แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ซีดีธรรมะบรรยายชุด ธรรมะกับการศึกษา โดยพระพรหมคุณาภรณ์ ป.ปยุตโต วัดญาณเวศกวัน ตำบลบางกระทึก อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เรื่องที่ 6 “ถ้าเชิดชูพระคุณแม่ขึ้นมาได้ การศึกษาไทยก็ยังไม่สิ้นความหวัง” บรรยายเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ขออำนวยพร ท่านนายกสภาสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา พร้อมด้วย ท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี ท่านคณบดีและก็ท่านอาจารย์ทุกท่านพร้อมทั้งญาติโยมพุทธศาสนิกชน ที่ได้มาร่วมพิธีในวันนี้ อาตมภาพรู้สึกอนุโมทนาเป็นพิเศษในการที่ท่านนายกสภาพร้อมด้วยท่านอธิการบดีและก็โดยเฉพาะที่คณะ คือท่านคณบดีได้มาถวายวันนี้เพราะว่าเป็นเรื่องไม่ใช่เฉพาะวันนี้ ที่อนุโมทนานี้เป็นการสืบเนื่องจากเรื่องที่เป็นมาแต่เก่า ท่านนายกสภาท่าน ท่านเรียกว่ามีเมตตาก็ได้มาที่วัดนี้เคยมาเยี่ยมอาตมภาพตั้งแต่ปีก่อนๆ และตอนระยะที่เตรียมการต่างๆนี้ก็มีความรู้สึกว่าทางสถาบันนี่จริงจังมาก ท่านคณบดี พร้อมด้วยอาจารย์ประสิทธิ์ อาจารญ์รัจนา ก็มากันบ่อยๆมาเตรียมการต่างๆรู้สึกว่าตั้งใจจริงมาก อันนี้ก็เป็นความรู้สึกซาบซื้งในน้ำใจ แต่พร้อมกันนี้อาตมภาพเองก็ต้องขอประทานอภัยด้วย ที่ว่าตัวเองก็แทบไม่ได้ต้อนรับเลย คือท่านคณบดีมาก็ไม่ได้พบกันเพราะตัวเองก็มัวแต่อาพาธซะ ความจริงก็พอพบกันได้แต่ว่าทางพระท่านมักจะสงสารว่าพบคุยกับใครแล้วก็ไปมีปัญหาติดตามมาเพราะว่าปอดไม่ดี ใช้ปอดไม่ค่อยมีกำลัง ยิ่งอายุมากขึ้น แต่ก่อนนี้อายุน้อยหน่อยนี่ เวลาพูดมันก็จะพอมีแรงขึ้นมาสู้แต่เวลานี้พูดไปมีแต่หวิวจะเป็นลมก็เลยต้องขออภัยไว้ด้วย ทีนี้วันนี้นอกจากว่าทางฝ่ายทางสถาบันราชภัฏและทางญาติโยมประชาชน ก็ต้องขออนุโมทนาทางผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมก็ได้มีเมตตาเช่นเดียวกัน ได้มา ถือว่าเป็นฝ่ายญาติโยมประชาชนที่ท้องถิ่นจังหวัดนี้มาร่วมอนุโมทนา ทีนี้การจัดเตรียมต่างๆเหล่านี้ถ้าหากว่ามีขาดตกบกพร่องก็ต้องขอประทานอภัย ถือว่าเป็นเรื่องขาดฝ่ายวัด ทีนี้ถ้าพูดเป็นล้อกันก็บอกว่าส่วนที่ขาดนี้เป็นเรื่องของวัด ส่วนที่เกินนั้นเป็นของราชภัฏ แต่ว่าเกินในที่นี้ต้องมองว่าเกินในแง่ดี คือเกินในที่นี้เขาเรียกว่าพิเศษนั่นเอง พิเศษนี่ก็คือเกินกว่าปกติ ทีนี้ส่วนทางวัดนี้ก็ต้องขอแก้ตัวถ้าหากว่าจะมีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ไม่ใช่ว่าทางวัดไม่เห็นความสำคัญ ก็เห็นความสำคัญโดยเฉพาะก็อย่างที่กล่าวเมื่อกี้ ซาบซึ้งในน้ำใจของท่านแต่ว่าทางวัดนี่ก็ประการหนึ่งก็เป็นวัดเล็กๆมีพระไม่กี่องค์ ที่วัดนี้มีพระอยู่นิดเดียว ก็สิบกว่ารูปเท่านั้น นี่ขนาดในพรรษาถ้ายิ่งนอกพรรษาก็ยิ่งน้อย และอีกประการหนึ่งก็คือทางวัดนี่ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมชาติ ก็เลยเหมือนกับว่ามาก็ต้อนรับกันตามธรรมชาติก็แล้วกัน ก็เลยเป็นเรื่องง่ายๆสบายๆ เพราะอย่างนั้นก็เลยเรียกว่าการขออภัยก็เป็นการแก้ตัวไปด้วย แต่รวมทั้งหมดก็คือเป็นการที่ว่าซาบซึ้งในน้ำใจของทางสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่เก่าแก่ต้องเรียกว่าอย่างยิ่ง อาตมภาพเองก็ได้ยินชื่อมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก เป็นแหล่งให้การศึกษา เป็นสถาบันฝึกหัดครูมาแต่เก่าแก่แต่ก่อนนี้ก็คงจะเรียกโรงเรียนฝึกหัดครูก่อน ต่อมาก็เป็นวิทยาลัยครู แล้วมาปัจจุบันนี้ก็เป็นสถาบันราชภัฏ ก็เป็นเรื่องของวิวัฒนาการทางด้านการศึกษาและก็เรื่องจัดการทางการศึกษาของสังคมไทย การที่ทางสภาสถาบันราชภัฏมีมติถวายปริญญานี้ ก็อย่างที่กล่าวแล้ว นี่ก็เป็นการแสดงน้ำใจต่ออาตมภาพ แต่เบื้องหลังน้ำใจต่ออาตมภาพที่เป็นพื้นฐานลงไปก็คือความปรารถนาดีต่อสังคมไทย เราจัดเรื่องของปริญญาอะไรต่างๆเหล่านี้ขึ้นมา ที่แท้จริงนั้นความมุ่งหมายก็อยู่ที่มุ่งหวังประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติ
ก็อย่างที่ท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี ก็ได้กล่าวในตอนที่อ่านคำประกาศเกียรติคุณหรืออะไรเมื่อกี้นี้หรือสดุดีเนี่ยก็จะบอกถึงว่าให้อาตมภาพมีกำลังทำงานให้เพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาตินั่นแหละอะไรอย่างนี้ ก็นี่ก็แสดงว่าที่แท้แล้วจุดมุ่งหมายเนี่ยไปอยู่ที่เพื่อส่วนรวม อันนี้น้ำใจต่อส่วนรวมนี่เป็นเรื่องสำคัญ ในที่สุดเราก็มีจุดหมายร่วมกันเพื่ออันนี้นั่นเอง ถ้าทำใจอย่างนี้มองอย่างนี้แล้วก็สบายใจได้ หมายความว่าอาตมภาพเองก็ควรจะมีความมุ่งหวังเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมเพราะว่าทางสถาบันราชภัฏเนี่ยมีน้ำใจมาด้วยเหตุผลอันนี้แล้ว ก็มาร่วมมือกันทำงานกันเพื่อประโยชน์สุขแก่สังคมประเทศชาติตลอดกระทั่งชาวโลกต่อไป นี่มามองดูเรื่องของสังคมประเทศชาติปัจจุบันนี้ เรามองดูกระแสเสียงทั่วๆไปจะพูดในเชิงน่าเป็นห่วงมาก เราพูดกันมาหลายปีแล้วเรื่องวิกฤติต่างๆมีวิกฤติทางเศรษฐกิจแต่ว่าที่แท้นั้น เบื้องหลังวิกฤติเศรษฐกิจก็คือวิกฤติทางสังคมซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นฐานและก็น่าจะมีมาก่อนวิกฤติเศรษฐกิจด้วยซ้ำ วิกฤติเศรษฐกิจนี้เป็นเพียงตัวแสดงผลปรากฏ เป็นแผลหรือเป็นโรคที่ปรากฏตัวออกมา ในท่ามกลางสภาพที่แท้จริงก็คือวิกฤติทางสังคม แล้วเราไปเน้นเรื่องเศรษฐกิจกันมากเราก็อาจจะลืมมองวิกฤติทางสังคมนี้ เมื่อวิกฤติทางเศรษฐกิจเด่นมานาน ไอ้ตัวจริงที่แท้เดี๋ยวนี้มันโผล่แล้วแหละก็คือวิกฤติทางสังคม เวลานี้วิกฤติทางสังคมนี้เด่นชัดมากแล้วก็เป็นเรื่องที่ลงไปถึงเด็กและเยาวชน ซึ่งเราก็พูดเป็นคติเป็นคำขวัญกันมาทุกปี บอกว่าเด็กเป็นอนาคตของชาติ ทีนี้ถ้าอนาคตของชาติเวลานี้เป็นอย่างนี้แล้วล่ะก็ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็คาดหมายได้ก็คือเป็นสภาพที่น่าหวาดกลัว ทีนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อไม่นานนี้สองสามวันนี้เองก็ได้พบในสื่อมวลชน ก็ได้พูดถึงเรื่องของงานวิจัยหรือว่าการทำเรื่องของสถิติอะไรต่างๆเหล่านี้แล้วก็ดูสภาพต่างๆของสังคม เรื่องของค่านิยมเรื่องของทัศนคติ เรื่องของคุณภาพของคน มาใกล้ๆกันบอกคุณภาพทางด้านการศึกษาของเด็กไทยนี่เสื่อมมาก ทางด้านคุณภาพทางวิชาการก็ตกมาก วิชาการต่างๆอ่อน แล้วมาเมื่อวานนี้ก็ได้เรื่องภาษาอังกฤษอีก หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งก็ลงไปเทียบเวลาไปสอบไปต่างประเทศอย่างพวกโทเฟลอย่างนี้ก็ได้แค่อะไร พอจะจำได้นิดๆหน่อยว่าของไทยนี่ต่ำกว่าห้าร้อย ซึ่งปกติในอเมริกานี่เขาก็ไม่ค่อยรับอยู่แล้วถ้าห้าร้อยขึ้นไป หลายสถาบันอาจจะต้องรับตั้งห้าร้อยห้าสิบ บางสถาบันก็รับห้าร้อย เด็กไทยนี่ได้แค่สี่ร้อยเก้าสิบแปด มีอีกประเทศเดียวที่ต่ำกว่าประเทศไทยจะไม่พูดถึง แต่นอกนั้นในอาเซียนด้วยกันนี้เขาสูงกว่า ทางด้านสิงคโปร์นี่ขึ้นไปถึงห้าร้อยเก้าสิบหก มากกว่าไทยนี่เกือบหนึ่งร้อย นี่ก็เป็นเรื่องของการศึกษาเฉพาะภาษาอังกฤษ วิชาอื่นๆก่อนนี้ก็มีพูดกันแล้ว เรื่องวิชาทางด้านคำนวณคณิตศาสตร์ เรื่องวิชาวิทยาศาสตร์ อะไรต่างๆเหล่านี้ก็ล้าหลังเขาไป แม้แต่ว่ามีเด็กไทยที่ไปแข่งขันในระดับโลก ได้คะแนนดีๆมาคนไทยก็ให้ความสนใจน้อย คือจะไปสนใจเรื่องของดารามากกว่า คือเด็กที่ทำคะแนนดีเป็นที่เชิดหน้าชูตาทางปัญญาของสังคมเนี่ย จะเห็นว่าทางสังคมไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญ เราจะไปให้ความสำคัญข่าวในเรื่องของความเด่นดังเรื่องโก้เก๋ดาราไป อันนี้มันก็แสดงถึงค่านิยมของคนไทยอยู่ในตัว ซึ่งก็น่าเป็นห่วงแล้วก็เค้าก็สำรวจทัศนคติของคนไทยทั่วๆไป หนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัย พูดถึงว่า เด็กยุคนี้มีความคาดหมายเรื่องของอนาคตก็จะมุ่งไปถึง ผลประโยชน์ส่วนตัว ความก้าวหน้าของตัวอะไรต่างๆเหล่านี้แทนที่จะคำนึงถึงสังคมจิตสำนึกต่อส่วนรวม การสร้างสรรค์ ประเทศชาติ ไม่ค่อยมี อย่างนี้ก็หมายความว่าดูด้านไหนก็น่าเป็นห่วงไปหมด เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วในที่สุดเรื่องก็ต้องมาถึงการศึกษา หนีไม่พ้น เพราะว่าผลที่ปรากฏอย่างนี้จะเกิดขึ้นได้ก็การสร้างคนก็คือเรื่องของการศึกษา ฉะนั้นก็ กลายเป็นว่าในที่สุดคนจะต้องมาโทษการศึกษาว่า การศึกษาของเรานี้คงจะต้องมีอะไรบกพร่อง จึงได้พูดเป็นภาษาเศรษฐกิจแบบที่นิยมกันในปัจจุบันว่าจึงได้ผลผลิตอย่างนี้ ก็เรียกเป็นแบบภาษาเศรษฐิกิจ เดี๋ยวนี้เขาชอบใช้ภาษาเศรษฐกิจ แม้แต่ใช้ทางด้านอื่นๆก็กลายเป็นเอาศัพท์เศรษฐกิจมาใช้ วัดด้วยตัวเลข วัดด้วยรูปธรรม เป็นปริมาณ เป็นอะไรไปหมด อันนนี้คุณภาพอย่างนี้เมื่อมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา เราก็ต้องมาคิดมาพิจารณากันว่ามันเป็นอย่างไร เพราะว่าสภาพจิตใจของคนอย่างนี้แสดงถึงการขาดการศึกษานั่นเอง หรือการศึกษาไม่ค่อยมีในชีวิต ที่จริงนั้นการศึกษานั้นเป็นเรื่องของชีวิต ความจริงนั้นเราต้องการให้เรื่องของการศึกษานั้นมันเต็มไปทั้งชีวิตเลย ชีวิตอยู่ด้วยการศึกษา มีการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเองตลอดเวลา พัฒนาพฤติกรรม กาย วาจา พัฒนาจิตใจ พัฒนาปัญญา มันต้องไปตลอดเวลาอันนี้มันไปสนองด้านความรู้สึกซะมาก ด้านปัญญาที่เป็นตัวเอกที่เป็นด้านรู้เนี่ยไม่ค่อยได้รับการกระตุ้นหรือปลุกเร้าหรือว่าส่งเสริม แต่จะมีการกระตุ้นในด้านความรู้สึกเนี่ยมาก ความรู้สึกก็จะออกในแง่ของอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆสิ่งแวดล้อมต่างๆที่มากระตุ้นเนี่ยขอให้ดูเถอะ จะเป็นเรื่องของการกระตุ้นความรู้สึก ปลุกเร้าที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ทางพระเรียกว่ากิเลส พูดสั้นๆก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ ราคะก็คือความต้องการเอาเพื่อตัว โทสะก็คือการกีดกันทำร้ายผู้อื่น แล้วก็โมหะก็คือ ความมัวเมาประมาท ปล่อยปละละเลย ลุ่มหลง เมื่อคนคิดแต่จะเอาเพื่อตัวเองมันก็ขัดใจกับคนอื่น ต้องแย่งชิงกัน โทสะมันก็ต้องมาแรง ทีนี้พอได้ตามใจของตัวเองมันก็ลุ่มหลงเพลิดเพลิน ติดอยู่ใต้ไอ้ความสุขความเพลิดเพลินนั้นมันก็ปล่อยปละละเลยสิ่งที่ควรทำ ก็ไม่ควรทำ แล้วก็ไม่ได้ทำ มันก็มากันเป็นกระบวนเลย โลภะโทสะโมหะ หรือราคะ โทสะ โมหะ ดังนั้นถ้าแก้สักจุดหนึ่งมันก็แก้ไปด้วยกัน ทีนี้คนที่ถูกกระตุ้นในด้านความรู้สึกเนี่ย แน่นอนมันก็จะต้องมีเรื่องความชอบความชังตามภาษาพระว่า ก็คือเรื่องของโลภะ โทสะ โมหะ เนี่ยมันจะถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลาคิดจะได้จะเอา จะได้จะเอาอย่างนี้ อันนี้ปัญญาความคิดมันก็ไปสนองว่าทำอะไงจะได้เพื่อตัวเอง ถ้าคนอื่นขัดเราก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงจะทำลายขัดขวางเขาได้ แล้วก็ต่อจากนั้นก็ลุ่มหลงมัวเมา ปัญญาก็เลิกทำหน้าที่ ปัญญาหมายความว่ามาทำหน้าที่แค่ว่าเพื่อจะเอาเพื่อตัว แล้วก็เพื่อจะทำร้ายคนอื่นขัดขวาง พอจบหน้าที่นั้นก็หยุด เป็นงานของโมหะไป อันนี้ก็เป็นเรื่องของสภาพที่ทางพระท่านเรียกว่า อัตตัตถะปัญญา อัตตัตถะปัญญาแปลว่าปัญญาเพื่อประโยชน์ตน มีพุทธภาษิตบอกว่า อัตตัตถะปัญญา อสุจีมนุสสา แปลว่า มนุษย์ที่มีปัญญาเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ตนนั้นเป็นคนไม่สะอาด คือเป็นคนสกปรกนั่นเอง ดังนั้นทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ งั้นเรื่องของมนุษย์เนี่ย สภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่เข้ามากระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ทีนี้ตอนนี้นี่มันเป็นการกระตุ้นด้านความรู้สึกที่ว่ามาสนอง แล้วโลภะ โทสะ โมหะ นี่ถ้าเป็นความรู้สึกเราจะต้องมากระตุ้นด้านความรู้สึกที่เป็นฝ่ายดี ถ้าใช้ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่าอารมณ์ คืออารมณ์นี้มีฝ่ายบวกฝ่ายลบ อารมณ์ฝ่ายลบหรือความรู้สึกฝ่ายไม่ดีก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างที่ว่าเมื่อกี้ จะได้จะเอาจะคิดร้าย แย่งชิงผู้อื่น ลุ่มหลง มัวเมา ประมาท ทีนี้ฝ่ายที่จะเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ฝ่ายดีก็คือ เมตตา กรุณา ความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลเขา การมีความสุขจากการได้ทำประโยชน์อะไรต่างๆเหล่านี้เนี่ยเป็นเรื่องของความรู้สึกของฝ่ายดี ถ้ามีความรู้สึกฝ่ายดีขึ้นมาที่ตรงข้ามชนิดว่าแทนที่มุ่งจะได้จะเอาเพื่อตัว ก็คิดมีความรู้สึกที่รักคนอื่น อยากจะช่วยเหลือเขามีเมตตากรุณา ไอ้เจ้าปัญญามันก็มาสนอง ตอนนี้มันคิดว่าทำยังไงจะช่วยเหลือเขาได้ ก็หาทางช่วยเหลือไป แทนที่มันจะเกิดกิเลสมันก็เกิดกลายเป็นคุณธรรม ดังนั้นถ้าจะสร้างความรู้สึกก็ต้องสร้างความรู้สึกที่ดี ทีนี้มนุษย์ทั่วไปนี่เป็นธรรมดาที่ตกอยู่ในอยู่ในอำนาจสิ่งแวดล้อมมาก ทางพระพุทธศาสนาท่านบอกว่า สำหรับคนทั่วไปนี้นะ ปัจจัยภายนอกเป็นตัวเด่น ปัจจัยภายในนี่เป็นแกนที่เราจะต้องสร้าง การศึกษาจะต้องมุ่งไปที่ปัจจัยภายใน แต่ว่าเราต้องยอมรับความจริงว่าคนทั่วไปเนี่ยขึ้นต่อปัจจัยภายนอกมาก แล้วทำยังไงจะให้ปัจจัยภายนอกนี่มาหนุนปัจจัยภายในที่ดีขึ้นมา แทนที่จะปล่อยปละละเลยให้ปัจจัยภายนอกไอ้ตัวร้ายๆมากระตุ้นอยู่ฝ่ายเดียว เวลานี้ก็เท่ากับว่าเราปล่อยให้ปัจจัยภายนอกเนี่ยมากระตุ้นเร้าในฝ่ายไม่ดีตลอดเวลา ขอให้ดูสื่อมวลชนเถอะ มีแต่ปัจจัยกระตุ้นความรู้สึกในเรื่องความโลภ ความจะเอา จะได้ การบำรุงบำเรอตัวเอง หาความสุขส่วนตน การจะคิดร้าย ประทุษร้าย ทำอันตรายผู้อื่น แย่งชิง การลุ่มหลงมัวเมา นี่ก็คือกระตุ้นความรู้สึกที่ไม่ดี นี่คือปัจจัยภายนอก เมื่อปัจจัยภายนอกอย่างนี้มันสะพรั่งทั่วไปทั้งสังคมแล้ว คนจะเป็นยังไงในเมื่อมนุษย์สามัญเนี่ยตกอยู่ภายใต้อำนาจปัจจัยภายนอกเป็นใหญ่ ปัจจัยภายนอกที่ดีไม่มีโอกาสเข้ามา ทีนี้เรื่องของการศึกษานี่มันก็มีเรื่องของปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน ท่านก็บอกว่าปัจจัยภายในนี้เป็นตัวแท้ของการศึกษาที่เราจะต้องสร้าง แต่ว่าจะเกิดขึ้นมาลอยๆไม่ได้ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เมื่อปัจจัยภายนอกมีแต่ไอ้เจ้าตัวกระตุ้นความรู้สึกที่ก้อให้เกิดโลภะโทสะโมหะ การศึกษามันจะเกิดยังไง ก็มีแต่การสนองความต้องการที่เป็นโลภะโทสะโมหะ มันก็เดินหน้าไปในเรื่องที่บอกเมื่อกี้ว่าเป็นอัตตัตถะปัญญา อสุจีมนุสสา ก็กลายเป็นว่าคนที่เห็นแก่ตัวนี่เป็นคนสกปรก เอ๊ะ ไปมาสังคมนี้ดีไม่ดีกลายเป็นสังคมสกปรกไปเลย คราวนี้ทำยังไงเราจะแก้ไขการศึกษาก็ต้องทำหน้าที่ปัจจัยภายนอกให้ถูกต้อง ทีนี้ปัจจัยภายนอกนี้ต้องสร้างฝ่ายดีตลอดเวลาเหมือนกัน ในเมื่อสังคมเวลานี้เต็มไปด้วยปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นเร้าฝ่ายร้าย ความรู้สึกที่ไม่ดี เราจะทำไง เราก็ต้องร่นถอยอย่างมีระเบียบใช่ไหม ร่นถอยยังไง ร่นถอยอย่างมีระเบียบเนี่ย สังคมของเรามันสะพรั่งเต็มไปหมดเลย หันไปทางไหนก็มีสิ่งกระตุ้นเร้าไม่ค่อยดีเนี่ย ถ้าเราดูแคบเข้าไป แคบเข้าไป ดูจากสังคมนอกเข้าไป ก็แคบเข้ามาก็ไปถึงครอบครัว ถ้าครอบครัวยังตั้งหลักได้ดีอยู่เนี่ยก็มีหวังว่าเรายังตรึงไว้ได้ ความเสื่อมมันจะเข้ามาได้แค่ขอบเขตหนึ่ง เรายังมีด่านสุดท้ายเนี่ยคือครอบครัวนี้ที่จะช่วยได้ เราก็ต้องมาเน้นเรื่องครอบครัวกัน เพราะว่าครอบครัวนี้พ่อแม่เป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญมากที่ท่านเรียกว่าเป็นกัลยาณมิตร ถ้าพ่อแม่เป็นปัจจัยภายนอกที่ดี ก็จะกระตุ้นปัจจัยภายในที่ดีงามเกิดขึ้น เช่นความรู้จักคิด คิดเป็นอะไรต่างๆ หรือปัจจัยทางด้านจิตใจ เรื่องของความมีระเบียบวินัยออกมาทางพฤติกรรมอะไรต่างๆเหล่านี้ เราก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกในครอบครัว
อันนี้เวลานี้ก็เป็นเรื่องที่ว่า เราจะต้องมาหาทางช่วยการศึกษาของประเทศชาติสังคมของเรา ซึ่งคิดว่าเราจะต้องลงมาถึงขั้นพื้นฐานแล้ว การศึกษาจะต้องประสานกับบ้าน โรงเรียนกับบ้านนี่จะแยกกันไม่ได้ แล้วโดยเฉพาะอาจจะต้องเอาการศึกษาหรือทางสถาบันการศึกษานี่ไปช่วยกระตุ้นสร้างกำลังให้แก่ครอบครัวขึ้นมา ให้ครอบครัวนี้เข้มแข็งขึ้นมา ถ้าครอบครัวไม่เข้มแข็งนี่สังคมไทยไม่มีทางเข้มแข็งเลย มันก็จะปวกเปียกป้อแป้ แล้วในครอบครัวนี้ในที่สุดมันก็ไปถึงใคร ในที่สุดในครอบครัวนี่แกนสำคัญที่สุดคือแม่นะ ทางวัฒนธรรมไทยเราเนี่ย เราจำกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าพระคุณแม่ คราวนี้พระคุณพ่อแม่นี่พูดได้กว้างขึ้น เป็นเครื่องคุ้มครองลูก พระคุณแม่แล้วก็คุณพ่อคุ้มครองลูกได้อย่างไร เรื่องพระคุณก็คืออะไร ก็คือคุณความดีความรัก เมตตากรุณาเป็นต้น ที่ซาบซึ้งลึกลงไปแฝงฝังอยู่ในจิตใจ จนกระทั่งว่า มันมีอิทธิพลต่อชีวิตจิตใจของคนนั้นอย่างไม่ต้องรู้ตัวเลย เหมือนอย่างฝ่ายร้ายนี่เราเข้าป่า ใครร้องขึ้นมาว่าเสือเท่านั้นล่ะไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปนึกว่าเสือรูปร่างเป็นยังไงมันจะทำยังไงกับเรา ไม่ต้องไปคิดเสียเวลาหรอกเข่าอ่อนทันทีเลยนะ ก็ตกใจวิ่งทันทีเลยยังไงก็แล้วแต่ นี่ก็เช่นเดียวกันพระคุณแม่ก็ให้ซาบซึ้งอยู่ในใจลูกเนี่ย ฝังลึกจนกระทั่งว่าไม่ต้องมาคิดมานึกแล้ว เกิดเหตุการณ์ขึ้นมานี่จะเกิดความรู้สึกถึงแม่ทันที แล้วก็จะแสดงออกมาได้โดยไม่ต้องรู้ตัวโดยไม่ต้องคิดต้องนึก เหมือนอย่างว่าถ้ากำลังเงื้อมีดจะทำร้ายใครสักคนหนึ่ง ใครพูดขึ้นมาว่าแม่เท่านั้นแหละ ให้มืออ่อนมีดหลุดจากมือไปเลย อย่างนี้ละก็ใช้ได้ นี่ถ้าหากว่าพระคุณของแม่ซาบซึ้งถึงขั้นนี้ก็จะมีผลต่อชีวิตต่อสังคมอย่างมาก แต่น่าเสียดายว่าเวลานี้ เรื่องนี้เรื่องพระคุณของแม่นี่กำลังจะอ่อน อ่อนกำลังมากแล้วจนกระทั่งว่าบางท ที่น่ากลัวมากก็คือว่า ไม่มีความรู้สึกต่อกันแล้ว แม่ก็ไม่ได้รักลูก ลูกก็ไม่ได้รักแม่ ความผูกพันทางใจก็ไม่มี ไม่ใช่หมายความว่าหมดนะก็ยังมีอยู่เยอะ แต่ว่ามันชักจะเลือนลางเสื่อมคลายลงไปเพราะฉะนั้นจะต้องมาเตือน มาย้ำมาเน้นกันว่าให้พยายามปลูกฝังอันนี้ขึ้นมา ให้เกิดความรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของแม่ด้วยความที่ผูกพันอย่างแน่นสนิท ฝังใจ อย่างที่พูดเมื่อกี้ว่า เวลาที่ได้ยินคำว่าแม่เท่านั้นเนี่ย ความซาบซึ้งจะแสดงออกมาเองโดยไม่ต้องคิดต้องนึกเลย อย่างที่บอกว่ากำลังยกมือขึ้นจะยิงใคร จะทำร้ายใคร พอได้ยินคำว่าแม่นี่ปืนหลุดจากมือทันที อย่างนี้ละก็เรียกว่า พระคุณของแม่ก็เข้ามาคุ้มครองแล้ว พอจะทำอะไรที่เสียหายร้ายแรงทำบาปทำกรรมก็หยุดได้ เนี่ยพระคุณของแม่ก็ต้องอย่างนั้น พอพูดขึ้นมาว่าแม่เท่านั้นแหละ ความรู้สึกดีๆต่างๆนี่ขึ้นมาเลยไม่ต้องไปนึกให้เสียเวลา อันนี้คือพระคุณที่แท้จริงที่จะคุ้มครองได้ คำว่าคุ้มครองนี่ก็หมายความว่า ลูกเนี่ยมีความรู้สึกซาบซึ้งในความรักความเมตตาของแม่มาตั้งแต่เล็กแต่อ้อนแต่ออก จะเรียกว่าตั้งแต่อยู่ในท้องก็ได้ ก็เลี้ยงประคบประหงมกันมาเนี่ย พอโตขึ้นมานี่ไปไหนนี่ พอจะไปทำอะไรที่ไม่ดีนี่นึกถึงแม่แล้ว โอ แม่สอนเราไว้ หรือจะทำอะไรนี่เห็นแก่แม่นะ แม่นึกอยู่นี่ แล้วถ้าแม่รู้ว่าเราทำไม่ดีนี่แม่จะเป็นทุกข์เดือดร้อนยังไง พอนึกอย่างนี้แล้วเนี่ยจะเกิดความยับยั้งชั่งใจ นี่เรียกว่าพระคุณแม่มาคุ้มครอง คุ้มครองนี่คือคุ้มครองอย่างนี้ หรือว่าคนที่มีความซาบซึ้งจิตใจต่อพระคุณของแม่เนี่ย เวลาไปข้างนอกไปพบผู้หญิงอื่น ไปพบผู้หญิงอายุมาก สูงๆ ท่านผู้เฒ่าชราเนี่ย ก็จะมีความรู้สึกนึกถึงแม่ ความรู้สึกที่ดีก็มี ความรู้สึกที่มีต่อคนแก่นั้นก็จะมีในทางที่เป็นความรู้สึกต่อแม่ อย่างวัฒนธรรมไทยของเราที่เรียกว่าเป็นป้าเป็นลุง เป็นตาเป็นยายอะไรต่างๆเหล่านี้ความรู้สึกที่ดีก็จะมา คราวนี้ถ้าเราไม่มีความรู้สึกแบบซาบซึ้งพระคุณแม่ที่ดีอยู่เนี่ย ไปเห็นคนแก่ผู้หญิงเราก็อาจจะเกิดความรังเกียจ ทีนี้ ลดลงมาไปพบผู้หญิงอายุน้อยๆลงไป พอไปพบเด็กผู้หญิงสาวๆอะไรต่างๆเนี่ย ถ้าปลูกฝังกันมาดีในครอบครัวมีพระคุณแม่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเนี่ย ความรู้สึกเหล่านี้จะมาโน้มน้อมให้จิตใจนึกถึง พอมองเห็นผู้หญิงอื่น แม่ก็ทำให้เรานึกถึงพระคุณของท่าน ความเป็นผู้หญิงนั้นน่ะมันกระตุ้นความรู้สึก 2 ด้าน ถ้ามีแต่สัญชาตญาณก็จะมีเรื่องเพศอย่างเดียว แต่ถ้ามีเรื่องพระคุณของแม่อยู่เนี่ย ความรู้สึกที่ดีก็จะเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกที่ดีต่อแม่นี่จะโยงไปหาพี่น้อง ก็จะนึกถึงผู้หญิงนั้นแบบเป็นพี่เป็นน้อง ความรู้สึกในทางงดงามมีจิตใจประกอบด้วยคุณธรรมเมตตากรุณาก็เกิดขึ้น ปัญหาสังคมก็จะลดน้อยลงไปเอง แต่ถ้าพระคุณแม่ไม่มีที่จะคุ้มครองแล้ว ต่อไปเนี่ยผู้ชายไปพบผู้หญิงก็มีแต่ความรู้สึกทางเพศอย่างเดียว แน่นอนว่าปัญหาสังคมนี้จะต้องเกิดขึ้น อาชญากรรมจะต้องมากมาย เพราะอย่างนั้นจะต้องฟื้นพระคุณแม่ขึ้นมาให้ได้ เวลานี้เราแทบจะหมดแล้วนะความรู้สึกพระคุณแม่ก็แทบจะหายไปแล้ว เพราะฉะนั้นขอพูดเลยว่าถ้าพระคุณแม่ไม่กลับมาโลกาวอดวายแน่ นี่ถึงต้องตั้งมุ่งหมายเลยว่าต้องฟื้นให้ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกเนี่ย พ่อนี่ก็มาคอยปกปักรักษา มาช่วยดูแลคุ้มครองให้อีกทีหนึ่ง แต่ด่านแรกที่สุดแกนของสังคมเนี่ยก็คือแม่ แม่นี่แหละจะเป็นผู้อุ้มชูสังคมนี้ให้อยู่รอดต่อไป แล้วก็จะเป็นผู้ที่จะจูงลูกเข้าสู่การศึกษา ตอนนี้เรามาหวังกันเถิดว่าจะต้องมาให้แม่เนี่ยช่วยจูงลูกเข้าสู่การศึกษาโดยมีพ่อคอยช่วยปกปักคุ้มครองอยู่ แล้วพอแม่ดึงลูกเข้าสู่การศึกษาได้เนี่ย ต่อไปแม่นี่จะไปเชื่อมพระคุณแม่เนี่ย ซึ่งมีพระคุณพ่อช่วยปกป้องคุ้มครองเนี่ย จะเชื่อมโยงไปหาคุณพระรัตนตรัยได้ เวลานี้เราเชื่อมไม่ถึงพระคุณพระรัตนตรัยเพราะพระคุณแม่ก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว คราวนี้ถ้าพระคุณแม่ก็ไปแล้ว พระคุณพระรัตนตรัยเอื้อมไม่ถึง ดังนั้นก็ต้องมาจับจุดให้ถูก ถ้าพระคุณแม่มาแล้วล่ะก็ พระคุณแม่นี่จะโยงไปหาพระคุณพระรัตนตรัยได้ เพราะว่าความดีงามเมตตากรุณา ความรักอะไรเป็นต้นนี่เป็นเรื่องความดีงามอยู่แล้วเนี่ย ก็จะโยงไปหาสิ่งที่ดีด้วยกันก็คือพระรัตนตรัยต่อไป เรื่องบุญเรื่องกุศลอะไรต่างๆก็จะมา เพราะฉะนั้นคิดว่า การศึกษาตอนนี้จะต้องหันมาพึ่งแม่แล้ว คล้ายๆจะเรียกว่าด่านสุดท้ายหรืออะไรก็ได้นะ ลงไปถึงแม่หรือว่าลงไปถึงในท้องของแม่เลย เพราะการศึกษานี่ที่จริงมันเริ่มต้นตั้งแต่เราเริ่มชีวิต ในทางพระพุทธศาสนานี่เราลองมองดูสิ หลักพระศาสนาเนี่ยบอกว่าคนเกิดมา พอออกมาก็มีความไม่รู้ พอมีความไม่รู้ก็เกิดความติดขัดเพราะว่าไม่รู้นี่มันติดขัดหมด ไม่รู้จะทำอะไรต่ออะไรอย่างไร ความติดขัดก็คือทุกข์หรือปัญหา เราก็ต้องการความรู้ ต้องการความรู้ก็คือตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรามีเป็นช่องทาง เราก็ได้เรียนรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เอาความรู้นี้มาใช้ประโยชน์ แต่ว่าการที่เราจะเรียนรู้ได้ดีเราก็ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมาช่วย ไม่ใช่ว่าเป็นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทีนี้แม่ที่ใกล้ชิดที่สุดแล้วก็พ่อต่อไปนี้ก็จะมาช่วยนำลูกเข้าสู่การศึกษาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต ว่าจะเริ่มต้นการศึกษาให้ชีวิตนี้ดำเนินอยู่รอดและอยู่ดีอย่างไร การศึกษานั้นก็คือการทำให้ชีวิตอยู่ได้ด้วยดีนั่นเอง ถ้าชีวิตไหนอยู่ได้ด้วยดีชีวิตนั้นก็มีการศึกษา เป็นชีวิตที่ดีงามตัวเองก็อยู่รอดดีเจริญงอกงามและเป็นชีวิตที่ดีงามเป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นชีวิตที่สร้างสรรค์ ดังนั้นการศึกษาก็เป็นเรื่องของชีวิตว่าเราอยู่เราก็ต้องพบกับประสบการณ์ใหม่ สถานการณ์ใหม่ เมื่อพบประสบการณ์ใหม่ สถานการณ์ใหม่เราก็ต้องหาทางที่จะปฏิบัติติ่สถานการณ์นั้นประสบการณ์นั้นให้ได้ การคิดการหาทางปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องเนี่ยก็คือการศึกษานั่นเอง เพราะงั้นการศึกษามันมีอยู่ตลอดเวลา ถ้าพูดตามภาษาพุทธศาสนาเราจึงบอกว่า ชีวิตคือการศึกษา แต่ต้องวงเล็บว่าชีวิตที่ดีนะ เพราะว่าชีวิตที่ไม่หาทางอยู่ด้วยดีก็เป็นชีวิตที่มีอยู่ด้วยลมหายใจ ท่านเรียกว่าเป็นพาล ชีวิตที่ไม่ศึกษา อยู่สักแต่ว่าลมหายใจนั้นเป็นคำจำกัดความของคำว่าพาล พาลก็คือชีวิตที่เป็นอยู่สักว่ามีลมหายใจ ถ้าชีวิตใดไม่เป็นอยู่สักว่ามีลมหายใจ เขาก็จะต้องหาทางที่จะปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาให้ได้ผลดีแก่ชีวิตของเขา อันนี้เราเรียกว่าการศึกษา เพราะฉะนั้นชีวิตที่ดีก็มีการศึกษาตลอดเวลา ทีนี้การศึกษาต้องมีตลอดเวลาแต่เวลานี้มันไม่มีการศึกษาเลย มันมีอยู่จนกระทั่งว่าทั้งๆที่นักการศึกษาก็ยอมรับและรู้กันว่าการศึกษาเนี่ยมีความหมายอย่างไร แต่พอเอาเข้าจริงสังคมนี่ก็ตามในวงการการศึกษาก็ตามก็จะมองการศึกษาในความหมายแคบๆแค่การเรียนวิชาชีพ การหาทางไปเป็นอยู่ทำมาหากิน เวลานี้การศึกษาในความหมายที่แท้เนี่ยแม้จะรู้กันอยู่ แต่ในทางปฏิบัติเนี่ย เอาแค่นั้น เอาแค่ว่าเรียนรู้วิชาทำมาหากิน ถ้าอย่างนี้การศึกษามันแคบเหลือเกินแล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ตรงข้ามกับการศึกษาคืออกุศลต่างๆที่มากระตุ้นเร้าความรู้สึก มันมีอยู่ทั่วสังคม เรามีเวลาศึกษาในห้องเรียนเดี๋ยวเดียว แต่ไอ้เวลาของอกุศลที่ตรงข้ามกับการศึกษามันมีอยู่ตลอดเวลา ก็หมายความว่าสิ่งอกุศลตรงข้ามการศึกษามีตลอดเวลาในชีวิต แต่การศึกษาแทบไม่มีเลย ถ้าอย่างนี้สังคมมันจะไปไหวได้ยังไง เราก็ต้องเติมเอาการศึกษากลับมาเป็นเรื่องของชีวิตใหม่ เริ่มต้นกันที่ชีวิตตั้งแต่ในบ้าน ในครอบครัวนั้นแหละ ก็ให้คุณแม่นี้แหละ เป็นผู้จูงลูกเข้าสู่การศึกษาเลย แล้วก็จูงด้วยข้อสำคัญก็คือว่าคนเรานั้นมีสองด้าน ก็ด้านรู้สึกกับด้านรู้ เราก็จะต้องพัฒนาด้านรู้สึกที่เป็นบวกหรืออารมณ์บวกขึ้นมา แทนที่จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกด้านจะได้จะเอาโลภะ เรื่องจะขัดแย้งทำร้ายผู้อื่น โทสะ แล้วก็เรื่องของความลุ่มหลง เพลิดเพลินโมหะ เมาปล่อยปละละเลย ก็ให้มาพัฒนาความรู้สึกในฝ่ายมีเมตตากรุณา ความรักความอยากช่วยเหลือ ความซาบซึ้งในคุณธรรมความดีต่างๆขึ้นมา ทีนี้ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้อย่างนี้ ความรู้สึกที่ดีมันก็จะเรียกร้องปัญญาในทางที่ดี ปัญญาเข้ามา คิดในทางที่ดีเราก็เดินหน้าไปในการศึกษาได้ งั้นตอนนี้ก็จะต้อง คงคิดว่าจะต้องมาเน้นเรื่องของการศึกษาในครอบครัว เริ่มต้นด้วยคุณแม่ แล้วก็การศึกษามันเริ่มต้น ได้พูดบ่อยๆว่าการศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนกินอยู่เป็น เพราะว่าการศึกษาก็คือการทำชีวิตให้เป็นอยู่ได้ด้วยดี ทีนี้คนที่มีชีวิตอยู่ก็คือกินอยู่ กินอยู่ประจำวันคนไหนกินอยู่เป็น กินอยู่ได้ดี มันก็มีการศึกษา คนที่กินอยู่ไม่เป็นก็เรียกไม่ได้ว่ามีการศึกษา ก็แม้แต่กินอยู่มันยังไปไม่รอดเลย มันยังเอาดีไม่ได้ มันจะมีการศึกษาได้อย่างไร กินอยู่เป็นก็คือดำเนินชีวิตประจำวันเป็น ดำเนินชีวิตประจำวันก็ทำอะไรต่างๆเหล่าเนี้ย แล้วพ่อแม่ก็เอาไอ้การกระทำ การดำเนินชีวิตประจำวันเนี่ยมาเป็นช่องทางให้การศึกษาแก่ลูกโดยตัวเป็นปัจจัยภายนอกมาช่วย อย่างว่า เราบอกว่าการศึกษานี่ต้องคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น อะไรต่างๆเหล่าเนี้ย มันก็เป็นคติบางทีก็เป็นอุดมคติไป ทีนี้ในทางปฏิบัติจะทำยังไง ก็มาอยู่ที่ชีวิตประจำวันนี่แหละ บอกว่าถ้าเด็กทำอะไร คือว่าชีวิตคนนี่มันหนีกิจกรรมไม่พ้น ต้องทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อทำ ถ้าเด็กจะทำให้เป็น ทำให้ถูก เด็กก็ต้องคิดถูก คิดเป็น มันเป็นธรรมดาเอง ฉะนั้นการกระทำการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันนี่แหละ ถ้าหากว่าฝึกให้ทำเป็นทำถูก มันจะเรียกร้องให้การคิดถูกคิดเป็นตามมาเอง แล้วการคิดถูกคิดเป็นก็ไม่ต้องไปมาเถียงกันเสียเวลาว่าจะทำยังไง คือกิจกรรมในชีวิตประจำวันเนี่ยมันเรียกร้องเอง เพราะงั้นทางพระจึงเน้นเรื่องศีลก่อน คือเน้นเรื่องพฤติกรรมนั่นเอง พฤติกรรมที่ดีงาม ถูกต้อง เกื้อกูล สร้างสรรค์ มันจะเรียกร้องให้เราเนี่ยคิดเป็นและคิดถูกทางขึ้นมา แล้วมันก็ดำเนินไปเป็นกระบวนเอง เพราะงั้นเรื่องต่างๆเหล่านี้ การศึกษาถ้าหากว่านำมาเข้ามาสู่วิถีชีวิตได้มันก็คิดว่าจะเป็นการศึกษาที่แท้ มิฉะนั้นก็จะเป็นการศึกษาที่ล่องลอยอยู่ในความคิดหรืออยู่ในอุดมคติเรื่อยไป ก็ให้การศึกษาเข้ามาสู่วิถีชีวิตของคน และวิถีชีวิตนี้เริ่มต้นในครอบครัว แล้วก็คนที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือคุณแม่ แล้วก็เป็นผู้ที่จะจูงลูกเข้าสู่การศึกษา ขอให้เราย้อนกลับมาหาต้นเดิมที่แท้เลย ก็คือตั้งแต่ในท้องแม่เลย การศึกษาตั้งแต่ในท้องแม่ออกมาแล้วก็เน้นเรื่องพระคุณแม่ ให้พระคุณแม่นี้ตามไปคุ้มครองลูก แล้วพระคุณแม่ก็จะโยงไปหาพระคุณพ่อ แล้วก็จะโยงไปหาคุณพระรัตนตรัย แล้วชีวิตก็จะเจริญงอกงาม สังคมก็จะดีต่อไป ดังนั้น ในฐานะที่สถาบันราชภัฏนี่ก็เป็นที่หวังของสังคม เรียกว่าเป็นสถาบันที่ประชาชนชาวบ้านหวังว่าจะเข้าถึงชุมชนชาวบ้าน แล้วชุมชนชาวบ้านแน่นอนว่าเป็นฐานของสังคมไทย ถ้าเราจะให้สังคมไทยของเราเจริญงอกงามดีขึ้นมาได้นี่ จะต้องให้ชาวบ้านดีมีการศึกษาให้ได้ และนอกจากสถาบันราชภัฏที่เป็นฝ่ายการศึกษา การศึกษาโดยทั่วไปก็คือสื่อมวลชนจะต้องมาร่วมมือด้วย เวลานี้ดูสื่อมวลชนแล้วก็ต้องขอประทานอภัยพูดกันแบบว่า หวังดี ว่าเดี๋ยวนี้กระตุ้นในความรู้สึกในทางที่ไม่ช่วยชาวบ้านให้ขึ้นมาสู่การศึกษา มีแต่ว่าจะช่วยให้พากันออกไปนอกลู่นอกทางกันเยอะเหลือเกิน ถ้าหากว่าเราจะหวังสร้างสรรค์สังคมไทยกันจริงๆแล้วก็ต้องมาร่วมมือกัน มาช่วยกันให้สิ่งที่ปลุกเร้าในทางที่ดี ถ้าปลุกเร้าความรู้สึกฝ่ายดี กระตุ้นความรู้สึกฝ่ายดีที่ตรงข้ามกับโลภะโทสะโมหะ ให้เป็นอารมณ์หรือความรู้สึกฝ่ายบวก ให้มีเมตตากรุณาเป็นต้น หรือความคิดอยากช่วยเหลือสร้างสรรค์นี้ให้มากๆขึ้น แล้วก็กระตุ้นในด้านรู้ให้มากขึ้น อย่าเอาแต่ด้านความรู้สึกอย่างเดียวเพราะว่าด้านรู้ก็คือด้านปัญญา เดี๋ยวนี้จะเอาแต่ด้านรู้สึกไม่เอาด้านความรู้ ถ้าเราไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้สึกไปสู่ความรู้ได้นี่ปัญญาเกิดไม่ได้ เมื่อปัญญาเกิดไม่ได้ สังคมไม่มีทางเจริญงอกงาม ในเมื่อสถาบันราชภัฏเป็นสถาบันการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนเพื่อชาวบ้าน ถ้าเราไปช่วยชาวบ้านได้จริงๆ ช่วยชุมชนได้จริงๆก็คือสร้างฐานของประเทศชาติขึ้นไป แล้วประเทศไทยก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งนึง เวลานี้เราไปหวังจากคนในระดับสูงมาก ไม่ได้เท่าไรหรอก ช่วยไมได้มาก อาตมภาพคิดว่าอย่างนั้นนะ เราต้องเอาฐานคือชาวบ้านนี่ขึ้นมาให้ได้ แต่เวลานี้กลับน่าเป็นห่วง แทนที่จะมีการศึกษาแก่ชาวบ้าน ซึ่งการศึกษาน่ะเป็นเรื่องตลอดเวลาในชีวิต กลับมีแต่เรื่องที่ตรงข้ามกับการศึกษา คือไปเร้าอกุศล เร้าอกุศลกันตลอดเวลาเลย แล้วสังคมของเราจะขึ้นมาสู่ความดีงามได้อย่างไร ก็หวังว่าเราจะมาเริ่มต้นกันให้ถูกทาง อย่างที่บอกแล้วว่า ตอนนี้เหมือนกับเราร่นถอย เมื่อร่นถอยลงมา แคบลงมาเข้ามาสู่ครอบครัว มาถึงคุณแม่แล้ว แต่ว่ามันเป็นการร่นถอยอย่างมีระเบียบ และจะเป็นการตั้งต้นที่ถูกต้องด้วย แล้วไม่มีผิดพลาดแน่นอน ถ้าเราเริ่มพระคุณแม่ขึ้นมาได้นี่ พระคุณแม่นี่ไม่ใช่คุ้มครองลูกอย่างเดียว จะคุ้มครองโลกด้วย จะอุ้มโลกไว้เลยแล้วโลกของเราสังคมของเราก็เจริญงอกงามได้ต่อไป วันนี้ก็ขอโอกาสเน้นเรื่องนี้ไว้เพื่อประโยชน์แก่สังคมซึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่องกับการศึกษา ที่ว่าการศึกษาจะเป็นสถาบันการศึกษาใดก็ตามถึงยังไงก็ตาม เราละทิ้งบ้าน ครอบครัวไม่ได้ และก็ บ้านครอบครัวนั้นก็คือชาวบ้านนั่นเอง ชาวบ้านชุมชนนี้ที่แท้ตัวเขานั้นก็คืออยู่ในบ้านอยู่ในครอบครัวนั้นแหละ จะช่วยชาวบ้านก็ช่วยเค้าเข้าไปให้ถึงในครอบครัวเลย ให้ไปถึงคุณแม่ที่อุ้มท้องเลี้ยงดูลูกอยู่ ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกได้ดีนั่นก็คือเลี้ยงโลกด้วย โลกก็จะจเริญงอกงามต่อไป งั้นเวลานี้ต้องเน้นบทบาทคุณแม่ แล้วก็บทบาทในแง่พระคุณของแม่ ให้เป็นคำที่พูดมาแล้วต้องซาบซึ้งจริงๆ อย่าให้เป็นคำที่เลื่อนลอย เพราะเวลานี้คำนี้ชักจะค่อยๆห่างหายจากใจคนไทยไปแล้ว ก็ขอให้คำว่าพระคุณแม่นี้กลับมาซาบซึ้งอยู่ในจิตใจของคนไทยอีกครั้งหนึ่งคู่กับวัฒนธรรมไทย แล้ววัฒนธรรมไทยจะฟื้นด้วย ถ้าพระคุณแม่ฟื้นขึ้นมา วัฒนธรรมไทยก็จะตามมาเอง แล้วก็ความดีงามต่างๆอย่างวัฒนธรรมที่เราเรียกคนอื่นเป็นพี่เป็นน้อง เป็นลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายก็เริ่มมาจากวัฒนธรรมในครอบครัวที่เกิดจากแม่จากพ่อนี้แหละ วัฒนธรรมเหล่านี้กำลังหมดไปเดี๋ยวนี้คนไทยมองกันไม่เป็นพี่เป็นน้อง ไม่เป็นปู่ย่าตายาย คำเหล่านี้ค่อยๆหดหายไปตามลำดับ งั้นก็การศึกษาที่ว่าเป็นเนื้อตัวของชีวิตก็จะกลับมาเพราะนี่คือชีวิตที่แท้ ชีวิตที่เกิดเริ่มต้น เริ่มต้นจากแม่เนี่ย บอกว่าการศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนมีชีวิต ชีวิตนั้นเริ่มต้นจากแม่ เมื่อแม่ให้กำเนิดมา ก็แม่ก็จูงลูกเข้าสู่การศึกษา แล้วก็สถาบันการศึกษาก็มาช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนอุ้มชูให้ปัจจัยต่างๆที่จะมาประคับประคองหล่อเลี้ยง ก็จะเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ตกลงก็มาสู่หลักพระศาสนาก็คือเรื่องปัจจัยภายนอกกับปัจจัยภายใน ว่าเราทั้งหลายนี่มาเป็นปัจจัยภายนอกที่ดีเพื่อจะช่วยกระตุ้นให้ปัจจัยภายในของเด็กมันเกิดขึ้น ปัจจัยภายในนี่ก็มีมากมาย เมื่อเกิดขึ้นเช่น โยนิโสมนสิการ การรู้จักคิด คิดเป็นอะไรเป็นต้นแล้ว เด็กก็เจริญงอกงามได้อย่างแท้จริง แต่ว่าหลักพระศาสนาบอกแล้วว่า คนโดยทั่วไปที่จะพึ่งปัจจัยภายในได้ทันทีนั้นมันเป็นไปได้ยากนะ ขอให้เรามาเน้นเรื่องปัจจัยภายนอก การที่เรามีการจัดกระบวนการศึกษา มีโรงเรียน มีสถานศึกษานี้ก็คือการจัดตั้งปัจจัยภายนอกขึ้นมา เพื่อจะมาช่วยกระตุ้นให้ปัจจัยภายในเจริญงอกงามนั่นเอง ท่านจึงเรียกว่าเป็นกระบวนการของกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรทำหน้าที่ถูกต้องดีก็จะทำให้เด็กเกิดปัจจัยภายในเช่นโยนิโสมนสิการ เป็นต้น รู้จักคิดเองเป็นก็จะพึ่งตนเองได้ ปัญญาความรู้เข้าใจเกิดขึ้นก็ทำอะไรได้ถูกต้อง ดำเนินชีวิตดีงามและจิตใจก็มีด้านความรู้สึกด้านอารมณ์ที่เป็นบวก ก็มาหนุนให้ปัญญาความคิดนั้นดำเนินไปในทางที่ดีงาม ออกมาสู่พฤติกรรมก็เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นศีล เป็นความประพฤติที่ดีทางกายวาจาทุกอย่างก็ดำเนินเดินหน้าไป ก็เราก็เรียกว่าไตรสิกขา ถ้าได้อย่างนี้ก็เป็นการศึกษาที่ครบองค์ จะเรียกว่าองค์รวมหรืออะไรก็อยู่ที่ตรงนี้เอง วันนี้อาตมภาพก็เลยถือโอกาสพูดคุยมาซะยืดยาวนาน ก็เป็นอันว่านี่ความมุ่งหมายในวันนี้อยากจะเน้นเรื่องแก่นแท้จุดเริ่มต้นของการศึกษาอยู่ที่ชีวิต ชีวิตเริ่มต้นเมื่อไหร่การศึกษาเริ่มต้นเมื่อนั้น ปัจจัยภายนอก ปัจจัยตัวแรกคือแม่ เพราะฉะนั้นก็จะต้องฟื้นอันนี้ขึ้นมาให้ได้ แล้ววัฒนธรรมไทยเราหนุนอยู่แล้ว ขนาดวัฒนธรรมไทยหนุนอยู่แล้วเรายังทำไม่ได้อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่าเราล้มเหลวที่สุดแล้วใช่ไหม อะไร พื้นฐานตัวเองก็มีอยู่แล้วยังทำไม่ได้ อาล่ะ เรานี่ได้เปรียบ พื้นฐานวัฒนธรรมไทยก็ดี เรื่องพระคุณแม่นี่ซาบซึ้งตรึงใจยิ่งใหญ่อยู่แล้ว มีได้เปรียบอย่างนี้ก็เริ่มฟื้นขึ้นมาซะ ทำให้ได้ผล ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่าสังคมไทยนี้หมดสมรรถภาพ ล้มเหลว อย่างนั้นก็ต้องท้ากันล่ะนะว่าการศึกษาของเรานี้จะทำได้มั้ย ชีวิตที่เริ่มต้นในครอบครัว ที่เริ่มต้นลึกลงไปถึงคณแม่ ที่พระคุณของแม่ ที่จะมาค้ำจุนลูก ตามคุ้มครองลูกที่ดำเนินไปในโลกเพื่อให้โลกนี้ดำเนินไปสู่ความดีงามและสันติสุขสืบต่อไป อาตมภาพก็ขออนุโมทนาทางสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา มีท่านนายกสภาเป็นประธาน พร้อมท่านอธิการบดีและท่านรองอธิการบดี ท่านคณบดี และก็อาจารย์ญาติโยมสาธุชน และทางฝ่ายสาธุชนก็คือนำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนี้ ก็ขออนุโมทนาพร้อมทั้งขอคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พรอภิบาลรักษา ให้ทุกท่านเจริญด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา กำลังความสามัคคีที่จะดำเนินชีวิตและกิจการทั้งหลายให้ก้าวหน้างอกงามด้วยความมุ่งหมายอันมุ่งมั่นแน่แน่วที่จะทำการเพื่อสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติและโลกนี้ ให้เดินหน้าไปในความดีงามและความร่มเย็นเป็นสุข ก็ขอให้ความปรารถนามุ่งมั่นนี้จงสัมฤทธิ์ผลสมความปรารถนาด้วยดีทุกประการและขอให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัยทุกเมื่อเทอญ