แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
ขอเจริญพร อนุโมทนาคุณโยมทุกท่านที่ได้มาร่วมทำบุญวันนี้ วันนี้วันที่ ๑๒ ตุลาคม ก็เป็นวันที่โยมคุณหญิงกระจ่างศรี รักตะกนิษฐ ทำบุญประจำมาตลอดทุกปี โดยปรารภว่าเป็นวันคล้ายวันเกิด ปีนี้ก็เป็นปีครบเต็ม ๘๗ และพร้อมกันนี้โยมผู้ที่มีศรัทธาอุปถัมภ์วัดญาณเวศกวัน และมีความใกล้ชิดกับโยมคุณหญิง พอดีก็มีระยะเวลาวันคล้ายวันเกิดใกล้เคียงกัน ก็มาทำบุญด้วยกัน คือคุณโยมสายสนิท พุกกะเวส ความจริงของคุณโยมสายสนิท วันเกิดก็ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ผ่านมาแต่ว่าระยะเวลาใกล้กัน โยมก็มาทำบุญด้วยกันอยู่แล้วเสมอ ก็จัดเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มาทำบุญในคราวเดียวกันเลย นอกจากนี้ก็มีคุณโยม (สุภาพิศ ธีรวัตร ???) ซึ่งประจวบพอดีวันเกิดมาตรงกับโยมคุณหญิง วันที่ ๑๒ ตุลาคม ก็ได้มาทำบุญพร้อมกัน และก็ญาติมิตรทั้งหลายก็มาร่วมอนุโมทนา เท่ากับเป็นการอวยชัยให้พร
วันเกิดก็เป็นวันที่ถือกันมาว่าเป็นวันดีวันสิริมงคล ชาวพุทธก็รู้ลึกลงไปอีก นอกจากถือว่าเป็นมงคลแล้ว ก็รู้ลงไปว่าที่จะเป็นมงคลก็เกิดจากกุศลนั่นเอง กุศลก็หมายความว่ามีความดี หมายความว่าได้ทำความดี ทำความดีที่ว่านี่ก็คือความดีทางกาย ทางวาจา และทางใจ เรียกเป็นภาษาพระว่า มีกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่เป็นกุศล พอมีกุศลเกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ในใจ ใจมีศรัทธา มีคุณธรรม มีเมตตา มีความชื่นบานผ่องใสเป็นต้น มงคลก็เกิดขึ้นแล้วเพราะนี่คือกุศลนั่นเอง พอเริ่มจากกุศลในใจก็แสดงออกมาทางวาจา ทางกาย รวมทั้งบรรยากาศ สิ่งแวดล้อมทั้งหมดก็พลอยสดชื่นเบิกบาน เป็นมงคลไปหมด พอเป็นมงคลก็นำมาซึ่งความสุขและความเจริญ ญาติมิตรทั้งหลาย ลูกหลานก็มาร่วมกันทำบุญ ก็มีใจที่นอกจากยินดีด้วยแล้ว ก็เท่ากับอวยชัยให้พรแก่โยมเจ้าของวันเกิดอยู่ในใจ
ธรรมดาของพุทธศาสนิกชน เมื่ออวยชัยให้พรนอกจากตั้งใจดีด้วยเมตตาธรรม ด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรมแล้ว ก็อ้างอิงคุณพระรัตนตรัยและบุญกุศลมาอวยชัยให้พร ก็ถือว่าทำให้เกิดมงคลอันอุดม คือมงคลที่สูงสุด แต่สำหรับชาวพุทธนั้นไม่ใช่เพียงว่า ท่านผู้อื่นที่มีความปรารถนาดีจะอวยชัยให้พรเท่านั้น แม้ท่านเจ้าของวันเกิดเองก็เป็นฝ่ายที่จะให้พรให้ความสุขแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้นแทนที่จะเป็นผู้รับ เจ้าของวันเกิดก็เลยเป็นผู้ให้ นี่ในคติพุทธศาสนา คือไม่ใช่ว่าพอถึงวันเกิดก็เป็นฝ่ายรับของขวัญ แต่จะเห็นว่าในทางพุทธศาสนาท่านเจ้าของวันเกิดเป็นผู้ให้ก่อน
แล้ววันนี้ที่ให้ก็คือเริ่มด้วยการให้แก่บรรพบุรุษบุพการี วันเกิดนี่เป็นวันที่ระลึกถึงท่านผู้มีพระคุณ หมายความว่าชาวพุทธไม่ได้นึกถึงแต่ตัวเอง ก็นึกไปถึงบิดามารดาปู่ย่าตายาย ท่านที่มีส่วนร่วมในชีวิตของเราที่เกิดมา เหมือนกับว่าวันเกิดของแต่ละท่าน ก็เป็นวันเกิดของบิดามารดาด้วย เมื่อนึกถึงวันเกิดของตนก็จึงนึกถึงบิดามารดา เพราะฉะนั้นการทำบุญในวันนี้จึงเริ่มต้นด้วยการอุทิศกุศลแก่บุพการีมีบิดามารดาเป็นต้น
วันนี้ท่านเจ้าของวันเกิดได้ความสุข ก็ให้ความสุขนั้นแก่ท่านที่รักที่เคารพ เริ่มแต่บิดามารดาเป็นต้นไป นี่ก็คือคติที่เป็นปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ รวมทั้งหมดที่ให้บุญให้กุศล ให้อะไรต่างๆ ก็เรียกง่ายๆว่า ให้ความสุข เมื่อให้ความสุขแล้ว ผู้ให้ก็ประสบความสุขด้วย เริ่มตั้งแต่จิตใจที่ให้ความสุขแก่ผู้อื่นก็เป็นจิตใจที่ดีมีเมตตาธรรมเป็นต้น เป็นจิตใจที่สดชื่นเบิกบาน เอิบอิ่มก็เป็นความสุขตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ ผู้มีปัญญาให้ความสุข ก็ได้ความสุข เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราก็นิยมให้ความสุขแก่ผู้อื่น ซึ่งก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย แล้วตนเองก็ได้อานิสงค์ก็คือความสุขยิ่งๆขึ้นไป
ในเรื่องความสุขนี้ ชาวพุทธย่อมทราบกันว่าถ้าแบ่งโดยประเภทแล้วก็มีมากมายหลายอย่าง วิธีจำแนกความสุขอย่างหนึ่ง ก็อย่างง่ายๆแบ่งเป็นสองอย่าง คือความสุขที่อาศัย กับความสุขที่เป็นไท
คำว่าความสุขที่อาศัยก็คือความสุขที่ขึ้นต่อสิ่งภายนอก ขึ้นต่อปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเราเอง ส่วนความที่เป็นไทก็ตรงข้าม ก็คือความสุขที่อิสระเป็นของตัวเราเอง เมื่อปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ชาวพุทธก็จะเจริญก้าวหน้ามากขึ้น จากเบื้องต้นที่เราต้องมีความสุขแบบอาศัยพึ่งพาปัจจัยภายนอก ก็มีความสามารถที่จะมีความสุขเป็นภายในด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นไทเป็นอิสระมากขึ้นตามลำดับ
ความสุขที่พึ่งอาศัยนั้นก็จะเห็นได้ง่ายๆก็คือ เรื่องของวัตถุสิ่งที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งเหล่านี้เรียกว่าอามิส เราอาศัยสิ่งสวยงามที่เรียกว่ารูป ได้เห็นด้วยตาก็พอใจชอบใจ ถูกใจก็เป็นสุข ได้ฟังเสียงไพเราะก็มีความสุข ได้กลิ่นหอมสดชื่น ได้ลิ้มรสอร่อยหวานเป็นต้น ก็มีความสุข กายได้สัมผัสสิ่งที่นุ่มนวลเป็นต้นก็มีความสุข อันนี้คือความสุขเบื้องต้น แต่เราจะเห็นว่าเป็นความสุขที่ไม่ได้อยู่ในตัว ต้องอาศัยสิ่งภายนอกโดยเฉพาะวัตถุ
ต่อมาเราก็จะมีความสุขที่พึ่งพาบุคคล เช่นมีบุคคลผู้เป็นที่รัก บุคคลที่มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่ใกล้ชิด ความสุขของเราก็เหมือนกับฝากไว้กับบุคคลเหล่านั้น เมื่อได้เห็นได้พบได้มีความสัมพันธ์ที่ดีก็มีความสุข ต่อมาความสุขนั้นก็จะปราณีตขึ้นเป็นนามธรรม เมื่อกี้นี้จะเป็นรูปธรรมเริ่มจากวัตถุ แล้วมาเป็นบุคคล ต่อมาก็เป็นนามธรรม เป็นนามธรรมก็ที่เห็นชัดก็บุญกุศล บุญกุศลความดีต่างๆ ที่ทำตั้งแต่เรื่องของทานการให้การช่วยเหลือต่างๆ ทั้งทางโลกทางธรรม ทั้งภายนอกและในทางพระศาสนา ไปช่วยเหลือใครทำให้เขามีความสุข เราก็ได้บุญได้กุศล จิตใจของเราก็สดชื่น เบิกบานก็มีความสุข นึกถึงเมื่อไรก็มีความสุข ทำบุญในพระศาสนา ได้เกื้อหนุนพระสงฆ์ให้มีกำลังปฏิบัติศาสนกิจ ให้สามารถเล่าเรียนพระธรรมวินัย ปฏิบัติธรรม แล้วก็เผยแผ่พระศาสนา
ธรรมะแผ่ออกไปเป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชน โยมนึกขึ้นมาเมื่อไรว่าได้ทำบุญทำกุศลแก่พระศาสนาแล้ว จิตใจก็มีความเอิบอิ่มเบิกบานก็มีความสุข อันนี้ก็เป็นความสุขขึ้นไปตามลำดับ แต่ยังมีสุขที่สูงขึ้นไปอีกกว่านั้น ความสุขต่อจากนั้นก็คือความสุขที่เกิดจากปัญญา มีความรู้ความเข้าใจสิ่งต่างๆ คนเรานี้มีปัญญารู้เข้าใจเมื่อไรก็โล่ง มีความอึดอัด คิดไม่ตก อัดอั้นตันใจ พอคิดออก รู้ทันตามความจริงสิ่งต่างๆ แม้แต่ปัญหาที่ลึกซึ้งในทางจิตใจ ความเป็นไปในชีวิต ปัญหาชีวิตต่างๆเกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีปัญญาก็อึดอัด มีความทุกข์บีบคั้นใจ แต่ถ้ามีปัญญารู้เข้าใจ รู้เท่าทันความจริงของโลกของชีวิตแล้ววางใจได้ ก็พ้นจากความทุกข์นั้น จิตใจก็เป็นสุข โปร่งเบาสบาย อันนี้ก็เรียกว่าเป็นสุขที่เกิดจากปัญญา พร้อมกันนั้นก็เป็นความสุขที่เกิดจากใจที่เป็นอิสระ
ปัญญากับการที่จิตใจเป็นอิสระนี่มาด้วยกัน เพราะจิตจะเป็นอิสระได้ก็ต้องอาศัยปัญญา พอปัญญามาจิตใจก็เป็นอิสระ ความสุขที่เป็นเรื่องนามธรรมนี่จะค่อยๆเป็นอิสระมากขึ้น คือเป็นไทแก่ตัวเอง แต่ความสุขที่เป็นวัตถุนี่ก็เป็นเรื่องที่มุ่งหมายกันในโลกนี้ ความเจริญในปัจจุบันก็จะมาเน้นที่ความสุขทางวัตถุที่พึ่งพาอามิส ที่พระท่านเรียกว่าสามิสสุข เมื่อเป็นสุขที่พึ่งพาอาศัยนี่ก็ไม่เป็นของตัวเอง ไม่อยู่ภายใน ก็เลยต้องมี ต้องหา เอามาเพิ่มอยู่เรื่อยไป เรามีปัญหาอย่างหนึ่งก็คือความสุขทางวัตถุนี้ พอมีมากเข้า ก็กลายเป็นว่าชักชินชา ก็ต้องเพิ่มเรียกว่าทั้งดีกรีและปริมาณ ก็เลยกลายเป็นว่าคนอยู่ในโลกนี้ก็วิ่งหาความสุขกัน เมื่อต้องเพิ่มก็ทำให้ต้องแสวงหามากขึ้น ก็เกิดการแย่งชิง คนหนึ่งได้สุข อีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ คนหนึ่งก็อด หรือไม่งั้นคนหนึ่งก็ถูกแย่งไป กลายเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน เบียดเบียนกันก็เลยเกิดกลายเป็นว่าสังคมไม่เป็นสุข
เมื่อสังคมไม่เป็นสุข แต่ละคนก็เลยพลอยไม่สุขจริงไปด้วย อันนี้ก็เลยกลายเป็นมีความหวาดระแวง ไม่เหมือนกับความสุขที่เป็นภายใน ที่เริ่มตั้งแต่ความดีบุญกุศลเป็นต้น ที่ติดตัวไปตลอดเวลา แล้วก็นึกถึงเมื่อไรก็ได้ นึกถึงเมื่อไรก็เป็นสุขเมื่อนั้น แล้วก็ยั่งยืนยาวนาน ความสุขทางวัตถุนั้นก็ต้องมีวัตถุนั้นอยู่ ถ้าไม่มีก็ไม่มีความสุข กลายเป็นว่ามีความทุกข์ แต่ว่าความสุขที่เป็นนามธรรมเช่นบุญกุศลนี่ ไม่ต้องมีอะไร อยู่แต่ใจของตัวเองก็มีความสุขแล้ว แล้วก็สุขได้ทุกเวลา ยิ่งได้พัฒนาจิตใจให้ถึงความสุขที่เกิดจากปัญญา เป็นไทเป็นอิสระแท้จริงอย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ความสุขนั้นกลายเป็นคุณสมบัติในตัว หมายความว่าชีวิตเป็นสุขเลย ไม่ใช่ว่าความสุขอยู่ต่างหากจากชีวิต อย่างความสุขทางวัตถุนี่ชีวิตเหมือนกับอยู่ต่างหาก แล้วก็ความสุขนี่ก็อยู่ที่วัตถุภายนอก เมื่อไรได้วัตถุเหล่านั้นมา เสพบริโภคก็มีความสุข พอไม่มีก็กลายเป็นโหยหา ก็กลายเป็นทุกข์ไปด้วย
แต่ความสุขทางจิตใจนี่อยู่ในตัว ในที่สุดก็อย่างที่ว่า ก็เป็นคุณสมบัติประจำตัว เมื่อเป็นความสุขเป็นคุณสมบัติประจำตัว ก็เป็นผู้มีความสุข เป็นผู้ไม่ต้องหาความสุข สำหรับชาวโลกที่พึ่งพาวัตถุก็ต้องหาความสุขกันเรื่อยไป เรียกว่าเป็นความสุขที่ต้องหา นี้ทำยังไงเราจะมีความสุขที่ไม่ต้องหา ก็เป็นความสุขที่มีเลย อันนี้แหล่ะก็คือการที่ต้องก้าวไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าในการปฏิบัติ หรือในการพัฒนาชีวิต เมื่อมีความสุขอยู่เป็นคุณสมบัติในตัว คราวนี้จะอยู่ไหนไปไหนก็มีความสุขตลอดเวลา เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ จะอยู่ที่ไหน สภาพแวดล้อมอย่างไรก็มีความสุข ไปไหนก็ได้ ตอนนี้ก็นำความสุขไปแผ่ขยายกลายเป็นผู้ให้ความสุขตลอดเวลา
ถ้าคนเรายังต้องหาความสุข ไม่มีความสุขในตัว ก็แน่นอน เมื่อยังต้องหาความสุขก็มีทางที่จะเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่ผู้ที่มีความสุขอยู่ในตัวเต็มแล้ว ไม่หาความสุข ก็มีแต่ว่าเผื่อแผ่ขยายความสุขออกไป เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความสุขอย่างพระพุทธเจ้าเราก็เรียกว่าทำงานเพื่อโปรดสัตว์ เสด็จเดินทางจาริกไป ก็เพื่อไปสั่งสอนเขา นำความสุขไปให้แก่เขา อันนี้ก็เป็นหลักปฏิบัติที่มีอยู่ ซึ่งเป็นการก้าวไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่โลกปัจจุบันนี้ บางทีเราก็ไม่ได้มาจำแนก ไม่ได้พิจารณาเรื่องความสุขว่าเป็นอย่างไร ไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณา ก็ติดอยู่กับความสุขขั้นต้นขั้นที่หนึ่ง ก็คือความสุขที่พึ่งพาอาศัยวัตถุภายนอก บางทีหาวัตถุ พึ่งพาวัตถุจนกระทั่ง แม้ความสุขขั้นที่สองคือความสุขในความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล เมตตากรุณาก็พลอยหายไป หมดไปก็มี คนบางพวกเดี๋ยวนี้ปัจจุบันเนี่ย ได้แต่วิ่งดิ้นรนหาความสุขจากวัตถุให้แก่ตน จนกระทั่งไม่คำนึงถึงผู้อื่นแม้แต่ใกล้ชิด เราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้มีข่าวบ่อยๆ แม้แต่ในครอบครัว พ่อแม่กับลูกก็ยังเบียดเบียนกันเลย แทนที่จะได้ความสุขจากกันและกัน จากการอยู่ดีในระหว่างมนุษย์นี่ ซึ่งเป็นความสุขที่ประณีตขึ้นไปอีกขั้น แม้จะเป็นความสุขอย่างพึ่งพาก็เป็นความสุขที่มีคุณธรรม คือมีไมตรีจิตมิตรภาพต่อกัน เดี๋ยวนี้ก็ชักจะหมด เพราะว่าไปเน้นความสุขทางวัตถุ วิ่งหาให้แก่ตนเองมันก็ไม่รู้จักพอ เมื่อไม่รู้จักพอก็ต้องคิดถึงแต่ตัว นอกจากแย่งชิงคนอื่นแล้วก็ คิดถึงแต่ตัวเองก็เลยไม่คำนึงถึงใคร พ่อแม่บางทีก็ลืมลูก ลูกก็ไม่เอาใจใส่พ่อแม่ ความสุขในครอบครัวก็ไม่มี
ฉะนั้นยิ่งคนมาติดอยู่ความสุขขั้นต้น ขั้นที่หนึ่งพึ่งพาวัตถุมากเท่าไร โลกนี้ก็จะยิ่งเดือดร้อนมากเท่านั้น เพราะแต่ละคนก็จะต้องหาเพื่อตน แย่งชิงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไปๆมาๆมนุษย์ก็หลงระเริงมัวเมา ความสุขในทางวัตถุ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ ทำยังไงก็ไม่พอ ในที่สุดก็ไปหาสิ่งที่จะช่วยให้สุขยิ่งขึ้น ไปหาสิ่งเสพติดสิ่งทำให้มัวเมา เสร็จแล้วก็ยิ่งเกิดปัญหาแก่สังคม ทำร้ายกัน เบียดเบียนกัน ฆ่าฟันกัน ความทุกข์ความเดือดร้อนก็ยิ่งมาก เพราะมนุษยไม่รู้จักพัฒนาในความสุข ถ้าเรารู้จักใช้ปฏิบัติต่อความสุขให้เป็น โลกนี้ก็จะได้มีความสุขทุกระดับที่พอดีกัน
คนเบื้องต้นเกิดมาใหม่ ยังไม่ได้พัฒนาทางด้านจิตใจและปัญญามากนักก็อาศัยความสุขทางวัตถุแต่พอประมาณพอสมควร แล้วก็พัฒนาต่อไปให้มีความสุขในการอยู่ร่วมกัน ความสุขจากความรักเมตตาต่อกัน ตั้งแต่ในครอบครัวเป็นต้นไป มีไมตรีจิตมิตรภาพ ความสุขจากธรรมชาติแวดล้อมอะไรต่างๆเหล่านี้ จิตใจก็ประณีตขึ้นไป ไปบุญไปกุศลไปปัญญา จิตใจเป็นอิสระ พอถึงขั้นสุดท้ายนี่ได้ความสุขครบทุกขั้นเลย
อย่างหนึ่งที่ท่านยกเป็นตัวอย่าง อย่างพระโสดาบันนี่เป็นบุคคลที่ได้ความสุขทุกระดับ คือความสุขทางจิตใจขั้นปัญญาเป็นอิสระ ท่านก็ได้ระดับหนึ่งแม้จะไม่สมบูรณ์ พระโสดาบันนี่ได้ละ ท่านเรียกว่าเป็นผู้ที่ได้สัมผัสลิ้มรสพระนิพพานแล้ว เป็นปฐมทัศน์เห็นนิพพานเป็นเบื้องแรก ก็ได้ความสุขที่ประณีตสูงสุด เป็นโลกุตตระ เป็นความสุขที่เป็นไท พร้อมกันนั้นก็มีความสุขจากการอยู่ในธรรมชาติ มองเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลาย เข้าถึงธรรมชาติ พร้อมกันนั้นก็มีจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตาเผื่อแผ่ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข อยู่ในสังคมที่มีความสุข พระโสดาบันนี่ถึงขั้นหมด??? ไม่หวงแหนอะไรแล้ว มุ่งทำเพื่อใครก็ได้ให้เขามีความสุข จิตใจก็เลยยิ่งสบาย เสร็จแล้วในด้านวัตถุก็ยังมีความสุข พระโสดาบันก็ยังครองเรือนอยู่ ยังมีครอบครัวอยู่ ท่านก็มีความสุขครบเลย
พระโสดาบันนี่เป็นตัวอย่างบุคคลที่พร้อมบริบูรณ์ ฉะนั้นในพุทธศาสนาก็นิยมสอนกัน แล้วก็มากระตุ้นเตือนกันว่ามาปฏิบัตินะ เราจะก้าวหน้าไปในความดีงามและความสุข ถ้าได้เป็นโสดาบันแล้วมีความสุขมาก มีสมบัติดียิ่งกว่าเป็นสมบัติทิพย์ของเทวดา ยิ่งกว่าเป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ์ด้วย เป็นโสดาบันเนี่ย แต่นี้เพราะปัจจุบันนี้เรา ห่างไกลคำสอนของพุทธศาสนากันมาก มีความสุขทางวัตถุนี่เพิ่มพูนขึ้นมาจนกระทั่งคนเกิดความลุ่มหลง
ความสุขทางวัตถุปัจจุบันนี้จะเห็นได้ชัดก็พวกเทคโนโลยี ปัจจุบันก็เอาเทคโนโลยีมาพัฒนาเจริญเพิ่มขึ้น มนุษย์ก็ยิ่งไปหวัง ฝากความหวังไว้กับความเจริญทางวัตถุ หรือทางเทคโนโลยีนี้ ว่าสิ่งเหล่านี้จะให้ความสุขแก่เรา ก็เลยไปลุ่มหลงมัวเมา พอเทคโนโลยีเจริญขึ้นมา ตอนนี้เป็นขั้นไฮเทคแล้ว ก็มีความสุขกันยกใหญ่ สุขไปสุขมา ตอนนี้ไฮเทคชักจะเป็นไฮทุกข์แล้ว
แล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าประเทศอเมริกาไฮเทคมาก เป็นผู้นำ แต่เวลานี้ อย่างที่บอกเมื่อกี๊ว่าไฮเทคกำลังเป็นไฮทุกข์ เพราะว่าทุกข์มาก เคยเป็นประเทศที่สะดวกสบาย พรั่งพร้อมทุกอย่าง เป็นสังคม เขาเรียกว่าเป็นอะไร เป็นสังคมกดปุ่ม ที่จริงเดี๋ยวนี้ไม่ต้องกดปุ่มแล้ว เดินไปเป็นอัตโนมัติ พอเดินไปประตูมันก็เปิดเองเป็นต้น อย่างนี้เรียกว่ามนุษย์สบายเหลือเกิน แต่ว่าพอมีเหตุเกิดใช้เทคโนโลยีในทางที่ไม่ดี มาทำลายกันก็เลยเกิดทุกข์ ตอนนี้อยู่ด้วยความหวาดระแวง กลายเป็นว่าสังคมอเมริกาที่มีความสุขมากที่สุด ตอนนี้เป็นสังคมที่ทุกข์ที่สุด
ญาติโยมหลายท่านที่เคยอยากไปอเมริกา ตอนนี้ไม่อยากไปแล้ว กลับกลัวด้วยซ้ำ เมื่อวานก็มีหลานมา ได้ทุนจะไปอเมริกา เลื่อน จะไป ตัวเองถึงจะไป แม่บอกนอนไม่หลับ ในที่สุดต้องตัดสินใจไม่ไป พอบอกว่าไม่ไป คุณแม่หลับสบายตลอดคืนเลย อันนี้แหละหนึ่ง ดังนั้นมนุษย์เรานี่ต้องไม่ประมาท ความเจริญทางวัตถุนี่มันมาพร้อมกันกับปัญหาได้ ถ้าเราใช้ไม่เป็น วัตถุก็คือเครื่องมือเทคโนโลยีนี่คล้ายๆเครื่องมือ ใช้ดีก็เกิดประโยชน์ ใช้ไม่ดีก็เกิดโทษ ทีนี้มนุษย์เราเจริญด้วยวัตถุ สร้างสรรค์พัฒนาเทคโนโลยีมาได้ ก้าวหน้าเหลือเกิน แต่พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีเหล่านี้ ก็ใช้ได้ทั้งทางดีและทางร้าย ทางดีก็เป็นคุณ ทางร้ายก็เป็นโทษ ฉะนั้นก็อยู่ที่ว่ามนุษย์จะใช้ยังไง ทีนี้มนุษย์นี่เมื่อมีความสามารถในทางวัตถุเทคโนโลยีเจริญขึ้นมา แต่ด้านจิตใจนี้ก็ไม่ได้เติบโตขึ้นมาอย่างร่างกาย เวลานี้มนุษย์จึงเหมือนเป็นยักษ์ใหญ่ เจริญมากเหมือนยักษ์ใหญ่ แต่ใจนี่เหมือนแมลงเม่า คือใจเสาะเปราะบาง กายร่างกายกำยำล่ำสันเก่งกล้าเหลือเกิน แต่ใจเสาะ
ใจเสาะยังไง ตายด้วยไฟโลภะ โทษะ โมหะ แมลงเม่านี่เดี๋ยวบินเข้ากองไฟ ไฟก็มีไฟโลภะ ไฟโทษะ ไฟโมหะ มนุษย์ก็ยุ่งอยู่กับไฟเหล่านี้ แล้วก็พากันตายเพราะไฟเหล่านี้ ใจเสาะไม่มีความเข้มแข็ง ไม่ได้พัฒนา ฉะนั้นเทคโนโลยี ไปๆมาๆก็ต้องดูกันว่าใช้ก่อทุกข์มากหรือใช้ก่อสุขมาก ใช้สร้างสุขมากหรือใช้ก่อทุกข์มาก ถ้าใช้ไม่เป็น ต่อไปทุกข์ก็จะทวี แล้วหนทางที่จะเกิดทุกข์ก็มากยิ่งขึ้น แล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ใช้ในทางสร้างสรรค์มาก หรือใช้ในทางทำลายมาก ตอนนี้ก็จะเห็นว่าใช้กันในทางทำลายได้มากแล้ว
พอจิตไม่ดีแล้ว มีความเครียดแค้นอาฆาตกัน ตอนที่แล้วมามันเย็นกว่านี้ คือเขาก็ใช้กันมาอยู่แล้วในทางไม่ดี เช่นว่าใช้เพื่อโลภ หาผลประโยชน์ การใช้ในทางโลภ หาผลประโยชน์นั้นมันลึกซึ้ง บางทีมีเล่กลห์อุบายให้ไม่รู้ตัว คนที่ได้รับผลจากความโลภนั้นน่ะ อาจจะเพลิดเพลินเหมือนกับมีความสุข ก็ปล่อยตัวไปเรื่อยๆ อันนั้นเป็นเรื่องความโลภที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ตอนนี้ความโกรธมาแล้ว พอความโกรธความเครียดแค้นอาฆาตมา คราวนี้รุนแรง จะเห็นทันตา ทันทีเลย แล้วเทคโนโลยีก็มาสนอง ก็กลัวกันทุกระดับ ตั้งแต่เทคโนโลยีที่มีกำลังอำนาจในการทำลายเห็นชัดๆอย่างลูกระเบิด อย่างจรวดอะไรต่างๆ เหล่านี้ อันนี้ก็ชัดแล้ว ทำลายได้มากมายอย่างคิดไม่ถึง ในเวลาเดียวกันลึกซึ้งลงไป เทคโนโลยีที่ละเอียดอ่อนแม้กระทั่งว่า เดี๋ยวนี้เล็กๆน้อยๆคนอเมริกันก็หวาด ได้รับจดหมายทางไปรษณีย์ก็ไม่ค่อยกล้าจับ กลัวว่าจะมีพวกเชื้อโรคติดมา หรืออะไรอย่างเงี้ย คือหวาดผวาไปหมด คนที่หวาดผวาตลอดเวลา มันก็ไม่มีความสุข เลยเทคโนโลยีที่เกิดมา สร้างขึ้นมาเพื่อจะมาบำรุงบำเรอความสุขก็เลยไม่ค่อยได้ประโยชน์ เพราะใจเป็นทุกข์ หวาดระแวง แล้วในที่สุดก็เลยถึงกับไม่กล้าใช้เทคโนโลยีเหล่านั้น นี้เป็นเรื่องของปัญหาของมนุษย์ที่เกิดจากเทคโนโลยี
ฉะนั้นสำหรับชาวพุทธ เมื่อเกิดเหตุต่างๆก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงธรรมะว่าเราจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ความสุขทุกระดับนี่สมบูรณ์ แล้วก็มีการก้าวมากสูงขึ้นไปในความสุข พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า หลักในการปฏิบัติต่อความสุขคือ หนึ่งไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์นี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หนึ่งหลักไม่เอาทุกข์ทับถมตนที่ไม่เป็นทุกข์ สองไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม ความสุขที่ชอบธรรมท่านก็ไม่ให้ละทิ้ง สามแม้ในความสุขที่ชอบธรรมนั้นก็ไม่สยบ ไม่มัวเมา อันนี้ก็สำคัญ พอมีความสุขที่ดีก็ไปสยบมัวเมา ติดซะอีก อย่างพวกพระฤาษีที่ติดฌาณเป็นต้น เลยไม่ไปไหน ไม่ถึงนิพพาน แล้วก็สี่ก็ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความสุขที่ประณีตขึ้นไป ให้รู้ว่ามีความสุขที่ประณีตสูงขึ้นไปอีกมาก ที่เราควรจะก้าวไปได้ จากความสุขที่อาศัยก็เป็นความสุขที่เป็นไท ถ้าอย่างนี้ไฮเทคก็ไม่เป็นไฮทุกข์
เพราะฉะนั้นเราก็จะได้ไฮเทคที่นำไปสู่ความสุขที่แท้จริงได้ ก็คือใช้ไฮเทคนี่มาเป็นเครื่องประกอบ เป็นเครื่องเสริมเป็นเครื่องหนุน ทางพระท่านเรียกว่าเป็นปัจจัย เป็นปัจจัยเกื้อหนุน แล้วเราก็ไม่ขาดความสุขทุกระดับ แต่ตอนนี้เราเอาความสุขทางวัตถุมาเป็นจุดหมาย มันก็เลยจมตีบตันวกวนอยู่ เราก็มาใช้ใหม่ ปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เทคโนโลยีเป็นปัจจัยเป็นเครื่องหนุน เป็นเครื่องเสริม เราอาศัยมันชีวิตสะดวกสบาย เราก็พัฒนากความสุขก้าวไป จากความสุขที่อาศัยเป็นความสุขที่เป็นไท จากความสุขทางวัตถุ ให้มีความสุขในความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมสังคมที่ดีมีเมตตาไมตรีต่อกัน มีความสุขในการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสุขจากการทำความดีบำเพ็ญประโยชน์ทำบุญทำกุศล ที่เป็นนามธรรม เมื่อระลึกขึ้นมาเมื่อไร จิตใจก็มีความเบิกบานผ่องใส อยู่ที่ไหนก็สุข ใช้ได้ทั้งนั้น
จนกระทั่งมีความสุขจากจิตใจที่มีปัญญารู้เท่าทันความจริงของสิ่งทั้งหลาย และมีจิตเป็นอิสระ อันนี้ก็จะถึงขั้นเป็นมงคลข้อสูงสุด ที่เรียกว่ามงคล ๓๘ ประการ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ นะ กัมปติ อะโสกัง วิระชัง เขมัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง ว่าผู้ใดถูกโลกธรรมดีร้ายก็ตาม มากระทบแล้วไม่หวั่นไหว เป็นจิตใจที่ไม่มีความขุ่นมัวเศร้าหมองเบิกบานผ่องใส เป็นจิตเกษมมั่งคง อันนั้นคือมงคลอันอุดม
วันนี้อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาโยม คุณโยมกระจ่างศรี รักตะกนิษฐ คุณโยมสายสนิท พุกกะเวส คุณโยม(สุภาพิศ ธีรวัตร ???)พร้อมทั้งโยมญาติมิตรทุกท่านที่ได้มาทำบุญร่วมกันในโอกาสคล้ายวันเกิดนี้ ทุกท่านมีจิตร่าเริงยินดีด้วยธรรมะ มีศรัทธาเมตาไมตรีธรรม และความกตัญญูกตเวที จิตใจที่ดีงามนี่แหล่ะ ก็เรียกว่าได้ปัจจัยแห่งความสุขที่ลึกซึ้งเป็นนามธรรมที่จะนำไปสู่ความสุขที่เป็นไทอย่างแท้จริง ก็ขอให้โยมทุกท่านได้เจริญในความสุขนี้พร้อมด้วยมงคลทุกประการ ให้ครบทั้ง ๓๘ และสรรพพรชัย จงมีความร่มเย็นงอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ