แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขออำนวยพร ท่านนายกสภาสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พร้อมด้วยท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี ท่านคณบดี แล้วก็ท่านอาจารย์ทุกท่าน พร้อมทั้งญาติโยมพุทธศาสนิกชน ที่ได้มาร่วมพิธีในวันนี้
อาตมาภาพรู้สึกอนุโมทนาเป็นพิเศษในการที่ท่านนายกสภาพร้อมด้วยท่านอธิการบดีแล้วก็โดยเฉพาะที่คณะ คือคณะบดีที่ได้มาถวายวันนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องไม่ใช่เฉพาะวันนี้ที่อนุโมทนานี้เป็นการสืบเนื่องจากเรื่องที่เป็นมาเก่า ท่านนายกสภาท่านก็เรียกว่ามีเมตตาก็ได้มาที่วัดนี้เคยมาเยี่ยมอาตมาภาพตั้งแต่ปีก่อน ๆ แล้วตอนระยะที่เตรียมการต่าง ๆ นี้ก็มีความรู้สึกว่าทางสถาบันนี่จริงจังมาก ท่านคณบดีพร้อมด้วยอาจารย์ประสิทธิ์ จารัสจนา ก็มากันบ่อย ๆ มาเตรียมการต่าง ๆ รู้สึกว่าตั้งใจจริงมาก อันนี้ก็เป็นความรู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำใจ แต่พร้อมกันนี้ อาตมาภาพเองก็ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ว่าตัวเองก็แทบไม่ได้ต้อนรับเลย คือท่านคณบดีมาก็ไม่ได้พบกันเพราะตัวเองก็มัวแต่อาพาธเสีย ความจริงก็พอพบกันได้แต่ว่า ทางพระท่านมักจะสงสารว่า พบคุยกับใครแล้วก็ไปมีปัญหาติดตามมา เพราะว่าปอดไม่ดี ปอดไม่ค่อยมีกำลังยิ่งอายุมากขึ้นแต่ก่อนเนี่ยอายุน้อยหน่อยนี้ เวลาพูดมันก็จะพอมีแรงขึ้นมาสู้ แต่เวลานี้พูดไปมีแต่หวิวจะเป็นลม แล้วก็เลยต้องขออภัยไว้ด้วย ทีนี้วันนี้นอกจากว่าทางฝ่ายทางสถาบันราชภัฏและทางญาติโยมประชาชนก็ต้องขออนุโมทนาท่านผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ท่านผู้ว่าราชกายจังหวัดนครปฐม ก็ได้มีเมตตาเช่นเดียวกันได้มาถือว่าเป็นฝ่ายญาติโยมประชาชนที่ท้องถิ่นจังหวัดนี้มาร่วมอนุโมทนา ทีนี้การจัดเตรียมต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าหากว่ามีขาดตกบกพร่องก็ต้องขอประทานอภัย ถือว่าเป็นเรื่องขาดฝ่ายวัด นี้ถ้าพูดเป็นล้อกันก็บอกว่าส่วนที่ขาดนี่เป็นเรื่องของวัดส่วนที่เกินนี่เป็นของราชภัฏ แต่ว่าเกินในที่นี้ก็ต้องมองว่าเกินในแงดี คือเกินนี่ก็เขาเรียกว่าพิเศษนั่นเอง พิเศษนี่ก็คือเกินกว่าปกติ ทีนี้ส่วนทางวัดนั้นก็ต้องขอแก้ตัว ถ้าหากจะมีอะไรขาดตกบกพร่องก็ไม่ใช่ว่าทางวัดไม่ได้เห็นความ ไม่ใช่ว่าไม่เห็นความสำคัญ ก็เห็นความสำคัญโดยเฉพาะก็อย่างที่กล่าวเมื่อกี้ซาบซึ้งในน้ำใจของท่าน แต่ว่าทางวัดนี่ก็ประการหนึ่งก็เป็นวัดเล็ก ๆ มีพระไม่กี่องค์ ที่วัดมีพระอยู่นิดเดียวก็ 10 กว่ารูปเท่านั้น นี่ขนาดในพรรษาถ้ายิ่งนอกพรรษาก็ยิ่งน้อย แล้วอีกประการหนึ่งคือทางวัดนี่ก็จะให้ความสำคัญแก่เรื่องธรรมชาติ ก็เลยเหมือนกับว่ามาก็ต้อนรับกันตามธรรมชาติก็แล้วกัน ก็เลยเป็นเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ เพราะฉะนั้นก็เลยเรียกว่า ขออภัยก็เป็นการแก้ตัวไปด้วย แต่รวมทั้งหมดก็คือเป็นการที่ว่าซาบซึ้งในน้ำใจของทางสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ต้องเรียกว่าอย่างยิ่ง อาตมาภาพก็ได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก
เป็นแหล่งให้การศึกษา เป็นสถาบันฝึกหัดครูมาแต่เก่าแก่ แต่ก่อนนี้ก็คงจะเรียกโรงเรียนฝึกหัดครูก่อน ต่อมาก็เป็นวิทยาลัยครู แล้วมาปัจจุบันนี้ก็เป็นสถาบันราชภัฏก็เป็นเรื่องของวิวัฒนาการทางด้านการศึกษาแล้วก็เรื่องของการจัดการศึกษาของสังคมไทย นี้การที่ทางสภาสถาบันราชภัฏ มีมติถวายปริญญานี้ก็อย่างที่กล่าวแล้วเนี่ยก็เป็นการแสดงน้ำใจต่ออาตมาภาพ แต่เบื้องหลังน้ำใจต่ออาตมาภาพที่เป็นพื้นฐานลงไปก็คือความปรารถนาดีต่อสังคมไทย แล้วจัดเรื่องของปริญญาอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นมาที่แท้จริงนั้นความมุ่งหมายก็อยู่ที่มุ่งหวังประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติก็อย่างที่ท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดีก็ได้กล่าวในตอนที่อ่านคำประกาศเกียรติคุณอะไรเมื่อกี้เนี้ย หรือสดุดีก็จะบอกให้ว่าอาตมาภาพมีกำลังทำงานให้เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติอะไรเนี่ย และก็นี่แสดงว่าที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายอันนี้ไปอยู่ที่ประโยชน์เพื่อส่วนรวม อันนี้น้ำใจต่อส่วนรวมนี้เป็นเรื่องสำคัญ ในที่สุดเราก็มีจุดหมายร่วมกันเพื่ออันนี้นั่นเอง แล้วทำใจอย่างนี้มองอย่างนี้แล้วสบายใจได้หมายความว่า อาตมาภาพเองก็ควรจะมีความมุ่งหวังเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมเพราะว่าทางสถาบันราชภัฏมีน้ำใจมาด้วยเหตุผลอันนี้แล้วก็มาร่วมมือกันทำงานกันเพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมประเทศชาติตลอดกระทั่งชาวโลกต่อไป
นี้มามองดูเรื่องของสังคมประเทศชาติปัจจุบันนี้ เรามองดูกระแสเสียงทั่ว ๆ ไป จะพูดในเชิงน่าเป็นห่วงมาก แล้วพูดกันมาหลายปีแล้วเรื่องวิกฤตต่าง ๆ มีวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ว่าที่แท้นั้นเบื้องหลังวิกฤตเศรษฐกิจก็คือวิกฤตทางสังคม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเป็นฐานแล้วก็น่าจะมีมาก่อนวิกฤตเศรษฐกิจด้วยซ้ำ วิกฤตเศรษฐกิจนี่เป็นเพียงตัวแสดงผลปรากฏเป็นแผลหรือเป็นโรคที่ปรากฏตัวออกมาในท่ามกลางสภาพที่แท้จริงก็คือวิกฤตทางสังคม เราไปเน้นเรื่องเศรษฐกิจกันมากเราก็อาจจะลืมมองเรื่องวิกฤตทางสังคม เมื่อวิกฤตทางเศรษฐกิจเด่นมานาน แล้วตัวจริงที่แท้เดี๋ยวนี้มันโผล่แล้วแหละ คือวิกฤตทางสังคม เวลานี้วิกฤตทางสังคมนี้เด่นชัดมาก แล้วก็เป็นเรื่องที่ลงไปถึงเด็กและเยาวชน ซึ่งเราก็พูดเป็นคติเป็นคำขวัญกันมาทุกปี บอกว่าเด็กเป็นอนาคตของชาติ ทีนี้ถ้าอนาคตของชาติเวลานี้เป็นอย่างนี้แล้วก็ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็คาดหมายได้ก็คือเป็นสภาพที่หน้าหวั่นกลัว นี้จะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะไม่นานนี้ 2-3 วันนี้เองก็ได้พบในสื่อมวลชนก็ได้พูดถึงเรื่องของงานวิจัยหรือว่าการทำเรื่องของสถิติอะไรต่าง ๆ เหล่านี้แล้วก็ดูสภาพต่าง ๆ ของสังคม เรื่องของค่านิยม เรื่องของทัศนคติ เรื่องของคุณภาพของคน มาใกล้ ๆ กันบอกคุณภาพด้านการศึกษาของเด็กไทยนี้เสื่อมมาก ทางด้านคุณภาพทางวิชาการก็ตกมาก วิชาการต่าง ๆอ่อน แล้วมาเมื่อวานนี้ก็ได้เรื่องภาษาอังกฤษ ฉบับหนึ่งก็ลงไปเทียบ เวลาไปสอบไปต่างประเทศ อย่างพวก TOEFL นี่ก็ได้แค่อะไร พอจะจำได้นิด ๆ หน่อย ๆ ว่า ของไทยนี่ต่ำกว่า 500 ซึ่งปกติในอเมริกานี่เขาก็ไม่เคยรับอยู่แล้วก็แค่ 500 ขึ้นไปหลายสถาบันอาจจะต้องรับตั้ง 550 บางสถาบันก็รับ 500 เด็กไทยนี้ได้แค่ 498 มีอยู่ประเทศเดียวที่ต่ำกว่าประเทศไทยยังไม่พูดถึง นอกนั้นในเอเซียด้วยกันนี่เขาสูงกว่า ทางด้านสิงคโปร์นี่ขึ้นไปถึง 596 มากว่าไทยนี่เกือบ 100 นี่เป็นเรื่องของการศึกษาเฉพาะภาษาอังกฤษ วิชาอื่น ๆ ก่อนนี้ก็มีพูดกันแล้ว เรื่องวิชาการด้านคำนวณ คณิตศาสตร์ เรื่องวิชาวิทยาศาสตร์อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้าหลังเขาไป
แม้แต่ว่ามีเด็กไทยที่ไปแข่งขันในระดับโลกได้คะแนนดี ๆ มา คนไทยก็ให้ความสนใจน้อย คือจะไปสนใจเรื่องของดารามากกว่า คือเด็กที่ทำคะแนนดีเชิดหน้าชูตาทางปัญญาของสังคมนี่จะเห็นว่าสังคมไทยไม่ค่อยความสำคัญ เราจะไปให้ความสำคัญข่าว ในเรื่องของความเด่นดัง เรื่องโก้เก๋ดาราไป อันนี้มันก็แสดงค่านิยมของคนไทยอยู่ในตัว ซึ่งก็น่าเป็นห่วง แล้วก็เขาก็สำรวจทัศนคติของคนไทยทั่ว ๆ ไป หนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็พูดถึงว่า เด็กยุคนี้มีความคาดหมายเรื่องของอนาคตก็จะมุ่งไปถึงผลประโยชน์ส่วนตัวความก้าวหน้าของตัวอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แทนที่จะคำนึงถึงสังคมจิตสำนึกต่อส่วนรวมการสร้างสรรค์ประเทศชาติไม่ค่อยมี อย่างนี้ก็หมายความว่าดูด้านไหนก็น่าเป็นห่วงไปหมด เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วในที่สุดเรื่องก็ต้องมาถึงการศึกษา หนีไม่พ้น เพราะว่าผลที่ปรากฏอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็การสร้างคนก็คือเรื่องของการศึกษา นั้นก็กลายเป็นว่าในที่สุดคนจะต้องมาโทษการศึกษาว่า การศึกษาของเรานี่คงจะต้องมีอะไรบกพร่องจึงได้พูดเป็นภาษาเศรษฐกิจแบบที่นิยมปัจจุบันว่าจึงได้ผลผลิต ก็เรียกเป็นแบบภาษาเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้เขาชอบใช้ภาษาเศรษฐกิจ แม้แต่ใช้ทางด้านอื่น ๆ ก็กลายเป็นเอาศัพท์เศรษฐกิจมาใช้วัดด้วยตัวเลข วัดด้วยรูปธรรมเป็นปริมาณเป็นอะไรไปหมด อันนี้คุณภาพอย่างนี้เมื่อมาเป็นเรื่องเกี่ยวการศึกษาเราก็ต้องคิดมาพิจารณากันว่ามันเป็นอย่างไรเพราะว่าสภาพจิตใจของคนอย่างนี้ แสดงถึงการขาดการศึกษานั่นเอง หรือการศึกษาไม่ค่อยมี การศึกษาไม่ค่อยมีอยู่ในชีวิต ที่จริงการศึกษานั้นเป็นเรื่องของชีวิต ความจริงเราต้องการให้การศึกษานั้นมันเต็มไปทั้งชีวิตเลย ชีวิตอยู่ด้วยการศึกษา มีการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเองตลอดเวลาและพัฒนาพฤติกรรมกายวาจา พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา มันต้องไปตลอดเวลา อันนี้มันไปสนองด้านความรู้สึกเสียมาก ด้านปัญญาที่เป็นตัวเอกที่เป็นด้านรู้เนี่ยไม่ค่อยได้รับการกระตุ้นหรือปลุกเร้าหรือว่าส่งเสริม แต่จะมีการกระตุ้นในด้านความรู้สึกเสียมาก ความรู้สึกก็จะออกในแง่ของอารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่มากระตุ้นนี่ขอให้ดูเถอะ จะเป็นเรื่องการกระตุ้นความรู้สึกปลุกเล้าที่ทำให้เกิด สิ่งที่ทางพระเรียกว่ากิเลส พูดสั้น ๆ ก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะโทสะโมหะ โลภะราคะก็คือความต้องการเอาเพื่อตัว โทสะก็คือการกีดกันทำร้ายผู้อื่น แล้วก็โมหะก็คือความมัวเมาประมาทปล่อยปละละเลย ลุ่มหลง เมื่อคนคิดแต่จะเอาเพื่อตัวเอง มันก็ขัดใจกับคนอื่นต้องแย่งชิงกัน โทสะมันก็ต้องมา ทีนี้พอได้ตามใจของตัวเองมันก็ลุ่มหลงเพลิดเพลินติดอยู่ใต้ไอ้ความสุขความเพลิดเพลินนั้นมันก็ปล่อยปละละเลยสิ่งทีควรทำก็ไม่ควรทำ แล้วก็ไม่ได้ทำ มันก็มาเป็นกระบวนแหละ โลภะโทสะโมหะ หรือราคะโทสะโมหะ ฉะนั้นถ้าแก้ก็จุดหนึ่งมันก็แก้ไปด้วยกัน นี้คนที่ถูกกระตุ้นจนได้ความรู้สึกนี่แน่นอนมันก็จะต้องมีเรื่องความชอบ ความชัง ตามภาษาพระว่า ก็คือเรื่องของโลภะโทสะโมหะเนี่ยมันจะถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา คิดจะได้จะเอา จะได้จะเอาอย่างนี้ อันนี้ปัญญาความคิดม้นก็ไปสนอง ว่าทำยังไงจะได้เพื่อตัวเอง ถ้าคนอื่นขัดเราก็ต้องคิดว่า ทำไงจะทำลายขัดขวางเขาได้ แล้วก็ต่อจากนั้นก็ลุ่มหลงมัวเมา ปัญญาก็เริ่มทำหน้าที่ ปัญญาหมายความว่า พอทำหน้าที่แค่เพื่อจะเอาเพื่อตัวแล้วก็เพื่อจะทำร้ายคนอื่นขัดขวางก็จบหน้าที่ แล้วก็หยุดเป็นงานของโมหะไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของสภาพที่ทางพระท่านเรียกว่า อัตถปัญญา อัตถปัญญาแปลว่าปัญญาเพื่อประโยชน์ตน มีพุทธสุภาษิตบอกว่า อัตถปัญญา อสุจี มนุสสา แปลว่ามนุษย์ที่มีปัญญาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ตนนั้นเป็นคนไม่สะอาด คือเป็นคนสกปรกนั่นเอง นั้นทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ นั้นเรื่องของมนุษย์เนี่ย สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมากที่เข้ามากระตุ้นอยู่ตลอดเวลา นี้ตอนนี้มันเป็นการกระตุ้นด้านความรู้สึกที่ว่ามาสนองเรื่องโลภะโทสะโมหะ นี้ถ้าความรู้สึกเราจะต้องมากระตุ้นด้านความรู้สึกที่เป็นฝ่ายดี ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่าอารมณ์ คืออารมณ์นี้มีฝ่ายบวกฝ่ายลบ อารมณ์ฝ่ายลบ หรือว่าความรู้สึกฝ่ายไม่ดีก็คือความโลภความโกรธความหลงอย่างที่ว่าเมื่อกี้จะได้จะเอาจะคิดร้าย แยงชิงผู้อื่น ลุ่มหลงมัวเมาประมาท นี้ฝ่ายที่จะเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ฝ่ายดีก็คือเมตตากรุณา ความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเขา การมีความสุขจากการได้ทำประโยชน์อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกเหมือนกันคือฝ่ายดี ถ้ามีความรู้สึกฝ่ายดีขึ้นมาที่ตรงข้าม เช่นว่า แทนที่จะมุ่งจะได้จะเอาเพื่อตัว ก็คิดมีความรู้สึกที่รักคนอื่น อยากจะช่วยเหลือเขามีเมตตากรุณา ไอ้เจ้าปัญญมันก็มาสนอง ตอนนี้มันคิดว่าจะทำยังไงช่วยเหลือเขาได้ ก็หาทางช่วยเหลือไป แทนที่มันจะเกิดกิเลส มันก็เกิดกลายเป็นคุณธรรม ฉะนั้นถ้าจะสร้างความรู้สึกก็ต้องสร้างความรู้สึกที่ดี นี้มนุษย์ทั่วไปนี้เป็นธรรมดาว่าตกอยู่ในอำนาจสิ่งแวดล้อมมาก
ทางพุทธศาสนาท่านเน้นบอกว่าสำหรับคนทั่วไปนี้นะ ปัจจัยภายนอกเป็นตัวเด่น ปัจจัยภายในนี่เป็นแกนที่เราจะต้องสร้างการศึกษาจะต้องมุ่งไปที่ปัจจัยภายใน แต่ว่าเราต้องยอมรับความจริงว่าคนทั่วไปเนี่ยขึ้นต่อปัจจัยภายนอกมาก แล้วทำไงจะให้ปัจจัยภายนอกนี่มาหนุนปัจจัยภายในที่ดีขึ้นมาแทนที่จะปล่อยปละละเลยให้ปัจจัยภายนอกไอ้ตัวร้าย ๆ มากระตุ้นอยู่ฝ่ายเดียว เวลานี้ก็เท่ากับว่าเราปล่อยให้ปัจจัยภายนอกนี่ มากระตุ้นเร้าในฝ่ายไม่ดีตลอดเวลา ขอให้ดูสื่อมวลชนเถอะ มีแต่ปัจจัยกระตุ้นความรู้สึกในเรื่องความโลภ ความจะเอาจะได้การบำรุงบำเรอตัวเองหาความสุขส่วนตน การจะคิดร้าย ประทุษร้ายมาทำอันตรายผู้อื่นแย่งชิงการลุ่มหลงมัวเมา นี่ก็คือกระตุ้นความรู้สึกที่ไม่ดี นี่คือปัจจัยภายนอก เมื่อปัจจัยภายนอกอย่างนี้มันสะพรั่งทั่วไปทางสังคมแล้ว คนจะเป็นยังไงในเมื่อมนุษย์สามัญจะตกอยู่ในอำนาจปัจจัยภายนอกเป็นใหญ่ ปัจจัยภายนอกที่ดีไม่มีโอกาสเข้ามา นี้เรื่องของการศึกษานี้ก็มีปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน ท่านก็บอกว่าปัจจัยภายในนี่เป็นตัวแทนที่เราจะต้องสร้างแต่ว่าจะเกิดขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เมื่อปัจจัยภายนอกมีแต่ไอ้เจ้าตัวกระตุ้นความรู้สึกที่ก่อให้เกิดโลภะโทสะโมหะ การศึกษามันจะเกิดยังไง มันก็มีแต่การสนองความต้องการที่เป็นโลภะโทสะโมหะมันก็เดินหน้าไปในเรื่องที่บอกเมื่อกี้ว่าเป็นอัตถปัญญา อสุจีมนุสะ ก็กลายเป็นว่าคนที่เห็นแก่ตัวนี่เป็นคนสกปรก เอ้ไปมาสังคมนี้ดีไม่ดีเป็นสังคมสกปรกไปเลย นี้ทำยังไงเราจะแก้ไขการศึกษาก็ต้องทำหน้าที่ปัจจัยภายนอกให้ถูกต้อง นี้ปัจจัยภายนอกนี่ต้องสร้างฝ่ายดีตลอดเวลาเหมือนกัน ในเมื่อสังคมเวลานี้เต็มไปด้วยปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นเร้าฝ่ายร้าย ความรู้สึกที่ไม่ดีเราจะทำไง เราก็ต้องร่นถอยอย่างมีระเบียบใช่ไหม ร่นถอยยังไง ร่นถอยอย่างมีระเบียบนี่สังคมของเราสะพรั่งเต็มไปหมดเลยหันไปทางไหนก็มีสิ่งกระตุ้นเล้าไม่ค่อยดีนี่ ถ้าเราดูแคบเข้าไป แคบเข้าไป จากสังคมนอกเข้าไปก็แคบเข้ามาก็ไปถึงครอบครัว ถ้าครอบครัวยังตั้งหลักได้ดีอยู่เนี่ยก็มีหวังว่าเรายังตรึงไว้ได้ ความเสื่อมมันจะเข้ามาได้แค่ขอบเขตหนึ่ง แล้วยังมีด่านสุดท้ายเนี่ยคือครอบครัวนี่จะช่วยได้ เราก็ต้องมาเน้นเรื่องครอบครัวกันเพราะว่าครอบครัวนี้พ่อแม่เป็นปัจจัยภานอกที่สำคัญมากที่ท่านเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร เพราะเป็นปัจจัยภายนอกที่ดีก็จะกระตุ้นปัจจัยภายในที่ดีงามเกิดขึ้น เช่นความรู้จักคิด ๆ เป็นอะไรต่าง ๆ หรือปัจจัยทางด้านจิตใจ เรื่องของความมีระเบียบวินัยออกมาทางพฤติกรรมอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เราก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกในครอบครัว
นี้เวลานี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราจะต้องมาหาทางช่วยศึกษาของประเทศชาติสังคมของเรา ซึ่งคิดว่าเราจะต้องลงมาถึงขั้นพื้นฐานแล้ว การศึกษาจะต้องประสานกับบ้านโรงเรียนกับบ้านนี่จะแยกกันไม่ได้ แล้วโดยเฉพาะอาจจะต้องเอาการศึกษาหรือทางสถาบันการศึกษานี่ไปช่วยกระตุ้นสร้างกำลังให้แก่ครอบครัวขึ้นมา ให้ครอบครัวนี่เข้มแข็งขึ้นมา ถ้าครอบครัวไม่เข้มแข็งนี่สังคมไทยไม่มีทางเข้มแข็งมันก็จะปวกเปียกป้อแป้ แล้วในครอบครัวนี้ในที่สุดมันก็ไปถึงใคร ในที่สุดในครอบครัวนี่แกนสำคัญที่สุดคือแม่ ทางวัฒนธรรมไทยเราเนี่ย เราจำกันมาแต่ไหนแต่ไรว่า พระคุณแม่ นี้พระคุณพ่อแม่นี่พูดให้กว้างขึ้นเป็นเครื่องคุ้มครองลูก พระคุณแม่ แล้วก็รวมทั้งคุณพ่อคุ้มครองลูกได้อย่างไร เรื่องพระคุณคืออะไร ก็คือคุณความดีความรักความเมตตากรุณาเป็นต้นที่ซาบซึ้งลึกลงไปแฝงฝังอยู่ในจิตใจ จนกระทั่งว่ามันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของคนนั้นอย่างไม่ต้องรู้ตัวเลย เหมือนอย่างฝ่ายร้ายนี้เราเข้าไปในป่า ใครร้องขึ้นมาว่าเสือเท่านั้นแหละไม่ต้องไปคิดแล้ว เจริญพร ไม่ต้องไปนึกว่าเสือรูปร่างเป็นยังไงมันจะทำยังไงกับเรา ไม่ต้องไปคิดเสียเวลาหรอก เข่าอ่อนทันทีเลย เดี๋ยวมันก็ตกใจวิ่งทันที อะไรก็แล้วแต่นี่ ก็เช่นเดียวกัน พระคุณแม่ก็ให้ซาบซึ้งอยู่ในใจลูกเนี่ยฝังลึกจนกระทั่งว่าไม่ต้องมาคิดมานึกแล้วเกิดเหตุการณ์ขึ้นมานี่จะเกิดความรู้สึกถึงแม่ทันที แล้วก็จะแสดงออกมาได้โดยไม่ต้องรู้ตัว โดยไม่ต้องคิดต้องนึก เหมือนอย่างว่าถ้ากำลังเงื้อมีดจะทำร้ายใครสักคนหนึ่ง ใครพูดขึ้นมาว่าแม่เท่านั้นแหละ ให้มืออ่อนมีดหลุดจากมือไปเลย อย่างงี้แหละใช้ได้ นี้ถ้าหากว่า พระคุณของแม่ซาบซึ้งถึงขั้นนี้ ก็จะมีผลต่อชีวิตต่อสังคมอย่างมาก แต่น่าเสียดายว่าเวลานี้เรื่องนี้ เรื่องพระคุณของแม่นี่กำลังจะอ่อน ๆ กำลังไปมากแล้ว จนกระทั่งว่าบางทีน่ากลัวมากก็ถือว่าไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว แม่ก็ไม่ได้รักลูก ๆ ก็ไม่ได้รักแม่ ความผูกพันธ์ทางใจก็ไม่มี แต่ไม่ใช่หมายความว่าหมดนะแต่ก็ยังมีอยู่เยอะ แต่ว่ามันชักจะเลือนลางเสื่อมคลายลงไป เพราะฉะนั้นต้องมาเตือน มาย้ำ มาเน้นกันว่า ให้พยายามปลูกฝังอันนี้ขึ้นมาให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของแม่ด้วยความที่ผูกพันกันอย่างแน่นสนิทฝังใจ อย่างที่พูดเมื่อกี้ว่า เวลาได้ยินคำว่าแม่แล้วเนี่ยความซาบซ้ำจะแสดงออกมาเอง โดยไม่ต้องคิดต้องนึกเลย อย่างที่บอกว่ากำลังจะยกมือขึ้นจะยิงใคร จะทำร้ายใคร พอมาได้ยินคำว่าแม่นี่ ปืนหลุดจากมือทันที อย่างนี้ละก็ นี่เรียกว่าพระคุณของแม่ก็เข้ามาคุ้มครองแล้ว เขาจะทำอะไรที่เสียหายร้ายแรงทำบาปทำกรรมก็หยุดได้ นี่พระคุณของแม่ก็ต้องอย่างนั้น พอพูดขึ้นมาว่าแม่เท่านั้นแหละความรู้สึกดี ๆ ต่าง ๆ นี่ขึ้นมาเลยไม่ต้องไปนึกเสียเวลา อันนี้คือพระคุณที่แท้จริงที่จะคุ้มครองได้ คำว่าคุ้มครองนี้ก็หมายความว่าลูกนี่มีความรู้สึกซาบซึ้งในความรักความเมตตาของแม่มาตั้งแต่เล็กแต่อ้อนแต่ออก จะเรียกว่าตั้งแต่อยู่ในท้องก็ได้นะ ก็เลี้ยงประคบประหงมกันมาเนี่ยพอโตขึ้นมานี่ไปไหนเนี่ยพอจะไปทำอะไรที่ไม่ดีนี่นึกถึงแม่แล้ว โอ๋แม่สอนเราไว้ หรือจะทำอะไรนี่เห็นแก่แม่นะ แม่นึกอยู่เนี่ยแล้วถ้ารู้แม่รู้นี่ว่าเราทำไม่ดีนี่ แม่จะไปทุกข์เดือดร้อนยังไง พอนึกอย่างนี้แล้วเนี่ยจะเกิดความยับยั้งชั่งใจ นี่เรียกว่าพระคุณแม่มาคุ้มครอง ที่ว่าคุ้มครองนี่คุ้มครองอย่างนี้
หรือว่าคนที่มีความซาบซึ้งจิตใจต่อพระคุณของแม่นี่ เวลาไปข้างนอกไปพบผู้หญิงอื่นไปพบผู้หญิงอายุมากสูง ๆ ท่านผู้เฒ่าชราก็จะมีความรู้สึกนึกถึงแม่ ความรู้สึกที่ดีก็มี ความรู้สึกต่อคนแก่นั้นก็จะมีในทางที่เป็นความรู้สึกต่อแม่ อย่างวัฒนธรรมไทยของเราที่เรียกว่า เป็นป้า เป็นลุง เป็นตา เป็นยายอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ความรู้สึกทีดีก็จะมา ทีนี้ถ้าเราไม่มีความรู้สึกแบบพระคุณแม่ที่ซาบซึ้งอย่างนี้ไปเห็นคนแก่ผู้หญิงเราก็อาจจะเกิดความรังเกียจ นี้ลดลงมาไปพบผู้หญิงอายุน้อย ๆ ลงไป พอไปพบเด็กผู้หญิงสาวอะไรต่าง ๆ เนี่ย ถ้าปลูกฝังกันมาดีในครอบครัวมีพระคุณแม่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนี่ความรู้สึกเหล่านี้จะมาโน้มน้อมจิตใจให้นึกถึง พอมองเห็นผู้หญิงอื่น เอ้อแม่ก็ทำให้เรานึกไปถึงพระคุณของท่านความเป็นผู้หญิงนั้นน่ะมันกระตุ้นความรู้สึกสองด่าน ถ้ามีแต่สัญชาตญาณก็จะมีเรื่องเพศอย่างเดียว แต่ถ้ามีเรื่องพระคุณของแม่อยู่เนี่ยความรู้สึกที่ดีก็จะเกิดขึ้น ได้ความรู้สึกที่ดีต่อแม่เนี่ยจะโยงไปหาพี่น้องก็จะนึกถึงผู้หญิงนั้นแบบเป็นพี่เป็นน้อง ความรู้สึกในทางงดงามมีจิตใจประกอบด้วยคุณธรรมเมตตากรุณาก็เกิดขึ้น ปัญหาสังคมก็จะลดน้อยลงไปเอง แต่ถ้าพระคุณแม่ไม่มีที่จะคุ้มครองแล้วต่อไปเนี่ยผู้ชายไปพบผู้หญิงก็มีแต่ความรู้สึกทางเพศอย่างเดียวแน่นอนว่าปัญหาสังคมนี้จะต้องเกิดขึ้นอาชญากรรมจะต้องมากมาย อันนั้นจะต้องฟื้นพระคุณแม่ขึ้นมาให้ได้ เวลานี้เราแทบจะหมดแล้วนะความรู้สึกว่าพระคุณแม่ก็แทบจะหายไปแล้ว
เพราะฉะนั้นขอพูดเลยว่า ถ้าพระคุณแม่ไม่กลับมาโลกาวอดวายแน่ นี่ต้องตั้งมุ่งหมายเลยว่าต้องฟื้นให้ได้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก พ่อนี่ก็มาคอยปกปักรักษา มาช่วยดูแลคุ้มครองให้อีกทีหนึ่ง แต่ด่านแรกที่สุด แกนของสังคมเนี้ยก็คือแม่ แม่นี่แหละจะเป็นผู้อุ้มชูสังคมนี้ให้อยู่รอดต่อไป แล้วก็เป็นผู้ที่จะจูงลูกเข้าสู่การศึกษา ตอนนี้เรามาหวังกันเถิดว่าจะต้องมาให้แม่เนี่ยช่วยจูงลูกเข้าสู่การศึกษา โดยมีพ่อคอยช่วยปกปักคุ้มครองอยู่ แล้วพอแม่ดึงลูกเข้าสู่การศึกษาได้เนี่ย ต่อไปแม่นี่จะไปเชื่อมพระคุณแม่เนี่ย ซึ่งมามีพระคุณพ่อมาช่วยปกป้องคุ้มครองนี่จะเชื่อมโยงไปหาคุณพระรัตนตรัยได้ เวลานี้เราเชื่อมไม่ถึงพระคุณพระรัตนตรัย เพราะพระคุณแม่ก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว นี้ถ้าพระคุณแม่ก็ไปแล้ว พระคุณรัตนตรัยเอื้อมไม่ถึง นั้นเราก็ต้องมาจับจุดให้ถูก มาเริ่มถ้าพระคุณแม่มาแล้วก็พระคุณแม่จะโยงไปหาคุณพระรัตนตรัยได้ เพราะว่าความดีงามเมตตากรุณาความรักอะไรเป็นต้น เป็นเรื่องความดีงามอยู่แล้วนี่ ก็จะโยงไปหาสิ่งที่ดีด้วยกันก็คือพระรัตนตรัยต่อไป เรื่องบุญเรื่องกุศลอะไรต่าง ๆ จะมา เพราะฉะนั้นคิดว่าการศึกษาตอนนี้จะต้องมาพึ่งแม่แล้วละ คล้ายจะเรียกว่าด่านสุดท้ายหรืออะไรก็ได้ลงไปถึงแม่ หรือว่าลงไปถึงในท้องของแม่เลย เพราะการศึกษาที่จริงมันเริ่มต้นตั้งแต่เราเริ่มชีวิต เพราะว่าในทางพุทธศาสนานี่ เราลองมองดูหลักพระศาสนานี่บอกว่า คนเกิดมา พอออกมาก็มีความไม่รู้ พอมีความไม่รู้ก็เกิดความติดขัด เพราะไม่รู้นี่มันติดขัดหมดไม่รู้จะทำอะไรต่ออะไรอย่างไร ความติดขัดก็คือทุกข์และปัญหา เราก็ต้องการความรู้ ต้องการความรู้ก็คือ ตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรามีเป็นช่องทาง เราก็ได้เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เอาความรู้นี้มาใช้เป็นประโยชน์ แต่ว่าการที่เราจะเรียนรู้ได้ดีก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วยไม่ใช่เป็นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
ทีนี้แม่ที่ใกล้ชิดที่สุด แล้วพ่อต่อไปนี่ก็จะมาช่วยนำลูกเข้าสู่การศึกษา ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตว่าจะเริ่มต้นการศึกษาให้ชีวิตนี่ดำเนินอยู่รอดและอยู่ดีอย่างไร การศึกษานั้นคือการทำให้ชีวิตอยู่ได้ด้วยดีนั่นเอง ชีวิตไหนอยู่ได้ดี ๆ ชีวิตนั้นก็มีการศึกษาเป็นชีวิตที่ดีงามตัวเองก็อยู่รอดดีเจริญงอกงาม แล้วเป็นชีวิตที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่สังคมเป็นชีวิตที่สร้างสรรค์ ฉะนั้นการศึกษาก็เป็นเรื่องชีวิตที่ว่าเราอยู่เราก็ต้องพบประสพการณ์ใหม่สถานการณ์ใหม่ เมื่อพบประสบการณ์ใหม่สถานการณ์ใหม่ เราก็ต้องหาทางที่จะปฏิบัติต่อสถานการณ์นั้น ประสบการณ์นั้นให้ได้ การคิดการหาทางปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องเนี่ยก็คือการศึกษานั่นเอง เพราะฉะนั้นการศึกษามันมีตลอดเวลา ถ้าพูดตามภาษาพุทธศาสนาเราจึงบอกว่าชีวิตคือการศึกษา แต่ต้องวงเล็บชีวิตที่ดี เพราะว่าถ้าชีวิตที่ไม่หาทางอยู่ด้วยดี ก็เป็นชีวิตมีที่ด้วยลมหายใจ ท่านเรียกว่าเป็นพาล ชีวิตที่ไม่ศึกษาอยู่สักแต่ว่าลมหายใจนั้นเป็นคำจำกัดความของคำว่าพาล พาลก็คือชีวิตที่เป็นอยู่สักแต่ว่ามีลมหายใจ ถ้าชีวิตใดไม่เป็นอยู่สักว่ามีลมหายใจ เขาก็จะต้องหาทางที่ปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมต่อสถานะการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ได้ผลดีแก่ชีวิตของเขา อันนี้เราเรียกว่าการศึกษา เพราะฉะนั้นชีวิตดีก็มีการศึกษาตลอดเวลา นี้การศึกษาต้องมีตลอดเวลา แต่เวลานี้ไม่มีการศึกษาเลย มันมีอยู่จนกระทั่งว่าทั้ง ๆ ที่นักการศึกษาก็ยอมรับแล้วก็รู้ว่าการศึกษานั้นมีความหมายอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงสังคมนี้ก็ตามในวงการการศึกษาก็ตาม ก็จะมองความหมาย มองการศึกษาในความหมายแคบ ๆ แค่การเรียนวิชาชีพ การหาทางไปเป็นอยู่ทำมาหากิน เวลานี้การศึกษาในความหมายที่แท้นี่ แม้จะรู้กันอยู่ แต่ในทางปฏิบัตินี่เอาแค่นั้น เอาแค่ว่าเรียนรู้วิชาทำมาหากิน ถ้าอย่างงี้การศึกษามันแคบเหลือเกินแล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ตรงข้ามกับการศึกษาคืออกุศลต่าง ๆ ที่มันกระตุ้นเร้าความรู้สึกมันมีอยู่ทั่วสังคม เรามีเวลาศึกษาในห้องเรียนเดี๋ยวเดียว แต่เวลาของอกุศลที่ตรงข้ามการศึกษามันมีอยู่ตลอดเวลาของชีวิต ก็หมายความว่าสิ่งอกุศลตรงข้ามการศึกษามีตลอดเวลาในชีวิต แต่การศึกษาแทบไม่มีเลย ถ้าอย่างงี้สังคมมันจะไปไหวได้ยังไง เราก็ต้องเติมเอาการศึกษากลับมาเป็นเรื่องของชีวิตใหม่ ก็เริ่มต้นกันที่ชีวิตตั้งแต่ในบ้านในครอบครัวนั่นแหละก็ให้คุณแม่นี่แหละเป็นผู้จูงลูกสู่เข้าการศึกษาเลย แล้วจูงด้วยข้อสำคัญก็คือว่าคนเรานั้นมี 2 ด้าน ก็ด้านรู้สึกกับด้านรู้ เราก็จะต้องพัฒนาด้านรู้สึกที่เป็นบวกหรืออารมณ์บวกขึ้นมา แทนที่จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกด้านจะได้จะเอา ๆ โลภะเรื่องจะขัดแย้งทำร้ายผู้อื่น โทสะและก็เรื่องความลุ่มหลงเพลิดเพลินมัวเมาปล่อยปละละเลยก็ให้พัฒนาความรู้สึกในฝ่ายดีมีเมตตากรุณาความรักความอยากช่วยเหลือ ความซาบซึ้งในคุณธรรมความดีต่าง ๆ ขึ้นมา ทีนี้ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้อย่างนี้ ความรู้สึกที่ดีมันก็จะเรียกร้องปัญญาในทางที่ดี ปัญญาก็มาคิดในทางที่ดีเราก็เดินหน้าไปในการศึกษาได้
นั้นตอนนี้ก็คงจะต้อง คงคิดว่าจะต้องมาเน้นเรื่องของการศึกษาในครอบครัวเริ่มต้นด้วยคุณแม่ แล้วการศึกษามันเริ่มต้นได้พูดบ่อย ๆ ว่า การศึกษาเริ่มต้น เมื่อคนกินอยู่เป็นเพราะว่าการศึกษา ก็คือการทำชีวิตเป็นอยู่ได้ด้วยดี นี้คนที่มีชีวิตอยู่ก็คือกินอยู่ กินอยู่ประจำวัน คนไหนกินอยู่เป็น กินอยู่ได้ดีมันก็มีการศึกษา คนที่กินอยู่ไม่เป็นก็เรียกไม่ได้ว่ามีการศึกษา ก็แม้แต่กินอยู่มันยังไปไม่รอดเลยมันยังเอาดีไม่ได้ มันจะมีการศึกษาได้อย่างไร กินอยู่เป็นก็คือดำเนินชีวิตประจำวันเป็น ดำเนินชีวิตก็ทำอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วพ่อแม่ก็เอาการกระทำการดำเนินชีวิตประจำวันนี่มาเป็นช่องทางให้การศึกษาแก่ลูกด้วยตัวเป็นปัจจัยภานอกมาชั่ว อย่างว่าเราบอกว่าการศึกษานี่ต้องคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นอะไรต่าง ๆ เหล่านี้มันก็เป็นคติ บางที่ก็เป็นอุดมคติไป ทีนี้ในทางปฏิบัติจะทำอย่างไงก็มาอยู่ที่ชีวิตประจำวันนี่แหละ บอกว่าถ้าเด็กทำอะไร คือว่าชีวิตคนนี่มันหนีกิจกรรมไม่พ้นต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อทำ ถ้าเด็กจะทำให้เป็นทำให้ถูก เด็กก็ต้องคิดถูกคิดเป็น มันเป็นธรรมดาเอง ฉะนั้นการกระทำการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันนี่แหละ ถ้าหากฝึกให้ทำเป็น ทำถูก มันจะเรียกร้องให้การคิดถูก คิดเป็นตามมาเอง แล้วการคิดถูกคิดเป็นก็ไม่ต้องมาเถียงกันเสียเวลาว่าจะทำอย่างไร คือกิจกรรมในชีวิตประจำวันนี่มันเรียกร้องเอง เพราะฉะนั้นทางพระจึงเน้นเรื่องศีลก่อนคือเน้นเรื่องพฤติกรรมนั่นเอง พฤติกรรมที่ดีงามถูกต้องเกื้อกูลสร้างสรรค์ มันจะเรียกร้องให้เรานี่คิดเป็นและคิดถูกทางขึ้นมา แล้วมันก็ดำเนินไปเป็นกระบวนเอง อันนี้เพราะฉะนั้นเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้การศึกษาถ้าหากนำเข้ามาสู่วิถีชีวิตได้ คิดว่ามันก็จะเป็นการศึกษาที่แท้ มิฉะนั้นจะเป็นการศึกษาที่ร่องรอยอยู่ในความคิดที่อยู่ในอุดมคติเลื่อยไป ก็ให้การศึกษาเข้ามาสู่วิถีชีวิตของคน แล้ววิถีชีวิตนี่เริ่มต้นในครอบครัว แล้วคนที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือคุณแม่และก็จะเป็นผู้ที่จะจูงลูกเข้าสู่การศึกษา
ขอให้เราย้อนกลับมาหาต้นเดิมที่แท้เลย ก็คือตั้งแต่ในท้องแม่เลย การศึกษาตั้งแต่ในท้องแม่ออกมาเน้นเรื่องพระคุณแม่ ให้พระคุณแม่นี้ตามไปคุ้มครองลูก แล้วพระคุณแม่ก็จะโยงไปหาพระคุณพ่อแล้วก็จะโยงไปหาคุณพระรัตนตรัยแล้วชีวิตก็จะเจริญงอกงามสังคมก็จะดีต่อไป ฉะนั้นในฐานะที่สถาบันราชภัฏนี่ก็เป็นที่หวังของสังคม เรียกว่าเป็นสถาบันที่ประชาชนชาวบ้านหวังว่าจะเข้าถึงชุมชนชาวบ้าน แล้วชุมชนชาวบ้านแน่นอนว่าเป็นฐานของสังคมไทย ถ้าเราจะให้สังคมไทยของเราเจริญงอกงามดีขึ้นมาได้นี่จะต้องให้ชาวบ้านดีมีการศึกษาให้ได้ แล้วนอกจากสถาบันราชภัฏที่เป็นฝ่ายการศึกษา การศึกษาโดยทั่วไปก็คือสื่อมวลชนจะต้องมาร่วมมือด้วย เวลานี้ดูสื่อมวลชนแล้วก็ต้องขอประทานอภัยพูดกันแบบว่าหวังดี ว่าเดี๋ยวนี้กระตุ้นความรู้สึกในทางที่ไม่ช่วยชาวบ้านให้ขึ้นมาสู่การศึกษามีแต่ว่าจะช่วยพาออกไปนอกเรื่องนอกทางกันเยอะเหลือเกิน ถ้าหากว่าเราจะหวังสร้างสรรค์สังคมไทยกันจริงแล้วต้องมาร่วมมือกัน มาช่วยกันให้สิ่งที่ปลุกเร้าในทางที่ดี ถ้าปลุกเร้าความรู้สึกกระตุ้นความรู้สึกฝ่ายเดียวที่ตรงข้ามฝ่ายโลภะโทสะโมหะให้เป็นอารมณ์หรือความรู้สึกฝ่ายบวก ให้มีเมตตากรุณาเป็นต้น หรือความคิดอยากช่วยเหลือสร้างสรรค์นี้ให้มาก ๆ ขึ้น แล้วก็กระตุ้นในด้านรู้ให้มากขึ้น อย่าเอาแต่ด้านความรู้สึกอย่างเดียว เพราะว่าด้านรู้ก็คือด้านปัญญา เดี๋ยวนี้จะเอาแต่ด้านรู้สึกไม่ได้เอาด้านความรู้ ถ้าเราไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกไปสู่ความรู้ได้นี่ปัญญาเกิดไม่ได้ เมื่อปัญญาเกิดไม่ได้สังคมไม่มีทางเจริญงอกงาม ในเมื่อสถาบันราชภัฏเป็นสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนเพื่อชาวบ้าน ถ้าเราไปช่วยชาวบ้านได้จริง ๆ ช่วยชุมชนได้จริง ๆ นี่ก็คือสร้างฐานของประเทศชาติขึ้นไป แลัวประเทศไทยก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ในเวลานี้เราไปหวังจากคนในระดับสูงมาก ไม่ได้เท่าไหร่หรอกช่วยไม่ได้มาก อาตมาภาพคิดว่าอย่างนั้น ต้องเอาฐานคือชาวบ้านนี้ขึ้นมาให้ได้ แต่เวลานี้น่าเป็นห่วงแทนที่จะมีการศึกษาแก่ชาวบ้านซึ่งการศึกษานั้นเป็นเรื่องตลอดเวลาในชีวิต กลับมีแต่เรื่องที่ตรงข้ามกับการศึกษาคือไปเร้าอกุศล เร้าอกุศลกันตลอดเวลาเลย แล้วสังคมของเราจะขึ้นมาสู่ความดีงามได้อย่างไร
ก็หวังว่าเราจะมาเริ่มต้นกันให้ถูกทาง อย่างที่บอกแล้วว่า ตอนนี้เหมือนกับเราร่นถอย เมื่อร่นถอยลงมา แคบลงมาเข้ามาสู่ครอบครัวมาถึงคุณแม่แล้ว แต่ว่ามันเป็นการร่นถอยอย่างมีระเบียบ แล้วจะเป็นการตั้งต้นที่ถูกต้องด้วยแล้วไม่มีผิดพลาดแน่นอน ถ้าเราเริ่มพระคุณแม่ขึ้นมาได้นี่ พระคุณแม่นี่ไม่ใช่คุ้มครองลูกอย่างเดียว จะคุ้มครองโลกด้วย จะอุ้มโลกไว้เลย แล้วโลกของเราสังคมของเราก็จะเจริญงอกงามได้ต่อไป วันนี้ก็ขอโอกาสเน้นเรื่องนี้ไว้ เพื่อประโยชน์แก่สังคมซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องกับการศึกษาที่ว่า การศึกษาจะเป็นสถาบัน การศึกษาใดก็ตาม ถึงอย่างไงก็ตามเราละทิ้งบ้านครอบครัวไม่ได้ แล้วบ้านครอบครัวนั้นก็คือชาวบ้านนั่นเอง ชาวบ้านชุมชนนี้ที่แท้ตัวเขานั้นก็อยู่ในบ้านครอบครัวนั่นแหละชาวบ้านก็ช่วยเขาไปถึงในครอบครัวเลย ให้ไปถึงคุณแม่ที่อุ้มท้องเลี้ยงดูลูกอยู่ ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกได้ดี นั่นก็คือเลี้ยงโลกด้วย โลกก็จะเจริญงอกงามต่อไป นั้นเวลานี้ต้องเน้นบทบาทคุณแม่ แล้วบทบาทในแง่พระคุณของแม่ ให้เป็นคำทีพูดมาแล้วต้องซาบซึ้งจริง ๆ อย่าให้เป็นคำที่เลื่อนลอย เพราะเวลานี้คำนี้ชักจะค่อย ๆ ห่างหายจากใจคนไทยไปแล้ว ก็ขอให้คำว่าพระคุณแม่นี้กลับมาซาบซึ้งอยู่ในจิตใจของคนไทยอีกครั้งหนึ่งคู่กับวัฒนธรรมไทย แล้ววัฒนธรรมไทยก็จะฟื้นด้วย ถ้าพระคุณแม่ฟื้นขึ้นมา วัฒนธรรมไทยก็จะตามมาเอง แล้วก็ความดีงามต่าง ๆ อย่างวัฒนธรรมที่เราเรียกคนอื่นเป็นพี่เป็นน้อง เป็นลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย ก็เริ่มจากวัฒนธรรมในครอบครัวที่เกิดจากแม่จากพ่อนี่แหละ แล้ววัฒนธรรมเหล่านี้หมดไป เดี๋ยวนี้คนไทยมองกันไม่เป็นพี่เป็นน้องปู่ย่าตายาย คำเหล่านี้ค่อย ๆ หดหายไปตามลำดับ นั่นก็การศึกษาที่ว่าเป็นเนื้อตัวของชีวิตก็จะกลับมา เพราะนี่คือชีวิตที่แท้ ชีวิตที่เกิดเริ่มต้น เริ่มต้นจากแม่นี่ บอกว่าการศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนมีชีวิต ชีวิตนั้นเริ่มตนจากแม่ เมื่อแม่ให้กำหนดมา ก็แม่จูงลูกสู่การศึกษา แล้วก็สถาบันการศึกษาก็มาช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนอุ้มชูให้ปัจจัยต่าง ๆ ที่จะให้มาประคับประครองหล่อเลี้ยงก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
ตกลงมาสู่หลักพุทธศาสนา ก็คือปัจัยภายนอก ปัจจัยภายใน ว่าเราทั้งหลายนี่มาเป็นปัจจัยภายนอกที่ดี เพื่อจะช่วยกระตุ้นให้ปัจจัยภายในของเด็กมันเกิดขึ้น ปัจจัยภายในนี้ก็มีมากมาย เมื่อเกิดขึ้นเช่น โยนิโสมนสิการ การรู้จักคิดเป็นอะไรเป็นต้นแล้ว เด็กก็จะเจริญงอกงามได้อย่างแท้จริง แต่ว่าหลักพระศาสนาบอกแล้วว่า คนโดยทั่วไปนั้นที่จะพึ่งปัจจัยภายในได้ทันทีนั้นมันเป็นไปได้ยากนะ ขอให้เรามาเน้นเรื่องปัจจัยภายนอก การที่เรามีการจัดกระบวนการศึกษามีโรงเรียนมีสถานศึกษานี้ ก็คือการจัดตั้งปัจจัยภายนอกขึ้นมา เพื่อจะมาช่วยกระตุ้นให้ปัจจัยภายในเจริญงอกงามนั่นเอง ท่านจึงเรียกว่าเป็นกระบวนการของกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรทำหน้าที่ถูกต้องดีก็จะทำให้เด็กเกิดปัจจัยภายในเช่นโยนิโสมนสิการ เป็นต้น รู้จักคิดเองเป็นก็จะพึ่งตนเองได้ปัญญาความรู้เข้าใจเกิดขึ้นก็ทำอะไรได้ถูกต้อง ดำเนินชีวิตดีงามแล้วจิตใจก็มีด้านความรู้สึกด้านอารมณ์ที่เป็นบวกก็มาหนุนให้ปัญญาความผิดนั้นดำเนินไปในทางที่ดีงามออกมาสู่พฤติกรรม ก็เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นศึล เป็นความประพฤติที่ดีทางกายวาจา ทุกอย่างก็ดำเนินหน้าไป ก็เราก็เรียกว่าไตรสิกขา ได้อย่างนี้ก็เป็นการศึกษาที่ครบองค์ จะเรียกว่าองค์รวมหรืออะไรก็อยู่ที่ตรงนี้เอง
วันนี้อาตมภาพก็เลยถือโอกาสพูดคุยมาซะยืดยาวนาน ก็เป็นอันว่า มีความมุ่งหมายในวันนี้อยากจะเน้นเรื่องแก่นแท้จุดเริ่มต้นของการศึกษาอยู่ที่ชีวิต ชีวิตเริ่มต้นเมื่อไร การศึกษาเริ่มต้นเมื่อนั้น ปัจจัยภายนอก ปัจจัยตัวแรกคือแม่ เพราะฉะนั้นก็ต้องฟื้นอันนี้ขึ้นมาให้ได้ แล้ววัฒนธรรมไทยเราหนุนอยู่แล้ว ขนาดวัฒนธรรมไทยหนุนอยู่แล้ว เรายังทำไม่ได้อย่างนี้ ก็เรียกว่าเราล้มเหลวที่สุดแล้วใช่ไหม อะไรพื้นฐานตัวเองก็มีอยู่แล้วยังทำไม่ได้ เอาละเรานี่ได้เปรียบพื้นฐานวัฒนธรรมไทยก็ดีเรื่องพระคุณแม่นี่ซาบซึ้งตรึงใจยิ่งใหญ่อยู่แล้ว มีได้เปรียบอย่างนี้ก็รีบฟื้นขึ้นมาสะ ทำให้ได้ผล ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่าสังคมไทยนี่หมดสมรรถภาพล้มเหลว นั้นก็ต้องท้ากันแล้วนะว่า การศึกษาของเรานี้จะทำได้ไหม ชีวิตที่เริ่มต้นในครอบครัวที่เริ่มต้นลึกลงไปถึงคุณแม่ ที่พระคุณของแม่ที่จะมาค้ำจุนลูก ตามคุ้มครองลูกที่ดำเนินไปในโลก เพื่อให้โลกนี้ดำเนินไปสู่ความดีงามและสันติสุขสืบต่อไป
อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาทางสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีท่านนายกสภาเป็นประธาน พร้อมทั้งท่านอธิการบดีและท่านรองอธิการบดี ท่านคณบดีและอาจารย์ญาติโยมสาธุชน และทางฝ่ายสาธุชนก็นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ ก็ขออนุโมทนาพร้อมทั้งขอคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พรอภิบาลรักษาให้ทุกท่านเจริญด้วย กำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังความสามัคคี ที่จะดำเนินชีวิตและกิจการทั้งหลายให้ก้าวหน้างอกงามด้วยความมุ่งหมายอันมุ่งมั่นแน่แน่วที่จะทำการเพื่อสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติและโลกนี้ให้เดินหน้าไปในความดีงามและความร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอให้ความปรารถนามุ่งมั่นนี้จงสัมฤทธิ์ผลสมความปรารถนาด้วยดีทุกประการและขอท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทุกเมื่อเทอญ สาธุ