แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
วันนี้เป็นวันมหามงคลที่พุทธศาสนิกชนได้พร้อมใจกันมาประกอบพิธีกุศลอันยิ่งใหญ่ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่มีความหมายทั้งในแง่ของท้องถิ่นคือในแง่ของสถานที่และในแง่ของกาลเวลา ในแง่ของท้องถิ่นก็คือใน อ. ศรีประจันต์ในจังหวัดสุพรรณบุรี หรือมองกว้างออกไปจนกระทั่งถึงทั้งประเทศไทยเรา และทั้งโลกได้เกิดมีมหาเจดีย์ขึ้นมาอย่างที่เรียกว่าเป็นทางการอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเราได้มาร่วมกันประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเรียกว่าประดิษฐานไว้เป็นการถาวรเป็นหลักเป็นที่บูชาของพุทธบริษัทสืบไป แล้วในแง่กาลเวลาก็เป็นเหตุการณ์ที่จะเป็นอนุสรณ์ที่ระลึกอันสำคัญอยู่ในประวัติศาสตร์โดยเฉพาะก็เขต อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรีนี้ว่า เมื่อวันที่เท่านี้ได้มี พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขึ้นไว้ เพราะว่าพระมหาเจดีย์นี้จะประดิษฐานมั่นคงอยู่ต่อไปนานเท่านานเป็นร้อยเป็นพันปี ก็มีจุดเริ่มต้นในบัดนี้ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นเวลาสำคัญ เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์อีกจุดหนึ่ง ทีนี้การที่มีงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครั้งนี้ขึ้น เพราะอะไร ก็เพราะว่าเราทั้งหลายเนี่ยเป็นพุทธศาสนิกชน แม้พระสงฆ์ทั้งหลายก็เป็นผู้อยู่ในพุทธบริษัททั้งสี่ พุทธบริษัทเคารพบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระองค์เป็นพระบรมศาสดาทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้ทรงประกาศธรรมะให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั่วโลก แล้วก็ได้ยั่งยืนสืบมาถึงเวลานี้ก็ 2,500 กว่าปีแล้ว เรานับถือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราจึงน้อมใจระลึกถึงพระองค์ และเราก็ได้มีประเพณีสืบมาว่า เราจะหาสิ่งที่เป็นอนุสรณ์สำหรับแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้แต่ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ พระองค์ก็เสด็จจากเมืองนี้ไปเมืองโน้น เช่นจากเมืองสาวัตถีไปเมืองราชคฤห์ จากเมืองราชคฤห์ก็อาจจะไปต่อไป ไปเมืองเวสาลีในแคว้นวัชชี ในที่สุดก็มาเมืองกุสินาราสถานที่ปรินิพพาน เมื่อพระองค์เสด็จไปในที่ต่างๆ ประชาชนมีความเลื่อมใส เค้ายังเป็นปุถุชนอยู่ก็มีความรัก มีความอาลัย แม้แต่พระองค์ยังอยู่เค้าก็อยากเห็นพระองค์อยู่เสมอ ไม่อยากให้จากไปไกล อย่างเช่นที่เมืองสาวัตถีที่พระเชตวันซึ่งเป็นวัดสำคัญ พระพุทธเจ้าประทับที่นั่นมากแต่บางครั้งก็เสด็จไปที่อื่น ชาวเมืองนั้นมีความรักเคารพบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอันมาก ความจริงก็ไม่อยากให้พระองค์ไปไหนแต่ก็เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็ต้องเสด็จไปโน่นไปนี่ ทีนี้เค้าก็อยากจะมีอะไรไว้แทนพระองค์สำหรับเป็นที่ระลึก เพราะฉะนั้นแม้แต่สมัยพุทธกาลที่วัดพระเชตวันซึ่งอนาถบิณฑิกะเศรษฐีเป็นผู้ที่ได้สร้างถวาย พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่อื่นอนาถบิณฑิกะเศรษฐี ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดและมีความรักและเคารพในพระศาสดามากก็อยากจะมีอะไรไว้เป็นที่ระลึกเป็นอนุสรณ์หรือดูแทนพระองค์ ก็เป็นเหตุให้พระอานนท์เนี่ยได้ปลูกต้นโพธิ์ไว้แทนสำหรับเวลาพระพุทธเจ้าไม่อยู่ ก็มาดูต้นโพธิ์นี้แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า อานันทโพธิ์ ต้นโพธิ์ที่พระอานนท์ปลูกขึ้น นี้เป็นตัวอย่างในพระพุทธกาลพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่เนี่ย พุทธบริษัทก็ยังอยากจะเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ อยากจะเฝ้าเพราะว่าเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความสุข มีปิติ อิ่มใจเรียกว่าเป็น มโนภาวนียะ พูดเป็นภาษาไทยว่าเป็นที่เจริญใจ เราเคารพบูชาพระสงฆ์ก็ดีหรือว่าสถานที่สำคัญองค์เจดีย์อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้นโพธิ์ เรามีจิตศรัทธาในพระศาสนา พอเราเห็นจิตใจของเราก็ชื่นบานผ่องใสมีความสุข สดชื่น สิ่งเหล่านั้นก็เรียกว่าเป็น มโนภาวนียะ หรือเรียกสั้นๆ ว่า มโนภาวนีย์ เป็นเครื่องเจริญใจ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว แน่นอนว่าพุทธบริษัททั้งหลายเนี่ยจะมีความอาลัยมาก ก็อยากจะมีอะไรเป็นที่ระลึกก็พอดีว่า เป็นประเพณีมาแต่โบราณที่ว่าบุคคลสำคัญแม้แต่ในทางบ้านเมืองได้จากไปเขาก็มีการสร้างอนุสรณ์สถานไว้สมัยก่อนเค้าเรียก สถูป ก็ก่อสถูปไว้บรรจุอัฐิธาตุ พระพุทธเจ้าเมื่อทรงพระชนม์อยู่ก็ได้ตรัส แสดงหลักธรรมไว้หมวดหนึ่งเรียกว่า ถูปารหบุคคล 4 ประเภท บุคคล 4 ประเภทนี้เป็นผู้ที่ควรแก่สถูป คือก่อสร้างอนุสรณ์สถานบรรจุอัฐิหรือสารีริกธาตุไว้ คือ 1.องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2.พระปัจเจกพุทธเจ้า 3.พระอรหันตสาวก และ 4.พระเจ้าจักรพรรดิ์ นี่เรียกว่าเป็น ถูปารหบุคคล พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ก็เท่ากับว่าได้ทรงชี้ประเพณีอันดีงามที่มีมาแต่ก่อน ซึ่งเป็นช่องทางให้พุทธศาสนิกชนได้ปฏิบัติตามเพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ที่เมืองกุสินาราเมืองหลวงของแคว้นมัลละ หลังจากที่ได้บำเพ็ญพุทธกิจมา 45 พรรษา พระชนมายุได้ 80 ปี ครั้นพระพุทธเจ้าปรินิพพานและถวายพระเพลิงพุทธสรีระแล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดาว่าจะมีพระอัฐิธาตุ เราเรียกกันว่าพระสารีริกธาตุ ใครๆ ก็อยากจะได้ เมืองทั้งหลายที่นับถือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปโปรดมากมาย พอรู้ข่าวก็เลยส่งคนมาขอแบ่งพระสารีริกธาตุ ก็เราก็ได้ทราบจากพุทธประวัติว่าได้มีการจัดแบ่งพระสารีริกธาตุออกเป็น 7 ส่วน นำไปประดิษฐานไว้ในเมืองต่างๆ 7 เมือง เช่นเมืองราชคฤห์ เมืองเวสาลี เป็นต้น อันนี้นับว่าเป็นประเพณีเริ่มต้นแล้ว เราก็รู้จักพระบรมสารีริกธาตุนับแต่บัดนั้น คือตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานใหม่ๆ พระสถูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ 7 เมืองนี้ และก็ยังมีอื่นอีก อย่างโทณพราหมณ์เองก็ขอเอาทะนานที่ใช้ตวง พระสารีริกธาตุ เนี่ยไว้เป็นที่ระลึกก็ก่อเป็นเจดีย์บรรจุไว้
เวลาก็ล่วงมาๆ ต่อมาภายหลังมาถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พ.ศ.200 เศษ ตั้งแต่ พ.ศ.218 เป็นต้นมาขึ้นครองราชย์ แล้วต่อมาหันมานับถือพระพุทธศาสนา มีการสังคายนาพระธรรมวินัยเมื่อ พ.ศ. 235 พระเจ้าอโศกมหาราชทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนามาก ก็เลยได้มีการที่เรียกง่ายๆ ว่าเปิดกรุๆ เปิดพระเจดีย์ พระสถูปที่บรรจุพระสารีริกธาตุก็มีการนำออกมาแผ่ขยายแจกไปในที่อื่นๆ เนี่ยทำให้พระบรมสารีริกธาตุเนี่ยได้แพร่กระจายไปในที่ต่างๆ ซึ่งถือเป็นต้นกำเหนิดที่มาถึงเมืองไทยเรา แม้พระบรมสารีริกธาตุที่เรามาประชุมกัน บำเพ็ญกุศลในการบรรจุในวันนี้ ก็ถือว่ามีจุดกำเหนิดมาแต่อันนี้ เวลานี้ก็แพร่กระจายไปในที่ต่างๆ ทั่วไปหมด ก็ถือว่าเป็นบุญที่เราได้มีพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ เมื่อมีพระบรมสารีริกธาตุก็เป็นองค์แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เมื่อมีองค์แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่พวกเราทุกคนนับถือพระพุทธเจ้า ก็เลยทำให้พระเจดีย์ที่บรรจุพระสารีริกธาตุเนี่ยเป็นศูนย์กลางเป็นที่รวมใจชาวพุทธ ชาวพุทธอยากจะนมัสการพระพุทธเจ้าก็พากันมาที่พระเจดีย์นี้ นี่เราก็เรียกว่า ศูนย์รวมใจ การเป็นศูนย์รวมใจนี้ขอเล่าแทรกนิดหนึ่ง ที่ท่านพระครูโสภณสิทธิการ ท่านเป็นประธานจัดงานครั้งนี้ขึ้นมา เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเนี่ย ท่านก็เล่าให้ฟังแล้วว่าท่านได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อวัดบ้านกร่าง ที่เราเรียกกันง่ายๆ ชื่อของท่านตามสมณศักดิ์ว่าท่านเจ้าคุณเมธีธรรมสารท่านก็จากพวกเราไปนานแล้ว แต่ว่าท่านพระครูโสภณสิทธิการเป็นลูกศิษย์ เป็นสัทธิวิหาริก คือหลวงพ่อวัดบ้านกร่างเป็นอุปัชฌาย์ ทีนี้หลวงพ่อต้องเห็นอะไร เห็นความสำคัญของท่านพระครูโสภณสิทธิการจึงได้มอบพระบรมสารีริกธาตุให้ อันนี้ก็เป็นข้อที่หนึ่งละเนี่ยแสดงว่าท่านต้องมีความหยั่งเห็นอะไรที่ว่า ท่านพระครูมีคุณธรรมมีความดีเป็นต้นที่เหมาะสม ที่ว่าจะเป็นผู้ที่จะดำรงพระบรมสารีริกธาตุไว้ สามารถทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้สมตามวัตถุประสงค์ ก็มอบให้มาแล้วก็มอบให้ลูกศิษย์ที่ปฏิบัติใกล้ชิดก็คือ คุณอวย แล้วท่านพระครูก็เท่ากับว่าในแง่หนึ่งท่านพระครูโสภณสิทธิการก็ดีคุณอวยก็ดีเนี่ย ก็มีศูนย์รวมอันหนึ่งก็คือหลวงพ่อวัดบ้านกร่างเนี่ยเป็นที่รวมกัน ทีนี้เวลาท่านจัดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมีพระมหาเจดีย์ขึ้นมาแล้ว ท่านก็ต้องมานึกถึงอาตมาว่าก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดบ้านกร่างเหมือนกันคือว่าหลวงพ่อวัดบ้านกร่างเป็นอุปัชฌาย์ตอนบวชเณร ก็เรียกว่าเป็นอุปัชฌาย์เดียวกัน ก็เรียกว่ามีศูนย์รวมอยู่ที่หลวงพ่อวัดบ้านกร่างด้วยกัน คงจะด้วยเหตุนี้ท่านก็เลยนิมนต์อาตมาให้มาประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อันนี้เรียกว่านี่เป็นศูนย์รวมใจขั้นที่หนึ่ง คือหมายความว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องพระบรมสารีริกธาตุเนี่ยมีศูนย์รวมอันเดียวกันนะ ทั้งท่านพระครูโสภณสิทธิการที่ได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อแล้วก็คุณอวยแล้วก็อาตมาก็มาวันนี้ก็มารวมกันที่นี่ก็รวมที่หลวงพ่อวัดบ้านกร่าง ทีนี้หลวงพ่อวัดบ้านกร่างกับทุกๆ องค์จะเป็นอาตมาก็ตามหรือว่าองค์อื่นๆ ก็ตามและรวมทั้งญาติโยมนี่ก็มีศูนย์รวมสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือเราทุกคนนี่บอกย้ำว่าหลวงพ่อวัดบ้านกร่างด้วยนะ ก็มีศูนย์รวมใจไปอยู่ที่พระพุทธเจ้าอีกทีหนึ่ง ทีนี้พระพุทธเจ้าก็มีพระบรมสารีริกธาตุเนี่ยเป็นองค์แทน เพราะฉะนั้นเราก็เลยมารวมกันอีกทีหนึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่ศูนย์รวมใหญ่ที่สุดคือ พระบรมสารีริกธาตุนี้ ทีนี้เมื่อเราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เจดีย์นี้เป็นเครื่องหมายให้มองเห็นพระบรมสารีริกธาตุนั้น ถ้ามองในแง่เป็นวัตถุก็เล็กนิดเดียวมองไม่เห็น ทำไงเราก็ต้องทำเจดีย์บรรจุให้ใหญ่ มองเห็นแต่ไกล เพราะฉะนั้นญาติโยมก็มองเห็น อยู่ไหนก็มองเห็น อย่างน้อยมองเห็นยอดเจดีย์แต่ไกลก็ใจก็มีปีตี อิ่มใจ เบิกบานใจ เห็นพระเจดีย์ก็นึกถึงพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพูทธเจ้า จิตใจก็ชื่นบานผ่องใสด้วยศรัทธาในพระรัตนตรัยอยู่ที่ไหนก็น้อมใจนมัสการกล่าวคำสาธุ ก็ทำให้จิตเป็นกุศล มีปสาทะ มีความผ่องใส มีความสุขได้ตลอดทุกเมื่อ โยมต้องทำใจอย่างนี้ว่าอยู่ที่ไหนก็ตามมองมาที่พระเจดีย์เห็นยอดพระเจดีย์ก็นึกถึงพระบรมสารีริกธาตุ นึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงหลักธรรมคำสอนของพระองค์ นี่แหละใจของเราจะดีงาม น้อมนำใจให้เบิกบาน ผ่องใส น้อมนำใจให้เป็นกุศล ให้นึกถึงธรรมะนี่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งหมด นี่เรียกว่าเป็นศูนย์รวมใจ แล้วเวลามีโอกาสเราก็มารวมกันที่นี่อีก นี่ๆก็เป็นศูนย์กลาง
ทีนี้การเป็นศูนย์กลางนี่เป็นเรื่องสำคัญคนเรานี่มีศูนย์รวมใจมีศูนย์กลางเนี่ยทำให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน การรวมพร้อมเพรียงเนี่ย ถ้าพูดง่ายๆ ก็มีสองอย่าง คือพร้อมเพรียงทางกาย เรียกว่า กายสามัคคี พร้อมเพรียงทางใจ เรียกว่า จิตสามัคคี โยมมานั่งประชุมกันที่นี่ นั่งพร้อมกันบางทีเบียดเสียดเยียดยัดเลยก็มีเราก็เรียกว่า กายสามัคคี แต่ทีนี้อีกอันหนึ่งลึกเข้าไปก็คือในใจเนี่ย ถ้าใจเรานับถือพระพุทธเจ้าเหมือนกันใจเรามีกุศลธรรมอย่างเดียวกัน มีความสุข สดชื่น เบิกบาน ผ่องใสเหมือนกัน จิตใจเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกันมีหลักยึดเหนี่ยวอันเดียวกันอันนี้เรียกว่า มีจิตสามัคคี เช่นอย่างง่ายๆ ก็คือ ตัวศรัทธาเนี่ยเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีจิตสามัคคี ศรัทธาในพระศาสนา ศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าเราก็มีใจพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความพร้อมเพรียงทางใจหรือจิตสามัคคีนี่แหละเป็นแกนสำคัญ ถ้าเราไม่มีจิตสามัคคี แล้วกายสามัคคีก็เกิดได้ยาก แม้เราจะบังคับให้มาประชุมพร้อมกันกายสามัคคีมันก็ไม่ยั่งยืน แต่ถ้าเรามีจิตสามัคคีมีความพร้อมเพรียงทางใจล่ะก็ กายสามัคคีก็มั่นคงแล้วก็อยากจะมาเรื่อยเลย ถ้าบังคับกันนี่กายสามัคคีไม่มั่นคงน่ะอยากจะหนีไปพอไปได้คราวนี้ไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ทีนี้ถ้ามีจิตสามัคคีล่ะตอนนี้อยากจะมาเรื่อยเลย อยาก เมื่อไหร่ท่านจะจัดอีกจะขอมานี่คิดเรียกถามอยู่เรื่อยเลย แล้วจัดเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่ามา อันนี้ก็จิตสามัคคี ฉะนั้นต้องมีทั้งสองอย่าง แต่มีจิตสามัคคีนี่เป็นแกนลึกอยู่ข้างใน พอมีจิตสามัคคีแล้วก็พาให้กายสามัคคีตามมา พอมีทั้งสองอย่างก็ครบบริบูรณ์เพราะว่าจิตนี้มันทำงานอะไรไม่ได้ พอโยมมีกายสามัคคีคราวนี้มีเรื่องอะไรจะต้องทำก็ทำพร้อมกันได้หมดเลย งานการของส่วนรวมก็สำเร็จเพราะฉะนั้นศูนย์รวมใจศูนย์กลางอะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะทำให้เกิดความสามัคคีทั้งทางกายและทางใจ คือทั้งกายสามัคคีและจิตสามัคคี เอาเป็นว่านี่ก็เรามีศูนย์รวมแล้วละ ทีนี้เรามีเครื่องช่วยให้เรามารวมศูนย์เนี่ยยังไม่พอ ต้องก้าวต่อไปอีก นี่เรามีพระเจดีย์ พระเจดีย์นี้มีนอกจากจะเป็นศุนย์กลางให้แล้วนะ เราเนี่ยเราอยู่นี่เหมือนกับมีพระเจดีย์เป็นศูนย์กลางให้เรา พระเจดีย์มีลักษณะอีกอย่างหนึ่งคือสูงขึ้นไปในฟ้าด้วยนี่เป็นเครื่องเตือนใจชาวพุทธว่า อย่ามารวมศูนย์อย่างเดียว รวมศูนย์ยังไม่พอต้องขึ้นให้สูงด้วย มารวมกันอยู่แค่นี้ละก็อยู่เท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่ก้าวหน้าเคยมีจิตใจอย่างไร เคยมีศีลแค่ไหน มีศรัทธาแค่ไหน มีปัญญาแค่ไหน ทำบุญกุศลทำความดีอะไรแค่ไหน เคยประพฤติอย่างไรอยู่แค่นั้น อย่างนี้ถึงมารวมกันเป็นศูนย์กลางมันก็ไม่ก้าวหน้า ทำอย่างไรล่ะพระเจดีย์ท่านเตือนเราแล้วบอกว่า อย่ามารวมศูนย์อย่างเดียวนะ ต้องขึ้นให้สูงด้วยนะ ทีนี้เราก็มาละ ดูพระเจดีย์ท่านเตือนให้เราขึ้นสูง เอ๊ะจะขึ้นสูงอย่างไร จะมาปีนพระเจดีย์หรือ โยมก็บอก เอ ท่าจะไม่ไหว ถ้าพวกปีนพระเจดีย์นี่ ถ้าไม่ใช่ช่างไม่ใช่เรื่องกิจการของวัดก็น่ากลัว บางทีเป็นพวกปีนจะไปหาของมีค่าอันนี้ไม่ดีแล้วนะ ฉะนั้นที่ท่านให้ขึ้นสูงนี้ไม่ใช้ให้หมายความว่ามาปีนป่ายพระเจดีย์ แต่หมายถึงว่าให้ขึ้นสูงในธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระเจดีย์นี่เป็นเครื่องเตือนใจเราอีกทีหนึ่ง เตือนใจเรานี่ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พอระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วเราจะระลึกถึงอะไร เราก็ต้องรู้ไปถึงพระองค์เนี่ย อ้อ ได้ประสูตรเมื่อนั้นอย่างนั้น ได้เดินทางปฏิบัติศาสนกิจ บำเพ็ญพุทธกิจต่างๆ นี่เพื่ออะไร ก็เพื่อสั่งสอนธรรมะให้เรารู้ดี รู้ชั่ว รู้ประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ รู้อะไรเป็นความจริง ความเท็จ แล้วนำมาใช้ประพฤติปฏิบัติทำชีวิตให้ดีงาม ทำสังคมให้เจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองต่อไป อันนี้ก็คือว่านี่เราจะต้องขึ้นให้สูงในธรรมะของพระองค์ในคำสั่งสอนของพระองค์
เวลาเรามามองพระเจดีย์เนี่ย ชาวพุทธมีอย่างหนึ่งก็คือว่า มักจะมองไปที่เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีพระธาตุก็นึกถึงฤทธิ์ถึงปาฏิหาริย์ มีปาฏิหาริย์อย่างนั้นอย่างนี้ เวลาเรานึกถึงเรื่องฤทธิ์เรื่องปาฏิหาริย์เอาละก็ดีทำให้เกิดจิตศรัทธาเลื่อมใส แต่ต้องระวังเหมือนกันนะบางทีเรานึกถึงเรื่องฤทธิ์เรื่องปาฏิหาริย์เนี่ย เรานึกแต่จะเอาแต่ตัวเอง เอ่อ ท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์นี่ท่านจะมาบันดาลอะไรให้เรา ถ้านึกอย่างนี้ก็หมายความว่า นึกจะเอาอย่างเดียว ไม่นึกเลยว่าตัวเราต้องทำอะไรบ้าง ก่อนที่จะเอาจากท่านเราน่าจะนึกเราควรจะทำอะไรให้ท่านบ้าง หรือเราควรจะทำตัวให้สมกับที่ท่านจะให้เรา ฉะนั้นอย่างไปนึกถึงเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ว่าจะบันดาลอะไรต่อะไรให้เรายังไงๆเลย ควรจะต้องมานึกถึงว่า ตัวเรานี้จะต้องทำอะไรให้เป็นผู้เหมาะสมแก่อิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน หรือการที่ท่านจะมาช่วยอะไรต่ออะไรเราเนี่ย เราทำตัวให้สมซะก่อน ทำตัวให้สมควร เราก็เลยต้องมาประพฤติปฏิบัตินำธรรมะของท่านมาก็ดูคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้บอกว่า อย่าติดอยู่แค่อิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์นี่โยมที่เรียนธรรมะมาแล้วคงทราบว่ามี 3 อย่าง มาทวนความรู้กันนิดหนึ่งมีอะไรบ้าง ปาฏิหาริย์มีสามอย่าง หนึ่งอิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือฤทธิ์ ทำโน่น ทำนี่ได้เหาะเหินเดินอากาศได้อย่างนี้ เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ คนก็มักจะมองติดอยู่แค่นี้ เพราะมันเห็นง่ายเป็นรูปธรรม แต่ทีนี้ลึกลงไปอีก อย่างที่สองท่านเรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์นี้คือทายใจได้ รู้ใจคนอื่นว่าขณะนี้เค้าคิดอย่างไร ใจเค้าเป็นอย่างไรนะ อยากจะพูดอะไร มีความรู้สึกอย่างไรอะไรต่างๆ เหล่านี้นี่เรียกว่า อาเทสนาปาฏิหาริย์ดักใจทายใจได้ สองอย่างเนี่ยเป็นเรื่องที่คนที่เห็นแล้วก็รู้สึกอัศจรรย์ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระองค์เนี่ยไม่ทรงสรรเสริญปาฏิหาริย์สองอย่างนี้ มีปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากคืออะไร ท่านเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธกิจเสด็จไปโน่นไปนี่ ไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยตั้ง 45 ปีน่ะอะไร พระองค์ไม่ได้เสด็จไปเพื่อแสดงอิทธิปาฏิหาริย์นะ พระองค์เสด็จไปเพื่อจะสั่งสอนนี่แหละ ข้อสามเนี่ยเรียกว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์คือเสด็จไปเพื่อจะให้อนุสาสนี อนุสาสนีก็คือคำสั่งสอน ธรรมะต่างๆ เนี่ยให้เรารู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรถูกอะไรผิด อะไรเป็นโทษอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นความเสื่อม อะไรเป็นความเจริญ ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เป็นต้น เรียกว่าประทานพระธรรมวินัยไว้ให้เรา
ทีนี้อนุสาสนีปาฏิหาริย์เนี่ยมันทำให้เกิดปัญญา เวลาสอนบอกเข้าใจแล้วโยมได้ปัญญาเนี่ยสิ่งนั้นที่เคย ไม่เคยทำได้ก็ทำเองได้ ที่ไม่เคยรู้ก็รู้ ไม่เคยเข้าใจก็เข้าใจ ฉะนั้นอนุสาสนีปาฏิหาริย์นี่ได้มาแล้วนี่เป็นของเราเองแท้จริง แต่อิทธิปาฏิหาริย์นี่ยังเป็นของผู้แสดงนั้น ใครแสดงก็เป็นของคนนั้น เราไปเห็นพระองค์หนึ่งหรืออะไรก็ตามว่ามีอิทธิปาฏิหาริย์เนี่ยก็อยู่ที่ของนั่นแหละไม่อยู่ที่เรา แล้วเราก็ไม่มีทางพิสูจน์จริงไม่จริงด้วย เราก็ต้องอาศัยท่านอยู่พึ่งท่านเรื่อยไป ทีนี้พระพุทธเจ้าสอนเราเพื่อให้เราทำได้เอง ให้เรารู้เข้าใจ มีปัญญา เพราะฉะนั้นพระองค์จึงบอกว่าอย่าติดอยู่แค่อิทธิปาฏิหาริย์ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องคอยไปอาศัยพระองค์ไปอาศัยผู้อื่นเรื่อยไป ถ้าท่านจะพึ่งตัวเองได้ท่านต้องมาเรียนคำสอนฟังอนุสาสนี แล้วก็ศึกษาให้เข้าใจ พอมีความรู้เกิดปัญญาคราวนี้ละก็รู้เองทำเองได้ คราวนี้ละก็เป็นประโยชน์ที่แท้จริง ฉะนั้นเราก็เป็นอิสระไม่ต้องพึ่งใคร ก็พึ่ง ตนเองได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ให้ติดอยู่แค่อิทธิปาฏิหาริย์แล้วก็อาเทสนาปาฏิหาริย์
อย่างที่วัดนี้ ท่านก็คอยจัดอยู่เสมอคือเรื่องการศึกษาเล่าเรียนให้พระสงฆ์และญาติโยมนี่ได้เล่าเรียนรู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้า พอเรารู้จักคำสอนรู้จักหลักธรรมวินัยแล้วทีนี้เราก็เดินหน้าได้ เรารู้ว่าควรประพฤติปฏิบัติอย่างไร ชีวิตจะดีงามอย่างไรจะก้าวหน้าได้อย่างไร เจริญทานอย่างไร ศีลอย่างไร ภาวนาอย่างไร ถ้าเป็นพระสงฆ์ก็เจริญไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร หรือจะจำเพาะลงไปสมถะวิปัสสนาเป็นอย่างไรเนี่ย เรารู้ด้วยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ทั้งนั้น แล้วเราก็ทำเองได้ พอทำเองได้เราก็เป็นเองแม้แต่ฤทธิ์ต่อไปก็ทำเองได้ ไม่ต้องไปคอยรอให้เขาทำฤทธิ์ให้เราละ ฉะนั้นต้องอาศัยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ทุกอย่างจึงจะสำเร็จแท้จริง ไม่อย่างนั้นเป็นของคนอื่นเท่านั้นเอง อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นของเขานะจะให้เป็นของเราได้ต้องอาศัยอนุสาสนีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าต้องการให้เรามีของเราเองพึ่งตัวเองได้เพราะฉะนั้นพระองค์จึงได้เสด็จไปเหน็ดเหนื่อยเพื่อจะให้อนุสาสนีปาฏิหาริย์เนี่ย แล้วก็ทรงยกย่องแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ทีนี้พอเราได้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ฟังธรรม รู้ธรรมทีนี้เราก็ขึ้นสูงได้แล้วทีนี้ ก็ขึ้นสูงไปในธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง เพราะฉะนั้นอาตมาจึงบอกว่าอย่าให้พระเจดีย์เป็นแค่ที่รวมศูนย์ต้องให้ขึ้นสูงด้วย ก็ขึ้นสูงไปในธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง พระพุทธเจ้าสอนธรรมะอะไรไว้เราก็มาประพฤติปฏิบัติตาม ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีมากมายเหลือเกินก็สอนเราไว้เนี่ยอย่างที่ญาติโยมรู้จักกัน อย่างชาวบ้านที่พูดเมื่อกี้เนี้ยบอกว่าให้บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา ถ้าเป็นพระก็ให้นิยมพูดเรื่องให้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา แต่อย่างพูดรวมกันก็คือว่าพอเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็เจริญในมรรคนั่นเอง มรรคมีองค์ 8 ประการเริ่มต้นว่ารู้ว่าอะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทางแค่นี้เริ่มต้นแล้ว ก่อนที่เราจะเดินเราจะก้าวหน้าไปไหน เราต้องรู้ก่อนว่าทางอยู่ที่ไหน แล้วทางไหนถูกทางไหนผิด ทีนี้ข้อแรกในมรรคก็คือ สัมมาทิฏฐิ ที่ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจความเห็นถูกต้อง ก็เห็นตั้งแต่ว่าอันไหนเป็นทางถูกอันไหนเป็นทางผิด ถ้าเป็นทางเสื่อมทางอบายอย่าไป ต้องไปทางที่เจริญก้าวหน้าไปทางสวรรค์ไปทางนิพพาน นี่แหละพอได้อนุสาสนีปาฏิหาริย์รู้ธรรมะเริ่มก้าวทันทีเลย ก้าวพ้นจากอบาย ทางอบายทางเสื่อมเวลานี้สำคัญมาก เราจะต้องระมัดระวัง สังคมปัจจุบันนี้มีเครื่องยั่วยวนล่อหลอกมากเหลือเกิน ถ้าประพฤติปฏิบัติไม่ดี ไม่รู้จักเรียนธรรมะอนุสาสนีไปติดหลงอิทธิปาฏิหาริย์ไม่พ้นอบายหรอก อบายมุข อบายมุขก็แปลว่าปากทางแห่งความเสื่อม เวลานี้มีมากเหลือเกิน สังคมไทยของเรานี้เสื่อมไปจนกระทั่งว่าเละเทะ จนกระทั่งว่ารัฐบาลทนไม่ไหว รัฐมนตรีมหาดไทยชื่อ ร้อยเอกปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ก็เลยต้องมาจัดระเบียบสังคมกันขึ้น มองในแง่หนึ่งก็ถือว่าท่านผู้นี้มีความคิดดี ตั้งใจดี หรือมองอีกแง่หนึ่งก็คือ สังคมไทยมันเละเทะเต็มทีทนไม่ไหวก็จำเป็นจะต้องมาจัดกันซะทีว่าจัดระเบียบสังคมเนี่ย จัดระเบียบสังคมก็คือเริ่มต้นจะให้สังคมไทยนี่พ้นอบายนั่นเอง อบายก็แปลว่าอะไรก็แปลว่าความเสื่อม อบายนี่แปลได้ว่า ความเสื่อมมันรวมไปถึงอะไรบ้าง ก็นรกไง เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน นี่พวกอบายทั้งนั้นเลย อบายภูมิ
ทีนี้ก่อนจะไปอบายภูมิอย่างนั้น มันก็มีอบายภูมิในโลกนี้ก่อน อบายภูมิในโลกนี้ก็เยอะเลย เวลานี้สังคมไทยมีอบายเยอะ อบายมุขไง ปากทางอบาย อบายน่ะตัวอบาย ทีนี้อบายมุขก็แปลว่า ช่องทางหรือปากทางไปอบาย ถ้าใครไปตกในอบายมุขก็เตรียม เตรียมตกช่องทางเข้าประตูอบายแล้ว ก็มีอะไรโยมก็คงจำได้ อบายมุข 6 เวลาเค้าจัดระเบียบสังคมเนี่ยเค้าจัดที่เนี่ย แก้ไขเรื่องอบายมุขก่อนมีอะไรบ้าง อบายมุข6 หนึ่งเรื่องสุรายาเสพติด เอาละสิ เรื่องที่หนึ่งเลยสังคมไทยกำลังจะแย่แล้วอบายมาแล้ว เนี่ยเราต้องพ้นอบาย ถ้าเรามาทางถูกนะโยมพ้นทันทีเลย ข้อที่หนึ่งสุรายาเสพติด ข้อสองอะไร ข้อสองการพนัน ยุ่งละ สังคมไทยก็เละเทะเต็มที ต่อไปสามอะไร เรื่องเที่ยวกลางคืน เที่ยวไม่เป็นเวล่ำเวลา แล้วก็ก่อการทะเลาะวิวาทบาดหมางเรื่องราวที่เป็นข่าวใหญ่โตในสังคมไทยเวลานี้ก็เป็นเรื่องนี้ เรื่องที่ไปเที่ยวไม่เป็นเวลาเที่ยวกลางคืนอะไรต่ออะไร ก่อเหตุทะเลาะวิวาทวุ่นวายกัน ต่อไปอะไรอีก อบายมุขข้อที่สี่ หมกมุ่นการบันเทิงเอาแต่การบันเทิงสนุกสนานมีเฮฮาสนุกสนาน สมัยก่อนเค้าเรียกว่ามีเถิดเทิงที่ไหนไปที่นั่นอะไรอย่างนี้นะ มีระบำมีฟ้อนรำมีดนตรีที่ไหนไปที่นั่น เวลานี้บันเทิงมันมาถึงในบ้าน มีวีดีโอ มีเกมส์อะไรต่างๆ คอมพิวเตอร์ ทีนี้ถ้าคนไม่มีสติ ไม่มีปัญญาก็หมกมุ่นอยู่ในการบันเทิงอะไรนี้ เรียกว่า ตกอบายเหมือนกัน แล้วอะไรอีกต่อไปคบคนชั่วเป็นมิตร คนชั่วนี่เป็นคนที่ติดยาก็พาเราอย่างนักเรียนเด็กๆ เดี๋ยวนี้ญาติโยมต้องระวังมากถ้าเป็นพ่อแม่ เด็กคบเพื่อนถ้าคบไม่ดีพาไปเสียหมด เพื่อนเป็นติดยาเสพติด ติดยาบ้าก็พาเด็กของเราไปติดยาบ้าด้วย เพื่อนติดการพนันก็พาไปเล่นการพนันด้วย เพื่อนเป็นนักเที่ยวนักตีกันก็ยกพวกตีกัน พาเราไปตีด้วย เพื่อนขี้เกียจก็พาขี้เกียจด้วย สารพัดแหละทุกอย่างเพื่อนพาไป เพราะฉะนั้นการคบเพื่อนนี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นอบายมุขที่สำคัญ แล้วข้อสุดท้ายก็คือเกียจคร้านการงาน ถ้าเด็กก็เกียจคร้านการเล่าเรียน อ้างโน่นอ้างนี่ ยังเช้าไปยังดึกเกินไปแล้วอะไรต่างๆ ยังหิวเกินไปหรือว่าอิ่มเกินไป รอหน่อยยังไม่ทำงานไม่ยอมเล่าเรียนไม่ยอมอ่านหนังสืออะไรต่างๆ เหล่านี้ อ้างไปเถอะ เกียจคร้านนี่เค้าเรียกอบายมุข ถ้าใครตกในหลุมอบายมุขแล้วก็ไม่เจริญชีวิตก็ตกอับ สังคมก็เสื่อมโทรม
ทีนี้สังคมไทยของเราเนี่ย มันถูกปล่อยให้หลงเพลิดเพลินอยู่ในอบายมุขมานาน จนเรียกว่าฟอนเฟะเพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องจัดระเบียบสังคมเสียที ทีนี้จัดระเบียบสังคมเนี่ยมันต้องจัดมาถึงในใจคน จัดมาถึงในครอบครัว จัดมาถึงในบ้าน ถ้าจัดระเบียบสังคมแล้วในบ้านไม่ร่วมมือครอบครัวไม่ร่วมมือเนี่ยพ่อแม่ไม่ช่วยดูแลเด็กให้ดีเนี่ยมันไม่สำเร็จ แล้วถ้าในใจไม่รู้จักจัดระเบียบชีวิตของตัวเองก็ไปไม่ไหว ฉะนั้นที่เค้าจัดระเบียบสังคมเนี่ยให้ข้างนอกเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้มันถลำเกินไปกว่านี้ แล้วก็จัดให้มันมีโอกาสที่จะฟื้นตัว แต่จะฟื้นตัวจริงมันต้องทำในระดับในบ้าน ในครอบครัวแล้วก็ในชีวิตในจิตใจของแต่ละคน ทีนี้ในจิตใจในชีวิตของแต่ละคนมันจะสำเร็จได้อย่างไรก็ต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ยมาจัด ตอนนี้เราก็ต้องมาเข้าสู่ทางเข้าสู่มรรค เราก็หนึ่งรู้ว่าทางถูกอยู่ที่ไหน ทางผิดอยู่ที่ไหน ทางผิดคือทางอบาย อบายมุขนั้นเราก็ไม่ไปละ ประเทศชาติของเราชีวิตของเราจะเจริญได้อย่างไร เราก็เอาทางนั้น เราก็เลี่ยงทางเสื่อมมาเข้าสู่ทางเจริญ นี่เรียกว่าปูพื้นฐาน ถ้าสังคมเรานี่มันมีแต่อบายมุขนะ มันเละเทะหมดน่ะเวลานี้จะไปไหนก็ไม่ปลอดภัย แค่คนติดยาบ้าเนี่ย เรานั่งรถไปในถนนเราก็ใจไม่ดีละ รถคันโน้นสวนมากินยาบ้ารึเปล่าใจไม่ดีละ หรือไปอยู่ไหน เดินไปที่เปลี่ยวๆ มีคนติดยาบ้า เกิดมาชิงทรัพย์เราอีก เอาอีกไปไหนก็ไม่ปลอดภัย อยู่บ้านคนเดียว บางทีมันเข้ามาตีจะชิงทรัพย์เอาอีก แต่ก่อนนี้พระนี้ถือว่าปลอดภัยที่สุดแล้วนะ เดี๋ยวนี้พระก็ไม่ปลอดภัยแล้ว อย่างที่ภูเขาที่อาตมาไปพักนั่น มีคนติดยาบ้าขึ้นไป มีกุฏิพระอยู่บนเขาสูงเนี่ย อ้าวพอดีว่าวันนั้นพระไม่อยู่ ถ้าอยู่ดีไม่ดีมันบีบคอเอาอะไรน่ะมันขึ้นไปแล้วก็ทางหน้าต่างเข้าไป พระไม่อยู่ไม่มีใครอยู่พระมันอยู่บนเขาทิ้งกุฏิไว้ แล้วมันก็เข้าไปนอนไปอยู่ในนั้น จนกระทั่งว่าคนที่อยู่ที่นั่นไปเห็นเข้าก็เลยไปเรียกบอกตำรวจมากันก็เลยไล่ไป แล้วเค้าก็หนีไป ทีนี้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย พระอยู่ในที่สงัดนึกว่าจะไปปลีกตัววิเวก จะบำเพ็ญสมณธรรมก็พลอยต้องหวาดระแวงไปด้วย เดินทางธุดงค์ เดินต่อไปไม่ปลอดภัย สังคมของเราเป็นอย่างนี้แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เพราะฉะนั้นไอ้พวกอบายมุขทำให้ชีวิตก็อับเฉา สังคมเราก็เสื่อมโทรมไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีความสะดวกสบายไม่คล่องจะทำอะไรต่ออะไรก็ติดขัดไปหมด ฉะนั้นเราจะทำอะไรให้มันเจริญก้าวหน้า เนี่ยสังคมของเราจะต้องไม่เบียดเบียนกัน ไม่ต้องหวาดระแวง ไม่มีเวรภัยมาก มีความปลอดภัยพอสมควร เราไปไหนมาไหนจะทำอะไรก็ได้สะดวก อย่างนี้ญาติโยมจะมาทำบุญทำกุศลเนี่ย ถ้าสังคมของเรามันเสื่อมโทรมลงไปอีกจนกระทั่งว่า ต้องระแวงตลอดเวลา จะชิงทรัพย์กัน จะแย่ง จะทำลายชีวิตเนี่ย ต่อไปจะไปวัดก็ไม่กล้าไปแล้ว ทิ้งบ้านไม่ได้อะไรอย่างนี้ ก็ติดขัดไปหมดเพราะฉะนั้นต้องแก้ไขขั้นต้นซะก่อน ก็คือจัดระเบียบสังคม กันอบายมุขเรื่องเลวร้าย เรื่องผิดศีล5 อะไรต่ออะไรเนี่ยให้หมดๆไป อย่างน้อยก็ให้มันพออยู่กันได้ เสร็จแล้วเราก็ก้าวกันต่อไปก็เข้าสู่มรรคเนี่ย โยมเดินหน้าในทาน ศีล ภาวนา เนี่ยตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกจัดระเบียบสังคมเนี่ยจัดสภาพแวดล้อมจัดพื้นที่ เหมือนอย่างว่าเรามีพระเจดีย์ตรงนี้ พื้นที่บริเวณนี้มันไม่รกรุงรัง มันเดินไปมาได้สะดวก สังคมของเราเรียบร้อยอย่างนี้ก็คือ จัดระเบียบสังคมขั้นต้น
ทีนี้ต่อมา เอาละก็มาถึงตัวฐานพระเจดีย์ละเข้าไปหน่อยเพราะสังคมนี้ก็คือ ชาวบ้านทั่วๆ ไปเนี่ยอยู่กันเรียกว่าพออยู่กันได้ มานั่งกันได้สงบไม่เบียดเบียนไม่เดือดร้อน ทีนี้ลึกเข้าไปในที่พระเจดีย์คืออะไรคือฐานพระเจดีย์ตัวพื้นเนี่ย พระเจดีย์จะตั้งอยู่ได้ก็ต้องอาศัยฐานเหมือนกัน ฐานนี่ก็คือ พุทธบริษัททั่วไปโดยเฉพาะญาติโยมทั้งหลายเนี่ย ถ้าเรามีศรัทธามีความเลื่อมใสในพระศาสนา รู้ธรรมรู้วินัยแล้วเนี่ย ก็จะกลายเป็นฐานพระเจดีย์เลยนะ เจดีย์นี่เหมือนกับว่าตัวพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้หรือไม่ต้องอยู่ที่ฐานด้วย ถ้าฐานแข็งแรงมั่นคงพุทธศาสนิกชนนี่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบอยู่ในทาน ศีล ภาวนา แล้วก็มาห่างเหินจากอบายมุขไม่มีความเลวร้ายไม่เบียดเบียนกันนะ มีศรัทธาในพระรัตนตรัยก็เหมือนเป็นฐานพระเจดีย์เนี่ยตั้งอยู่ได้แล้วเรียบร้อย เอาละทีนี้เราก็จะขึ้นสูงได้ต่อไปก็ขึ้นสูง องค์พระเจดีย์เนี่ยท่านทำไว้เนี่ยมีความหมาย เป็นสัญลักษณ์ ฐานพระเจดีย์นี่ก็เป็นเหมือนพุทธบริษัทชาวโลกคนที่เข้ามสู่ทางแล้ว มาอยู่ในระเบียบเรียบร้อย ต่อไปก็ถ้าดูที่พระเจดีย์นี่ก็เหมือนกับ คนที่ก้าวไปในภพในภูมิต่างๆในภพในภูมิต่างๆ เนี่ยมีตั้ง 31 ภูมิแต่รวมแล้วเนี่ยมี 3 ชั้นเค้าเรียกว่าภูมิ 3 มี กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ หรือเรียกเต็มว่า กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ กามาวจรภูมิหรือกามภูมิก็พวกที่ยังมีกามยุ่งกับกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเนี่ย พวกนี้ก็ได้แก่ ตั้งแต่พวกมนุษย์พวกเทวดาอะไรต่างๆ เหล่าเนี้ยยังเสวยกาม ยังมุ่งหาความสุขอะไรต่างๆอยู่ ทีนี้ก็พระเจดีย์นี่ก็บอกให้เราก้าวไป ก้าวไปขั้นที่หนึ่งก็จะเป็นขั้นกามภูมิ ในขั้นกามภูมิเนี่ยจะอยู่ได้ดียังไงต้องมีศีล ถ้ามีศีลแล้วก็พออยู่กันได้ไม่เบียดเบียนกัน ถ้ากามภูมิเนี่ยถ้าแต่ละคนก็มุ่งหากามคุณ รูป รส กลิ่นเสียง หาเงินทองเป็นต้นเนี่ย ถ้ามันไม่ศีลมันอยู่ไม่ได้มันเบียดเบียนกันเดือดร้อนเพราะฉะนั้นชั้นกามนี่ต้องเน้นเรื่องศีลให้มีศีล ก็ประพฤติดีเว้นการเบียดเบียนกัน เว้นปาณาติบาต อทินนาทาน ไม่ฆ่าฟันไม่ทำลายชีวิตกัน ไม่ลักละเมิดทรัพย์สินขโมยไม่ปล้นอะไรกัน ตลอดจนกระทั่งไม่ติดยาเสพติดเนี่ย ไอ้ขั้นนี้และขั้นกามเนี่ย พอเว้นจากพวกเวรภัยต่างๆ มีศีล 5 ก็อยู่ได้เพราะฉะนั้นก็เน้นศีล ต่อไปสูงขึ้นไปอีกขั้นรูปาวจร แล้วก็ต่อขึ้นไปอีกสูงขึ้นไปอีกก็ขั้น อรูปาวจร สองขั้นนี้พวกนี้บำเพ็ญฌาน จิตเป็นสมาธินิ่งแน่วพวกนี้ก็เป็นขั้นสูงขึ้นไประดับนี้ต้องเน้นเป็นเรื่องขั้นสมาธิ เนี่ยเรื่องกามาวจรนี่เน้นศีล พอรูปาวจร อรูปาวจรนี้เป็นเรื่องสมาธิแล้ว ไปเรื่องฌานอรูปฌาน ฌานต่างๆ แต่พุทธศาสนาบอกว่าไม่พอ เพราะฉะนั้นสูงขึ้นไปนี่พระพุทธเจ้ามาอุบัติ กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร เค้ามีอยู่ก่อนแล้วเขาบำเพ็ญกันไปได้ฌาน พวกฤาษี ชีไพรได้ฌาน 8 มีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้ามาประกาศพุทธศาสนาขึ้นมาเหนือขึ้นไปเลยชั้นรูปาวจร อรูปาวจร มีพระแท่นบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าให้ดูที่พระเจดีย์เนี่ย
พระเจดีย์เหนือสามชั้น ที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจรแล้วก็มีบัลลังก์พระพุทธเจ้า ที่เป็นสี่เหลี่ยมที่พระพุทธเจ้าประทับ อันนั้นให้เข้าใจว่า อันนั้นคือเป็นสัญลักษณ์แทนที่พระพุทธเจ้าประทับ พระพุทธเจ้ามาประทับประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้เราเหนือขึ้นไปกว่า รูปาวจร อรูปาวจรแล้ว แล้วเหนือพระพุทธเจ้าก็มีฉัตรเป็นเครื่องหมายบอกให้รู้นะ ฉัตรก็ยอดแหลมเป็นธรรมดาก็กลายเป็นว่าเหมือนยอดพระเจดีย์ขึ้นไป ทั้งหมดนี่ตั้งแต่พระพุทธเจ้าขึ้นไปเหนือ รูปาวจร เหนือภูมิต่างๆ ก็เรียกว่าโลกุตรภูมิละ เนี่ยตอนนี้เป็นโลกุตระเหนือโลกแล้ว เหนือโลกแล้วคราวนี้เป็นขั้นอะไร เป็นขั้นปัญญาเน้นปัญญา ขั้นกามาวจรเน้นศีล รูปาวจร อรูปาวจรเน้นสมาธิ พอโลกุตระนี่เน้นปัญญา ต้องอาศัยปัญญาจึงสว่างมองเห็นหมด พอโยงขึ้นไปบนพระเจดีย์สูงขึ้นไป คราวนี้มองได้กว้างไกลเห็นทั่วเห็นรอบหมดเลยใช่ไหมเนี่ย ทีนี้เราต้องก้าวขึ้นไป พระเจดีย์ก็บอกเราอย่างนี้คือขึ้นไปถึงยอดกลมๆ นั่น บางท่านก็อธิบายว่านี่คือสิ่งทีพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า สุญญตา ภาวะที่เป็นความว่าง ที่จิตใจว่างจากกิเลส ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะแล้ว จิตใจสว่างด้วยปัญญาเป็นดวงที่สว่างมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าดวงนี้คือดวงนามธรรมนะเป็นดวงปัญญา ปัญญาที่สว่างไสวเป็นโพธิญานนี่แหละ เป็นสิ่งสำคัญ พวกเราทั้งหลายเนี่ยจะต้องก้าวไปในธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าต้องก้าวให้สูงอย่ามารวมอย่างเดียว เนี่ยวัดมีประโยชน์ที่ทำให้เราเนี่ยมีความสามัคคี มีศรัทธามารวมกัน มีกำลังเข้มแข็ง แต่พอเรามีกำลังเข้มแข็งแล้วเนี่ย เราต้องก้าวให้สูงด้วยต้องขึ้นสูงต่อไปก้าวไปในธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วชีวิตของเราก็เจริญงอกงาม สังคมของเราก็เจริญก้าวหน้าได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ในพระมหาเจดีย์ศรีประจันต์ พระมหาเจดีย์นี้เป็นสัญลักษณ์ให้ความหมายทางธรรมะมากมาย โยมมองแล้วก็น้อมเข้ามาในตน ระลึกถึงธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยว่าเอาละนะเราต้องชำระพื้นที่รอบพระเจดีย์ให้ดีก็คือสังคมนี้แหละ ให้มันปลอดภัย ให้มันมาประชุมได้สะดวกไม่ต้องหวาดระแวง นี่ก็คือจัดระเบียบสังคมให้ดีไม่ให้มีอบายมุข ให้มีเริ่มเข้าสู่ศีล5 ต่อมาเราก็มีความมั่นคงในพระศาสนามากขึ้นก็มาเป็นฐานพระเจดีย์กันนะ พอเป็นฐานพระเจดีย์มั่นคงแล้วก้าวขึ้นละทีนี้ ก้าวให้ได้กามาวจรก็ต้องให้ได้เป็นกามาวจรที่ดี ให้มีศีลเจริญงอกงาม กามาวจรนี่มันมีทั้งสุคติ ทุคติ ถ้าเป็นทุคติก็ลงไปอบายเมื่อกี้ที่ว่า นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน ถ้าขึ้นสูงก็เป็นเค้าเรียกว่า กามาวจรสุคติ ก็สุคตินี่ก็มี มนุษย์ เป็นต้นแล้วก็พวกเทวดาต่างๆ เป็น ฉกามาวจร สวรรค์ สวรรค์ชั้นต่างๆ พวกจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี เนี่ยทั้งหมดเนี่ยเรียกว่าสวรรค์ชั้นกามาวจร จะไปกามาวจรที่ดีได้ก็ต้องมีศีล ต้องประพฤติตัวให้ดีไม่เบียดเบียนกันต่อไปก็ก้าวไปสู่ รูปาวจร อรูปาวจรก็บำเพ็ญหนักในสมาธิ แล้วก็ขึ้นสู่โลกุตระก็หนักในปัญญาเน้นปัญญา ก็จบไปถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนาได้ เนี่ยก็คือสู่ยอดพระเจดีย์เลย คราวนี้ก็เป็นอิสระไม่ต้องกลัวไม่ต้องมีอะไรที่มารกรุงรังแล้ว ขึ้นไปอยู่ในนั้นว่าง สว่าง โยมอยู่ข้างล่างนี้เดี๋ยวอันโน้นมาโดนอันนี้มาต้องคอยระวัง ขึ้นไปบนข้างบนแล้วก็สบาย โล่งโปร่ง แต่ทั้งหมดเนี่ยนะพระเจดีย์นี่ตั้งอยู่ได้อย่างไร เราจะขึ้นไปที่นั่นได้อย่างไรนี่สำคัญ โยมต้องมีรากด้วยใช่ไหม ต้องมีรากฐานพระเจดีย์ตรงนี้ละที่สำคัญ ไม่งั้นเจดีย์ตั้งไม่อยู่หรอกแล้วก็ขึ้นไม่ได้ด้วย นี่อะไรคือรากฐานพระเจดีย์ก่อนที่จะสร้างพระเจดีย์นี่ต้องวางรากก่อน
พระพุทธเจ้าจึงตรัสบอกไว้ วันนี้เรามาหารากพระเจดีย์กันนิดเดียวเดี๋ยวจบละ ให้โยมตอบให้ได้ว่าอะไรเป็นรากพระเจดีย์นะ วางราก วางฐานให้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่เราถือกันมาเราบอกว่า เราแบ่งพระศาสนาเนี่ยเป็นสามส่วนเรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ทุกท่านคงเคยได้ยิน เวลาเราเรียกเต็มเราเรียกว่า สัทธรรม3 สัทธรรมคำสอนหลักคำสอนที่แท้ของพระพุทธเจ้าเนี่ยมี 3 อย่าง หนึ่งปริยัติสัทธรรม สองปฏิบัติสัทธรรม สามปฏิเวธสัทธรรม อันนี้ปริยัติคืออะไร ปริยัติก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราควรจะเล่าเรียน ถ้าเราไม่รู้เราก็ไม่รู้ว่าปริยัติ คืออะไร เราก็ไม่รู้ว่า ทานคืออะไร ศีลคืออะไร ภาวนาคืออะไร ศีลคืออะไร มรรคคืออะไร สัมมาทิฏฐิคืออะไร ไม่รู้สักอย่าง ศรัทธาก็ไม่รู้ ศรัทธาถูกผิดก็ไม่รู้เพราะฉะนั้นต้องมีปริยัติ ปริยัติก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เราเอามาเล่าเรียนพอเรียนแล้วก็รู้เนี่ย ปริยัตินี่เป็นอันที่หนึ่ง จากปริยัตพอรู้แล้ว ถ้าเรียนรู้แล้วไม่ปฏิบัติก็เป็นหมันซะอีก ไม่มีผลไม่ได้ประโยชน์เรียนเปล่า เค้าเรียกว่าเป็นใบลานเปล่า ทีนี้พอเรียนปริยัติแล้วเอามาปฏิบัติก็ต้องเอาไปใช้พอเรารู้แล้ว อะไรคืออะไร อะไรเป็นทาน อะไรเป็นศีล อะไรเป็นภาวนา ทานจะต้องให้อย่างไรจึงจะถูกต้อง ทานอย่างไรผิด ให้ทานไม่เป็นก็ผิดไม่ใช่สักแต่ว่าทานน่ะ เพราะฉะนั้นปริยัติก็ช่วยให้ปฏิบัติถูกต้อง แต่ถ้าปฏิบัติโดยที่ไม่มีปริยัติก็ปฏิบัติเหมือนคนเดินทางโดยไม่รู้แผนที่ ไม่รู้ที่ไปที่มาพอเห็นทางก็เดินเลย เดินบางทีไปลงเหวเลยนะเดินผิดเดินตกหลุม หรือเดินพลาดไปอย่างน้อยก็ไปไม่ถึงที่ ผิดทางแทนที่ไปเมืองสุพรรณก็ไปเมืองเชียงใหม่ อะไรไปโน่นหรือไปนราธิวาสผิดทาง เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้เหมือนกันทางไหนไปไหน เพราะฉะนั้นคนที่จะปฏิบัติก็คือคนเดินทางต้องรู้ปริยัติ ต้องอาศัยกัน คนที่รู้ปริยัติต้องปฏิบัติ คนที่จะปฏิบัติต้องรู้ปริยัติ ทีนี้พอปฏิบัติโดยรู้ปริยัติคราวนี้ก็ได้ผลก็บรรลุผล ผลสำเร็จเรียกว่าปฏิเวธ ก็ได้มรรคได้ผล ได้นิพพานอย่างน้อยก็เดินเข้าสู่ทางก้าวหน้าไปในทาง แทนที่จะไปอบายก็พ้นอบายไปสู่ทางสุขคติ โลก สวรรค์ นิพพานไป อันนี้ก็เป็นด้านระดับสามเรียกว่า ปฏิเวธสัทธรรม เป็นอันว่ามีสามเนี่ย ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ทีนี้ตอนนี้เราจะมาสร้างพระเจดีย์เราจะขึ้นพระเจดีย์ เราจะขึ้นไปถึงโลกุตรภูมิ เราจะได้ปัญญาอะไรเนี่ยเป็นขั้นที่ปฏิบัติและก็ปฏิเวธแล้ว มันต้องอาศัยปริยัติด้วย ท่านก็เลยบอกว่า ปริยัตินี่แหละเป็นรากแก้วของพระศาสนา เพราะฉะนั้นเราจะมีต้นไม้เราก็ต้องมีรากแก้วที่มั่นคง เรามีพระเจดีย์เราก็ต้องมีรากฐาน ฉะนั้นก็เลยมีปริยัติ ปริยัติเวลานี้เราก็เรียกกันว่าการศึกษาเล่าเรียน เพราะฉะนั้นโยมอย่าเว้นไม่ได้ต้องมีให้ครบ เพราะฉะนั้นเราต้องมีให้ครบเวลาเรามีการทำบุญทำกุศลเนี่ย มีบุญกิริยาวัตถุ ก็ต้องมีทานศีลภาวนา ในภาวนานั้นมันก็แยกเป็นจิตตภาวนา ปัญญาภาวนา จิตตภาวนาก็คือด้านเจริญจิตใจ ทำจิตใจให้เจริญงอกงาม เรียกว่าพัฒนาจิตใจและก็พัฒนาปัญญา เรียกว่า ปัญญาภาวนา ก็มีการฟังพระธรรมเทศนา เป็นต้น การฟังธรรมเทศนานี้เป็นการภาวนาในส่วนของปัญญาภาวนาเป็นขั้นง่ายๆ ก่อนที่เราจะไปพิจารณาไตร่ตรอง สืบสาวหาเหตุปัจจัยเป็นต้น มีธรรมวิจัย วิจัยธรรมได้ด้วยตนเองได้เนี่ย เรามาฟังธรรมซะก่อนให้รู้หลัก รู้เกณฑ์ รู้แนวซะก่อน พอเรารู้จากพระธรรมเทศนาก็ได้ปัญญาขั้นต้นเนี่ย เรามีปัญญานี่ขั้นต้นเนี่ย แล้วทีนี้เราก็ไปไตร่ตรองพิจารณาอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ไตรลักษณ์ อะไรทั้งหลายมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดดับเป็นอย่างไร เป็นทุกข์ทนอยู่ไม่ได้อย่างไร มันเป็นอนัตตาอย่างไร มันเป็นปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นโดยอาศัยซึ่งกันและกันอย่างไร เพราะอันนี้เกิดขึ้น อันโน้นจึงเกิดขึ้น อันนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเนี่ย ถ้าโยมจะไปพิจารณาให้เกิดปัญญาอย่างนี้ ก็ตอนแรกเราก็ไปเรียนรู้หลักซะก่อนมาฟังธรรม เรียกว่า ธรรมเทศนา ยังมาฟังวันนี้ก็เป็นบุญในส่วนภาวนาอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นส่วนนี้ก็เริ่มต้นมาที่อาศัยปริยัติเนี่ย พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาก็ทรงมาให้ปริยัติเราไว้ ถ้าเราไม่เอาปริยัติมาเรียนนี่ก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้ประโยชน์จากพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าทางอุตสาหะสั่งสอนมา 45 ปีเราไม่ฟังซะแล้ว พระองค์เสด็จไปโน่นไปนี่เพื่อจะให้เราฟัง เสร็จแล้วเราฟังไหม เราปิดหูซะนี่ เดี๋ยวนี้ ก็คือไม่อ่านไม่ฟังพระเทศน์ ไม่ฟังธรรม ไม่อ่านศึกษาธรรมวินัย มันก็เลยไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีปริยัติ
ทีนี้วัดนี้นั้นที่ท่านสร้างพระมหาเจดีย์ขึ้น ท่านพระครูโสภณสิทธิการเนี่ยท่านเป็นนักการศึกษานะ ท่านเห็นความสำคัญของปริยัติ เพราะฉะนั้นนั่นคือท่านจับที่รากแก้วเลย รากแก้วของพระศาสนาตัวรากฐานของพระเจดีย์ แต่ก่อนที่จะสร้างพระเจดีย์นี้เราก็รู้กันแล้วว่าต้องสร้างรากก่อนแล้ว วางรากวางฐานเนี่ย ท่านก็พยายามวางรากวางฐานมานานให้ญาติโยมได้ศึกษาเล่าเรียน สร้างพระสร้างเณรขึ้นมา มีบวชเณรภาคฤดูร้อน มีการเดี๋ยวนี้มีการจัดตั้งสำนักเรียนบาลีแล้ว ได้ทราบว่าตั้งมา 3 ปีแล้วแต่ถึงตอนไม่ตั้งก็พระเณรของท่านก็เรียนกันไปได้ก้าวหน้า ไปได้ประโยคเก้ากัน ไปเรียนที่อื่นก็ก้าวหน้าประสบความสำเร็จแล้วก็กลับมาช่วยท้องถิ่น กลับมาช่วยชาวบ้าน กลับมาช่วยลูกหลานญาติโยมอีกเนี่ย มาช่วยสอนให้รู้หลักรู้ธรรมวินัยให้รู้จักทางที่ถูกทางให้พ้นจากอบาย มาช่วยกันทำสังคมของเราให้ดี ให้มีระเบียบไม่เป็นสังคมที่ไปอบายอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็คือมาช่วยกันด้วยการศึกษา ทีนี้การศึกษานี่ก็คือการที่จะเริ่มสร้างวางรากฐานของพระเจดีย์ให้เรานี่ก้าวขึ้นสูงไปในพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะฉะนั้นการศึกษานี่เราจะต้องตั้งใจจัดและบำรุงกันให้อยู่ ให้มีอยู่เสมอและเจริญแพร่หลายออกไป ก็เป็นที่น่าอนุโมทนาที่วัดเสือ หรือวัดพยัคฆารามเนี่ยเป็นวัดที่เอาใจใส่อุทิศตัวเรื่องการศึกษาอย่างยิ่งทำมานานแล้ว แล้วอย่างที่บอกน่ะก็ก้าวมาในการศึกษาเรื่อยจากการที่บวชแค่เณรภาคฤดูร้อน ต่อมาก็มีการจัดเรียนกันจริงจังจนกระทั่งไม่เฉพาะนักธรรมเท่านั้นเรียนบาลีแล้วด้วย ทีนี้ยังให้การศึกษาแก่ญาติโยม การศึกษาต่างๆ นี้ก็มีตั้งแต่ชาวบ้าน ชาวบ้านก็เรียนเรื่องวิชาชีพ เกี่ยวกับการการเกษตร เป็นต้น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยชีวิตประจำวัน คนเรามีการศึกษาหลายอย่างเราต้องเรียนให้ครบ หนึ่งก็ชาวบ้านก็เรียนวิชาทำมาหากิน ต่อจากวิชาทำมาหากินก็ต้องเรียนรู้ด้วยว่าที่เราเป็นอยู่ประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไรถูกอย่างไรผิด ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทำมาหากินอย่างเดียว ดีไม่ดีก็ได้แต่เบียดเบียนกันอยู่กันไม่เป็นสุขก็ต้องรู้ด้วยอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นการเบียดเบียนตน อะไรเป็นการเบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรไม่ให้เป็นการเบียดเบียนสังคม ไม่ก่อความเดือดร้อนให้สังคมอยู่กันเรียบร้อยก็ต้องเรียนรู้เรื่องนี้ด้วย เรียนรู้หลักธรรมคำสอนให้รู้ถูกรู้ผิด รู้คุณรู้โทษ รู้บาปรู้บุญ ต่อมาก็รู้หลักความเจริญความเสื่อมอีกเพื่อจะก้าวหน้าต่อไปตอนนี้ที่สำคัญ เราก็ก้าวหน้าคนก็ก้าวหน้าในชีวิตการงานต่างๆ เขาไปเรียน ไปรับราชการ เขาก็ก้าวหน้าไป แม้อีกด้านหนึ่งทางจิตใจ ทางชีวิตก็ก้าวหน้าในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าก้าวขึ้นสูงขึ้นไปในธรรมะของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่กามาวจรภูมิ ไป รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ จนกระทั่งโลกุตระเนี่ยก็จะสำเร็จได้ด้วยมีการศึกษานี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็มาสรุปกันที่ว่า เรามาทำบุญทำกุศลกันเนี่ย ทำบุญเนี่ยมีหลายอย่าง ที่เรากำหนดเอาการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอันนี้เป็นข้อปรารถและเป็นศูนย์กลางให้ แต่ว่านอกเหนือจากนั้นเนี่ยเราทำความดีเราทำบุญอีกหลายอย่าง เพราะฉะนั้นญาติโยมหลายท่านจึงได้มาบวชชีพราหมณ์กัน มาเข้าเนกขัมมะ มาปฏิบัติ มานั่งสวดมนต์ เจริญภาวนาอะไรต่ออะไรรับศีล ฟังธรรมแล้วก็เจริญกรรมฐาน จิตตภาวนา ปัญญาภาวนาเนี่ย ทั้งหมดเนี่ยมีรากฐานมาจากปริยัติการศึกษาทั้งนั้นเลย ท่านสอนให้โยมรู้จักรู้เข้าใจวิธีปฏิบัติ ทีนี้ทั้งหมดนี่เรามาทำบุญกัน วันนี้ก็มีทั้งทานการบริจาค การให้การเลี้ยงพระ เป็นต้น แล้วก็มีการเจริญศีล สำหรับโยมที่เจริญเนกขัมมะนี่ก็ชัดอยู่แล้วตลอดเต็มที่ทั้งศีล5 แล้วก็ยังศีล 8 ถ้าใครมีอุตสาหะจะเจริญศีล 10 ก็ยังได้ เนี่ย แล้วก็ภาวนาก็อย่างที่บอกแล้วก็ต้องเจริญสมถภาวนา ปัญญาภาวนา วิปัสสนาไปแต่ว่าทุกคนเนี่ยต้องใช้ทั้งนั้นแหละก็รวมแล้วก็อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา เราจะก้าวไปในพระศาสนา เมื่อก้าวไปในพระศาสนาได้อย่างถูกต้องเนี่ยไม่ว่าไปทางไหนดีทั้งนั้นเลย ถ้าเราปฏิบัติถูกรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เรียนปริยัติถูกต้องเนี่ยเอาไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตได้ทุกอย่าง ประกอบอาชีพการงานก็เจริญก้าวหน้า ไปรับราชการก็อยู่ได้ดี ไม่เฉพาะชีวิตตัวเองเจริญดีเท่านั้น สังคมก็เจริญงอกงาม ประเทศของเรานี่เวลานี้เราก็บอกว่ากำลังพัฒนา บางทีถ้าเรียกไม่สุภาพเค้าเรียกว่าด้อยพัฒนา เดี๋ยวนี้เค้าเรียกให้สุภาพหน่อยก็เรียกว่ากำลังพัฒนา เราก็ควรจะมีสติเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเราทำไมมามัวยอมอยู่แค่นี้ เราจะมายอมเป็นด้อยพัฒนา กำลังพัฒนาได้อย่างไร พระพุทธเจ้านี่เป็นผู้ที่สอนเรื่องภาวนามาอย่างดีคือภาวนาก็คือพัฒนา เพราะฉะนั้นชาวพุทธนี่เป็นนักพัฒนาแล้วมายอมตัวเป็นผู้ด้อยพัฒนาได้อย่างไร ชาวพุทธนี่แหละเป็นผู้ที่พัฒนาอย่างสูงที่สุดแล้ว ภาวนากาย พัฒนากาย พัฒนาศีล พัฒนาจิต พัฒนาปัญญาสูงสุดจึงจะเป็นชาวพุทธได้ ถ้าคนไม่พัฒนานี้จะเป็นชาวพุทธได้อย่างไร เพราะความเป็นชาวพุทธนี่อยู่ที่ได้ภาวนาก็คือพัฒนาแล้ว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็คือผู้ที่ได้พัฒนาแล้วอย่างดีครบถ้วนสมบูรณ์ ฉะนั้นการที่ประเทศของเรามารับยอมรับชื่อว่ากำลังพัฒนานี่แสดงว่า เราเหมือนกับบอกตัวเองว่าฉันนี่เหมือนกับจะสลัดความเป็นชาวพุทธหรือว่าไม่ได้เป็นชาวพุทธจริงนั่นเอง ถ้าเป็นชาวพุทธจริงนี่ต้องเป็นคนที่พัฒนาดี ฉะนั้นเตือนตัวเองเลยต่อไปนี้ให้พระเจดีย์เนี่ยมาเป็นเครื่องเตือนสติญาติโยมชาวพุทธชาวศรีประจันต์ชาวสุพรรณบุรี และชาวไทยทั้งหมดเนี่ย ว่าเราจะต้องพัฒนาตัวเองให้ถูกต้อง แต่พัฒนาตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่พัฒนาผิดๆ อย่างชาวบ้านชาวเมืองน่ะ แม้แต่ฝรั่งก็พัฒนาผิดๆ เวลานี้รู้ตัวแล้ว เค้าเลยบอกว่าพัฒนากันมาเป็นร้อยปีในที่สุดมาจบลงที่ไหน เวลานี้ฝรั่งก็ตามไทยก็ตามรู้แล้วบอกว่าจบที่พัฒนาไม่ยั่งยืนว่างั้น ก็จบที่นี่เองพัฒนาที่บ้านเมืองเค้าทำกันมาเนี่ย จบที่พัฒนาไม่ยั่งยืนก็หมายความว่ามันไม่สำเร็จ คือไม่พัฒนา พัฒนาไปสู่ความล่มจม ว่างั้นนะ
ฉะนั้นชาวพุทธเราเนี่ยอย่าไปหลงการพัฒนาผิดๆ ของชาวบ้านของฝรั่งนะ ฝรั่งพัฒนามาผิดแล้วพัฒนาไปสู่การไม่ยั่งยืน เวลานี้ยังหาทางออกไม่ได้เลย ก็ยังหาทางออกอยู่ ชาวพุทธจะต้องเป็นผู้นำในการพัฒนาที่ถูกต้อง เรามีหลักการพัฒนาอยู่แล้ว ท่านเรียกว่า กายภาวนา ศีลภาวนา จิตตภาวนา ปัญญาภาวนา แล้วเวลาแปลก็แปลว่า พัฒนากาย พัฒนาศีล พัฒนาจิตและพัฒนาปัญญาใครพัฒนาครบสี่ด้านนี่เรียกว่า 1.ภาวิตกายะ หรือ ภาวิตกาย มีกายที่พัฒนาแล้ว 2. ภาวิตศีล มีศีลที่พัฒนาแล้ว 3. ภาวิตจิต มีจิตที่พัฒนาแล้ว 4. ภาวิตปัญญา มีปัญญาที่พัฒนาแล้ว ใครมีภาวิต 4 ประการนี้ท่านว่าเป็นพระอรหันต์ นี่แหละโยม พุทธศาสนานี่เป็นศาสนาแห่งการพัฒนาแต่เป็นการพัฒนาที่ถูกต้อง ผู้ที่พัฒนาแล้วสมบูรณ์ก็เป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นญาติโยมต้องสอนลูกสอนหลานและสอนตัวเองด้วยว่าให้พัฒนากันให้ถูกต้อง เรามีหลักของการพัฒนาอยู่แล้ว วันนี้อาตมาก็มาเข้าที่ภาวนา แต่พัฒนาสี่อย่างนี่ก็อยู่ที่ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ รายละเอียดเป็นอย่างไรวันนี้ไม่ต้องพูดกันละ เพราะโยมที่ฟังกันมาแล้ว ก็เป็นแนวให้โยมไปฟังศึกษาต่อไปพูดมาก็เป็นเวลาเรียกว่า พอสมควร หรืออาจจะเกินสมควรไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยคิดว่าน่าจะได้จบ ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่าน ที่ได้มาตั้งใจร่วมบุญร่วมกุศลในวันนี้ในเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่บอกแล้วแต่ต้น ว่ายิ่งใหญ่ทั้งในทางท้องถิ่นและยิ่งใหญ่ทั้งในกาลเวลา หรือพูดรวมๆว่าใหญ่ในทางกาละและเทศะ เมื่อเป็นการใหญ่อย่างนี้แล้วเราก็ต้องให้มี ความหมายต่อชีวิตของเราอย่างแท้จริงอย่าให้ผ่านไปเปล่า จะไม่ให้ผ่านไปเปล่าก็ให้เป็นเครื่องเตือนสติเรานั่นเอง โดยเฉพาะมีมหาเจดีย์ปรากฏเป็นรูปธรรมเห็นเด่นชัดอยู่ในบัดนี้แล้ว แล้วจะเป็นอนุสรณ์ที่ยั่งยืนสืบไป ตอนที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จ ก็ได้นำกล่าวคำอธิษฐานได้ยินว่า โยมไม่ค่อยได้ยินกัน ที่จริงกล่าวบอกให้ว่าตาม เนี่ยในคำอธิษฐานนั้นหวังว่านั่นก็ทางวัดท่านอาจจะแจกโยมอีกทีหนึ่ง คืออาตมาทำมาแค่ยี่สิบแผ่น ทีนี้กะว่าเลยว่าให้ว่าตาม ทีนี้คำอธิษฐานเนี่ยถ้าแจกโยมไปแล้ว เวลาโยมบูชาพระธาตุเนี่ยกล่าวตามนั้นได้เลย จะกล่าวทั้งหมดหรือตัดตอนท้ายก็ได้ เพราะว่าในนี้มีหลายคาถา เป็นคาถาทั้งหมดเท่าไหร่เนี่ย หลายคาถาโยมอาจจะเอาเพียงตอนใดตอนหนึ่งอ่านให้โยมฟังอีกทีก็ได้ ตอนต้นก็ว่านะโม ตั้งนะโม 3 จบ อาตมาจะลองอ่านให้โยมฟังอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเมื่อกี้บอกว่าไม่ค่อยได้ยินกัน บอกว่า ฐาตุ วิลาสะมาโนยัง โตสะยันโต มะหาชะเน เกลาสะมังคะลัตถูโป อะจะโล สุปปะติฏฐิโต มะหาเจติโย โสภันโต มะหาชะนะนิเสวิโต พะหู ชะนา สะมาคัมมะ นานาเทสา สะมาคะตา ปูเชยยุญจะ อิมัง ถูปัง สัพพะทาปิ อะตันทิตา อัปปะมัตตา สะทา สันตา กะโรมะ กุสะลัง พะหุง อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส กะตะปุญญานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา เนี่ยคาถานี่คาถาอธิษฐานตอนที่บรรจุพระสารีริกธาตุโยมจะได้ไปแล้ว เอาตัดตอนก็ได้ถ้าท่องไม่ไหวเอาแค่ท้ายก็ได้ ท้ายมีนิดเดียว อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส กะตะปุญญานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา เท่านี้แหละ ถ้าโยมว่าได้หมดก็ยิ่งดี เวลาบูชาพระธาตุก็ว่าจบเลยไหว้พระธาตุไหว้พระเจดีย์เนี่ย ในคาถานี้จะบอกถึงว่าขอให้พระเจดีย์มหาสถูปที่เป็นมงคล และบอกว่าสีขาวด้วยนะในนี้บอก สีเกลาสะ สีขาวผ่องดั่งเขาไกรลาสว่างั้นนะ เนี่ยขอให้พระเจดีย์สถูปนี้สถิตย์อยู่มั่นคงสืบต่อไปเป็นที่มาชุมชุมของมหาชน เป็นที่งดงาม พอดีว่าได้ใช้ มหาเจติโย เป็นชื่อของมหาเจดีย์นี้ก็เลยมีอยู่ในคาถานี้ด้วย เป็นชื่อของพระเจดีย์แล้วก็มี โสภันโต โสภันโตนี่ก็จะเป็นคำบอกว่า พระเจดีย์นี้งดงาม แต่ว่าที่บอกพระเจดีย์งดงามเนี่ยมีความหมายมาตรงกับท่านฉายาท่านพระครู โสภันโต ก็คือจุดต้นในนามฉายาของท่าน ขออภัยไม่ใช่ฉายา ในสมณศักดิ์ของท่านในพระราชทินนามสมณศักดิ์โสภณสิทธิการ โสภันโต แล้วก็มหาชน ชนต่างๆ จะมาสมาคมจากถิ่นต่างๆ นานาเทสาจะมาประชุมกัน พึงบูชาพระสถูปนี้ตลอดกาลทุกเมื่อเรื่อยไป แล้วเราทั้งหลายเนี่ยก็จงมีความไม่ประมาทก็ทำกุศลกันให้มาก แล้วก็ข้าพเจ้าขอน้อมไหว้นมัสการพระธาตุ ขอน้อมไหว้พระธาตุสิ่งสักการะบูชาพร้อมบริบูรณ์ทั้งปวงและด้วยอานุภาพของบุญที่ได้บำเพ็ญแล้วนี้ ขอความสวัสดีจงมีทุกเมื่อเทอญ นะเนี่ยโยม อันนี้เป็นคำอธิษฐานที่ให้โยมว่าตามเมื่อกี้ แล้วโยมก็คิดว่าหลวงพ่อท่านอาจจะพิมพ์แจกให้หรือไม่ก็ไม่รู้นะแล้วแต่ท่านก็แล้วกัน ทีนี้ถ้าได้ เปล่ายัง ตอนนี้ยัง ต่อไป ถ้าได้ก็เอามาท่องก็ได้แต่ว่าในนี้สอนไว้ด้วยนะต้องมีความไม่ประมาท ก็ทำกุศลให้มาก ก็ทำกุศลก็มี ทาน ศีล ภาวนาเนี่ย แล้วก็ให้เจริญก้าวหน้าในมรรค แล้วก็บอกไว้แล้วนี่ว่าให้พระธาตุพระเจดีย์นี้เป็นศูนย์กลางให้เรามารวมกันนะ รวมกันเพื่อทำบุญกุศล แล้วก็ก้าวขึ้นไปอย่างที่บอกเมื่อกี้นะ บอกว่าให้เรามารวมศูนย์แล้วก็ให้ขึ้นสูงด้วยให้ได้ทั้งสองอย่าง ก็ขึ้นสูงไปในพระธรรมของพระพุทธเจ้า กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร เป็นโลกุตระได้ทานศีลภาวนา ได้ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ครบก็ขอให้โยมเจริญงอกงามโดยทั่วกัน โดยทั้งนี้ก็มีรากฐานจากการศึกษาปริยัติ ที่วัดนี้หลวงพ่อท่านพระครูโสภณสิทธิการท่านได้จัดให้โยมอยู่แล้วทั้งคฤหัสถ์บรรพชิตเนี่ยการศึกษาเล่าเรียนเนี่ยก็ขอให้เรามาตั้งใจกันทั้งตัวเองก็เล่าเรียนให้มากทั้งลูกหลานต่างๆ ก็พยายามให้มาเล่าเรียนเป็นทางที่ถูกต้องแน่นอนไม่ผิดหรอก เราจะได้ช่วยฟื้นสังคมของเราให้ดีงาม ถ้าโยมส่งลูกมาเข้าวัดนะมาเรียนที่วัดเนี่ย ต่อไป ไม่มีหรอกยาบ้าโยมมั่นใจได้เลยนะ ยาบ้าหมดไปแล้ว ศรีประจันต์ ก็อยู่ร่มเย็นใช่ไหม ไม่มียาบ้าไม่มียาเสพติด แล้วก็ไม่มีเรื่องการพนัน ไม่มีเรื่องร้ายทั้งหลาย ไม่เกียจคร้านไม่หมกมุ่นการบันเทิงอะไรต่างๆ เหล่านี้ มีแต่คนดีเป็นกัลยาณมิตรต่อกันเนี่ย เราก็มีความสุข สังคมเราเจริญงอกงามเป็นบรรยากาศแวดล้อมเป็นพื้นที่ที่ดีเราก็สามารถที่จะมาเจริญกุศลขึ้นพระเจดีย์กันไปให้สูงให้ได้มากที่สุด แต่ถ้ารอบพระเจดีย์มันวุ่นวายมันก็ขึ้นพระเจดีย์ไม่ไหวนะ เพราะฉะนั้น ก็เรามาช่วยกันประพฤติปฏิบัติให้ดี ก็ด้วยการเล่าเรียนอย่างถูกต้องโดยเฉพาะเด็กเยาวชน ก็เริ่มให้การศึกษาที่ดีกันตั้งแต่ในครอบครัว แล้วส่งมาวัดให้มาเรียนหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าให้ห่างเหินจากอบายมุข เจริญในการศึกษาเล่าเรียนไปด้วยดี แล้วก็ชีวิตของเด็กเองก็เจริญงอกงาม สังคมของเราก็ร่มเย็นเป็นสุข ตั้งแต่ อ.ศรีประจันต์นี้เป็นต้นไป อันนี้ก็ขอให้เป็นความหมายของพระมหาเจดีย์ศรีประจันต์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความมีจิตใจร่วมกันของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่จะได้มาเจริญศรัทธาในพระรัตนตรัย ตั้งใจสดับธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและประพฤติปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปในไตรสิกขายิ่งขึ้นไปในมรรคของพระพุทธเจ้า แล้วประสบความเจริญก้าวหน้าทั้งชีวิตส่วนตนครอบครัวและสังคม ทั้งประเทศชาติของเราให้รุ่งเรืองงอกงามมีสันติสุขสืบไป ได้กล่าวเป็นธรรมกถามาเป็นเวลายาวนานแล้ว ก็ขออนุโมทนาโยมญาติมิตร พุทธบริษัททั้งปวง ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ พร้อมทั้งบุญกุศล มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้นที่ได้บำเพ็ญแล้ว จงเป็นปัจจัยอภิบาลรักษาให้ โยมญาติมิตร พุทธบริษัททุกท่าน เจริญงอกงามด้วยจตุรพิธพรชัย มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา และกำลังความสามัคคีที่จะดำเนินชีวิตพาครอบครัวของตนเอง สังคม ประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ประสบประโยชน์สุขโดยทั่วกันอย่างกว้างขวางและยั่งยืนนาน ร่มเย็น งอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ