคัญมากนิ พระมาเจอต่างถิ่นกันก็ต้องตรวจสอบความรู้กันได้นะ ก็ต้องเป็นแบบแผนเดียวกันหมด นี้สมัยก่อนเค้าถือว่าการบันทึก การเขียนเป็นหนังสือนี้ มันเป็นวิธีการที่ประมาท เพราะว่าพอไปเขียนแล้ว หนึ่งเราไปลอกสิ สมัยก่อนมันไม่มีระบบการพิมพ์เป็นแม่แบบที่ว่า พิมพ์ทีเดียวเป็นหมื่นเป็นพัน ถูกไหม ที่มันลงตัวนิ ที่การพิมพ์ที่มันมีแม่แบบที่คนจีนคิดขึ้นนิ มันดีอย่างเนี่ย ที่มันมีแม่แบบ พิมพ์ทีเดียวพันนึง มันก็เหมือนกันหมด ที่นี้สมัยที่คัดลอกนะครับ หน้าหนึ่งเนี่ยไม่มีอะที่จะไม่ผิดเลย ใช่ไหม พอจะไปคัดลอก เอ้า ไปแหละ หน้านี้ตกไปตัวหนึ่งหรือเพื้อนไปตัวหนึ่ง บางทีเห็นไม่ชัด ไปลอกตัว ว เป็นตัว จ หรือ ตัว ว เป็น สระ อา อะไรไปซะอย่างเนี่ย เพราะฉะนั้นพวกคัดลองนี้ก็อันตราย คิดลอกทีก็เพี้ยนที ไม่มากก็น้อย ถ้าเป็นทั้งเล่มทั้งคัมภีร์เนี่ยจะเพี้ยนขนาดไหน นั้นเค้าก็เลยไม่ไว้ใจ สมัยก่อนก็เลยใช้การคัดลองเพียงสำหรับการเล่าเรียนชั่วคราว ก็หมายความว่าเวลาเราจะเรียนต่อกัน ก็อาศัยการเขียนนี่มาเป็นเครื่องมือช่วยในการทรงจำที่เรายังไม่แม่น เราก็มาช่วยในตัวเขียน ทีนี้ถ้าฝากเนื้อหาไว้กับตัวเขียนเมื่อไหร่ก็ถือว่าประมาท คล้ายๆ ว่าเอ้อมันมีอยู่ในตัวเขียนแล้ว ตัวเองก็ไม่เอาใจใส่ ไอข้อมูลนั้นก็ไปอยู่ในสมุด ในหัวไม่มีแหละ ก็กลายเป็นคนประมาท ตัวจริงหายหมด ท่านก็เลยต้องให้ระวัง ถ้าไปเขียนแล้วนิจะประมาท ทีนี้ยุคที่ไม่เขียนนิ จะต้องเอาใจใส่ กลัวนิใช่ไหม หายไปนิดนึงก็แย่แล้ว ต้องเอาจริงเอาจังกันมาก เพราะฉะนั้นตอนยุคเดิมใช้ไอพวกเขียนเป็นเครื่องช่วยในการเรียน เฉพาะหน้าแต่ละคราวๆ ในสมัยพุทธกาลก็มี ในพระวินัยไตรปิฏกท่านไปดู ตรงโน้นตรงนี้ จะมีการเขียนแล้ว ไม่ใช่ไม่มี อย่าไปนึกว่าสมัยพุทธกาลเค้าไม่มีการเขียน เช่นโจรชนิดหนึ่งเนี่ย โจรที่ทางการออกหมายเรียก ในพระไตรปิฎกมีนะ โจรชนิดหนึ่ง ท่านมีชื่อเลย โจรที่ทางการออกหมายเรียก ก็คือต้องมีหมายประกาศเอาไปติดไว้ในทางสี่แพ่งอย่างเนี่ยว่า โจรคนเนี่ยให้จับตัวมา ก็เอาเป็นว่ามีมานานแล้วเรื่องการเขียนหนังสือ แต่ท่านถือว่าไม่ใช่วิธีรักษาพุทธพจน์ที่ไว้ใจได้ ไม่น่าไว้วางใจ แต่น่ากลัวสูญหาย เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช้ ก็จะใช้เป็นเพียงเครื่องประกอบในการสื่อสารกันธรรมดา ในการช่วยการเล่าเรียนศึกษา ส่วนการรักษาที่แท้นิก็คือการรักษาด้วยการสวดพร้อมกัน แล้วก็มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างที่ว่า มีการสืบสาย สายนี้ชำนาญด้านนี้ สายนี้ชำนาญด้ายวินัย สายนี้ชำนาญพระสูตรในหมวดนั้นๆ หมวดนั้นไป อันนี้ก็เป็นมาอย่างนี้จนถึงกระทั่งว่า มาถึงสมัย พ.ศ 400 เศษ ที่ว่ามีสังคายนาครั้งที่ 5 ในลังกานะ ตอนนั้นมีสงคราม มีไรต่อไรวุ่นวาย พระก็อยู่ไม่เป็นสุข ท่านก็เลยมาปรารภว่าต่อไปนี้ การที่จะใช้วิธีรักษาพุทธพจน์ด้วยการสวด ในการทรงจำไว้ด้วยปากเปล่า นี้จะไปเป็นได้ยาก ฉะนั้นก็เลยจะต้องจำเป็น แม้จะไม่น่าไว้ว่างใจนัก ก็พยายามทำให้ดีที่สุด ก็จำเป็นจะต้องจาลึกลงไปเป็นลายลักษณ์อักษร ท่านทำด้วยความจำใจ ให้ไปอ่านประวัติดู การที่ท่านบันทึกพระไตรปิฎกจาลึกลงเป็นลายลักษณ์อักษรเนี่ย ท่านทำด้วยความจำใจ คือถือว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่น่าไว้ว่างใจ แต่จำใจต้องทำ เพราะสถาณการณ์นี้มันไม่น่าไว้วางใจอย่างที่ว่า เมื่อสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ก็เลยต้องเอาสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจน้อยกว่ามาช่วย ก็ถือว่าไอพวกเอกสารนะ อาจจะมีทางรักษาไว้ได้บ้าง แล้วก็ถือเป็นสำคัญว่าจะต้องตรวจชำระกันอย่างหนัก เมื่อมีการมาจาลึกนี้จะต้องมาทำเป็นส่วนรวม เป็นการของหมู่คณะมาประชุม เช่น หมู่สงฆ์ทั้งประเทศต้องมาตกลงกัน มาทำด้วยกันแล้วก็ตรวจสอบกันให้ดี แล้วก็ตั้งฉบับที่เป็นแบบไว้ ว่านี้นะฉบับที่เป็นแบบ อย่างประเทศไทยเราก็ถือว่าฉบับที่เป็นแบบของประเทศ ซึ่งประเพณีนี้ทำมา ก็ต้องเอาพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้อุปถัมภ์ทุกทีเลยนะ เวลาทำเรื่องของการจาลึกคัดลอกพระไตรปิฎกนิ จะไว้เป็นแบบของแผ่นดิน ก็อย่างสมัยอยุธยาแตก พอสมเด็จพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์ พอจัดการบ้านเมืองจะเข้าที่ สิ่งที่พระองค์รีบทำคืออะไรรู้ไหม จะเห็นเลย รีบให้รวบรวมพระไตรปิฎกจากเมืองเหนือเมืองใต้ ใช่ไหม เนี้ยๆ พระเจ้าตากเอาเลย คือถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการแผ่นดิน รบมาบ้านเมืองแตกกระจัดกระจายวุ่นวายใช่ไหม พอรวมได้ก็เอาเลย บอกว่าให้พระสงฆ์ ให้ข้าราชการอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมรราช จังหวัดเชียงใหม่อะไร เมืองเหนือเมืองใต้รวบรวมพระไตรปิฎกส่งมา แล้วก็ให้ประชุมพระสงฆ์ ตอนแรกพระเจ้าตากยังไม่มีเวลาก็ได้แค่รวบรวมเอาไว้ก่อน พอสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ทรงมีเวลา การแผ่นดินก็เรียบร้อยมากขึ้น เอ้าประชุมพระสงฆ์ มาจาลึกทำฉบับแม่บทแม่แบบขึ้นมา ก็เอาคัมภีร์ต่างๆ มา แล้วก็มาเทียบมา เค้าเรียกว่าชำระนะ มาตรวจสอบกัน มาสอบทานกัน องค์นั้นอ่าน อันนี้มาจากเมืองนครศรีธรรมราช อันนี้มาจากเชียงใหม่ มาตรวจสอบกัน เช็คลงกันเรียบร้อยดี ถ้ามันไม่ลงกันตรงไหนมีวิปลาส ทำฟุตโน้ตไว้ว่า ฉบับโน้นเป็นอย่างนี้ ฉบับนี้เป็นอย่างนั้น คือต้องรักษาไว้ให้คงเดิมที่สุด เสร็จแล้วก็จาลึกเป็นแม่แบบ ทำเป็นการแผ่นดิน ของนายหลวงรัชกาลที่ 1 นี้ แหม่ทำกี่ฉบับไม่รู้ล่ะนะ ทาทองทาเทิงอย่างดีเลย ทรงให้เกียรติอย่างมาก แล้วก็ทำหอมนเทียรทำขึ้นเก็บไว้รักษา เป็นแม่แบบของประเทศเลยนะ เนี่ยเอากันอย่างนี้ ของแต่ละประเทศก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ละประเทศก็แทบจะอวดกันเลยนะ ของฉันนิมีแม่บทอยู่ที่นี่ ที่นี้ประเทศต้องการจะชำระก็ส่งทูตมาขอสักฉบับหนึ่งไปตรวจสอบกับของประเทศของตัว นั้นเวลาที่เราเรียกว่าสังคายนาปัจจุบัน ก็จะต้องเอาของประเทศต่างๆ เท่าที่มีมาตรวจสอบกัน เราก็จะบันทึก เออดูหน้านี้ คำนี้ เอ้อ เกิดไม่ตรงกัน ฉบับของเรากับฉบับของพม่า ฉบับของพม่านิเค้าเป็นตัว จ ของงเรามาเป็นตัว ว ว่างั้นนะ เอ้าบันทึกไว้ ว่าของเรา จ บอกว่าฉบับพม่าเป็น ว แม้แต่ตัวอักษรนึงก็ต้องบันทึก นี้เรียกว่าการสังคายนาพระไตรปิฎก ไม่ใช่ไปเที่ยวสะสางพระไตรปิฎก ฉันเห็นว่าอย่างนี้ ไปจัดการไม่ใช่นะ เข้าใจผิด คนปัจจุบันไม่รู้เรื่องสังคายนา สังคายนาคือรักษาพุทธพจน์ที่มีมาให้บริสุทธิ์ที่สุด แม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกของเรานิ จะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมด จะไปอยู่เมืองฝรั่ง เมืองอินเดีย เมืองพม่า เมืองอะไรก็เหมือนกันหมด แต่ว่าก็อดไม่ได้ เพราะมากมายพิมพ์เป็นเล่มตั้งสองหมื่นสองพันหน้า เป็นฉบับภาษาบาลี ฉะนั้นมันก็ต้องมีบ้างนะ ที่มันอาจจะเผลอยังไงก็ไม่ทราบ อย่างเล่ม 33 นิ ของไทยหายไปเป็นคาถาเลย เอออย่างเงี้ย ก็เป็นตัวอย่าง มันยากมากในการที่จะรักษา แต่ก็เรียกว่าเก่งมากเชียวนะ รักษาได้อย่างนี้ เค้าเรียกว่า แสดงว่าท่านต้องมีน้ำใจตระหนักถึงความสำคัญอย่างยิ่ง ทีนี้ที่ท่านถามเรื่องตัวอักษร นี้ตัวอักษรเพราะอย่างที่ว่า ภาษาบาลีเดิมรักษามาด้วยปากเปล่า ก็ไม่ต้องใช้ตัวอักษรสิ นี้พอมามีตัวอักษรก็ตกลงกันสิ ว่าตัวอักษรนี่แทนเสียงนี้ ทีนี้พวกอักษรในประเทศเหล่านี้มันถึงกัน มีประวัติความเป็นมาในการเกิดอักษรของชาติต่างๆ แถวนี้ คล้ายกันๆ เนี้ย อักษรของอินเดียก็เป็นส่วนหนึ่งของที่มาของอักษรไทยเราด้วยนะ อย่างตัวเลขอารบิกนี้ก็มาจากอินเดีย ฝรั่งตอนแรกนึกว่าเป็นของอาหรับ ก็ไปเรียกอารบิก ตอนหลังนี้ฝรั่งรู้แล้ว อาหรับไปเอาจากอินเดีย เลยตอนหลังนี้ฝรั่งเรียกเต็มว่า ตัวเลขฮินดูอารบิก เค้าไม่เรียนอารบิกแล้วนะ เรียกเต็ม ต้องเรียกว่าตัวเลขฮินดูอารบิก เพราะว่าอาหรับแกไปเอามาจากอินเดียอีกทีนึง แล้วก็ไปถึงฝรั่งก็ ฝรั่งเอาจากอาหรับ ไอนี้ ตัวเลขตัวอักษรพวกเนี่ย ก็เป็นที่มา มาถึงเมืองไทยไรต่อไร ไปเมืองมอญเมืองไร แล้วก็มีการมาชำระ มาคิด มาตกแต่ง ปรุงอะไรขึ้นมา จนกระทั่งเป็นอักษรของชาตินั้นๆ นี้อักษรพวกนี้ก็คล้ายกันอยู่แล้ว ก็เอามาเทียบกัน อักษรนี้ตรงกับอักษรนี้ เราก็มาตกลงกัน ที่นี้เขียนภาษาบาลีจะเขียนด้วยอักษรของชาติไหนก็ได้ เมื่อตกลงกันแล้วว่าอักษรนี้เสียงนี้ จะเทียบกับอีกชาติหนึ่งคืออันนี้ ก็เท่านั้น ก็จบ เพราะฉะนั้น เราจะเขียนภาษาบาลีเป็นอักษรไทย ฝรั่งจะมาอ่านก็มาดูอักษรไทยตัวนี้ เทียบกับของตัวอักษรที่ตัวเคยเรียนมา ป้าปเดียวเลยอ่านได้แหละ ไม่ต้องรู้ภาษาไทยเลย เราจะอ่านพระไตรปิฎกบาลีอักษรพม่า เราก็ไปเรียนอักษรพม่า อักษรนี้เท่ากับตัวนี้ๆ ตัวนี้เท่ากับ ก ตัวนี้เท่ากับ ข ของเรา เท่ากับ สระอะ สระอา ของเรา พอจำได้ปั๊ป อ่านพระไตรปิฎกได้เลย พระไตรปิฎกพม่า เอาอ่านได้หมด เป็นสากลหมด อักษรโรมันก็ฝรั่งก็มาบัญญัติ อ้อ ไอตัวสระอะ ก็เอา a (ตัวเอ) สระอา ก็เป็น ตัวเอมีเขียนบน สระอิ เท่ากับ I (ไอ) สระอี เท่ากับ ไอมีเขียนบน สระอุ เท่ากับ u (ยู) สระอู เท่ากับ ยูมีเขียนบน ไรอย่างเนี่ยนะ เอ ก็เท่ากับ อี โอก็เท่ากับ โอ เอาล่ะ แค่นี้ละครับ เดี๋ยวก็อ่านได้แล้ว พระไตรปิฎกอักษรโรมันมาปั๊ป เราอ่านได้หมดแหละ สากลเลย แล้วแน่นอน ไม่เหมือนภาษาอังกฤษนิ To (ทีโอ) ทู Go (จีโอ) โก มันไม่แน่นอนนิ อะไรกันเนี่ย ทำไม To (ทีโอ) ทำไมเป็นทู Go (จีโอ) ทำไมกลายเป็นโก ใช่ไหม ภาษาไทยก็เหมือนกัน บางคำก็อ่านไม่แน่นอน แต่ถ้าบาลีแล้วเด็ดขาดเลย บาลีนี้แน่นอน ตัวไรเป็นตัวนั้น ก เป็น ก ข เป็น ข สระไหน สระนั้น ฉะนั้นจะไปเทียบอักษรไหนเหมือนกันหมด สบายเลย ภาษาบาลีก็เลยกลายเป็นว่าพระไตรปิฎกอรรถกถา ไปอยู่ในประเทศไทยก็ใช้อักษรประเทศนั้น ใครไปแล้วก็เรียนรู้เทียบได้หมด เข้าใจนะฮะ มีอะไรอีกแหละ
พระนวกะ : คือไม่ทราบว่า เราก็ไม่ได้คัดลอกโดยตรงมาจากภาษาสิหลใช่ไหมครับ
ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต: อ้อ เราก็สืบๆ กันมา สายไทยเราก็ต้องยอมให้เกียรติลังกา ลังกาก็เนี่ย เป็นแหล่งการศึกษาใหญ่ ในสมัยที่ทางอินเดียเสื่อมแล้ว พระไตรปิฎกนิก็มารักษาไว้ดีที่ลังกา แล้วก็ตอนที่ลังกาเค้าฟื้นฟูพุทธศาสนา เล่าเรียนศึกษาใหญ่ แล้วก็ทางไทยก็มีพระไปเรียนเยอะ เอ้าท่านอ่านประวัติพระพุทธศาสนาในตอนสุโขทัยไง พระไทยแล้วก็พระลังกา ก็มาจากลังกา ก็มาอยู่ที่นครศรีธรรมราช แล้วก็พ่อขุนของเราที่สุโขทัยก็ส่งทูตไปนิมนต์พระมหาสวามีสังฆราชมาสุโขทัย ถูกไหมครับ แล้วก็ถวายที่ให้อยู่ที่วัดอรัญญิกหรืออะไรนั้นแหละ ถูกไหม ได้ยินไหม เคยได้ยิน เนี่ยแหละ นี้คือฟื้นฟูพุทธศาสนาเอาลังกาเป็นแม่แบบ แต่ว่าพระไตรปิฎกเองที่จริงมีมาก่อนแล้ว มีมาแล้วก็รักษากันสืบมา ทีนี้การเล่าเรียนศึกษาก็ถือว่าชักจะเสื่อมลงไป ก็ไปฟื้นฟูไปเล่าเรียนกันมา คัมภีร์ไหมที่มันขาดตรงบกพร่องก็ไปเอามาให้ครบ ก็ลังกานิเป็นศูนย์กลางใหญ่ตอนยุคนั้น มีอะไรสงสัยอีกไหมฮะ
พระนวกะ : คือบางที่ที่กำลังพยายามแปลจากอักษรขอมอะครับ มาเป็นอักษรไทย ก็เลยไม่ทราบว่า อันนี้คือเพื่อที่จะศึกษาหรือว่าเพื่ออะไร ไม่ทราบ
ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต: แปลจากอักษรขอมเป็นอักษรอะไร
พระนวกะ : เป็นอักษรไทยครับ
ท่าน ป. อ. ปยุตฺโต: เอ้า ก็ธรรมดาเพราะคนสมัยนี้ ไทยอ่านขอมไม่เป็น คือในเมืองไทยเราเนี่ยนะ เมื่อก่อนเราก็ใช้อักษรขอม แล้วพอเรามีอักษรไทยขึ้น คนไทยก็เกิดไปยึดติดอักษรขอม เกิดมีปัญหาเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอีก ถือว่าอักษรไทยนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องใช้อักษรขอม เพราะฉะนั้นจะเขียนภาษาบาลีนี้ต้องใช้อักษรขอม กลายเป็นอย่างนั้นไป ยึดมั่น เพราะนั้นสมัยผมยังเป็นเณรเนี่ย คัมภีร์ใบลานเป็นอักษรขอมเยอะแยะไปหมดเลย ตามวัดบ้านนอก เวลาจะเทศน์หลวงพ่อก็กล่าว ก็ต้องอ่านอักษรขอม ที่นี้ท่านก็ชำนาญอักษรขอมกัน แม้ว่าอาณาจักรขอมเนี่ยมันหมดไปนานเนแล้ว แต่เมืองไทยกลายเป็นว่าช่วยรักษาอักษรขอมไว้ด้วย ก็เรียนภาษาบาลี อะไรต่อไร คัมภีร์ใบลานก็ใช้อักษรขอมกันมา เพราะถือเป็นอักษรศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาเขียนเป็นอักษรไทยก็กลายเป็นไม่ศักดิ์สิทธิ์ไป จนกระทั่งนายหลวงรัชกาลที่ 5 มาทรงพัฒนาขึ้น ว่าเรามีความเจริญแบบฝรั่ง การพิมพ์เข้ามา ทำหลังสือเป็นเล่มได้แล้ว ไม่ต้องเป็นคัมภีร์ใบลาน พอพิมพ์เป็นเล่มแล้ว ทีนี้นายหลวงก็ต้องการจะให้เผยแพร่ ก็ให้คนสมัยใหม่อ่านได้สะดวก จะเป็นอักษรขอมอยู่คนสมัยนี้ไม่รู้เรื่อง แย่แล้ว อ่านได้ไม่กี่คน ก็เลยให้แปลง ถ่ายทอดจากอักษรขอมเป็นอักษรไทย พิมพ์เป็นเล่มขึ้น เลยนายหลวงรัชกาลที่ 5 นี้เป็นต้นแบบเป็นต้นคิดเลย ในการที่มาพิมพ์คัมภีร์เป็นอักษรไทย ตอนนั้นก็โดนค้านเยอะเลย ถ้าไม่ใช้รัชกาลที่ 5 อาจจะสำเร็จยาก เพราะว่านายหลวงรัชกาลที่ 5 นี่ทรงเป็นที่รักใช่ไหม คนก็เชื่อถือมาก แม้กระนั้นก็โดนค้านเยอะ พระก็ไม่พอใจเยอะ ชาวบ้านก็ เอ้ จะมาทำลายความศักดิ์สิทธิ์ไรใช่ไหม โอ้เล่นเอาทำลำบาก แต่นายหลวงก็ทำได้สำเร็จ ก็เลยพิมพ์พระไตรปิฎกออกมาเป็นเล่ม เป็นอักษรไทยครั้งแรกเลย ตอนแรกมี 39 เล่ม ขาดคัมภีร์อภิธรรม 6 เล่มสุดท้าย ไม่ครบ 45 เล่ม ขาดไป 6 เล่ม คัมภีร์ปัฏฐานนี่สุดท้ายในอภิธรรมมี 6 เล่ม เมื่อขาดไปก็เลยมี 39 เล่ม ที่นี้ส่วนที่สิงหลเค้าใช้อักษรสิงหล ไม่ใช่ภาษาสิงหลนะครับ ต้องแยกก่อน ลังกาเค้าก็เขียนอักษรบาลีด้วยอักษรสิงหล ไทยเราก็เขียนอักษรบาลีด้วยอักษรไทย พม่าเค้าก็เขียนภาษาบาลีด้วยอักษรพม่า มอญก็เขียนภาษาบาลีด้วยอักษรมอญ ลาวก็เขียนภาษาบาลีด้วยอักษรลาว เขมรก็เขียนด้วยอักษรของเขมรหรือขอม ไทยเหนือเราก็มีอักษรของตัวเองอีก ทางนั้นเรียกว่าอักษรธรรม ก็เลยมีพระไตรปิฎกบาลีฉบับอักษรธรรมของเมืองเหนือขึ้นมาอีก ก็เป็นอีกฉบับ แล้วฝรั่งก็มาคัดลอกเอาไป ตอนแรกเอาจากอักษรสิงหล ก็ได้ฉบับอักษรสิงหลไป ก็ใช้อักษรโรมัน อักษรฝรั่งเนี่ย ท่านเรียกว่าอักษรโรมัน ก็ไปใช้เขียนภาษาบาลีด้วยอักษรโรมัน เราก็เลยมีพระไตรปิฎกและคัมภีร์ต่างๆ เช่นอรรถกถานี่เป็นฉบับอักษรต่างๆ เยอะแยะไปหมดเลยนะ ที่ญี่ปุ่นก็เอาไปแล้วนะ ญี่ปุ่นในที่สุดเค้าก็รู้ว่ามหายานเนี่ย คัมภีร์เดิมหายหมดแล้ว แล้วพระไตรปิฎกบาลีที่เป็นของต้นเดิมเท่าที่มีเก่าที่สุด ญี่ปุ่นก็เลยมาเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกบาลีของเราไป แล้วก็เอาไปคัดไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็มีพระไตรปิฎกบาลีด้วย พูดเยอะแล้ว ท่านว่าไงนะ ก็ดีไหมได้เรื่องเก่าๆ อย่างนี้ เรื่องความเป็นมา จะได้รู้ แม้จะไม่ใช่เนื้อหาธรรมะนะ รู้เรื่องประกอบก็แล้วแต่ รู้เรื่องประกอบก็เป็นประโยชน์ ถ้าท่านสนใจมากอาจจะต้องมาเล่าเรื่องพระไตรปิฎกในแง่ของการที่มาพูดให้เห็น รูปร่างของพระไตรปิฎก การจัดแบ่งหมวดหมู่พระไตรปิฏก ให้เห็นรูปร่างเป็นยังไง เนื้อหาเค้าโครงเรื่อง สาระสำคัญในแต่ละหมวดละตอนเป็นยังไงเนี่ย ถ้าสนใจจริงๆ แล้วเรียนไว้จะเป็นประโยชน์มาก คือมองพระไตรปิฎกปั๊ปเนี่ย มองออกเลย ว่าอ้อ เนื้อหาส่วนนี้จะหาได้จากเล่มไหน ส่วนไหน ไม่งั้นเรามองเห็น ก็เอ้อ เป็นพระไตรปิฎกก็จบ อย่างเก่งขึ้นมาก็แบ่งได้เป็นพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม แต่ก็ไม่รู้อีกว่า วินัยส่วนนั้น เอ้ จะหาเรื่องเกี่ยวกับการผูกสีมา เรื่องของการลงโบสถ์ อุโบสถ เอ้จะไปหาตอนไหน นี้นึกไม่ออกเลย หรืออย่างเรื่องพระสูตรก็เหมือนกัน จะไปหาเรื่องขันธ์ 5 จะไปหาเรื่องทิศ 6 จะไปหาเรื่องของภิกษุณี เออจะไปหาตรงไหน เอายังไง อะไรเนี่ยนะ นี้ถ้าหากเราเรียนรู้เรื่องพระไตรปิฎกเนี่ยเรามองปั๊ป เราก็ออกเลยว่าเรื่องนี้ควรจะไปหาเล่มนั้นๆ ตอนนั้น ถ้าสนใจก็อาจจะมาค่อยคุยอีก ถ้าสนใจนะ ถ้าไม่สนใจก็แล้วไป แต่ว่ามันก็เป็นพื้นฐานในการเล่าเรียน ถ้าเราจะลงลึกในเรื่องของพระพุทธศาสนาเนี่ย เรารู้เค้าโครงพระไตรปิฎกไว้เป็นประโยชน์มาก เพราะแหล่งที่แท้ก็ต้องมานี้ คือว่าเราอาศัยครูอาจารย์นี้เป็นสื่อให้เรา เพื่อไปโยงเข้าหาหรือนำเข้าหาพระไตรปิฎก เราไม่ใช่ไปติดอยู่แค่ครูอาจารย์ ใช่ไหมฮะ เอ้ามีอะไรอีกไหมครับ สงสัยอะไรอีกไหม ไม่มีนะ ถ้าไม่มีก็เท่านี้ก่อน งั้นก็นิมนต์ สุขสวัสดี.