แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพรโยมญาติมิตรสาธุชนชาวพุทธบริษัททุกท่าน โดยเฉพาะฝ่ายโยมคฤหัสถ์ที่ได้มีศรัทธามาทำบุญในโอกาสวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้คือวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันที่เราชาวพุทธทั้งหลายถือว่าเป็นหนึ่งในบรรดาวันบูชา 3 วันที่จัดกันมาเป็นประเพณีไม่เคยขาดตอน แต่ที่ว่าไม่เคยขาดตอนนี้ ก็นับมาเฉพาะในช่วงตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา คือเมื่อเกิด ??? วันเหล่านี้ครบแล้ว โดยที่เราก็ เราหรือเหมือนกับบางทีก็ตัดไปวันหนึ่งคือวันอัฏฐมีบูชา ก็ถือว่าวันอัฏฐมีบูชานั้นก็เป็นวันที่เนื่องในวันวิสาขบูชา จัดวันวิสาขบูชาแล้วก็เป็นอันว่ารวมไปถึงวันอัฏฐมีบูชาด้วย ก็เป็นวันถวายพระเพลิงวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ก็ปรินิพพานแล้วก็มีการถวายพระเพลิง ต่อมาก็ถือว่าคลุมกันไป ตอนนี้เราก็มีวันสำคัญบูชา 3 วัน คือ วันวิสาขบูชา วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน วันมาฆบูชานี้หรือจะจัดเรียงลำดับตามเวลาเมื่อนับวันวิสาขบูชามาฆบูชา แล้วก็เป็นอันว่ารวมไปถึงวันอัฏฐมีบูชาด้วย ก็เป็นวันถวายพระเพลิง วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน แล้วปรินิพพานแล้วมีวันถวายพระเพลิงต่อมา ก็ถือว่าคลุมกันไป ตอนนี้เราก็มีวันสำคัญบูชา 3 วัน คือ วันวิสาขบูชา วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน คือถ้าจัดเรียงลำดับตามเวลา ก็นับวิสาขบูชาเริ่มต้น ก็ต่อด้วยวันอาสาฬหบูชา วันเทศนาพระธรรมจักรปฐมเทศนา แล้วก็มาลงมาที่วันมาฆบูชา ก็ครบเป็น 3 วันนี้เป็นวันบูชา นอกจากนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนาก็เป็นวันทางด้านวินัย อย่างวันเข้าพรรษาที่เคยได้ทบทวนความรู้กันมาแล้ว
วันนี้เรามาถึงวันมาฆบูชาโยมญาติมิตรสาธุชนก็ได้มีน้ำใจต่อพระพุทธศาสนาก็มาแสดงออกซึ่งความเคารพบูชาพระรัตนตรัย พร้อมกันนั้นก็เป็นการทำบุญกุศลถือว่าเป็นการเจริญบุญกุศลของญาติโยมเอง และที่สำคัญก็คือว่าได้ชวนกันมาอยู่ในครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ก็ชวนเด็กๆลูกๆหลานๆมากัน หรือบางทีอาจจะเป็นได้ว่าบางทีลูกหลานหรือเด็กๆก็เป็นฝ่ายชวนคุณพ่อคุณแม่มา ถ้าเด็กชวนคุณพ่อคุณแม่มาได้ก็เก่ง ก็น่าโมทนามาก ปีนี้ก็มีหนังสือออกมาใหม่เล่มหนึ่ง เป็นการ์ตูน เป็นการ์ตูนพุทธศาสนาชื่อว่า ชวนคุณพ่อคุณแม่ไปไหว้พระ บางทีหนูๆอาจจะได้รับแล้วก็ได้ ก็ถ้าหนูชวนคุณพ่อคุณแม่อย่างนี้ได้ ดีเลยไปทำบุญด้วยกัน ได้มีความสุขด้วยกันในครอบครัว เป็นความเจริญกุศลอย่างดีทีเดียวแหละ แล้วก็วันมาฆบูชานี้ที่จริงก็เป็นวันแห่งความสุข เป็นวันแห่งความสุขยังไงเดี๋ยวจะมาพูดกัน ???
ทีนี้ระยะนี้ก็ใกล้วันมาฆบูชาก็ได้สังเกตอย่างหนึ่งว่าเวลาที่ทางการ หรือว่าทางสื่อมวลชนก็ เหมือนกับพยายามส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของวันมาฆบูชาเป็นต้นนี้มากขึ้น ก็คงจะสัมพันธ์กับสภาพของสังคมนั่นแหละคือได้ตระหนักเห็นปัญหาต่างๆในสังคมมากขึ้น และเท่าที่ได้ฟังวิทยุในระยะใกล้ๆนี้ นอกจากว่าจะเน้นให้ประชาชนไปวัดไปเวียนเทียนวันมาฆบูชาเป็นต้นแล้วก็พูดโยงไปถึงอีกวันหนึ่งด้วย คือวันวาเลนไทน์ ในระยะที่ผ่านมานี้ได้ยินคู่กันคล้ายๆว่าพูดถึงวันวาเลนไทน์แล้วก็บอกว่าอยากจะให้เห็นความสำคัญของวันมาฆบูชากันให้มากขึ้น ก็เป็นข้อที่มองเห็นมาในระยะ 2-3 ปีนี้ ว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ก็ผู้ใหญ่ในบ้านก็เป็นห่วงเรื่องสภาพสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวันวาเลนไทน์นี้กันมากขึ้นและก็ได้มีความเพียรพยายาม อันหนึ่งก็คือในแง่ของวันวาเลนไทน์เอง..ทางบ้านเมือง ทางการ แล้วก็สื่อพยายามที่จะเป็นให้มีกิจกรรมหรือมีการฉลองวันวาเลนไทน์นั้น ในทางที่ดีงามมากขึ้นเช่นว่าให้ความหมายกับความรักในทางที่เป็นบุญเป็นกุศลและก็ให้ชวนกันแสดงออกในทางที่มีน้ำใจที่ประกอบด้วยคุณธรรม เช่นความรักในครอบครัวระหว่างลูกกับคุณพ่อคุณแม่ หรือระหว่างเพื่อนก็ตาม แต่ให้เป็นเรื่องของความเมตตาก็คือเป็นเรื่องของความรักและคุณธรรม และนั่นก็อย่างหนึ่ง และพร้อมกันนั้นก็พยายามที่จะให้หันมาให้ความสำคัญกับวันมาฆบูชานี้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามในแง่ของการประสบความสำเร็จก็ยังไม่ค่อยชัดเจน รู้สึกว่ากิจกรรมในวันวาเลนไทน์ก็ยังเป็นที่น่าวิตกกันมากขึ้น และการที่จะหันมาสนใจวันมาฆบูชาก็ยังไม่เป็นไปเท่าที่ควร ทางสื่อมวลชนเองก็ยังบ่นๆอยู่ เมื่อเช้านี้ฟังวิทยุรายการหนึ่ง ก็บอกว่าตอนวันวาเลนไทน์ละก็กิจกรรมอะไรต่างๆเป็นที่สนใจกันเหลือเกินแต่พอถึงวันมาฆบูชาก็คนก็สนใจกันน้อย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราควรจะได้รู้ตระหนักกันไว้ ก็คือเป็นเครื่องส่อแสดงถึงสภาพของสังคม ในสภาพสังคมเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องมีกำลังใจในการที่จะมาช่วยกันแก้ปัญหา
.แล้ววันวาเลนไทน์นี้เมื่อ.เข้ามาสู่เมืองไทยแล้ว คนไทยเรานี้มีความสามารถอย่างหนึ่ง มีมาแต่โบราณก็คือปรับตัวเก่งและรับสิ่งของภายนอกได้ง่าย อันนี้ก็เป็นประจักษ์หลักฐานอันหนึ่ง ว่าคนไทยนี้รับของจากเมืองนอกง่าย รับวันวาเลนไทน์ง่าย แต่ว่าก็ต้องแสดงความสามารถในการปรับตัวด้วย ไม่ใช่ปรับตัวเข้ากับสิ่งนั้นอย่างเดียว แต่คือการปรับสิ่งนั้นให้เข้ากับวัฒนธรรมของเรา เหมือนอย่างเราเคยมีการปรับตัวโดยรับวันสงกรานต์เขามา เดิมสงกรานต์ไม่ใช่ของไทยหรอกเราก็รับเข้ามาแล้วก็ปรับให้เข้ากันกับของไทยได้เป็นอย่างดี แล้วก็ลอยกระทงก็เกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้แน่ เราก็จัดปรับจนกระทั่งเป็นของไทยมีวัฒนธรรมที่ดีงาม ก็หวังว่าคนไทยคงจะมีความสามารถในการที่จะปรับวันวาเลนไทน์นี้ให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยในทางที่ดีงามที่เป็นการสร้างสรรค์ได้ อันนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ท้าทาย เราก็มองไปในแง่ดีก็แล้วกัน ก็ไม่ต้องไปว่าอะไรอันนี้ก็เป็นเพียงข้อสังเกตอันหนึ่ง แล้วตอนนี้อีกแง่หนึ่งก็คือระยะนี้จะสังเกตเห็นว่าฤดูกาลนี้ไม่ค่อยเป็นไปตรงเวลา อย่างวันนี้ก็กลายเป็นอากาศกลับหนาว อย่างเมื่อวานนี้ก็เริ่มหนาวทั้งๆที่เมื่อวานซืนนี้ค่อนข้างจะร้อน แล้วที่วัดนี้เมื่อวานซืนนี้ เป็นวันแรกที่จะจั๊กจั่นร้องสำหรับปีนี้ ปีนี้จั๊กจั่นร้องที่วัดนี้เมื่อวานซืน พอเริ่มร้องได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นกลับหนาว ก็เลยพูดกันว่า เอ อย่างนี้เนี่ยจักจั่นตั้งตัวไม่ถูก คือไม่รู้จะเอายังไงกัน ปกติจักจั่นจะร้องหน้าร้อนก็เป็นปัญหาอันนี้ก็แสดงถึงสภาพฤดูกาลที่มันแปรปรวน มาฆบูชาที่มาตรงฤดูหนาวหรืออากาศหนาวนี่หาได้ยาก มักจะเข้าระยะฤดูร้อนแล้วแล้วก็อย่างจั๊กจั่นที่นี่ ก็จะสังเกตมาว่าในแต่ละปีวันไหนจักจั่นจะร้องเป็นวันแรก บางปีนี้แกร้องตรงวัน วันวาเลนไทน์วันที่ 14 กุมภาพันธ์ แต่ปีนี้มาร้องเมื่อวานซืน เมื่อวานซืนก็ร้อนหน่อย พอมาเมื่อวานนี้อากาศเย็นลง ก็เลยเอ๊ะ! แล้วจักจั่นจะทำตัวยังไงหนอ พอถึงตอนเย็นก็สังเกต ปรากฏว่าแทบจะไม่ร้องเลย ร้องนิดเดียวเสียงอ่อยๆ วันนี้ก็ได้ยินร้องอยู่นิดนึงอากาศเป็นอย่างนี้แปรผันไป ไม่ใช่เฉพาะพวกสัตว์เท่านั้น ที่ว่าปรับตัวไม่ถูกแม้แต่ต้นไม้ โยมสังเกตดูเถอะ ปีนี้ 2 ปีที่แล้วนี้ก็เริ่มแปรปรวนหมด อย่างที่วัดนี่ ต้นหางนกยูงที่เคยบานสะพรั่งในฤดูร้อน เดือนห้าเดือนหก อย่างต้นหลังวัดต้นหนึ่ง เคยดอกสวยงามบานสะพรั่ง ปีที่แล้วนี้ตลอดฤดูร้อนไม่มีดอกเลย มีแต่ใบเขียวแล้วก็บางต้นมาออกดอกฤดูฝน และต้นคูนก็เหมือนกันต้นคุณก็มาออกดอกฤดูฝนด้วย ก็เป็นเรื่องที่แปลกคือเวลานี้เหมือนกับว่าสัตว์ต่างๆและพืชปรับตัวไม่ถูก ว่าจะยังไงตามฤดูกาล ก็ดูกันไปสภาพของธรรมชาติก็แปรปรวนเราก็ประสบปัญหาที่เขาบอกว่าโลกร้อน อันนี้ก็เรื่องหนึ่ง และปัญหาสังคมก็เหมือนกับมากขึ้น พอปัญหาสังคมมาก ก็สัมพันธ์กับปัญหาทางจิตใจด้วย ก็ถือว่าเรามาอยู่ในยุคนี้โดยเฉพาะเด็กๆที่เกิดมาในยุคนี้ต้องถือว่ามีโชคดี
ทำไมถึงว่าโชคดี โชคดีอันที่หนึ่ง ก็คือได้พบของแปลกๆ แบบที่คนยุคอื่นจะไม่ได้พบ แต่ที่โชคดีกว่านั้นก็คือว่าจะได้มีโอกาสทำแบบฝึกหัด ได้พัฒนาตนอย่างดี คือถ้าเรามองเห็นปัญหาอย่างนี้แล้วเนี่ย เราก็พยายามแก้ไข เราต้องเป็นนักแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์ เมื่อปัญหามันมากเราแก้ได้เราก็พัฒนาตัวได้ดี คนที่จะเก่งก็อย่างที่ว่าต้องทำแบบฝึกหัดมากๆ ในยุคนี้มีแบบฝึกหัดให้ทำเยอะ เพราะฉะนั้นเด็กๆก็ต้องมองว่าสิ่งเหล่านี้ที่เป็นปัญหาต่างๆมันเป็นแบบฝึกหัดให้เราแก้ไขและเราก็จะได้สร้างสรรค์และเราจะพัฒนาตัวได้มาก ถ้าปัญหามันหนักนัก เราแก้ได้นี่ถึงขั้นเป็นการบำเพ็ญบารมีเลย ที่พระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญบารมีมาจนตรัสรู้ได้ก็เพราะต้องเผชิญปัญหาอย่างใหญ่หลวงเลย ถ้าใครไม่ได้เผชิญปัญหาที่ยิ่งใหญ่แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้ก็มาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ฉะนั้นคนที่เจอปัญหาใหญ่นี่ ก็ต้องมองว่าเราโชคดีที่เจอปัญหาเข้าแล้วและก็พยายามแก้ปัญหากันต่อไป เราก็ใช้สติปัญญาอย่าไปท้อถอยอย่าไปอ่อนแอหรือก็อย่าไปตกหลุมมัน อย่าพลอยถูกสิ่งเหล่านั้นชักจูงเราไป สิ่งเหล่านั้นยิ่งแรง เราก็ยิ่งเข้มแข็งใหญ่ อย่างนี้เราก็ไปได้ เราเองก็จะได้พัฒนาตัวจนกระทั่งถึงขั้นบำเพ็ญบารมีอย่างที่ว่า และก็จะได้สร้างสรรค์สังคมประเทศชาติไปด้วย
ที่นี้มาถึงวันนี้ ก็เป็นวันที่เราจะได้มาหาหลักที่จะมาช่วยเราในการที่จะดำเนินชีวิตที่ดีมาช่วยกันแก้ปัญหาของชีวิตของสังคมและสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองตลอดจนโลกนี้ให้เจริญงอกงามต่อไป และวันมาฆบูชานี่มีประโยชน์ให้คติกับเราเยอะแยะ แล้วก็ขอย้อนไปที่ว่าเมื่อกี้นี้ ในระยะเวลาที่แล้วมา 2-3 ปีก็มีผู้พยายามที่จะโยงความหมายของวันมาฆบูชาให้ไปเชื่อมต่อกับวันวาเลนไทน์ เพราะวันวาเลนไทน์นี้เป็นวันแห่งความรัก เราก็บอกกันว่าเนี่ยวันมาฆบูชานี่แหละเป็นวันแห่งความรักแท้ ถือเป็นความรักที่สากล นี้ก็เป็นแง่มุมที่ได้พยายามกันมาแต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่ายังไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ที่จะให้คนหันมารักแบบมาฆบูชา
ที่นี้เราก็ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่าความรักแบบมาฆบูชานี้เป็นอย่างไร ดียังไงถึงได้สมควรมีค่าควรที่เราจะพยายามหาความรักแบบมาฆบูชา แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ จริงๆก็เป็นการเรียนทบทวนกัน ก็อยากจะพูดถึงสาระสำคัญบางอย่างของวันมาฆบูชา ซึ่งในที่นี้จะไม่ลงลึกไปถึงรายละเอียดของวันมาฆบูชา ก็เอาบางแง่ของสาระสำคัญของวันมาฆบูชาที่พูดได้หลายแง่มุม แง่ที่ควรจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ วันมาฆบูชานี่เป็นวันที่บรรจบของอุดมคติ 2 อย่างของทางพระพุทธศาสนา
อุดมคติอะไร ถ้าดูในคาถาโอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสในวันมาฆบูชา เอาเฉพาะที่จุดสำคัญ ข้อความที่บ่งถึงอุดมคติของพระพุทธศาสนา ก็คืออะไรสูงสุดก็จะชัดเจน ขอทวนให้ฟังเป็นภาษาบาลีนิดนึง
ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา
นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต
เอาแค่นี้พอ 3 คาถานี้ เอาแค่นี้ก่อน นี้ข้อความที่บอกสิ่งที่ถือเป็นอุดมคติหรือสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนาก็คือข้อความว่า นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวนิพพานว่าเป็นยอดอย่างยิ่ง ปะระมัง วะทันติบางท่านก็อาจจะแปลว่าเป็นบรมธรรมก็อันเดียวกันนั่นแหละ ก็คือเป็นคำที่สูงสุด ก็คือพุทธศาสนาถือนิพพานเป็นสูงสุด นี่คืออุดมคติที่กล่าวไว้ในวันมาฆบูชา ก็เหมือนกับว่าซักซ้อมทบทวนกับที่ประชุมว่าให้รู้จุดสำคัญ หรือหลักการสำคัญของพุทธศาสนาแล้วก็รู้จุดหมายสูงสุดว่าคือพระนิพพาน นี้เป็นอุดมคติที่กล่าวเป็นข้อความที่ตรัสออกมาชัดในวันมาฆบูชาในคาถาโอวาทปาติโมกข์ เอาละอุดมคติอีกด้านหนึ่ง อุดมคติอันนี้ถือว่าเป็นอุดมคติในการพัฒนาตัวของบุคคล จุดหมายของบุคคลในการพัฒนาตัว ก็คือให้ถึงจุดสูงสุดนี้คือพระนิพพาน
ที่นี้คตินี้อุดมคติจะไปบรรจบกับอุดมคติอันหนึ่งซึ่งเป็นสาระของการประชุมนี้ที่ไม่ต้องพูดถึงการประชุมนี้ก็คือการประชุมที่เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาต แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงซักซ้อมหลักการของพระพุทธศาสนาทบทวนกับพระอรหันต์ทั้งหลาย พระที่มาในที่ประชุมนั้นเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็หมดกิจที่ต้องทำเพื่อตัวเอง ก็หมายความว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา ที่ว่านิพพานเป็นธรรมะสูงสุดหรือสุดยอดในพระพุทธศาสนานั้นท่านเหล่านั้นที่มาประชุมก็ได้บรรลุมรรคผล ที่นี้ท่านเหล่านี้จะทำหน้าที่ต่อไปคืออะไรงานของท่านทุกท่านนี้ก็คือ การออกไปเผยแผ่ธรรมะการไปเพื่อไปสั่งสอนประชาชน คตินี้รู้กันอยู่ในใจโดยที่ไม่ต้องบอกเพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วตั้งแต่ส่งพระสาวกรุ่นแรกออกประกาศพระศาสนา พระสาวกชุดแรกนี่มี 60 รูปเป็นพระอรหันต์หมดแล้วพระองค์ก็บอกว่าเนี่ยทุกท่านเป็นอิสระสิ้นเชิงแล้ว ท่านใช้คำว่าพ้นแล้วจากบ่วงทั้งบ่วงมนุษย์และบ่วงพิษ เป็นอิสระโดยสิ้นเชิง ต่อไปนี้ก็ทำเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก แล้วก็ตรัสเป็นพุทธพจน์ที่ส่งพระสาวกอกอประกาศศาสนา ซึ่งหลายท่านจำได้แม่นยำที่บอกว่า
จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย
พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย
อันนี้เป็นเอาเฉพาะข้อความสำคัญ บอกว่า เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหูชนด้วยเกี้อการุณแก่ชาวโลก อันนี้ก็คืออุดมคติของพระอรหันต์ หมายความว่าพระอรหันต์หมดกิจที่จะทำเพื่อตัวเองแล้ว พระอรหันต์ก็คือผู้มีคุณสมบัติที่สำคัญ ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเองแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตต่อจากนั้นก็ทำเพื่อชาวโลกอย่างเดียว ในคตินี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีพระสาวกได้เป็นพระอรหันต์ชุดแรก ก็ส่งไปด้วย ??? หลักการหรืออุดมคตินี้ก็เป็นหลักการสำคัญในพุทธศาสนาสืบมาจนกระทั่งมาประชุมในวันมาฆบูชาจาตุรงคสันนิบาตนี้ มีพระอรหันต์มากมาย คราวนี้ก็ถือว่ารู้กันแล้วสำหรับอุดมคตินั้น ก็มาพูดถึงหลักการที่จะเอาไปสอนแล้ว ว่าจะสอนอะไรบ้างหรือหลักการปฏิบัติของผู้สอนเป็นอย่างไรอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็มาตรัสเพราะว่าตอนนี้มีพระสาวกมากมายแล้ว ก็เพื่อให้เป็นแบบแผนอันเดียวกัน
เราก็พูดได้ว่าวันมาฆบูชาก็เป็นที่บรรจบของอุดมคติ 2 อย่างนี้คือพุทธศาสนาก็จะมีอุดมคติที่เพื่อบุคคลเพื่อตนเองกับเพื่อผู้อื่น เพื่อตนเองก็คือ พัฒนาตนจนบรรลุนิพพาน แล้วก็เพื่อผู้อื่นก็คือ เมื่อตนเองนิพพานได้ก็ทำการเพื่อโลกได้เต็มที่ แต่ระหว่างนั้นก็พอเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกแก่ผู้อื่นเป็นการพัฒนาตัวไปด้วย คือสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุจุดหมายทางพุทธศาสนา การช่วยเหลือผู้อื่นการทำประโยชน์กับผู้อื่นนี่เป็นการพัฒนาตนไปด้วย ประโยชน์ทั้งสองอย่างนั้นทำไปด้วยกันคือไม่แยกจากกัน การทำประโยชน์กับผู้อื่นก็เป็นการทำเพื่อตน เช่นว่าเรามีเมตตากับผู้อื่นก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เราอยากให้คนอื่นมีความสุขเราไปช่วยเหลือเขาก็คือเราพัฒนาตัวเอง ก็เราทำให้ชีวิตของเราดีงามมีคุณสมบัติยิ่งขึ้นก็แค่เรามีเมตตาเราก็พัฒนาตัวเองให้จิตใจดีขึ้นก็เรียกว่าเป็นจิตตภาวนา
จิตตภาวนาอะไร คือพัฒนาจิตใจพัฒนาจิตใจทำอย่างไร ทำจิตใจของคุณให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา เป็นต้น เวลาที่คุณพัฒนาตนเอง พัฒนาจิตตัวเอง คุณก็ต้องไปทำความดีต่อผู้อื่น ฉะนั้นการทำเพื่อผู้อื่นคือการทำดีเพื่อตัวเองก็เลยเป็นเรื่องเดียวกัน แต่สำหรับพระอรหันต์แล้วท่านหมดภาระที่ต้องทำเพื่อตัวเอง ก็เลยทำเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว
ที่นี้ในวันมาฆบูชานี้ผู้ที่มาในที่ประชุมเป็นผู้บรรลุจุดหมายสูงสุดแล้ว ฉะนั้นก็ทำเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว อันนี้คือจุดบรรจบของพุทธศาสนา ที่นี้เอาละเรามาเข้าใจหลักการใหญ่อันนี้เราก็จะมาโยงกันได้กับเรื่องของความรัก อันนี้ที่พระพุทธเจ้าตรัสให้พระสาวกไปประกาศพระศาสนา ไปเพื่ออะไร บอกไว้เมื่อกี้บอกว่า จงจาริกไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ชาวโลกแก่พหุชน ก็ไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เขา พูดง่ายๆก็คืออยากให้เขามีความสุขก็ไป ตัวคุณธรรมที่จะมีในใจที่จะทำให้เขามีความสุขก็คือ เมตตา กรุณา เพราะมีเมตตากรุณาก็เลยไปพยายามทำให้เขาเป็นสุข แล้วเราแปลว่าไง เมตตา กรุณา เมตตาก็ความรักความปรารถนาดีอยากให้คนอื่นเป็นสุข ความอยากให้คนอื่นเป็นสุขเรียกว่าเมตตา ก็เลยมาเริ่มกันที่นี่ว่าอุดมคติประการหนึ่ง ก็คือ การไปทำให้คนอื่นมีความสุขและตนเองล่ะ นิพพาน นิพพานเป็นอย่างไรนิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งก็เป็นบรมสุข เป็นสุขสูงสุด ก็หมายความว่าพระอรหันต์ทุกท่านที่อยู่ในที่ประชุมนี้ได้พัฒนาตนเอง จนกระทั่งบรรลุจุดหมายในพุทธศาสนาเป็นผู้ที่หมดทุกข์มีความสุขสูงสุดอยู่แล้ว ก็กลายเป็นตัวเองก็มีความสุขและกำลังจะไปเพื่อช่วยคนอื่นให้มีความสุข ทำไมจึงเรียกว่านิพพานเป็นความสุขสูงสุดหรือบรมสุข ก็เพราะว่าเป็นความสุขที่อยู่ในตัวเอง เป็นความสุขที่มีในตัวตลอดเวลา โดยไม่ต้องหา ไม่ต้องสสร้าง อันนี้สำคัญนะโยมต้องคิด ความสุขของคนทั่วไปนี้จะเป็นความสุขประเภทต้องหา เราจะพูดกันอยู่เรื่อย หาความสุขหาความสุข ถ้าตราบใดเรายังหาความสุข เชื่อเถอะโลกนี้ยังต้องเป็นปัญหาเพราะว่าเมื่อคุณหาความสุข คุณก็ต้องแย่งความสุขกัน เมื่อแย่งความสุขกันก็ฝ่ายหนึ่งสุขอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะทุกข์ คนหนึ่งได้ คนหนึ่งก็เสีย และโลกนี้เวลานี้เป็นโลกแห่งการหาความสุข แต่ว่าพุทธศาสนาต้องการทำคนให้มีความสุขอยู่ในตัว ฉะนั้นเราก็ต้องพัฒนาตน พัฒนามนุษย์จากนักหาความสุขไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่มีความสุข แล้วไม่ใช่แค่นั้นนะ จะกลายเป็นผู้ให้ความสุข คือเมื่อตัวเองไม่ต้องหาความสุขแล้วมีความสุขในตัวเอง ทีนี้ก็ไปให้ความสุขแก่ผู้อื่น ถ้าไม่มีความสุขแล้วจะเอาความสุขที่ไหนไปให้ ฉะนั้นอันนี้ที่สำคัญคือพระพุทธศาสนาก็จึงเน้น ในระหว่างที่คุณหาความสุขคุณต้องพยายามไม่เบียดเบียนคนอื่น ฉันไม่ว่าหาความสุขไปแต่ว่าอย่าเบียดเบียนคนอื่น แล้วคุณก็พยายามที่จะพัฒนาตัวให้มีความสามารถที่จะมีความสุขเพิ่มขึ้นให้เป็นผู้สามารถสร้างความสุข ขั้นที่ 1 เนี่ยเรายังเป็นนักหาความสุข ต่อไปเราจะต้องพัฒนาความสามารถที่จะสร้างความสุข เวลานี้เราไม่ได้เน้นเรื่องนี้ การศึกษานี้สำคัญมากในการที่ทำให้คนมีความสามารถในการสร้างความสุขให้แก่ตัวเองได้แล้วสร้างความสุขให้ตัวเองได้ก็สามารถให้ความสุขแก่ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นสุข แล้วตอนนี้เราก็จะมีคุณธรรมที่เรียกว่าความรักที่แท้ ความรักที่แท้ก็คือ ความอยากให้คนอื่นเป็นสุขและก็พยายามไปทำให้คนอื่นมีความสุข แล้วก็เป็นความหมายของคำที่เรียกว่าเมตตา ก็เลยมาถึงความหมายของความรัก นี่แหละเรื่องความสุขกับความรักนี้ต้องหนุนกัน เรามีความรักความหมายของความรักต้องโยงไปที่ความสุข จริงไม่จริงลองพิจารณาดู เรารักใครก็อยากได้เขามาแล้วเราจึงจะเป็นสุข ถ้าไม่ได้เขามาแล้วไม่เป็นสุข ไม่ได้สิ่งนี้มาไม่เป็นสุข รักเขาเพราะอยากให้ตัวเองเป็นสุข และนึกว่าถ้าได้สิ่งนั้น คนนั้นมาแล้วตัวเองจะเป็นสุข เนี่ยที่รักก็เพราะว่าอยากได้ความสุข อันนี้ก็เป็นความรักทั่วไปเราก็เลยหาความสุขกันใหญ่แล้วเราก็ชอบและเราก็รักสิ่งที่เราชอบใจว่าจะให้ความสุขแก่เราได้ เราก็เป็นนักหาความสุขกันอยู่อย่างนี้ ความรักที่สัมพันธ์กับความสุขอันนี้ก็คือความรักในความหมายที่ว่ารักคือชอบใจถูกใจสิ่งนั้น คนนั้น เพื่อเพื่อเอามาทำให้เราเป็นสุข ก็เป็นเรื่องต้องการหาความสุข
ที่นี้พอว่าพัฒนาตัวเองขึ้น แล้วมีความรักชนิดใหม่ก็คือว่าความรักอยากให้เขาเป็นสุข ก็ยกตัวอย่างอยู่เสมอว่าอย่างพ่อแม่เป็นตัวอย่างของรัก รักของพ่อแม่คืออะไร รักของพ่อแม่ก็คืออยากให้ลูกเป็นสุข ลูกเป็นสุขพ่อแม่ก็เป็นสุขด้วยอันนี้แน่นอน ถ้าลูกไม่มีความสุขพ่อแม่ก็ทุกข์ใหญ่เลย ทุกข์ยิ่งกว่าลูกอีก อันนั้นจุดหมายของพ่อแม่ความรักของพ่อแม่ก็คือทำยังไงถึงจะให้ลูกเป็นสุข แต่ว่าความรักอีกแบบหนึ่งนั้น ไม่ได้อยู่ที่ทำให้เขาเป็นสุขแต่ทำยังไงจะให้ตัวเองเป็นสุข อันนี้ความรัก 2 แบบ
ทีนี้ปัญหาของวันวาเลนไทน์นี้ก็คือเป็นความรักของคนหาความสุขส่วนมาก มันก็เลยเกิดปัญหากันอยู่นี่ เราก็เลยเบนว่าทำอย่างไรจะให้ความรักในวันวาเลนไทน์เป็นความรักที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาสู่ความรักที่ดีงามประณีตเป็นคุณธรรมก็คือความรักที่อยากให้คนอื่นเป็นสุข เราจึงให้พ่อแม่หรือลูกโดยเฉพาะลูกเอาดอกไม้เอาดอกกุหลาบมาให้คุณแม่คุณพ่อแสดงความรักของลูก ความรักของลูกที่แท้ก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่เป็นสุข อันนี้ความรักแบบนี้ถ้าเราพัฒนาให้มันได้ โลกนี้ก็จะมีความสุขและก็เป็นความรักในแนวทางเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลายแล้วจึงมาถึงความหมายของวันมาฆบูชาที่ว่าทำไมถึงสามารถเป็นวันแห่งความรักได้ ก็คือความรักที่ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นท่านก็มีความรักก็คือความรักแท้ที่อยากให้คนอื่นเป็นสุขแล้วท่านก็ปฏิบัติตามพุทธโอวาทที่ว่าต้องออกจาริกไปเพื่อไปสั่งสอนแนะนำวิธีดำเนินชีวิต วิธีปฏิบัติตัวอยู่กันอย่างไรให้มีความสุขก็อยากให้เขามีความสุขนั่นแหละ ไปเที่ยวสั่งสอน ถ้าหากว่าพระสั่งสอนด้วยจิตใจที่มีเมตตาธรรมมีความรักที่แท้ อยากให้เขาเป็นสุข เวลาพระไปสอนพระก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกับพ่อแม่ที่ว่าอยากเห็นลูกมีความสุขและพยายามทำอะไรให้ลูกมีความสุขเห็นลูกมีความสุขยิ้มได้ พ่อแม่ก็มีความสุข ปลาบปลื้มใจ ฉะนั้นคนที่มีความรักแท้อยากเห็นคนอื่นเป็นสุขก็จะเป็นสุขได้ด้วยเมื่อเห็นคนอื่นเป็นสุข ความสุขของคนก็เลยเป็นความสุขที่ประสานกัน ไม่เหมือนความสุขของนักหาความสุข
ความสุขของนักหาความสุขนี้เป็นความสุขประเภทแย่งกัน ถ้าเราได้เขาเสีย เราสุขเขาทุกข์อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเป็ฯสุขแบบความรักแท้นี้จะสุขด้วยกัน เขาสุขเราจึงสุข ไม่ใช่ว่าเราสุขเขาจะทุกข์ หรือว่าถ้าเขาสุขเราก็แย่ เขาได้เราอด เขาสุขเราก็ทุกข์ ฉะนั้นนี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องพัฒนาคนกัน
ทีนี้เราก็เผื่อแผ่เอาความหมายความรักที่แท้ของวันมาฆบูชาเนี่ยไปขยายให้แก่วันวาเลนไทน์ซะ ว่าเราก็เผื่อแผ่ให้วันวาเลนไทน์นี้ค่อยๆพัฒนาขึ้นมา จากความรักของนักหาความสุขมาเป็นความรักของนักให้ความสุข นักเผื่อแผ่ความสุขเราก็ต้องพัฒนาคนกันขึ้นไปเรื่อยๆ ความสุขของมนุษย์นี้มันก็มีเป็นหลายระดับ อย่างความสุขของพระอรหันต์ทำไมท่านมีความสุขเสมอ คือเป็นผู้มีความสุข ขอย้ำอีกที ไม่ใช่เป็นผู้หาความสุข
มนุษย์จะมีความสุขที่แท้ก็อย่างที่ว่าต้องเป็นผู้มีความสุขในตัวเอง เมื่อมีความสุขในตัวเองมันก็จะมีลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ก็คือความสุขเนี่ยแบ่งง่ายๆ แบบมี 2 ชนิด คือความสุขชนิดที่พึ่งพากับความสุขที่เป็นอิสระ ถ้าเราเป็นนักหาความสุขก็หมายความว่าความสุขของเราต้องขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอกไม่เป็นอิสระต้องพึ่งพา เช่นว่าอย่างแรงก็คือคนที่มีความสุขด้วยยาเสพติด ก็ความสุขก็ต้องพึ่งพา ต้องขั้นกับสิ่งเสพติด ถ้าไม่ได้สิ่งเสพติดเขาก็ทุกข์แย่ดิ้นทุรนทุรายแย่ แต่ต้องได้สิ่งนั้นแล้วเขาถึงจะมีความสุข ความสุขของเขาก็ไม่เป็นของตัวเอง ไม่เป็นอิสระขึ้นต่อยาเสพติด แต่ไม่ต้องเอาถึงขนาดนั้นหรอก เอาแค่ทั่วไปนี่แหละวัตถุสิ่งเสพบริโภคเนี่ย คนทั่วไปก็โดยเฉพาะยุคนี้เป็นยุคบริโภคนิยมความสุขก็ขึ้นกับสิ่งเสพบริโภค เราต้องมีสิ่งเสพบริโภคและตามหาสิ่งเสพบริโภคที่มีปริมาณและดีกรีเพิ่มสูงขึ้น แล้วเราจึงจะมีความสุข และความสุขของเราก็พึ่งพาขึ้นกับสิ่งภายนอก ที่นี้ต่อไปเนี่ยสิ่งเหล่านั้นมันชินขึ้น ปริมาณเดิมดีกรีเท่าเดิมนี่ไม่สุขแล้ว ชินชาไปแล้วก็ต้องเพิ่มปริมาณและดีกรีของสิ่งเสพบริโภคนั้น หนักเข้าไปหนักเข้าไป ก็เลยยิ่งพึ่งพาหนักเข้าไปจนกระทั่งหมดความสามารถที่จะมีความสุขตอนนี้แย่เลยเป็นคนที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่และชีวิตไม่มีความหมาย คนสมัยนี้ที่ฆ่าตัวตายมากก็เพราะอันนี้ด้วย เพราะว่าชีวิตมันไม่มีความหมายและ สิ่งทั้งหลายที่เคยให้ความสุขที่เป็นความหวังอะไรต่ออะไรมันไม่มีมันหมดความหมายมันเบื่อมันหน่ายไปหมด อันนั้นก็เป็นการพัฒนาในทางที่ผิดพลาดก็เป็นความสุขแบบพึ่งพาขึ้นต่อสิ่งภายนอก จนกระทั่งว่าไม่มีสิ่งนั้นแล้วอยู่ไม่ได้มีแต่ความทุกข์ ที่นี้นอกจากว่าขึ้นต่อสิ่งเหล่านั้นแล้วก็ไม่รู้ตัวว่าหมดความสามารถที่จะมีความสุข แต่ก่อนนี้ในตัวเองยังมีความสามารถที่จะมีความสุขบ้าง ต่อมานี้กลายเป็นว่าไอ้ความสุขนั้นไปฝากไว้กับสิ่งภายนอกหมดเลย ความสามารถที่จะมีความสุขในตัวเองหมดไป สู้เด็กๆ เล็กๆ เกิดมาใหม่ๆ ก็ไม่ได้ เด็กเล็กๆเกิดมาใหม่ๆ แกยังมีความสุข มีความสามารถที่จะมีความสุขได้ง่าย ที่นี้คนที่ปล่อยตัวไปไม่พัฒนาตัวเองในแง่ความสุขไม่พัฒนาเลย ก็เลยปล่อยชีวิตขึ้นกับสิ่งเสพบริโภคความสุขของตัวไปฝากกับสิ่งภายนอก หนักเข้าหนักเข้าตัวเองก็หมดความสามารถที่จะมีความสุข ความสุขไปฝากขึ้นกับสิ่งภายนอกหมดเลย ฉะนั้นความสามารถที่จะมีความสุขก็เป็นเรื่องสำคัญก็เป็นหน้าที่ของการศึกษาที่จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข และความสามารถนี้อันหนึ่งก็คือสามารถสร้างความสุขขึ้นมาด้วยตนเอง
ตอนแรกนี่มนุษย์ยังไม่พัฒนาความสุขยังต้องพึ่งพาสิ่งเสพสิ่งบริโภคภายนอก เรียกว่าเป็นความสุขจากสัมผัสหรือผัสสะทั้งห้า ต่อมาพัฒนาขึ้นก็มีความสามารถที่จะสร้างสุขขึ้นมาให้กับตนเอง และต่อมาขั้นสุดท้ายก็คือมีความสุขอยู่ในตนเองตลอดเวลา โดยไม่ต้องหาไม่ต้องสร้าง นั่นคือพระอรหันต์ ถ้าเราพูดถึงพระอรหันต์วิธีพูดอย่างหนึ่งก็คือผู้มีความสุขในตนเองโดยไม่ต้องหาไม่ต้องสร้างแล้ว เราพูดในแง่ความสุขเพราะคนเดี๋ยวนี้มองพระนิพพานไม่เข้าใจ มองเป็นเรื่องดับโน่นดับนี่ ความจริงความหมายที่สำคัญแง่หนึ่งก็คือเรื่องความสุข ก็บอกแล้วนี่ นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข อ้าวทำไมเป็นบรมสุขล่ะ เป็นสุขยอดเยี่ยมเพราะอะไร เพราะมันมีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาไม่ต้องหา พระพุทธเจ้าจะจาริกไปไหนจะลำบากเหน็ดเหนื่อยอะไร พระองค์ก็ไม่มีความทุกข์จะนั่งไหน ก็เคยเล่าให้โยมฟังมีตาคนหนึ่งมาพบพระพุทธเจ้าแล้วบอกว่า โอ นี่ท่านมานอนกลางดินกินกลางทรายทุกข์ลำบากเหลือเกินนี่ ไม่ได้ความ พระพุทธเจ้าก็ถามบอกว่าก็เห็นว่าใครมีความสุข เอาลองบอกมาสิใครมีความสุขที่สุดในโลก ตาคนนั้นก็เอ๊ะ! ไม่นึกว่าจะเจอคำถามแบบนี้ นึกอยู่พักหนึ่ง เอ! ใครนะมีความสุขที่สุดในโลก ก็นึกถึงว่า อ๋อ ต้องพระเจ้าพิมพิสาร แกอยู่ในแคว้นมคธ แกก็นึกถึงพระเจ้าแผ่นดินของแก แกก็บอกพระเจ้าพิมพิสารมีความสุขที่สุด พระพุทธเจ้าก็เลยย้อนแกบอกว่า เอ้อ นี่นะให้พระเจ้าพิมพิสารมานั่งนิ่งๆอย่างเราเนี่ยมีความสุขทั้งวันได้ไหม ตาคนนั้นคิดไปแล้วก็บอกว่าไม่ได้ ตกลงใครมีความสุขมากกว่ากัน พระพุทธเจ้าไม่ว่าจะนั่งนิ่งหรือทำอะไรอยู่ในอิริยาบถไหนสุขทั้งหมด ไม่มีทุกข์เลย เนี่ย! นิพพานก็คือภาวะจิต ในแง่หนึ่งก็คือภาวะจิตที่มีแต่ความสุข มีความสุขเป็นคุณสมบัติภายในไม่ต้องหาไม่ต้องสร้าง เราก็ต้องพัฒนาคนให้ก้าวไปในความสุขแบบนี้ อย่างน้อยก็คือว่าต้องมีความสำนึกมีสติคอยตระหนักไว้ ว่าอย่าปล่อยตัวหลงระเริงให้ขึ้นกับสิ่งเสพบริโภคเอาความสุขไปฝากไว้กับสิ่งภายนอกต่อไปร่างกายของเรามันเปลี่ยนแปลงไปนะ เช่นแก่เฒ่าชรา ตา หู จมูก ลิ้น ที่เรียกว่าอินทรีย์ทั้งหลายเนี่ย มันไม่เป็นใจกับเราในการเสพบริโภคแล้ว จะหาความสุขจากสิ่งเสพบริโภคไม่ได้แล้ว แล้วคุณจะอยู่ยังไง ก็ตายสิใช่ไหม ความสุขไปฝากไว้กับสิ่งเสพบริโภค เพราะอินทรีย์มันใช้ไม่ได้แล้ว ไม่ต้องไปถึงแก่ชราหรอก แค่เจ็บไข้นี่แหละ บางคนพอเจ็บไข้อาหารที่เคยอร่อยก็เบื่อ ตาดู หูฟังอะไรก็ไม่เอาด้วยแล้ว ตอนนี้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย ไม่เคยฝึกเลย ไม่เคยพัฒนาตัวเองในแง่ความสุข ที่นี้คนที่พัฒนาตัวเองในแง่ความสุขนี้มันไม่กลัว อ้าว! ป่วยก็ป่วยสิ ป่วยเราก็มีทางสุขของเรา เราสร้างความสุขเองได้ เราไม่ต้องไปพึ่งพาสิ่งเสพบริโภค ใช่ไหม เราก็สร้างความสุขภายในถ้าเราพัฒนาตัวเองสูงขึ้นไปเราก็หมดทุกข์ไปเลย เราก็มีแต่ความสุขตลอดเวลา แต่อย่างน้อยอันหนึ่งก็คือ ต้องตั้งคำถามว่าเมื่อเราอยู่ไปๆ เราเป็นคนที่สุขง่ายขึ้นหรือไม่ หรือทุกข์ง่ายขึ้น แค่นี้ตอบได้ไหม ถ้าคนที่เก่งจริงมีการพัฒนาจะต้องเป็นสุขง่ายขึ้น ก็คุณมีชีวิตเติบโตขึ้นมาเนี่ย เราบอกมีการศึกษาพัฒนาตัวพัฒนาชีวิตแล้วคุณพัฒนายังไงอยู่ไปๆ คุณสุขได้ยากยิ่งขึ้น และทุกข์ง่ายขึ้น เดี๋ยวนี้ว่ากันว่าเด็กสมัยนี้สุขได้ยากขึ้นแล้วก็ทุกข์ได้ง่ายขึ้นอย่างนี้แย่แล้วแสดงว่าสวนทางการพัฒนาใช่ไหม อันนี้เป็นบททดสอบที่สำคัญโดยเฉพาะท่านที่อยู่ในวงการศึกษาต้องตอบให้ได้ว่าเด็กๆเนี่ยอยู่ไปแล้วต้องสุขง่ายขึ้น ทุกข์ได้ยากขึ้น แต่ถ้ามันตรงข้าม สุขได้ยากขึ้นทุกข์ง่ายขึ้น แบบนี้สอบตกนะแน่นอนเลย แล้วเวลานี้ถ้าตอบกันจริงๆ ต้องตกเยอะเลย งั้นเราจะบอกว่ายุคนี้พัฒนาอะไรล่ะ ใช่ไหม เพราะพัฒนาที่แท้ต้องพัฒนาที่ตัวคนสิ แล้วคนนี่เราต้องการให้มีความสุข ที่เที่ยวหาเที่ยวสร้างอะไรขึ้นมาเพราะต้องการให้มีความสุข แล้วคนมันมีความสุขยากขึ้นและมีความทุกข์ง่ายขึ้น มันก็หนีสิ่งที่เราสร้างหมดสิ แล้วเราสร้างขึ้นมาทำไม จะสร้างให้เขามีความสุข แล้วเขาสุขยากขึ้น เขาจะสุขได้ยังไงล่ะ ไอ้ของมีมากขึ้นจริง แต่ตัวเขามันสุขยากขึ้นใช่ไหม ผลที่สุดสร้างไปก็ไม่มีประโยชน์ งั้นคุนสร้างวัตถุ สร้างสิ่งที่จะมาช่วยทำให้คุณมีความสุขก็ต้องพัฒนาคนให้มีความสุขง่ายขึ้นด้วย ทุกข์ได้ยากขึ้นเพราะฉะนั้นการพัฒนาของพระพุทธเจ้านี่ พัฒนาคนให้นอกจากหาสิ่งมาสนองความต้องการให้มีความสุขภายนอกแล้วก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถที่จะมีความสุขได้มากขึ้นด้วย ให้เป็นคนที่สุขง่ายขึ้นแล้วต่อไปเมื่อสุขง่ายขึ้นก็กลายเป็นว่าในที่สุดก็สุขได้ตลอดเวลาเลย ไม่ต้องหา ไม่ต้องสร้างละตอนนี้ เรียกว่าพระอรหันต์น่ะ เพราะฉะนั้นความหมายของพระอรหันต์ในแง่หนึ่งก็คือผู้ที่มีความสุขอยู่ในตนเองตลอดเวลา ไม่ต้องหา ไม่ต้องสร้าง และเราก็พัฒนาคนอย่างนี้แล้วความรักมันก็มาประสานกับความสุข ที่จริงความรักกับความสุขเป็นสิ่งเดียวกัน ที่เรารักก็เพราะอยากได้ความสุขแต่ว่าความรักที่แท้ก็อย่างที่บอกกลายเป็นว่าความรักของผู้มีความสุข กลายเป็นความอยากให้คนอื่นมีความสุขซะแล้ว
เอาละนะตอนนี้การพัฒนามนุษย์เพราะฉะนั้นวันวาเลนไทน์นี้จะมีความหมายที่แท้จริงก็คือเราต้องไปช่วยเขาพัฒนามนุษย์จากการเป็นนักหาความสุขจากการมีความสุขชนิดที่ว่าต้องเอาความสุขต้องได้ความสุขต้องได้สิ่งที่ตัวชอบใจมาทำให้ตัวเป็นสุข มากลายเป็นว่าเป็นผู้ที่มีความสุขด้วยตนเองมากขึ้นหรืออย่างน้อยสามารถสร้างความสุขได้มากขึ้น แล้วก็มีจิตใจที่จะเผื่อแผ่ให้ความสุขแก่ผู้อื่น จากการเป็นนักหาความสุขก็ให้เป็นนักให้ความสุข ที่นี้เราก็มีนะ การทำเป็นสัญลักษณ์อย่างให้ดอกกุหลาบก็เหมือนกับว่าจะให้ความสุขแก่เขา แต่ว่าในใจมันจริงทำได้หรือเปล่าเท่านั้น งั้นก็ให้ทำได้อย่างนั้นคือว่าเราเอารูปธรรมมาเป็นเครื่องหมายแล้ว ว่าเราจะให้ความสุขแก่ผู้อื่น ก็ขอให้ใจของเรานั้นพัฒนาได้จริงๆอย่างนั้นด้วย ก็ให้เราได้เป็นนักให้ความสุข ถ้าเราสามารถทำตนให้เป็นนักให้ความสุข เราก็จะดำเนินในทางของพระอริยเจ้าทั้งหลาย อันนี้แหละก็คือว่าวันมาฆบูชาก็จะเป็นวันแห่งความรักแท้แล้วจะว่าเป็นวันแห่งความสุขก็ได้ เพราะว่าความรักกับความสุขในที่สุดเป็นอันเดียวกัน ตอนแรกก็เป็นความรักของนักหาความสุขแล้วก็พัฒนาขึ้นมาสู่ความรักของผู้ให้ความสุข ก็นักหากับนักให้ความสุข เลือกเอาอันไหน ก็คิดว่าเราจะต้องพัฒนาคนให้เป็นนักให้ความสุข แต่ว่าให้ความสุขอย่างที่แท้จริงนะ ให้ความสุขที่ในที่สุดก็ทำให้เขาพัฒนาไม่ใช่เป็นความสุขแบบเพียงพึ่งพาเท่านั้น เวลาให้ความสุขกับคนอื่นก็ต้องมองอีกหลายขั้นเหมือนกัน ขั้นแรกเราก็มองแค่ความสุขแบบเสพบริโภค ก็เป็นความสุขแบบพึ่งพา ให้เด็กๆได้สิ่งที่เขาชอบ เครื่องเล่นของอะไรต่ออะไรที่ชอบใจ ก็เป็นความสุขแบบพึ่งพาก็เป็นระดับ แต่ว่าอย่าลืมตระหนักไว้ว่าต้องพัฒนาให้เขามีความสามารถที่จะมีความสุขได้ง่ายขึ้นทุกข์ได้ยากขึ้น สร้างความสุขขึ้นมาได้ด้วยตนเอง และในที่สุดเขาก็จะเป็นผู้ที่มีความสุขแล้วความสุขนั้นจะเป็นอิสระ ถ้าเป็นความสุขที่ต้องหาก็ต้องพึ่งพาเรื่อยไป ถ้าเป็นความสุขที่มีในตนเอง ก็เป็นความสุขแบบอิสระไม่ต้องขึ้นต่ออะไรภายนอกเลย เพราะฉะนั้นในแง่ของความสุขเนี่ย วันมาฆบูชาก็สอนเราเต็มที่เลย เราก็ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรักแท้และเป็นวันแห่งความสุขที่แท้จริง โยมจะเรียกว่าวันแห่งความรักก็ได้วันแห่งความสุขก็ได้ เลือกอันไหนล่ะ วันมาฆบูชาเนี่ยตกลงได้ 2 ชื่อนะจะเรียกว่าวันแห่งความรักก็ได้ วันแห่งความสุขก็ได้ วันวาเลนไทน์ก็เช่นเดียวกัน ก็ควรจะได้ทั้งสองอย่างเป็นทั้งวันแห่งความรักและวันแห่งความสุข ถ้าไม่เสียดายไม่รู้จะเลือกอันไหนดีก็ให้ได้ทั้งสองอย่าง ให้เป็นวันแห่งความรักและความสุขที่แท้จริง อันนี้แล้วก็ให้วันมาฆบูชาวันวาเลนไทน์นี้ไปบรรจบกันได้ ก็จะเป็นกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เป็นวันแห่งความสุขอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาเราก็ควรจะมาจับสาระอันนี้ให้ได้ก็คือความรักที่แท้จริงที่แสดงออกในการที่พระอรหันต์ทั้งหลายมาประชุมพร้อมกันแล้วก็เตรียมตัวที่จะออกไปประกาศพระศาสนาสั่งสอนตามวัด เพื่อจะให้เกิดประโยชน์และความสุขแก่ชาวโลกแล้ววันมาฆบูชานี้ก็คือเราให้รู้ว่าจุดหมายของชีวิตนั้นเราจะต้องพัฒนาแม้แต่ในแง่ความสุขให้สามารถมีความสุขในตนเองและเป็นความสุขที่เป็นอิสระด้วย และความสุขที่เป็นอิสระนี้จะไม่มีโทษมีภัยแก่ผู้ใดเลย จะเป็นความสุขแบบเผื่อแผ่เพราะว่าผู้นั้นเองพอมีความสุขแล้ว นอกจากจะไม่เบียดเบียนใครแล้วยังมีใจพร้อมที่จะไปเผื่อแผ่ให้ความสุขแก่ผู้อื่นด้วย มีแต่ว่าจะช่วยกันให้เป็นสุขยิ่งๆ ขึ้นไป โลกนี้ก็จะได้เจริญงอกงามด้วยสันติสุข เพราะฉะนั้นเรื่องความรักความสุขนี้ต้องมองในแง่การพัฒนาด้วย ไม่ใช่มองแต่ในแง่ว่ามีความรักมีความสุขแล้วก็ไม่ได้คิดเลยว่าความรักความสุขมันคืออะไร มันมีความหมายแค่ไหนแล้วก็อยู่กันแค่นั้นปีหนึ่งผ่านไป ปีหน้ามาอีกก็อยู่อย่างนั้นแหละไม่ไปไหน ความรักก็ไม่พัฒนาความสุขก็ไม่พัฒนา แล้วก็มาถกมาเถียงมาว่ากันอยู่อย่างนั้น ถ้าพัฒนาอย่างนี้พัฒนาความรักและความสุขไปได้เจริญงอกงามวันวาเลนไทน์ที่มันมีข้อเสีย มีบกพร่องไป ก็เอาล่ะยอมรับความจริง ให้รู้ปัญหา รู้ปัญหาเพื่อเราจะได้มาเตรียมตัวแก้ไขได้ดีขึ้นก็ปรับปรุงแก้ไขพัฒนากันไป ก็บอกแล้วว่าผู้ที่เกิดมาในยุคนี้ก็ถือว่ามีโชคดีมีปัญหาให้มาแก้ แล้วก็มีแบบฝึกหัดให้ทำ งั้นถ้าทำได้สำเร็จก็เป็นผู้ที่มีความสามารถแท้จริง อันนั้นก็เป็นเรื่องที่จะบอกว่าท้าทายก็ได้ทุกท่าน และก็การที่ทำอย่างนั้นก็เป็นการพัฒนาตัวเองไปด้วย เวลาเราไปแก้ปัญหาไปคิดสร้างสรรค์ทำอะไรต่ออะไรทำแบบฝึกหัดเนี่ย เราก็พัฒนาตัวเองไปด้วย ชีวิตก็เจริญงอกงามสังคมก็ดีขึ้นไปเราจะเห็นว่าเวลาสังคมมันเสื่อมถึงที่สุดแล้วนี่ มันก็จะกลับเจริญขึ้นใหม่ เพราะว่ามนุษย์เนี่ยได้แบบฝึกหัด แล้วก็จะต้องดิ้นรนแก้ปัญหา เวลานี้เราไม่จำเป็นต้องรอให้สังคมมันเสื่อมที่สุด บางทีเสื่อมที่สุดแล้วมันไม่ทันฟื้น มันไปซะก่อน งั้นก็เรารีบรู้ตระหนักถึงภัยอันตรายจากความเสื่อมของปัญหาแล้วก็ตื่นขึ้นมารีบดำเนินการคิดหาทางแก้ไขพัฒนาตั้งแต่ชีวิตของตัวเองเป็นต้นไป ทุกอย่างก็คงจะกลับฟื้นคืนดีได้ ก็โดยเฉพาะการศึกษานี้เป็นสำคัญ
วันนี้ก็อนุโมทนาทางโรงเรียนแนววิถีพุทธที่พาครูอาจารย์ผู้ปกครองมาและผู้ปกครองก็อาจจะพาเด็กนักเรียนมาหรือนักเรียนอาจจะพาผู้ปกครองมาก็แล้วแต่ก็ชวนกันมาแล้วก็มีความสุขในบ้านอย่างน้อยท่านก้าวไปขั้นหนึ่งแล้วนะสำหรับในครอบครัวที่มีความสุขแบบนี้คือความสุขแบบที่เริ่มเป็นความสุขแบบอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ชี้ว่าไม่ใช่แค่ความสุขแบบนักหาอย่างเดียว คุณพ่อคุณแม่ก็รักลูกอยากให้ลูกเป็นสุขอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดีงามเราชวนกันไปวัดนะ หนูๆก็รักคุณพ่อคุณแม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทำบุญบอกว่าวันมาฆบูชาแล้วนะคุณพ่อคุณแม่ไปทำบุญกันเถอะ แบบนี้ก็เรียกว่าหนูๆก็มีความปรารถนาดีมีความรักที่แท้มีเมตตาธรรม ไมตรีธรรมกับคุณพ่อคุณแม่แล้วความสุขในครอบครัวก็เกิดขึ้น สังคมก็จะเจริญงอกงาม
วันนี้อาตมาก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรสาธุชนทุกท่านที่เราได้มาพร้อมเพรียงสามัคคีกันทำบุญในวันมาฆบูชาซึ่งในวันนี้ก็พูดกันในแง่ความหมายว่าวันมาฆบูชานี้เป็นวันแห่งความรักและวันแห่งความสุข และรักและสุขนั้น เป็นความรักที่แท้จริง เป็นความสุขที่แท้จริงด้วย จนกระทั่งเป็นความสุขที่เป็นอิสระ ซึ่งเราจะเป็นผู้มีความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นแก้ปัญหาของโลก แก้ปัญหาของสังคมและช่วยผู้อื่นมีความสุข สมตามอุดมคติของพระพุทธศาสนาดังที่กล่าวมาแล้วในวันมาฆบูชา เป็นอันว่าวันมาฆบูชาในความหมายที่เป็นสาระในวันนี้ก็ย้ำอีกทีว่า เป็นที่บรรจบในอุดมคติสำคัญ 2 ประการของพุทธศาสนาคือ หนี่งอุดมคติเพื่อตนเอง ในแง่ของการพัฒนาตัวเองให้บรรลุนิพพานเป็นผู้ที่ปราศจากทุกข์มีแต่ความสุขอยู่ในตัวและมีความสุขที่เป็นอิสระ และ สองก็ทำการเพื่อโลก หมายความว่า เมื่อตัวเองนี้ไม่มีอะไรต้องเพื่อทำตัวเองแล้วก็ไปทำการเพื่อชาวโลก ช่วยชาวโลกให้มีความสุขแล้วเราก็พัฒนาคนเป็นขั้นๆ ให้เขา หนึ่งจากการเป็นนักหาความสุข ความสุขพึ่งพาสิ่งภายนอก มาเป็นผู้ที่มีความสามารถที่จะสร้างความสุข แล้วพระท่านไปสอนเนี่ย ท่านไปให้ธรรม ก็คือท่านไม่ใช่ไปให้ความสุขโดยตรง ท่านไปให้ธรรมเพื่อให้เขาน่ะมีความสามารถที่จะพัฒนาตนเองให้มีความสุข และสร้างความสุขด้วยตนเองด้วย แล้วก็มีความสุขที่อยากให้คนอื่นเป็นสุขนั่นเอง ความอยากให้ผู้อื่นเป็นสุขเป็นความรักที่ทําให้เราเอาความสุขนี้ไปเผื่อแผ่โดยวิธีการที่เอาสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือเอาธรรมะที่สำหรับเขาจะได้พัฒนาชีวิตของเขาให้เป็นผู้มีความสามารถมีความสุขได้เพราะฉะนั้นแทนที่จะไปให้ความสุขโดยตรงก็คือให้ความสุขนั่นแหละแต่ไปให้ด้วยวิธีไปให้ธรรมะ การไปให้ธรรมะนั้นก็คือการให้ความสุข เพราะในที่สุดความสุขของเขานั้นจะมีด้วยตัวของเขาเอง ด้วยการที่มีความสามารถสร้างขึ้นมา และการที่เขาสามารถมีความสุขของตัวเองขึ้นมาแล้วก็จะถึงจุดหมายนี้ก็ด้วยการที่เขาได้มีธรรมะ รู้ธรรมะและปฏิบัติตามด้วยการพัฒนาชีวิตไปด้วยธรรมะนั่นเอง เพราะฉะนั้นในที่สุดก็คือ ธรรมะนี่เองที่เราจะต้องนำไปให้แก่ผู้คนเพื่อให้เขาได้พบความสุขที่แท้จริง ก็ขออนุโมทนาอีกครั้งหนึ่งวันมาฆบูชาก็หวังว่าจะให้คติที่เป็นกุศลกับญาติโยมแล้วก็นำไปใช้นำไปปฏิบัติ เผื่อแผ่แก่กันและกัน เพื่อช่วยโลกนี้ ช่วยสังคมนี้ ช่วยกระทั่งทุกคน ตัวของตัวเองนี้ให้เจริญพัฒนาไปสู่...ความเป็นผู้มีความสุขที่เป็นอิสระอย่างน้อยเป็นคนที่สุขง่ายทุกข์ได้ยากเพิ่มขึ้นยิ่งๆขึ้นไป
ก็ขออวยชัยให้พรขอคุณพระรัตนตรัยและบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญอย่างน้อยด้วยการที่เรามีจิตใจเป็นกุศลมีน้ำใจมีศรัทธา มีเมตตา เป็นต้น จงได้อภิบาลอวยชัยให้ทุกท่าน เจริญด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังพรั่งพร้อมที่จะบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่ชีวิตแก่ครอบครัวแก่สังคมประเทศชาติและแก่ชาวโลก ให้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุขในธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อไปตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ.