แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
เรื่องก็เป็นอย่างนี้อย่างที่พูดกับมานี่แหละ เราควรจะรู้มันเป็นเรื่องของความรู้ ความรู้มันก็ทำให้เราวางใจเข้าใจอะไรถูกต้อง เอ้านี้ก็ย้อนกลับไปเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปพูดอีก เพราะเรื่องมันยาว แต่ว่ารู้เข้าใจเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เทวดาเหล่านี้ท่านก็มีความยิ่งใหญ่ตามแบบของเทพเจ้า นี้มาในพุทธศาสนาก็อย่างที่บอกแล้ว พระพุทธศาสนาก็ให้พวกเทพเหล่านี้อยู่ในระบบของไตรภูมิ อยู่ในระบบสัตวโลกที่อยู่ร่วมกันและก็ขอให้อยู่ด้วยดีมีเมตตากรุณาต่อกัน แล้วเทพก็ต้องพัฒนาตนที่มีกิเลสมากก็ต้องพัฒนาตนให้มีกิเลสน้อยลงละช่วยทำความดีเหมือนกัน จนกระทั่งว่าได้ฟังธรรม เทพเจ้าเทวดาก็บรรลุธรรมะเป็นพระอรหันต์กันไป ก็เป็นอย่างงี้ พระอินทร์ก็กลายมาเป็นชาวพุทธเวลาพระพุทธเจ้าอาพาธประชวรนี้พระอินทร์จะเป็นผู้จงรักภักดีอย่างยิ่งเลยมาคอยปฏิบัติเวลาพระพุทธเจ้าประชวรก็เปลี่ยนเป็นเทวดาดีไป เรื่องก็เป็นอย่างนี้ก็เป็นอันว่าให้เทวดากับมนุษย์สัมพันธ์กันด้วยคุณธรรมความดีเหมือนกับโลกมนุษย์ ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรจะรอเครื่องเซ่นหรือว่าการอ้อนวอนเอาอกเอาใจจากผู้น้อยก็ควรจะมีกำลังแล้วเราก็ต้องดูเองว่าผู้น้อยเขาเดือดร้อนอะไรก็ไปช่วยเหลือเขา ส่วนผู้น้อยก็อย่าไปหวังพึ่งผู้ใหญ่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองไปด้วยความเข้มแข็งพัฒนาตนไป อย่างนี้มันถึงจะถูกต้องเราสัมพันธ์กับมนุษย์ที่ดีได้อย่างนี้ มันก็น่าสัมพันธ์กับเทวดาได้เหมือนกันทำไมไปสัมพันธ์ผิด ๆ ไม่เข้าเรื่องทำให้ระบบเสียเทวดาท่านก็แย่ เทวดาท่านก็ไม่เป็นอันได้พัฒนาตัวก็มัวมารอเครื่องเซ่นมัวมองมนุษย์คนไหนจะเอาใจเซ่นไหว้อยู่ก็ไม่เป็นอันทำสิ่งที่ควรจะทำด้วยกัน นี่ก็เป็นแบบขั้นต้นง่ายความสัมพันธ์แบบง่ายก่อน ก็คงพอจะมองเห็นนะ
เป็นอันว่าพุทธศาสนานี้เปลี่ยนมาว่า 1 เราไม่ดูถูก ไม่เหยียดหยามเทวดา เราก็ให้ความเคารพนับถือโดยที่ถือว่าเป็นสัตว์อยู่ในภูมิสูง โดยปกติควรจะไปเกิดได้ต้องมีคุณธรรมพอสมควรแต่ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ เพราะฉะนันก็ยังมีดีมีชั่ว บางครั้งก็เกิดกิเลสขึ้นมาก็อาจจะไปข่มเหงรังแก ถ้าเกิดเรื่องกับมนุษย์ขึ้นมาขัดแย้งกันก็ให้เอาธรรมะมาเป็นเครื่องตัดสิน ก็ในหมู่เทวดาก็เหมือนกันต้องเอาธรรมะตัดสินเหมือนกัน นี้หันมาดูอีกทีหนึ่ง ก็คือว่าในหมู่มนุษย์เองนี่ที่สัมพันธ์กับเทวดานนี่ ถ้าหากว่าเราสัมพันธ์ไม่ถูกไปมัวอ้อนวอนเอาอกเอาใจนี่มันมีผลเสียอย่างไร ผลเสียอย่างไร ก็ดู 1 มนุษย์จะเกิดความประมาทอันนี้อย่างง่าย ๆ ที่สุด เราก็รอให้ท่านบันดาลให้ เราก็เลยไม่ทำอะไร เช่นอย่างน้อยอยู่ด้วยความหวัง เออท่านมีอำนาจเราก็รอผลดลบันดาลหวังว่าท่านจะมาช่วยเราก็อยู่ด้วยความหวังปลอบใจ ไอ้ความหวังนั้นก็ดีอย่างนะ ความหวังมันก็ดีมีประโยชน์ก็ช่วยให้ใจสบายแต่ว่ามันทำให้ประมาทได้ ก็คือสิ่งอะไรที่ควรจะเร่งขวนขวายทำก็เลยไม่ทำ บางทีก็เลยกลายเป็นว่าเกิดภัยพิบัติแก้ไขไม่ทัน อันนี้สังคมไทยเป็นมากนะครับ ให้ระวังเถอะอะไรก็อยู่ด้วยความหวัง เดี๋ยวถึงตอนนั้นเทพจะมาช่วยแม้แต่หวังจากหวังจากพระสยามเทวาธิราช อันนี้ต้องแยกให้ดีนะ เอาละเรายอมรับว่ามนุษย์นี่ยังอ่อนแอ แต่ว่าเราจะวางท่าทีของจิตใจอย่างไรจึงจะพอดี
ถ้าเรายังนับถือพระพุทธเจ้า ทางพุทธศาสนาท่านไม่ได้ปฏิเสธไม่ได้หักห้ามไม่ได้บังคับ ไม่ใช่แค่บังคับไม่ห้ามด้วยที่จะมานับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าอะไรเหล่านี้ เอ้าจะนับถือก็นับถือไป แต่ว่าเราต้องพัฒนาตัวเอง ทีนี้ในการพัฒนาตัวเองขั้นต้นก็คือไม่ให้ผิดหลักพระศาสนา หลักพระพุทธศาสนาก็คือว่า ไม่ผิดหลักการกระทำด้วยความเพียรพยายามของตน นี้ตอนแรก เมื่อไม่กระทำความเพียรก็จะประมาท หลักความไม่ประมาทนี้เรื่องใหญ่นะ ความประมาทเป็นทางของ ความตายใช่ไหม พอเราไปหวังนี่เราอาจจะได้ทางจิตใจสบายใจอุ่นใจขึ้นมาดี ไอ้การนับถือแบบนี้ท่านไม่ได้ห้ามแต่ว่ามันทำให้ประมาท คุณประมาทไหมถ้านับถือแล้วอยู่ด้วยความหวัง ประมาทคุณต้องรู้ตัวเลยว่าพลาดแล้ว ฉะนั้นถ้าหากว่าคุณอุ่นใจขึ้นมาการนับถือเทพเจ้าอีกด้านหนึ่งคุณจะต้องมองทันทีว่าเราประมาทหรือเปล่า เราไปรออยู่เราหวังจากท่านแล้วเรารอให้ท่านช่วยนี่ เพียงผิดหลักไม่ให้ประมาทแน่นอน ผิดหลักกรรมการกระทำด้วย เพราะฉะนั้นผิดหลักพุทธศาสนาต้องหยุดทันที หวังได้แต่ต้องช่วยตัวเองเปลี่ยนความหวังเป็นความมั่นใจ คือความอุ่นใจว่ามีเทพเจ้าที่ดี เอ้อควรจะนับถือเทพเจ้าที่ดี ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านก็มีคุณธรรมท่านก็คุ้มครองคนดีนับถือในแง่นี้ยังไม่ผิดใช่ไหม เรานับถือในแง่อุ่นใจว่าท่านคงคุ้มครองคงช่วย เราก็มีความหวังแต่หวังแบบมั่นใจ ทำให้ทำการด้วยความมั่นใจแล้วยิ่งเข้มแข็งในการกระทำนั้นอย่างนี้ท่านไม่ห้าม พอแยกออกไหม ถ้าหวังแล้วก็รอนี่แหละจบผิดเด็ดขาดเลย ผมได้สังเกตุดูว่า อันนี้ต้องพูดกันตามตรงเท่าที่สังเกตุเห็นที่ผมผิดก็ว่าไปตามผิด แต่เท่าที่ผมสังเกตุดูคนในสังคมไทยนี่ ถ้าดูคนทางเชื้อสายจีนนี่ยังได้หลักมากกว่าคนเชื้อสายไทยทำไมคนไทยเชื้อสายเดิมมาเนี่ยมักจะหวังแบบรอ หวังพึ่งแท้ ๆ ฝากโชคชะตาไว้เลยให้ท่านบรรดาล หวังลาภลอยไปเลยเป็นอย่างนั้น นั้นหวังลาภลอยนอนคอยโชคท่านจะมาช่วยแล้วก็นอนรอ แต่คนจีนนี้คล้าย ๆ ตัวเองก็ทำอยู่แล้วก็ไปนับถือพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเป็นพระโพธิสัตว์เทวดาก็แล้วแต่ว่าทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น มั่นใจว่าท่านจะมาช่วยคุ้มครอง แสดงว่าถ้าเป็นอย่างนี้จริงนะถ้าผมบอกได้ถูกนี่ คนจีนนี่ยังถูกต้องกว่าและก็ได้เปรียบในเชิงปฏิบัติด้วย แล้วเข้าหลักพุทธศาสนาด้วย ท่านรู้หลักเรื่องพระปริตรไหม เราสวดพระปริตร หรือแม้แต่นับถือพระพุทธเจ้าเรานับถือเพื่อคุ้มครองป้องกันอันตรายใช่ไหม คำว่าปริตรนี่แปลว่าป้องกันหรือคุ้มครอง เราสวดเราก็จะมีบทสวด เป็นบทสวดที่ว่าแม้แต่พระสวดก็ยังขอให้ท่านจะบอกเชิงว่าเป็นหน้าที่ของเทวดา บอกว่าเทวดาที่เป็นผู้ใหญ่นะดูแลด้วยนะพวกชาวบ้านเขานะ เขาอุตส่าห์เวลาทำบุญอุทิศกุศลให้ท่านเพราะฉะนั้นท่านควรดูแลเขาด้วย คุณเป็นผู้ใหญ่มีคุณธรรมก็เหมือนกับผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองเนี่ย ก็ควรจะดูแลเด็ก ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้น้อยเขามีทุกข์มีญาติอย่าไปละทิ้งเขานะ พระก็จะบอกกับเทวดาแบบนี้ ทีนี้ชาวพุทธจะสวดปริตรนี่ก็ทำนองนี้ คือคล้าย ๆ เกือบใกล้ ๆ คาบเส้นเลยนะถ้าของเขาก็อ้อนวอนให้เทวดามาช่วย แต่ของเรานี่ก็จะบอกว่า ด้วยอนุภาพแห่งเทวดามาคุ้มครองป้องกันอันตราย อันนี้ก็คือมีขอบเขตมีเส้นกั้นอยู่ว่าให้ได้ความอุ่นใจในการที่ว่าได้รับการคุ้มครองป้องกันไม่ให้มีอันตราย เรามีสิ่งที่จะต้องทำอยู่แล้วเราจะได้ทำด้วยความอุ่นใจมั่นใจมีกำลังใจทำด้วยเข้มแข็งยิ่งขึ้นจริงจังยิ่งขึ้นอย่างนี้ล่ะท่านให้ เพราะฉะนั้นปริตรของเราเนี่ยเดี๋ยวจะไปเข้าใจผิดเป็นแบบอ้อนวอน ของเราปริตรคือนี่แหละอยู่ในขอบเขตนี้ก็คือว่าพอได้ส่วนผลิตเป็นต้นแล้วหรือว่าได้อนุภาพของพระพุทธเจ้าแล้วอะไรก็แล้วแต่ นั่นก็คือว่าได้ความอุ่นใจมั่นใจว่ามีสิ่งที่จะมาคุ้มครองป้องกันไม่ให้มีภัยอันตราย แล้วเราจะได้ทำการของเราด้วยความมั่นใจเต็มที่แล้วจะยิ่งจริงจังขึ้นเราจะมีกำลังในการกระทำเพื่อใจไม่วอกแวกไม่ฟุ้งซ่านไม่ระแวงไม่กลัวไม่หวาดผวาก็ยิ่งดีใหญ่ ในกรณีนี้ท่านก็ยอมให้สำหรับคนที่อยู่ในขั้นต้น ถ้าเก่งขึ้นไปก็มั่นใจด้วยสติปัญญาความเข้มแข็งขึ้น ท่านพอเห็นไหม เป็นอันว่าเอาได้แค่นี้นะ แต่ว่าหลักการณ์คืออย่าให้เสียหลักความไม่ประมาท 2 อย่าให้เสียหลักการกระทำด้วยความเพียรของตนเอง อันนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด บอกถ้านับถือแล้วทำให้เสียการกระทำด้วยความเพียรของตนนี่ถือว่าผิด แล้วที่เขานับถือกันนี่ผิดหลักอันนี้ไหม ผิดไหมครับ อย่างนั้นใช้ไม่ได้ เรามีหลักตัดสินไม่ใช่อยู่กันไปแบบเลื่อน ๆ ลอย ๆ เคว้ง ๆ คว้าง ๆ เอาแล้วนะครับนี่แหละหลักหนึ่งความไม่ประมาทตามหลักกรรมหลักการกระทำด้วยความเพียรความพยายาม อันนั้นก็กลายเป็นว่าอย่าอยู่เพียงด้วยความหวังแต่อยู่ด้วยความมั่นใจถ้านับถือพวกเทวดาอะไรอยู่แล้วแม้แต่นับถือพระพุทธรูปในเชิงศักดิ์สิทธิ์ให้มาใช้ในเชิงเกิดความมั่นใจแล้วก็เข้มแข็งที่จะทำการนั้น ตรงนี้เป็นจุดแยกที่สำคัญ ถ้าแยกไม่ออกแล้วก็มันเดินหน้าไม่ได้ มันปฏิบัติไม่ถูกมันลังเลอยู่อย่างน้อยก็เคว้งคว้างแล้วก็ไปผิดทาง
ทีนี้ต่อไปนี้นะ ต่อไปเรามาวิเคราะห์อีกทีเป็นยังไงมนุษย์ที่ไปเที่ยวหวังพึ่งเทวดานี่
1 ก็ประมาทรอคอยเหมือนกับตัวเองไม่มีอำนาจที่จะทำอะไร บาปอำนาจอยู่ที่ท่านอะไรมันจะสำเร็จผลหรือไม่มันอยู่ที่ท่าน ตัวเราเองไม่มีอำนาจทำอะไรแล้วก็นอนรอไป เอ้าอันนี้แปลว่ารอคอย เมื่อกี้ว่าแล้วประมาท เมื่อตัวเองไม่ทำการด้วยความเพียรพยายามก็ขาดการฝึกฝนตน คนเรานี่จะฝึกตัวเองได้มันต้องทำการต่าง ๆ ก็มาขัดหลักพื้นฐานพุทธศาสนาคือ หัดหลักสิกขา พุทธศาสนานี่มนุษย์สิกขาต้องศึกษาพัฒนาตน ต้องฝึกตนพูดง่าย ๆ คนเราจะเอาดีได้ด้วยฝึกตน คนเราไม่ใช่สัตว์ขออภัยไม่ใช่สัตว์ชนิดอื่นอย่างสัตว์เดรัจฉานเป็นต้นที่มันเกิดมามันอยู่ด้วยสัญชาตญาณ เกิดมาอย่างไรก็ตายเป็นอย่างนั้นใช่ไหม มนุษย์เรานี้มันอยู่ดีได้ด้วยการฝึกนี่ แม้จะอยู่รอดได้ด้วยการฝึกสัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ด้วยสันชาตญาน สันชาตญานมันแทบไม่ต้องเรียนรู้ไม่ต้องฝึกมันก็อยู่ได้เกิดมาเดี๋ยวมันก็หากินได้อะไรต่ออะไรตามพ่อตามแม่มานิดไปได้แล้ว มนุษย์นี่ต้องฝึกทั้นนั้น ต้องหัดทั้งนั้นใช่ไหม เอ้าเกิดมาแล้วแม้จะกินก็ยังต้องให้พ่อแม่หัดให้ แม้แต่จะเดินก็เดินไม่เป็นต้องให้พ่อแม่หัด กว่าจะเดินเป็นนี่ต้องหัดให้เป็น นานเท่าไหร่ครับ เออหัดเดินอีก แล้วก็พูดก็ต้องหัดใช่ไหม ฝึกหมด มนุษย์นี่แม้แต่วิธีที่จะดำรงชีวิตให้อยู่รอดก็ต้องได้มาด้วยการฝึกการหัดไม่เหมือนสัตว์อื่น ที่ได้มาส่วนใหญ่ด้วยสัญชาตยาน มนุษย์นี้ต้องฝึกต้องหัด เพราะฉะนั้นนี่มนุษย์ ท่านเรียกว่าธรรมะสัตว์ที่ต้องฝึก เมื่อธรรมชาติมนุษย์เป็นอย่างนี้ มนุษย์ก็ต้องมีชีวิตแห่งการฝึกฝนพัฒนาตนตลอด ฝึกฝนพัฒนาตนจะสำเร็จได้ด้วยสิกขาคือการศึกษา เพราะฉะนั้นต้องมีสิกขา หลักปฏิบัติพุทธศาสนาทั้งหมดจึงอยู่ที่สิกขา ไตรสิกขานี่ เอาละครับนี่หลักพื้นฐานก็คือต้องฝึกต้องศึกษา เมื่อมนุษย์ไปหวังอำนาจภายนอกมาดลบันดาลให้ตัวเองก็ไม่ได้ฝึกตัวเอง อ่อนแอป้อแป้อยู่อย่างไว ก็อยู่อ่อนแอป้อแป้อยู่อย่างนั้น ทำอะไรไม่เป็น 1 พฤติกรรมก็ไม่มีทักษะไม่มีความชำนาญอะไรเลย มือเท้าก็ทำอะไรไม่เป็น
2 จิตใจเมื่อไม่ได้ ฝึก จิตใจมันก็ไม่เข้มแข็ง ไม่มีวินัย ไม่มีขันติความอดทนสติก็ไม่ได้ฝึกสมาธิก็ไม่ได้ฝึกสารพัดแหละ ความเจริญงอกงามทางจิตใจก็ไม่มีดีขึ้นเลย ที่นี้ถ้ามนุษย์ทำเองเนี่ยมันต้องฝึกตนในการฝึกที่จะทำเนี่ยมันทำให้ต้องใช้พฤติกรรมฝึกทักษะเป็นต้น และมันทำให้ได้สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์เพื่อนสัตว์ ทำให้พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์รู้จักพูดจักจาอะไรต่าง ๆ เป็นต้นนะ รู้จักพัฒนาจิตใจในการอยู่ร่วมฝึกตัวเองทั้งนั้นและที่สำคัญที่สุดคือฝึกปัญญาก็คือจะต้องคิดแก้ปัญหาคิดหาทางปฏิบัติจัดการดำเนินการกับสิ่งที่ตัวเองจะทำใช่ไหม เพราะฉะนั้นมนุษย์ที่คิดพยายามทำการต่าง ๆ ให้สำเร็จนี่ มันก็เลยได้ฝึกตัวเองมากได้พัฒนาตัว นี้เมื่อมนุษย์ไปหวังพึ่งอำนาจภายนอกมาดลบันดาลให้ตัวเองก็ไม่ได้ฝึกตน ตัวเองก็อ่อนแอแล้วก็อยู่ในภาวะเป็นคนที่ไม่ได้พัฒนาเป็นคนด้อยพัฒนาอยู่ยังไงก็ด้อยพัฒนาอยู่อย่างนั้น ถ้าคนแต่ละคนไม่พัฒนาด้อยพัฒนาอย่างนี้มาเป็นสังคม มาเป็นประเทศชาติก็เลยด้อยพัฒนาอยู่งั้นไม่ไปไหน แล้วถ้าประเทศไทยจะหายด้อยพัฒนาคนเป็นอย่างนี้มันจะหายด้อยไหมครับ มันก็หายด้อยไม่ได้ เพราะคนแต่ละคนไม่พัฒนา ฉะนั้นมันก็ต้องใช้หลักนี้แหละ เอาล่ะครับการไปหวังพึ่งเทพเจ้า เป็นอันว่า 1 ประมาท 2 ผิดหลักกรรมไม่กระทำการด้วยความเป็นเพียรของตน
3 ผิดหลักหลักไตรสิกขาไม่ฝึกฝนพัฒนาตนชีวิตก็เอาดีไม่ได้ใช่ไหม ตัวเองก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นเลยตกลงก็เป็นไงขัดหลักพึ่งตน พึ่งตนไม่ได้ก็เมื่อทำอะไรไม่เป็นก็พึ่งตนไม่ได้ คำว่าพึ่งตนเองได้ก็คือทำอะไรได้ด้วยตนเองพึ่งตนได้ก็คือทำอะไรเป็น เมื่อทำอะไรไม่เป็นก็พึ่งตนเองไม่ได้ ก็จบ ผิดหลักพึ่งตนเอง พุทธศาสนาบอกให้รู้จักพึ่งตนใช่ไหม พอพึ่งตนเองได้ก็เป็นอิสระตกลงก็หมดอิสระภาพไม่มีอิสรภาพ ผิดหลักพุทธศาสนาหลักใหญ่อีก ไม่มีอิสรภาพ พุทธศาสนานี่พัฒนาคนสู่ความเป็นอิสระก็เลยหมดอิสรภาพต้องเป็นนักพึ่งพา ต้องขึ้นต่อเทพเจ้าต้องรอให้ท่านมาช่วยจบหมดเลยกี่หลักพุทธศาสนาผิด กี่หลักครับที่ผมพูดมานี่ 4 หรือเท่าไหร่
1 หลักอะไร ความประมาท
2 หลักกรรมการกระทำความเพียรนะ กรรมด้วยความเพียรพยายามของตน พระพุทธเจ้าตรัสพร้อมกัน เรากรรมวาทีเป็น วิริยวาที ตัดคู่กัน เราเป็นผู้ถือหลักกรรมการกระทำและวิริยะวาทีถือหลักความดี เอ้า 2 แล้วหลักกรรม หลักความเพียร
3 ผิดหลักอะไร ผิดหลักไตรสิกขา การฝึกหัดพัฒนาตนหรือการศึกษา และ
4 ผิดหลักพึ่งตนเองและความเป็นอิสระ หมด
แล้วเอาหลักนี้ไปใช้ดูได้ไหมคนที่เป็นกันอย่างนี้ใช้ได้ไหมครับ ดูที่เขาเป็นกันอยู่เนี่ย แล้วถ้าหากอย่างนี้แต่ละคนมันพึ่งตัวเองไม่ได้มันอ่อนแอ มันประมาทมันไม่เป็นอิสระอะไรเนี้ย แล้วมองทางสังคมก็คือเป็นอย่างนั้น สังคมไทยมันจะป้อแป้ไปหมด ถ้าเป็นอย่างนี้นะ มันจะไปไม่รอดเอาน่ะ คนไทยก็เป็นคนเลื่อนลอยคอยรอหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กระแสไหนมาก็ตื่นกันไปทีนึงใช่ไหม รอกันไปทีนึงกระแสผ่านไปก็หมดแรง รอความหวัง หวังมาใหม่ก็เอากันใหม่ กระโดดโลดเต้นไปก็ไม่มีหลักของตัวเองไม่พัฒนาตัวเอง ตัวเองก็แย่ มองไปที่สังคมก็อ่อนแอปวกเปียกป้อแป้ไปไหนไม่ได้ ไม่มีกำลัง ไม่เรียนรู้ ไม่ฝึกหัดพัฒนาทำอะไรด้วยตนเองก็ไม่เป็น เป็นได้แต่ผู้บริโภคผลิตก็ไม่ได้ใช่ไหม สังคมไทยก็เป็นแต่นักบริโภคไม่เป็นนักผลิต ในขณะที่สังคมฝรั่งเขาเป็นทั้งนักบริโภคเป็นทั้งนักผลิต เดิมเขาไปนักผลิตอย่างเดียวตอนนี้เขาเป็นทั้งนักผลิตและนักบริโภค แต่เขาเอามาพูดล่อเราว่าเขาเป็นนักบริโภค แต่เบื้องหลังของเขานั้นเขาเป็นนักผลิตด้วย ส่วนของเรานั้นเป็นนักบริโภคอย่างเดียวไม่เป็นนักผลิต นี่แล้วใครจะได้เปรียบ มันแย่อย่างนี้เราไปมองว่าฝรั่งนักบริโภคเปล่า ฝรั่งเป็นนักผลิตเป็นพื้นฐานอยู่แล้วเป็นนักบริโภคขึ้นมาซ้อนอีกที นี้ของเราเป็นนักบริโภค absolute นักบริโภคสิ้นเชิง ก็อย่างนี้ก็แย่สิ มองในแง่สังคมก็เสียเปรียบ แล้วจะเอาดียังไงต้องรีบแก้นะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เนี่ยก็กลายเป็นสังคมที่เลื่อนลอย
เวลานี้ถ้าอยู่กระแสแบบจตุคามรามเทพก็บอกได้เลยสังคมไทยนี่จะเคว้งคว้างเลื่อนลอย งั้นต้องเข้มแข็งขึ้นมาต้องมีกำลังใจแล้วก็หนึ่งก็รู้หลัก ถ้ารู้หลักพุทธศาสนานี้ใช่ไหม ได้หลัก แล้วยืนในหลักเลยเข้มแข็งเลย เราต้องทำการให้สำเร็จด้วยความเพียรของตน ถ้าเรายังเข้มแข็งไม่พอที่จะพึ่งตนเองเต็มที่ถ้ายังเชื่อท่านอยู่นับถือได้ก็เอาท่านมาเป็นเครื่องทำให้มั่นใจอย่าไปเอามาในแง่เป็นเพียงความหวัง ต่อไปก็ทำความเพียรด้วยตนเองแล้วก็ถือว่าการที่เราเผชิญปัญหามีความทุกข์เดือดร้อนนี้เราก็ต้องเพียรพยายามทำแก้ปัญหาด้วยตนเองแล้วเราจะได้ฝึกตน แล้วเราจะได้พัฒนาขึ้นแล้ว แล้วสังคมของเราจะพัฒนาไปเองด้วยการที่เรามาเพียรพยายามแก้ปัญหาพัฒนาชีวิตนี้แหละ ถ้ามัวมาหวังอยู่อย่างนี้เคว้งคว้าง เคว้งคว้างกันอีกอย่างนี้ก็ ฝ่ายหนึ่งก็ป้อแป้ ป้อแป้ อ่อนแอไหลไปตามกระแสลอย เลื่อนลอย เลื่อนลอย อีกฝ่ายหนึ่งก็เที่ยวคอยหาจ้องหาผลประโยชน์กับไอ้พวกนี้ไป แล้วสองฝ่ายนั้นรวมแล้ว ก็ถ้าพูดแรง ๆ เรียกว่าเป็นผู้ร่วมกันสมคบกันทำลายสังคมนี้ใช่ไหมจริงไหมสมคบกันโดยไม่ได้เจตนา ก็กลายเป็นสมคบกันทำลายประเทศชาติสังคม เมื่อเรารู้ทันโทษของมันแล้วต้องรีบแก้ไข อย่าอยู่อย่างเลื่อนลอย อยู่กันแค่ความหวัง อยู่แค่ความฟุ้งเฟ้อความโก้เก๋อะไรพวกนี้ พอหรือยัง
คนฟังถาม สอบถามพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีกนิดนึงครับ อันนี้ฝั่งของสังคม แล้วก็ประชาชนทั่วไปนี้พอให้ความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้เห็นเหตุปัจจัยแล้วก็ที่มาที่ไปนะครับ แต่เราจะพอที่จะเบรกฝั่งที่ของทางศาสนาทางวัดที่เราพยายามโหมโรงสร้างกันนิมนต์พระเป็นร้อยรูปสวดบ้าง เอาธาตุทั้ง 9 ที่สำคัญมาบรรจุบ้าง พาไปสวดในเรือดำน้ำ สวดบนเครื่องบินมีอะไรต่อมิอะไร มันก็เป็นเหตุจูงใจที่จะให้ การตลาดที่จะดึงประชาชนกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้อะครับ ทางฝั่งของศาสนาเนี่ย จะพอมีการเบรกลดละเลิกอะไรได้บ้างไหมครับ
พระตอบ เอ้า เมื่อไม่นานสักสิบวันนี่ได้ยัง ผมก็ให้พระช่วยเอาอะไร คล้าย ๆ มติมหาเถรสมาคมไปติด ไม่ทราบไปติดได้อ่านกันหรือเปล่า อ่านใช่ไหม ครับ มหาเถรสมาคมท่านก็เป็นห่วงเหมือนกัน ท่านก็รู้หลักนะไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านก็ห่วงเหมือนกัน ท่านก็ส่งไปตามวัดต่าง ๆ ให้เจ้าอาวาสนี่กวดขันด้วย ว่าการกระทำอย่างนี้มันผิดหลักพระศาสนา ท่านยังไม่ได้อ่าน ช่วยกันอ่าน แสดงว่าท่านเอาใจใส่อยู่ ช้านะ ไม่ทันการแล้วอีกอย่างนึงไม่แข็งขันพอ ก็กลายเป็นว่ารู้กันแค่เจ้าอาวาส อย่างวัดเราผมต้องให้เอาไปติด ไม่ติดก็อยู่ที่เจ้าอาวาส ก็ไม่รู้กัน ก็คือคนจะประโคมแล้วก็มีฝ่ายข่าวของมหาเถรสมาคมออกมาเลยใช่ไหม ทางบ้านเมืองก็ต้องให้ความรู้ นี่ล่ะครับระบบเสียไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนก็หมายความว่าในกรณีนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รัฐกับทางพระศาสนาหรือพุทธจักรอาณาจักรก็จะประสานความร่วมมือตรงนี้แหละ ระบบของแต่ก่อนนี้ ก็คือว่าบ้านเมืองก็เห็นแล้วว่าอันนี้เป็นโทษต่อประเทศชาติทำให้สังคมอ่อนแอ อย่างในหลวงสมัยก่อนเกิดเรื่องพันนี้จะมีพระราชปุจฉามายังคณะสงฆ์เลย สมเด็จพระสังฆราชจะประชุมคณะสงฆ์ขึ้นมาแล้วก็มีคำถวายพระพรตอบแก้ปัญหา จะมีกันเรื่อย ๆ ในหลวงพระองค์ปัจจุบันก็เคยทรงทำ แต่ทีนี้เวลานี้พระองค์ไม่ได้เป็นผู้ปกครองเองไม่มีอำนาจที่บอกกันเมื่อวานว่าทางราชการเรานะรับแต่อำนาจมาไม่รับราชธรรมมา คือระบบในทางธรรมะไม่ได้เอามาด้วย นี่ก็ควรจะถือโอกาสนี้เลย เราปกครองกันแผ่นดินนี่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตัวเองเราปกครองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนอะไรมันจะทำให้ประชาชนเสื่อมคุณภาพ อะไรจะทำให้สังคมอ่อนแอเสียเราต้องรีบแก้ไขและทางพระศาสนามีหลักการอย่างนี้อยู่ อ้าวแล้วก็ต้องรีบถามแล้วขอเอาไปเผยแพร่ความรู้ เอาหลักนี้ไปเที่ยวประกาศออกวิทยุอะไรต่ออะไรกัน เอาให้มันทันกันสิ ตัวเองก็มีเครื่องมือสื่อสารในยุคไอทีเต็มที่อยู่แล้วไม่ใช้เสียนี่ใช่ไหม นี่ก็เลยไปแพ้ยุคบูรณาญาสิทธิราชไม่น่าจะแพ้เลยนี่ ยุคประชาธิปไตย นี่แหละครับมันน่า น่าอะไรนี่ น่าละอาย ถ้าพูดแรง ๆ เออนี่ ไม่ได้ศึกษาไม่ได้เอาหลักนี้มาใช้ แล้วก็มายุ่งเถียงปัญหาศาสนาประจำชาติเพราะจับประเด็นไม่ได้จับสาระไม่ได้ ผมเขียนมาตอนหลังเนี่ยอีกตอนหนึ่งนี่ ตอนก่อนท่านได้อ่านหรือเปล่า อย่าเขวตามข่าวตอนที่ 2 นี้ยาวตั้ง 10 หน้า ตอนหนึ่งยาวแค่ 3 หน้า ตอน 2 อย่าเขวตามข่าวนี้บอกว่าปัญหาศาสนาประจำชาติเนี่ยมันสะท้อนไปถึงปัญหาที่ลึกกว่านั้นที่เป็นจริงใหญ่กว่าปัญหาศาสนาประจำชาติอย่าไปมองแค่ศาสนาประจำชาติต้องมองปัญหาที่แท้จริง ซึ่งถ้าตีอันนี้ไม่แตกนี่ ก็คือกระแสของประเทศชาติสังคมนี้มันเสื่อมแย่กว่า สะท้อนปัญหานี้ตีแตกแล้วจะรู้มาถึงโยงไปถึงเรื่องที่เราพูดกันนี้แหละ เรื่องอย่างนี้เแหละมันออกมาสู่ปัญหาที่มันไม่รู้จะพูดยังไงมันกลายเป็นปัญหาที่คนที่มาเรียกร้องก็ไม่รู้ตัวเหมือนกับเด็กร้องไห้ตัวแกไม่รู้แก่ผู้ป่วยเป็นโรคอะไร แกมีทุกข์ก็มาร้องไห้ ผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักสิศึกษาว่าเออเด็กนี่แกก็เป็นอะไรต้องมีปัญหา เราก็มองว่าที่มาเรียกร้องปัญหาศาสนาประจำชาติในแง่หนึ่งนี่ เหมือนกับเด็กร้องไห้แหละ เราจะต้องนึกถึงประเทศชาติของเราว่ามันต้องมีปัญหาอะไร แล้วมองให้ออกว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน แล้วปัญหานี้มันอาจะจะถึงขั้นร้ายแรงแล้วมันถึงได้มาอย่างนี้แล้วมันสะท้อนปัญหานี้เราค้นให้ได้เราจะได้แก้ปัญหา นี่แหละครับปัญหาอย่างที่ว่าเมื่อกี้ปัญหาถึงความวิบัติของประเทศชาติเลยนะที่ว่าเลื่อนลอยไหลตามกระแสจตุคามรามเทพเป็นต้นเนี้ย ท่านว่าเป็นวิบัติไหม เป็น ถ้าเป็นนะ ก็นี่แหละครับปัญหาโยงไปเรื่องศาสนาประจำชาติต้องตีให้แตก ถ้าท่านตีแตกแล้วท่านจะนึกว่า เอ้อเด็กร้องไห้นี่อย่างไปมองข้ามความสำคัญนะต้องเอาใจใส่ แล้วก็มาคิดให้ชัดว่าสังคมของเรามันเป็นยังไง แล้วมาจัดการเสียให้ถูก
เวลานี้รัฐผู้ปกครองบริหารประเทศชาติไม่ได้เข้าใจเรื่องราวจับประเด็นเรื่องของเรื่องไม่ถูกไปเถียงเรื่องศาสนาประจำชาติ ผมก็ฟังบ้างถ้ามีโอกาสต้องเขียนต่อว่าไปเถียงกันไม่เข้าเรื่องเข้าราว เอาจริง ๆ นะครับ เถียงไม่เข้าเรื่องเข้าราวจับประเด็นไม่ได้เลย แล้วมันแสดงออกมาถึงขั้นที่เถียงเนี่ยว่าไม่เข้าใจเรื่องพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันตราย ในเมื่องผู้คนผู้บริหารระดับผู้บริหารประเทศชาติไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วมันก็คือฟ้องอันตราย แล้วท่านเหล่านี้ปฏิบัติในเรื่องพระศาสนามันต้องเป็นผู้นำ เอาอย่างที่ผมเล่าเมื่อวานนี่ ในหลวงรัชกาลที่ 1 ก็คือเกิดกระแสอย่างจตุคามนี่ในหลวงรัชกาลที่ 1 ก็ออกกฎพระสงฆ์เข้ามาที่ผมเล่าเมื่อวาน บอกว่าสามเณรรูปใดบวชเข้ามาแล้วไม่ศึกษาคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ไปมัวเรียนเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ไปทำอะไรโว้เว้อยู่ ท่านใช้คำนี้ ก็ให้เอาโทษกับผู้ปกครองกับพระที่เป็นอุปชาจารย์และบิดามารดาตลอดไปจนกระทั่ง หรือจะเป็นผู้ใหญ่บ้านกำนันอะไรไม่รู้เล่นงานตลอดเลย เนี่ยผู้ปกครองสมัยนี้น่าจะเอาคตินี้มาใช้นะ ก็คือมันเป็นปัญหาสังคมน่ะที่จะต้องแก้ไขทำไมไม่คิดแล้วก็เลื่อนลอยกันไป เลื่อนลอยกันมาอยู่อย่างนี้ ก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้ไม่ได้คิดแก้ปัญหา มันใช่แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ไม่ได้คิดแก้ปัญหา นี่นายหลวงรัชกาลที่ 1 ก็ทรงปฏิบัติอย่างนี้ นอกจากนั้นความรับผิดชอบในเชิงด้านนี้ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมแบบนี้สำคัญมากนะ บางทีเราไม่ได้นึกอย่างท่านผู้ใหญ่ของเรา ก็เลยขอย้อนไปเมื่อวานอีกที เมื่อวานเราพูดกันที่ว่าในหลวงสมัยก่อนเนี่ยเมื่อมีพิธีบรมราชาภิเษก พระสงฆ์ไม่ทำอะไรก็จริง เพราะพระเรานี่ไม่ยอมรับที่จะทำอะไรที่เป็นเรื่องฆราวาส ทางราชการในสมัยในหลวงก็ต้องเอาพราหมณ์มาทำพิธี แต่ว่าเรื่องที่ทำนั้นหลายอย่างก็เป็นเรื่องพุทธศาสนาอย่างที่ให้พราหมณ์อ่าน ที่ผมบอกอ่านที่ผมบอกเมื่อวาน พราหมณ์ก็อ่านว่าพระมหากษัตริย์จะทรงมีธรรมะอะไรบ้าง ทศพิธรชธรรม ราชสังคหวัตถุ 4 จักรวรรดิวัตร 12 ขัตติยะ พละ 5 อะไรนี่นะ เอามาทบทวนประกาศแล้วก็มีพระเทศน์ เออเมื่อวานลืมเล่าไป สำหรับพระมีเหมือนกันมีเทศน์ นอกจากว่ารับพระราชทานฉันสวดอนุโมทนาก็คือเทศน์นี่แหละครับตอนสำคัญ เทศน์ก็คือพระให้ธรรมะเกี่ยวกับกับการปกครอง แล้วก็มีประเพณีในแผ่นดินไทยมาตลอดว่าวันเฉลิมพระชนม์พรรษาเนี่ยจะต้องมีพระเทศน์มีเป็นประเพณี เป็นเทศน์กันประจำเลย นี้พระก็ต้องเทศน์ถึงหลักธรรมเกี่ยวกับการปกครอง แล้วท่านก็จะประมวลเรื่องของพระราชกรณียกิจประจำปีอะไรต่ออะไร ก็อยู่ที่พระเทศน์จะมีความสามารถแค่ไหน เอ้าแล้วเวลาทรงเริ่มจะปกครองบ้านเมืองคือประกาศปฐมบรมราชโอง ที่เรามาอ้างกันบอกว่า เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนสยาม ถ้าพูดเป็นภาษาชาวชาวบ้านก็เหมือนพระองค์ทรงปฏิญาณเลย แล้วเรายังไปพูดถึงฝรั่งว่าทางอเมริกันใช่ไหม พิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี อินโอเปอร์ชั่นของอเมริกัน เขาก็ให้ประธานาธิบดีนี่ต้องมาปฏิญาณตนต่อหน้าคัมภีร์ไบเบิลแล้วก็มีหัวหน้านักบวชจะเป็นบาทหลวงหรือเป็นศาสดาจารย์ในนิกายนั้น ๆ แล้วแต่ประธานาธิบดีคนนั้นนับถือ เอาหัวหน้ามาเป็นประจักษ์พยานแล้วก็ปฏิญาณตนต่อหน้าประธานศาลฎีกาเท่าที่จำได้ ก็จะมีคำปฏิญาน หลักสำคัญของเขาก็คือ จะต้องเป็นผู้พิทักษ์รักษาปกป้องรัฐธรรมนูญไว้ให้ได้ นี่ก็มีองค์ประกอบทางด้านศาสนาเข้ามาทางด้านจิตใจเข้ามา แต่ว่าของเราเนี่ยเราขาดแบบแนอันนี้ ก็เลยกลายเป็นว่ามีแต่องค์พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นการปกครองที่สืบมาตามพระราชบัญญัติ
ทีนี้ผู้ปกครองแบบสมัยใหม่ก็เลยเคว้งคว้างสิ เราก็น่าเห็นใจท่านแต่ว่าก็น่าจะได้สติขึ้นมาตั้งแบบแผน ตั้งแบบแผนเมื่อเช่นนายกรัฐมนตรีจะเข้ารับตำแหน่งควรจะมีอะไรบ้างเป็นแบบแผนขึ้นมาอาจจะมีพระไปเทศน์หรืออะไรก็แล้วแต่ หรือจะไปปฏิญาณอะไรก็แล้วแต่ อย่างน้อยอาจจะเรียนมาจากขององค์พระมหากษัตริย์ที่ว่าจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม เราก็มาเรียบเรียงคำใหม่ที่มีเนื้อหาสาระที่คล้าย ๆ กันมาเข้ากัน ที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ให้เข้ากับกาละเทศะซะ ก็เรียบเรียงขึ้นมา แล้วก็ทำแบบแผนขึ้นมา ท่านจะได้ไม่ต้องว่าพอรับตำแหน่งวันนี้พรุ่งนี้เข้าที่ทำงานเข้ากระทรวงวิทยุประกาศท่านรัฐมนตรีนี้ขึ้นไปไหว้ศาลพระภูมิ ท่านรัฐมนตรีคนนี้ขึ้นไปไหว้ศาลพระพรหม ท่านได้ยินไหม ท่านฟังแล้วรู้สึกยังไงครับ คือในแง่หนึ่งก็เหมือนน่าสงสารท่าน ท่านไม่รู้จะทำยังไง ท่านไม่มีแบบแผนให้ท่านปฏิบัติท่านก็เลยเคว้งคว้าง ในแง่สิทธิเสรีภาพจริงท่านมีสิทธิส่วนบุคคลว่าท่านนับถืออะไรท่านก็ไปไหว้ไปกราบ แต่ว่าหน้าที่ของผู้ปกครองผู้บริหารเนี่ย มันต้องรับผิดชอบต่อแผ่นดิน ต้องมองในแง่ประโยชน์สุขของสังคม การที่ท่านไปทำการไหว้กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมันให้ความหมายอย่างไรต่อสังคม มันอาจจะสื่อความหมายที่ผิดได้ไหม แล้วมันนำประชาชนไปในทางที่ผิด ท่านต้องรับผิดชอบ นี่มันทำให้ประชาชนยิ่งหลงงมงาย ยิ่งไปเชื่อไขว้เขวออกนอกลู่นองทางได้หรือเปล่า ต้องนึก ต้องสำนึก น้อยทานที่จะมีเหมือนกันนะว่ารัฐมนตรีท่านนี้ไปไหว้พระพุทธรูป นาน ๆ จะได้ยินสักที มีปีที่แล้วที่จะมีท่านนึงอุ้มพระพุทธรูปเข้าไปเอามาจากบ้านหรือไงนี่ จะเอาไปกราบที่ทำงาน เอ้อแต่ว่ารวมแล้วก็คือไม่มีแบบแผนต่างคนต่างก็ว่าของตัวเอง แต่ทีนี้ว่าเราคงต้องเตือนสำนึกท่าน ก็เห็นใจอยู่แต่ว่าในเวลาเดียวกันจะปล่อยเคว้งคว้างกันไม่ได้เพราะนี่คือเรื่องของประเทศชาติประชาชนเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้นำสังคมจะต้องมานำประชาชนไปในทางที่ให้ได้รับได้หลักได้การ ไอ้นี่มันไม่มีหลักนี่ กลายเป็นยิ่งนำประชาชนให้เลื่อนลอยเคว้งคว้างกันใหญ่ ไปเข้าที่ทำงานก็ไปไหว้พระพรหมอะไรอย่างงี้ แล้วพระพรหมนั้นตัวเองก็ไม่รูว่าพระพรหมนี้คือใครไปมาอย่างไรใช่ไหมมันไปกันใหญ่ นี่สังคมไทย แล้วมันจะไม่เลื่อนลอยหวาดไหวเหรอ ฟังแล้วบางทีเราก็มองในแง่ขำก็ได้ คือบางทีได้ยินก็ขำว่าท่านรัฐมนตรีท่านไปไหว้ศาลนี่จะมองเป็นขำก็ได้ จะมองในแง่ส่วนรวมแล้วมันน่ากลัว มันเป็นการที่ว่าเราไม่มีหลักแล้วไม่ได้มองในแง่จิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อประโยชน์สุขของประชาชน แล้วอย่างที่ว่าสิ่งที่เราทำ เราก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ การที่เราจะไหว้พุทธรูปเราก็ต้องดูแล้ว เราไหว้เพราะอะไร อย่างน้อย 1 มันเป็นหลักเคารพบูชาร่วมกันของประชาชนส่วนใหญ่ แล้วก็โยงไปหาคำสอนที่จะให้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอะไรต่าง ๆ เหล่านี้คือมันมีตัวหน่วงโยงไปหาหลักการได้ แล้วก็มีศูนย์รวมไม่ใช่เคว้งคว้างเลื่อนลอย ที่ว่าตัวเองก็ไม่รู้ไหว้พระพรหม พระพรหมนี่ท่านมายังไง ก็เพิ่งเกิดศาลเอราวัณ เมื่อปี พ.ศ. 2499 ศาลเอราวัณนี่เพิ่งตั้งเมื่อปี 2499 อ้อครบ 50 ปี เมื่อปีที่แล้วตอนที่ศาลพระพรหมพัง ศาลท่านโดนทุบเมื่อครบ 50 ปีพอดี ครึ่งศตวรรษ แล้วคนไทยก็ไม่รู้พระพรหมคือใคร ดูซิ แล้วก็ตัวก็ไปไหว้ ยังไม่ทันรู้จักว่าเป็นใครก็ไปไหว้ได้นะแปลกจริง ๆ คนไทยนี่ มันสารพัดพิลึก แล้วจะทำยังไง แล้วมันจะไม่เลื่อนลอยทนไหวเหรอ ก็เลยต้องมาพูดกันบอกว่า บูชาท้าวมหาพรหมจนองค์พังก็ยังไม่รู้จักมหาพรหมนะ เคยฟังไหม เคยใช่ไหมนี่ ต้องรู้ว่าเป็นใครมายังไง พระพรหม พรามณ์พระพรหม พุทธพระพรหมองค์นี้เป็นพรมพราหมณ์ หรือเป็นพรหมพุทธ แล้วท่านมีคำมาอย่างไรในประวัติของท่านบอกไว้เสร็จ ตั้งแต่ตอนสร้าง บอกว่าพระพรหมองค์นี้ท่านจะมาได้เฉพาะวันธรรมดาทุกวันตอนค่ำเว้นวันพระ เพราะวันพระจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเนี่ย อุตส่าห์กำกับไว้อย่างนี้ยังไม่รู้เรื่องเลยนี่ แล้วก็ไม่เอามาใช้ประโยชน์เลย คนไทยนี่เรื่องด้านปัญญาไม่เอาเลย เรื่องความรู้ไม่เอาเลยใช่ไหม ขออย่างเดียว ขออย่างเดียว แล้วจะไปรอดอย่างไรสังคมไทย เพราะผู้นำตัองรับผิดชอบบ้านเมืองต้องเอาใจใส่เรื่องนี้ให้มาก เอาใจใส่เรื่องความรู้ ตั้งแต่ความรู้ข้อมูลไปจนความรู้จัดการใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาวิเคราะห์หาเหตุผลนี่ ต้องมีความรู้เข้าใจให้ดีและใช้ปัญญากันมีข้อมูลด้วย แล้วใช้ปัญญาด้วย
แล้วรู้ไหมว่าพระพรหมเนี่ยถ้าเป็นพรหมพราหมณ์นี่ ก็เมื่อกี้ผมบอกแล้ว พระหรหมในอินเดียเดิมอับรัศมีแล้วใช่ไหม แล้วท่านมาใหญ่เมืองไทย ในอินเดียเองเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยเอาเรื่องกับพระพรหมแล้ว แล้วพระพรหมนี้มาใหญ่เมืองไทย แล้วไปสิงคโปร์อุตส่าห์คนจีนที่นั่นเยอะก็พลอยนับถือพระพรหมไปด้วยเพราะว่าวัดไทยมีศาลท้าวมหาพรหมตื่นไปตามเมืองไทยด้วย คือว่าคนสิงคโปร์มาเลเซียเนี่ยมาเมืองไทยก็มาไหว้ศาลท้าวมหาพรหมด้วย กลับไปก็อยากจะไว้ต่อพระไทยเราก็เก่งก็ไปสร้างศาลท้าวมหาพรหมไว้ที่หน้าวัด ก็ปราฏว่าคนสิงคโปร์อะไรเนี่ยก็ไปไหว้ศาลท้าวมหาพรหมกันที่หน้าวัด พระพุทธรูปองค์ที่เคยไหว้กันเก่าเลยเหงาเลย ปรากฏว่าตอนหลังนี่ ผมไปเองไปเจอด้วยนะ ก็เลยได้ทราบไม่ใช่ว่าผมพูดตามใคร ผมไปเห็นเองคือมีศาลท้าวมหาพรหมอยู่หน้าวัด แล้วลึกเข้าไปในวัดนะมีหลวงพ่อองค์เก่าอยู่ แล้วตอนหลังหลวงพ่อนี่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าไปไหว้ เขาก็มาไหว้ศาลพระพรหมที่หน้าวัด แล้วคนสิงคโปร์เขาเรียกอะไรรู้ไหม เพราะเขาไม่รู้จักท้าวมหาพรหม เขาเรียก Four Face Buddha เขาเรียกว่าพระพุทธเจ้า 4 หน้า เขานึกว่าเป็นพระพุทธเจ้าเพราะไปอยู่ที่วัดนี้ เออว่ากันไปหลงตามกัน ตาม ๆ กันไป หลงตามกันไปหมดคือไม่ต้องเอาความรู้ขออย่างเดียวให้มันได้ ได้ลาภได้ผลได้โชคก็แล้วกัน ตกลงอยู่กับความเลื่อนลอย งั้นเลื่อนลอยแม้แต่เรื่องของจิตใจ เรื่องของวิถีชีวิตแล้วก็เลื่อนลอยทางปัญญาด้วย คือไม่ต้องรู้ ต้องอะไรเลย มันก็เลยน่าเป็นห่วงเอามาก ทีนี้เพิ่มอีกนิดเดียวคือเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อทางศาสนาเดิมเขาเนี่ยเขาถือความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าอยู่ที่อำนาจความยิ่งใหญ่ ความเก่งกาจนั่นเอง เก่งกาจที่มีอำนาจ นั้นเขาก็จะพยายามแสดงให้เห็นว่าเทพเจ้าของเขาเนี่ยเก่งกาจขนาดไหน เวลาปั้นเทวรูปนี่ท่านจะเห็นได้เลย เทวรูปของฮินดูเนี่ยจะแสดงท่าทางผาดโผนโจนจะยานมีอาวุธชนิดต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ มีตรีศูลบ้าง มีวชิราวุธมีอะไร มีจักรมีอะไรไม่รู้แหละอาวุธที่มันแสนจะดีแหละนะ สรรหากันมา แล้วก็แสดงท่าทางผาดโผนโจทยาน ว่ามีอำนาจเหลือเกิน บางทีก็ต้องปั้นเป็นรูปของอศูรย์ลงมานอนให้เทวดาเหยียบ แสดงว่าเทวดาท่านเก่งเนี่ยคือต้องแสดงความมีอำนาจและเก่งกาจ แล้วมันก็โยงไปหากิเลส ก็คือโทสะว่ากริ้วกราดพิโรธอะไรอย่างเงี้ย นี่มันก็เชื่อมโยงกันหมด แล้วเรื่องอย่างนี้ก็มาในศาสนา ศาสนาเทพเจ้า พระเจ้าก็ยังมีความพิโรธไม่มาก เวลามนุษย์ทำอะไรไม่ถูกพระทัยก็พระเจ้าพิโรธถูกไหม ทุกทีไปแหละ เกิดเหตุการณ์เอากันใหญ่ ๆ น้ำท่วมแผ่นดิน แผ่นดินไหว โอ้ภัยพิบัติเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษอะไรอย่างนี้ นี่พระพุทธศาสนาว่าอันนั้นเป็นเรื่องของกฏธรรมชาติ แต่ทีนี้ว่าแล้วความศักดิ์สิทธิ์ละ ความศักดิ์สิทธิ์พระพุทธศาสนากันย้ายมาเลย ท่านต้องสังเกตุให้ดี ชาวพุทธจะต้องสังเกตุอันนี้ให้ชัด บรรพบุรุษไม่ใช่ว่าโง่ มันก็มาด้วยแม้แต่จิตสำนึกที่ไม่รู้ตัว เราสร้างพระพุทธรูป แล้วเราก็ถือว่าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ แต่ให้ท่านดูสิว่าพระพุทธรูปนี่เป็นยังไง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์นะครับ นั่งสงบ 1 นั่งสงบเรียบร้อย 2 อาจจะยิ้มแย้มพระพักตร์นี่เอิบอิ่มยิ้มแย้มแจ่มใสมีเมตตากรุณา คนฟังบอก แม้แต่พระพุทธรูปที่ตั้งนาน ก็ดูนิ่ง ๆ ครับ ก็ท่านมีแต่สงบเท่านั้น คนฟัง เทจิน่าก็ยัง อันนั้นเป็นเรื่องคนไปตั้งชื่อท่าน แต่ว่าพระพุทธรูปแล้วก็คือต้องสงบ สงบแล้วก็มีเมตตากรุณามีความเบิกบานผ่องใส นี่คือลักษณะความศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนหมดเลย เปลี่ยนจากความมีอำนาจมีโทสะอะไรพวกนี้นะ ความยิ่งใหญ่ด้วยการที่ใช้อำนาจก็เปลี่ยนมาเป็นความเมตตากรุณาความบริสุทธิ์ความสงบและปัญญา ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ พุทธคุณจึงมีอย่างนี้ ปัญญาคุณ วิสุทธิคุณ มหากรุณาคุณ แล้วในนี้ก็มีความสงบด้วย ในลักษณะสงบ เพราะฉะนั้นในทางพุทธศาสนาก็ถือว่าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ใดสูงกว่าความบริสุทธิ์หมดจดและก็ปัญญา เทพเจ้าต่าง ๆ เมื่อท่านยังมีกิเลสยังใช้โลภะโทสะอยู่ไม่บริสุทธิ์เนี่ย มันทนทานต่อการเช่นตรวจสอบไม่ได้ ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ยืนหยัดอยู่ไม่ได้แท้ ถ้าบริสุทธิ์สะอาดแท้แล้วก็ยืนหยัดได้ตลอดแล้วก็ปัญญา ความรู้ นี้ตัวนี้ก็ถ้าถึงความจริงแล้วมันไม่มีอะไรจะมารบล้างได้ ถูกไหม นี่ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
1 ปัญญารู้ความจริงไม่มีอะไรมาลบล้างได้
2 ความบริสุทธิ์ตรวจสอบยังไงก็ไม่หวั่นไหวทนทานได้ตลอด
แล้วพ่วงมาด้วยเมื่อบริสุทธิ์เมื่อสะอาดเมื่อมีปัญญารู้ความจริงก็สงบได้จริง ไม่ต้องวุ่นวายพลุ่งพล่านแล้วใช่ไหม คนที่รู้จริงแล้วบริสุทธิ์ก็สงบ ตัวเองก็ไม่ต้องทำอะไรเพื่อตนเองแล้ว คำนึงถึงแต่ผู้อื่น ก็มีความเมตตากรุณาเพื่อผู้อื่นอย่างเดียว นั้นในพระพุทธเจ้าก็มาเข้าคตินี้ ตกลงบุคคลนั้นพระพุทธเจ้าก็นิพาน นิพพานก็คือดับกิเลสหมด ความเศร้าหมองอะไรต่ออะไรไม่มีบริสุทธิ์สะอาด แล้วก็ดับโมหะก็คือดับความไม่รู้ด้วยปัญญาสว่างหมด นี่คือนิพพาน ดับกิเลสก็เลยดับทุกข์ด้วย ดับทุกข์ดับโมหะ ดับอวิชชา มีปัญญารู้สัจธรรมความจริงแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตนเองอย่างที่พูดไปแล้ว เพราะนิพพานแล้วตัวเองก็ไม่มีทุกข์เหลือก็เป็นสุขอย่างเดียว พอเป็นสุขอย่างเดียวก็เลยไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป นี่คือคุณสมบัติของพระอรหันต์ เมื่อไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองตอนนี้ก็คำนึงถึงจะทำเพื่อโลกอย่างเดียว
ก็เลยเข้าคติเนี่ย บุคคลนี่จะทำตัวให้นิพพาน แล้วก็ พะหุชนะหิตายะ พะหุชะนะสุขายะ โลกนุกัมปาชนะ ก็คือปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพหูชนเพื่อเกื้อกูลต่อชาวโลกนั้นมันก็มาประสานกันตรงนี้ นี่คืออุดมคติอุดมการณ์หลักการสูงสุดของพุทธศาสนาจะเห็นว่าหลักการของเราเนี่ย บางทีเราไปลืมไม่เอามาประสานกัน ท่านให้เราปฏิบัติเจริญไตรสิกขาอะไรเพื่อจะบรรลุนิพพานนี่เราก็ไม่เข้าใจชัด นิพพานก็คือเราทำเรื่องของเราให้มันหมดจะมองในแง่ว่าเต็มอิ่มก็ได้ จะได้มีความสุขเต็มที่ไม่มีทุกข์เหลืออยู่ จะได้หมดกิเลส หมดอวิชชา หมดความไม่รู้มีปัญญาแจ่มแจ้งเข้าถึงสัจธรรมรู้ความจริงก็คือบุคคลนั้นสมบูรณ์ถ้ามองในแง่หนึ่ง ก็นิพพาน บุคคลนิพพาน นิพพานตัวเองก็เลยไม่มีเหลือ บุคคลนิพพาน นิพพานดับตัวตนไปเลยเพราะมันไม่ต้องมีตัวตนที่จะได้จะเอาแล้ว เพราะมันดับตัวตนที่จะต้องคอยจ้องจะได้จะเอา หรือแม้แต่ตัวตนที่จะต้องบรรลุนิพพานไม่มีตัวตนที่แม้แต่จะต้องฝึก แต่ก่อนเราจะต้องฝึกตน พอบรรลุนิพพานแล้วไม่มีตัวตนที่จะต้องคำนึงถึงแม้แต่จะต้องฝึก ดับหมด แม้แต่ตัวตนไม่มีตัวตนเเหลืออยู่ เรื่องตัวตนไม่มีเหลือแล้วนิพพานนี่ พอเรื่องตัวตนไม่มีเหลือนี่มันก็มาประสานกับหลักการว่าทำการเพื่อโลกอย่างเดียว แต่ระหว่างนั้นมันประสานมันเกื้อหนุนกันอยู่ ระหว่างที่ปฏิบัติเพื่อนิพพานเนี่ยก็ทำการเพื่อโลกไปด้วย เพราะการปฏิบัติช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเมตตากรุณาด้วยทานเป็นต้น อย่างเราไปบำเพ็ญทาน ทำสังคหวัตถุคือช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมเป็นการฝึกตัวเองไป เราไปทำทานนะฝึกตัวเองนะ ถูกไหม เวลาเราไปบริจาคถ้าเราทำถูกนะเราไม่ใช่มัวไปหวังผลตอบแทนซะ เราก็ทำทานไปบริจาคเรากำจัดกิเลสเราจะได้เผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อนมนุษย์ กิเลสเราก็น้องลง ปัญญาเราก็พิจารณาว่าเราทำยังไงจะได้ประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากขึ้น เราก็พัฒนาตัวเองฝึกตัวเองดีขึ้น อ้าวเราปฏิบัติทางไปสู่นิพพานเราก็ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วยแต่เป็นการฝึกตัวเอง เป้าหมายมันอยู่ที่ฝึกตัวเอง แต่ทีนี้สำหรับท่านที่บรรลุนิพพานแล้ว ตอนนี้จบกิจเพื่อตัวเอง ไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเองแล้ว คราวนี้เรื่องตัวตนไม่มีดับตัวตนหมดเลย คราวนี้ทำการเพื่อโลกอย่างเดียว ก็เหลือแต่พะหุชนะหิตายะ พะหุชนะสุขายะ โลกัมนุมายะ พระพุทธเจ้าก็เลยมีพุทธพจน์ ในพระไตรปิฏก ท่านไปดูซิครับเยอะไปหมดเลย ตั้งแต่ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาครั้งแรก ก็ จะราถะพิขะเว จาริกัง หุชนะหิตายะ พุหุชนะสุขายะโลกัมนุกัมปายะ เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่พหูชนเกื้อการุณย์แก่ชาวโลก นี่หลักพุทธศาสนารวมแล้วก็มาบรรจบที่นี้ บุคคลนิพพานทำการเพื่อโลก แล้ว 2 อันนี้ก็หนุนซึ่งกันและกัน พอเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ต้องทำการเพื่อตนเองแล้ว เรื่องบุคคลนิพพานก็จบ เพื่อทำการเพื่อโลกอย่างเดียว ก็จบที่ตรงนี้ เข้าใจแล้วนะวันนี้ เอาไปพูดได้แล้วนะเรื่องนี้ เรื่องจตุคามรามเทพได้หลัก พอไหมจะแก้ปัญหาสังคมไทย หลักการนี้พอไหม ถ้าคนไทยเข้มแข็งปฏิบัติตามหลักการณ์นี้ไม่ต้องกลัวเลยใช่ไหมมั่นใจได้เลย แล้วเราก็ไม่ต้องไปรุนแรงต่อเทพเจ้าด้วยไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนอะไรท่านหรอก เอาเราให้เกียรติได้หมด ทำไมพุทธศาสนาจึงได้ไม่ต้องยุ่งไม่ต้องรุนแรงอะไรกับใครอยู่กันด้วยเมตตากรุณา เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็ว่ากันแค่นี้ เอาละครับโมทนาเวลาเยอะแล้ว