แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
นี้วันนี้จะพูดก็คิดว่าให้สืบเนื่องจากครั้งก่อน ครั้งก่อนนี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับหลักการของ พุทธศาสนาโดยเทียบเคียงกับสภาพภูมิหลังของสังคมที่พุทธศาสนาเกิดขึ้นในอินเดีย นี่ก็ให้เห็นว่าหลักการสำคัญของพุทธศาสนานั้น ก็รวมอยู่ที่สิกขาคือการศึกษา อันนี้เป็นการพูดในแง่หนึ่ง เมื่อพูดในแง่นั้นแล้ว ก็ควรจะพูดอีกแง่หนึ่งเข้ามาเป็นการย้ำถึงเหตุผลที่พุทธศาสนาสอนเรื่องสิกขาหรือพูดให้เต็มว่าไตรสิกขานี้เป็นหลักการสำคัญ นี่ก็มองในแง่ที่ผ่านมาก็คือหลักการนั้นเทียบกับศาสนาพราหมณ์ที่เขามีการนับถืออ้อนวอนเทพเจ้า
ที่นี้มาดูว่าหลักการที่จริงนั้น ก็เป็นการสอนตามธรรมชาติของมนุษย์นั้นเอง เพราะฉะนั้นเหตุผลสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องไตรสิกขานี่ก็เป็นเหตุผลที่เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์หรือว่าพระพุทธเจ้าสอนหลักธรรมนี้ขึ้นมาก็สอนโดยถือเอาธรรมชาติของมนุษย์นี่เองเป็นพื้นฐาน ธรรมชาติของมนุษย์คืออย่างไร ธรรมชาติของมนุษย์นั้นตามหลักของพุทธศาสนาก็ว่าเป็นสัตว์ที่เรียกว่าต้องฝึก แล้วก็ฝึกได้ คำว่าต้องฝึกหรือฝึกได้นี่ใช้คำบาลีว่า ทัมมะ ท ทหาร เขียนคล้ายๆกันกับ ธรรมะ ที่เรารู้กันทั่วไปว่า หลักธรรมคำสอน ที่ว่า (ท ทหาร ไม้หันอากาศ ม ม้า ๒ ตัว) ถ้าเป็นธรรมะที่เป็นหลักธรรม ก็เพียงเปลี่ยนเป็น ธ ธง (ธ ธง ไม้หันอากาศ ม ม้า ๒ ตัว สระอะ) ธัมมะนั้นก็เป็นหลักการของธรรมชาติ นี้ทัมมะ ท ทหาร นี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้และต้องฝึก
อันนี้ก็เทียบกับสัตว์ทั้งหลายชนิดอื่น สัตว์ชนิดอื่นนั้นตามปกติโดยทั่วไปแล้วก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่ไม่ได้ คือฝึกได้น้อยไม่ใช่หมายความว่าฝึกไม่ได้เลย ฝึกได้น้อย จนกระทั่งการฝึกนี้ไม่ค่อยมีความหมายสำหรับการดำรงชีวิตของเขา ทีนี้เขาอยู่ได้ด้วยอะไร ภาษาปัจจุบันถือว่าเขาอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ สัตว์ชนิดอื่นเกิดมาแล้วอาศัยสัญชาตญาณก็อยู่ได้ เรียนรู้น้อย ฝึกน้อย สัตว์ต่างๆเกิดมาออกจากท้องแม่เขานี่ ชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็เดินได้ วิ่งได้ ว่ายน้ำได้ บางชนิดก็อาจจะต้อง ๒-๓ วัน แต่รวมแล้วก็คือว่า เรียนรู้น้อยฝึกน้อย
ทีนี้ส่วนมนุษย์นั้นไม่เหมือนสัตว์เหล่านั้น มนุษย์นี้เกิดมาแล้วช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไม่สามารถดำเนินชีวิตได้ ก็ต้องอาศัย พ่อแม่ เลี้ยงดูซึ่งใช้เวลานานมากกว่าจะเป็น ไม่ใช่อาจจะเป็น ต้องเป็นเวลาหลายปีทีเดียว จนกระทั่งอาจจะ ๑๐ ปี ๒๐ ปี จึงจะสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง ทีนี้ในระหว่างที่คนอื่นเลี้ยงดูนั่นน่ะ เราจะต้องมองที่ตัวเขาว่าเขาทำอะไรระหว่างที่พ่อแม่เป็นต้นเลี้ยงดูนั้น ตัวเขาเองก็คือฝึกตัว เรียนรู้ ศึกษา เขาก็เรียนรู้ ฝึกหัดตนเอง ฝึกพัฒนาตนเอง ในการที่จะดำเนินชีวิตเป็นอยู่ให้ได้ การเรียนรู้นี่ก็แทบทุกอย่างแม้แต่ว่าการเป็นอยู่ประจำวันในเรื่องง่ายๆ กิน นอน นั่ง ยืน ขับถ่าย สารพัดต้องฝึกหมด ต้องเรียนรู้หมดไม่ได้มาตัวเอง ไม่ได้มาเองโดยธรรมชาติ
จนกระทั่งในราวปีหนึ่งก็มีการฝึกเดิน ฝึกพูดก็ต้องมีการฝึกกันทั้งนั้น เรียกว่าเรียนรู้นี่ก็คำว่าการฝึก ภาษาพระท่านใช้คำว่า ทมะ (ท ทหาร ม ม้า สระ อะ) ทมะ แปลว่า การฝึก พอเป็นคนก็เลยซ้อน ม อีกตัวหนึ่งกลายเป็นทัมมะแปลว่าสัตว์ที่ต้องฝึก ทีนี้คำว่าทมะฝึกนี่ ก็เป็นศัพท์ที่ใช้แทนกันได้หรือใกล้เคียงมากกับคำว่าสิกขา สิกขาก็แปลว่าเรียนรู้ ฝึกเหมือนกัน แล้วใช้กันได้กับคำว่าพัฒนา ก็แปลว่าทำให้เจริญขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราแปลกันว่า เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนา มนุษย์ก็เป็นสัตว์ที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนา อย่างที่ว่ามา เมื่อเขาฝึกฝน พัฒนา เขาก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ แต่ก็เป็นข้อพิเศษเมื่อเราเทียบกับสัตว์อื่นก็คือว่ามนุษย์นั้นไม่ได้การดำเนินชีวิตมาเปล่าๆ แต่ว่าต้องลงทุนด้วยการฝึกฝน เรียนรู้ ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่นที่ว่า การดำเนินชีวิตของเขานั้นได้มาส่วนใหญ่ด้วยสัญชาตญาณ เพราะฉะนั้นสัตว์ชนิดอื่นนั้นพอเกิดมาก็เป็นอยู่ได้ง่ายๆ เรียนรู้นิดหน่อยเท่านั้นเอง ประเดี๋ยวก็ว่ายน้ำได้ เดินได้ รู้จักหากิน ช่วยตัวเองได้
ถ้าในแง่ของธรรมชาติพื้นฐานอย่างนี้ ก็เท่ากับมนุษย์นั้นสู้สัตว์ชนิดอื่นไม่ได้ เพราะสัตว์ชนิดอื่นนั้นไม่ต้องฝึกไม่ต้องเรียนรู้ ไม่ต้องพัฒนามันก็อยู่ได้โดยสัญชาตญาณส่วนมนุษย์นั้นต้องเรียนรู้ ต้องฝึกหัด พัฒนาจึงจะดำเนินชีวิตไปได้ มีสัตว์บางชนิดที่ว่าฝึกได้โดยเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นแล้วก็ฝึกได้มากหน่อย เช่น ช้าง ม้า ลิง เป็นต้น หรือปลาโลมา อย่างนี้ก็ฝึกได้มากหน่อย สามารถเรียนรู้ได้เยอะ แต่ก็มีขีดจำกัดไปไม่ได้ไกลและข้อสำคัญก็คือฝึกตัวเองไม่ได้ต้องอาศัยมนุษย์ฝึกให้ ความสามารถนั้นมาอยู่ที่มนุษย์ที่ไปฝึกให้สัตว์อีกทีหนึ่ง แล้วทำให้ช้างนี่สามารถลากซุงได้ ไปรบทำสงครามได้ ม้าก็เอามาใช้เป็นพาหนะ ลิงก็เอาไปเก็บมะพร้าวให้เจ้าของสวนเป็นต้น หรือไปเล่นละครลิง ก็รวมแล้วมนุษย์นี่ฝึกให้ทั้งนั้น อันนั้นก็เป็นอันว่าสัตว์นี้เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาได้น้อย แล้วถ้าได้มากหน่อยก็ต้องอาศัยมนุษย์ฝึกให้ถึงจะฝึกอย่างไรก็มีขอบเขตจำกัดไปไม่ได้ไกลก็จบกันแค่นั้นแหละ ก็จบแค่มนุษย์ใช้งาน แล้วไปเล่นละครสัตว์ไม่ได้ดีไปกว่านั้น
ฉะนั้นมนุษย์นี้เสียเปรียบตอนที่ว่าถ้าไม่ฝึก ไม่เรียนรู้ ก็ไม่สามารถเป็นอยู่ได้ก็จึงเรียกว่าเป็นสัตว์ที่ต้องฝึก แต่ว่าในการที่ต้องฝึกนี้ก็ เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ด้วยตอนที่ว่าฝึกได้นี่แหละที่สำคัญมากก็คือว่าพอฝึกแล้ว ก็ประเสริฐ์ เก่ง สามารถยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายทั่วไป สัตว์ทั้งหลายนั้นอยู่ได้โดยสัญชาตญาณ แต่ว่าก็อยู่อย่างนั้นแหละจนตลอดชาติ จนกระทั่งตายไปก็เกิดมาได้เท่าไหร่ ก็ตายไปได้เท่านั้น ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเขาก็อยู่ด้วยสัญชาตญาณอย่างนั้นตลอดชีวิต โลกของสัตว์ทั้งหลายก็อยู่ในท่ามกลางธรรมชาติ อยู่ตามพื้นฐานเดิม ส่วนมนุษย์นั้นเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ เพราะความที่ฝึกได้ เรียนรู้ได้ พัฒนาได้ก็เลยฝึกกันเรื่อยไป ฝึกไม่รู้จักจบ เรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้จากบรรพบุรุษก็ได้ ตัวเองเรียนรู้ ฝึกตัวเองให้ทำอะไรต่างๆได้จนกระทั่งว่าเรียกได้ว่าแทบไม่มีขีดจำกัด
นี่พอมนุษย์เรียนรู้ฝึกหัด พัฒนาไปก็สามารถที่จะมาประดิษฐ์ สร้างสรรค์วัตถุต่างๆที่เป็นของ เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนกระทั่งเป็นเทคโนโลยี ก็ทำให้โลกมนุษย์นั้นเจริญก้าวหน้า แล้วก็มีการจัดสรร ระบบสังคม ความเป็นอยู่อะไรต่างๆขึ้นมาเป็นวัฒนธรรม เป็นอารยธรรม ก็เป็นโลกของมนุษย์ต่างๆ กลายเป็นว่าเวลาเราพูดถึงคำว่าโลกนี้ก็เลยต้องแยกไปว่า เออ เป็นโลกตามที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โลกธรรมชาติหรือเป็นโลกที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา โลกมนุษย์นี้มีความพิเศษแปลกไปจากโลกของธรรมชาติเป็นอีกโลกหนึ่งเลย
ทีนี้มนุษย์นี่ก็ฝึกฝน พัฒนาได้อย่างที่ว่าในทางเรื่องของวัตถุก็ได้ในทางจิตใจก็มีคุณธรรมที่ประเสริฐ จนกระทั่งว่าเป็นมนุษย์ที่เราเรียกว่าดีงาม ยอด เลิศ สูงสุด แต่ว่าที่สำคัญที่สุดก็คือปัญญา มนุษย์มีปัญญาที่พัฒนาได้ จนกระทั่งสามารถตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้เราก็เลยตั้งเอาพระพุทธเจ้านี้เป็นแบบให้เห็นว่าบุคคลนี้พัฒนาสูงสุดแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า นี้ตกลงว่ามนุษย์นี้มีความประเสริฐอยู่ที่ฝึกได้ นั้นการที่เป็นสัตว์ที่ฝึกได้นี่แหละ เราจึงเรียกว่าเป็นสัตว์ประเสริฐที่บอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ไม่ใช่ประเสริฐลอยๆแต่ว่าประเสริฐที่ฝึกได้หรือว่า ฝึกแล้วจึงประเสริฐ ก็พูดให้เต็มว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก หรือจะเติมต่อไปก็ได้ว่าถ้าไม่ฝึกก็ไม่ประเสริฐ ถ้าไม่ฝึกไม่เรียนรู้ไม่พัฒนาแล้วก็จะด้อยยิ่งกว่าสัตว์ชนิดอื่น ไม่มีสัตว์ชนิดใดที่แย่กว่ามนุษย์ เพราะว่าสัตว์ชนิดอื่นอาศัยสัญชาตญาณอยู่ได้
แต่มนุษย์นี้เพียงสัญชาตญาณก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์แย่กว่าสัตว์อีก แต่ว่าเพราะเป็นสัตว์ที่ฝึกได้ก็เลยกลายเป็นว่าเมื่อฝึกแล้วก็ประเสริฐอย่างยิ่ง ประเสริฐจนกระทั่งพระพุทธเจ้าให้กำลังใจมนุษย์ไว้ว่ามนุษย์นี้ฝึกตนดีแล้วนั้น ประเสริฐแม้กว่าเทวดาและพระพรหม แม้แต่เทวดาและพระพรหมก็หันมาเคารพบูชามนุษย์ที่ฝึกตนแล้ว เราถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พัฒนาฝึกตนสูงสุดแล้ว ก็จึงใช้พระพุทธเจ้าเป็นแบบฉบับแล้วก็ว่าเทวดาและพรหม ก็มาน้อมนมัสการพระพุทธเจ้า จะมีคาถาแสดงความประเสริฐของมนุษย์นี้ในเรื่องเกี่ยวกับการฝึกนี้เยอะ อย่างคาถาหนึ่งในธรรมบท ก็บอกว่า วรมสฺสตรา ทนฺตา อาชานียา จ สินฺธวา กุญฺชรา จ มหานาคา อตฺตทนฺโต ตโต วรํ บอกว่าอะไร บอก อัสดร ช้างม้า ทั้งช้างทั่วไปและช้างหลวงต่างๆนี้ฝึกแล้วประเสริฐ นี่ขนาดที่สัตว์ชนิดที่ฝึกได้นี่ ก็ฝึกแล้วก็นับว่าประเสริฐดีใช้งานใช้การอะไรได้ มีความสามารถมาก แต่ท่านบอกว่า อตฺตทนฺโต ตโต วรํ คนที่ฝึกตนแล้วประเสริฐกว่านั้น ก็มาจบที่มนุษย์ ว่ามนุษย์นี่ล่ะฝึกได้มากแล้วประเสริฐที่สุดจริงๆ จนกระทั่งถึงคาถาอย่าง คำว่า มนุสฺสภูตํ สมฺพุทฺธํ อตฺตทนฺตํ สมาหิตํ เทวาปิ ตํ นมสฺสนฺติ ว่าพระสัมมา สัมพุทธเจ้านี้ทั้งที่เป็นมนุษย์นี้แหละ ฝึกพระองค์ดีแล้วมีพระหฤทัยอบรมถึงที่แล้ว แม้เทพทั้งหลายก็น้อมนมัสการ นี่ก็เป็นคาถาที่แสดงธรรมชาติของมนุษย์ด้วย แล้วก็ให้กำลังใจแก่มนุษย์ด้วย ว่าเรานี้สามารถฝึกตนให้ดี ให้ประเสริฐได้
เพราะฉะนั้นก็หลักพระพุทธศาสนาก็จึงถือว่ามนุษย์นั้นต้องฝึก นี้เราจะมีชีวิตที่ดีงามก็ต้องฝึกฝนพัฒนา เพราะว่าธรรมชาติของเรา เป็นอย่างนั้น ถ้าเราไม่ฝึกฝน พัฒนาเราก็แย่ เราก็ด้อยกว่าสัตว์ชนิดอื่น แต่ถ้าเราฝึกฝน พัฒนาแล้วก็เหมือนกับว่าฝึกอย่างไรได้อย่างนั้น จนกระทั่งเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เมื่อมนุษย์ได้มองเห็นธรรมชาติของตนเป็นอย่างนี้แล้วก็จะได้ตั้งอกตั้งใจนำเอาหลักการธรรมชาตินี้มาใช้ประโยชน์ในการที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองดีงามประเสริฐขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็จะฝีกหรือเรียนรู้ โดยไม่รู้ตัวเท่าที่พอจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างที่กล่าวแล้วว่าการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ได้มาเปล่าๆ แต่ต้องลงทุนด้วยการเรียนรู้และฝึกฝน เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกฝนในการเดิน ในการกิน ในการพูดเป็นต้น พอเราพูดได้ เดินได้ เป็นอยู่ประจำวันได้ เราไม่สำนึก ตระหนักในธรรมชาติของเราที่ว่าถ้าฝึกแล้วจะดีงาม ประเสริฐ เราเอาพออยู่ได้แล้วเราก็เลย เราก็หยุดฝึก หยุดเรียนรู้ แค่ว่า พูดได้ กินได้ เดินได้ อยู่ได้ เพราะฉะนั้นศักยภาพความสามารถที่มีอยู่ก็เลยไม่ได้ผล ไม่สัมฤทธิผล ไม่ออกผลมาให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควรก็เอาแค่อยู่ได้ พูดได้เป็นต้น นี่ถ้าเราฝึกต่อไปก็จะสามารถมีความปราณีตของพฤติกรรม พฤติกรรมต่างๆในการเคลื่อนไหว ในการเป็นอยู่ ในการพูดเป็นต้นนี่ ก็ปราณีตยิ่งขึ้น แล้วก็ได้ผลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ถ้าเราไม่ฝึกฝนต่อ เราก็ได้แค่เดินได้ พูดได้ แต่พอเราฝึกแล้ว เดินเป็น พูดเป็น เป็นต้น ก็ทำให้ได้ผลดียิ่งขึ้น อย่างเรามีวัฒนธรรมเป็นต้น มีเรื่องของมารยาท อะไรต่างๆ เป็นการฝึกให้มีพฤติกรรมที่ปราณีตยิ่งขึ้น นอกจากพฤติกรรมที่มีควมปราณีตยิ่งขึ้นแล้ว จิตใจก็ปราณีตยิ่งขึ้นมีคุณธรรมมากขึ้นเป็นต้น
แต่ที่สำคัญที่สุดก็อย่างที่กล่าวแล้วก็คือปัญญา ปัญญาก็จะมีความเฉียบคม มีความลึกซึ้ง มีความกว้างขวาง มีความละเอียดลออยิ่งขึ้น จนกระทั่งว่าหยั่งรู้ถึงสัจธรรม ความจริงของสิ่งต่างๆสามารถมาเชื่อมโยงเหตุปัจจัยต่างๆ สามารถคิดการแก้ปัญหา สามารถสร้างสรรค์อะไรต่างๆได้จึงได้เกิดเป็นอารยธรรม เป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่หยุดเสีย มนุษย์ก็จะใช้ความสามารถตามธรรมชาติคือการฝึกตนได้นี่ ทำให้ตนเองกลายเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เมื่อเรารู้ตระหนักในธรรมชาติอย่างนี้แล้ว ก็เลยพยายามฝึกฝน พัฒนาตนอยู่เสมอ เราก็พูดได้ว่าชีวิตของมนุษย์นั้นที่มีมาได้ อยู่มาได้ก็ด้วยการฝึกฝน พัฒนาตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะมีชีวิตที่ดีงาม เราก็ต้องเรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนาเรื่อยไป
ก็สรุปว่าชีวิตของมนุษย์นั้นที่เป็นชีวิตที่ดีงามได้ก็ด้วยการเรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนา ที่เรียกว่าการศึกษาหรือจะใช้ศัพท์พื้นฐานว่าธรรมะก็ได้ นี้เมื่อเราฝึกหัด พัฒนาไปก็เป็นสัตว์ผู้ประเสริฐ พระพุทธศาสนาก็เอาหลักการนี้มาใช้ก็ให้มนุษย์นี่ฝึกหัด พัฒนา ตนเอง เรียนรู้อยู่เสมอ ก็ใช้หลักที่เรียกว่าสิกขา แล้วก็พัฒนา ๓ ด้านคือพฤติกรรม จิตใจและปัญญา ฝึกหัด เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาในด้านพฤติกรรมก็เรียกว่าศีล ฝึกฝนพัฒนาในด้านจิตใจก็เรียกว่าสมาธิ แล้วก็ฝึกฝนพัฒนาในด้านปัญญาก็ยังคงชื่อเดิมว่าปัญญา นี้เมื่อฝึกหัดพัฒนาไปมนุษย์ประเสริฐยิ่งขึ้นก็จะเปลี่ยนจากมนุษย์ที่เรียกว่าปุถุชนไปเป็นมนุษย์ที่เรียกว่าเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นที่มีการศึกษาหรือกำลังศึกษา ก็เรียกว่าเสขะ หรือเสกขะก็คือคำว่าสิกขานั่นเอง มาเรียกคน สิกขาเป็นนามแสดงถึงสภาวะคือการเรียนรู้ฝึกหัดพัฒนา ทีนี้พอมาเป็นคนก็เปลี่ยนที่เป็นเอง สิกขา ก็เป็น เสกขา แล้วทำอาเป็นอะ ก็เป็น เสกขะ นี่คือคนที่กำลังศึกษาหรือมีการศึกษา
มีคำแยกผู้มีการศึกษาที่เป็นระดับต่างๆ ขั้นต้นเรียกว่า เป็นโสดาบัน แล้วก็สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็เรียกว่า สกทาคามี แล้วสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเรียกว่า อนาคามี ๓ ระดับนี้เรียกว่าเป็น เสกขะ หรือจะพูดให้สั้นอีกตะกรอให้เหลือ เสขะ เสขะ หรือ เสกขะ แปลว่า ผู้ยังศึกษา ผู้กำลังศึกษา หรือ เรียกว่ามีการศึกษาก็ได้ บางครั้งก็ยอมลดหย่อนให้เรียกเอาปุถุชนที่เป็นชั้นดี ปุถุชนชั้นดีท่านมีศัพท์เรียกว่ากัลยาณปุถุชน ปุถุชนชั้นดีก็ยอมให้เป็นเสขะ หรือ เสกขะได้ แปลว่าผู้มีการศึกษา หรือกำลังศึกษา แต่ว่าคนทั่วไปก็เรียกว่าปุถุชนเฉยๆ ปุถุชนนี้แปลว่าคนที่ยังหนาอยู่ หนาหมายความว่ายังมีกิเลสมาก ถ้าเป็นคนที่ เป็นปุถุชนที่กิเลสหนามากก็มืดบอดเลยก็เรียกว่าอันธพาลปุถุชน นั้นปุถุชนชั้นหยาบเรียกว่าอันธพาลปุถุชน แปลว่าปุถุชนผู้อันธา อันธะ แปลว่า บอด แล้ว พาละ แปลว่า เขลา เป็นอันธพาลไป ทีนี้พอดีขึ้นมาก็เป็นกัลยณปุถุชนนี่จัดเข้าในระดับของคนที่มีการศึกษาแต่ก็ยังต้องศึกษาอยู่ แล้วก็ไปเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี นี่ทั้งหมดนี้ยังอยู่ระดับยังต้องศึกษา ทีนี้พอศึกษาจบ ไม่ต้องศึกษาอีกต่อไปก็เป็นพระอรหันต์เรียกว่าอเสขะ หรือ อเสกขะ ก็มีบุคคลระดับเดียวที่ไม่ต้องศึกษาถือว่าจบการศึกษาเรียกว่าอเสขะ คือพระอรหันต์ รวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วยก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ทีนี้ใครยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็เลยต้องศึกษาเรื่อยไป
ฉะนั้นอย่างพระที่บวชมานี่ก็เข้ามาเพื่อจะเรียนรู้ ฝึกหัดพัฒนาตนเอง อันนี้ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องศึกษาแม้จะบวชมา ๕๐ ๖๐ ปี จนกระทั่งว่าเป็นพราะเถระผู้ใหญ่ เป็นมหาเถระ พรรษาอาจจะอยู่ถึงอายุ ๙๐ ก็อาจจะพรรษาแถวๆ ๗๐ ก็ยังต้องศึกษาอยู่นั่น ไม่รู้จบเป็นเรื่องของชีวิตของเรา บอกแล้วว่าชีวิตที่ดีงามคือชีวิตแห่งการศึกษาเรียนรู้ฝึกหัด พัฒนา ต้องเรียนรู้เรื่อยไป ถ้าใครไม่ศึกษาบวชเป็นพระเข้ามาอายุ ๗๐ ๘๐ ปีแล้วถือว่าตัวบวชนานไม่ศึกษา ไม่เรียนรู้ ฝึกหัด พัฒนา ตัวเองต่อไปก็ถือว่าตกอยู่ในความประมาทก็ผิดธรรมะผิดธรรมชาติของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นศึกษาก็ไม่รู้จบ เดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าการศึกษาตลอดชีวิตนี่ เพิ่งมาระยะหลังมานิยมว่าให้คนต้องมีการศึกษาตลอดชีวิต
พุทธศาสนาสอนไว้ตั้งนานแล้วถือว่าเป็นอย่างนั้นเอง เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ก็ต้องศึกษากันไปจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้เราก็มาบอกว่าสังคมก็ให้เป็นสังคมแห่งการศึกษา หรือเรียนรู้ พระพุทธศาสนาก็สอนมาตั้งนานแล้วว่าคนทุกคนนี้จะต้องศึกษา เรียนรู้ ฝึกหัดพัฒนา ในสังคมมนุษย์ก็เป็นสังคมของคนที่เรียนรู้ ศึกษาพัฒนาทั้งนั้น เวลาศึกษาพัฒนาอย่างนี้มาเป็นพระโสดาบันขึ้นไปนี่ จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์นี่ท่านจึงถือว่าเป็นอริยชนที่แท้จริง ความเป็นอริย หรือ อริย เป็นผู้เจริญเป็นผู้ประเสริฐนั้นอยู่ที่การที่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนใหม่จากแนวคิดของพวกอารยันที่เคยพูดไปแล้วว่า พวกอารยันหรือภาษาบาลีเรียกว่า อริยกะ ถือตัวเองว่าเป็นพวกที่เป็นผู้ประเสริฐ เป็นพวกศิวิไลซ์นี่ โดยเป็นเผ่าพันธ์ของเขา แล้วก็มากำหนดโดยวรรณะว่าวรรณะชั้นสูงคือ วรรณะแพทย์ พ่อค้า นักธุรกิจขึ้นไป แล้วก็พราหมณ์แล้วก็กษัตริย์นี่เป็นอริย อริยชน ถ้าเป็นพวกศูทร พวกจัณฑาล ก็ไม่มีทางเป็นอริยะชนได้คือความเป็นอริยชนนั้นกำหนดโดยชาติกำเนิด นี้พระพุทธศาสนาเกิดมาก็ถือว่าความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่การเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตนที่เรียกว่าสิกขานี้
เพราะฉะนั้นผู้ใดได้เรียนรู้ ฝึกฝนพัฒนาตนดีขึ้นแล้วก็เป็นผู้ประเสริฐ ก็เป็นอารยชน พุทธศาสนาก็บอกว่าความเป็นอารยชนนั้นมันอยู่ที่นี้แหละโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์นี้แหละเป็นอารยชน เราเรียกว่าเป็นอริยบุคคลเป็นภาษาบาลี สันสกฤตก็เป็นอารย ถ้าเทียบกันกับศาสนาพราหมณ์ สังคมอินเดียสมัยนั้นที่ว่าแบ่งคนเป็น ๔ วรรณะ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือว่า ๓ วรรณะชั้นสูงเป็นอริยชน เป็นอริย แต่ในทางพุทธศาสนาบอกว่าความเป็นอริยชนไม่ได้อยู่ที่ชาติกำเนิด อยู่ที่การเรียนรู้ ฝึกหัดพัฒนาจึงทำให้คนเรารู้จักทำกรรมที่ดีงาม เป็นกุศลก็เลยจัดว่าคนที่จะเป็นอริยชนจะมาจากชนชั้น วรรณะไหน กำเนิดยังไงก็ได้ขอให้พัฒนาตนขึ้นมาแล้ว
เราก็แบ่งระดับโดยถือเอาการพัฒนาหรือการศึกษานี้เป็นมาตรฐานในการวัดก็จัดว่าบุคคลที่ได้พัฒนามาจนกระทั่งมีคุณธรรม ความดี มีสติปัญญา มีพฤติกรรมในระดับหนึ่ง เรียกว่าโสดาบัน สูงขึ้นไปเรียกว่า สกทาคามี สูงขึ้นไปอีกเรียกว่าอนาคามี แล้วสุดท้ายเรียกว่า อรหันต์ นี่แหละคนที่เป็นอย่างนี้จะเป็นใครก็ได้ก็จะเป็นอารยชนเป็นอริยบุคคลที่แท้จริง เพราะฉะนั้นศัพท์เก่าๆของศาสนาพราหมณ์เราก็มาใช้ในความหมายใหม่ แม้แต่คำว่าพราหมณ์เองที่เขาบอกว่าเป็นผู้ประเสริฐ พุทธศาสนาก็มาใช้เรียกพระอรหันต์ว่าเป็นพราหมณ์ เพราะพราหมณ์ของเขาแปลว่าผู้ลอยบาปแล้ว แต่เขาไปลอยบาปในแม่น้ำคงคา พราหมณ์นี่เขาเวลาเขาจะลอยบาป เขาไปลงในแม่น้ำคงคาแล้ว ก็แม่น้ำคงคาก็พาบาปไปหมด ล้างบาป พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า เอ ถ้าแม่น้ำคงคามันล้างบาปนี่ไอ้เต่า ปลา ปู หอย ที่อยู่ในแม่น้ำคงคามันก็หมดบาปก่อนพวกพราหมณ์สิ ว่างั้นนะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าน้ำมันพาบาปไปไม่ได้หรอก ถ้ามันพาบาปไปได้ มันก็พาคุณไปด้วย ว่างั้น ก็เลย พระองค์บอกว่าการลอยบาปมันอยู่ที่นี่แหละ การฝึกฝนพัฒนาตน เมื่อเราพัฒนาตนดีขึ้นมาแล้วเราก็เป็นผู้หมดบาป ลอยทั้งบุญทั้งบาปเลย พระพุทธเจ้าเอางั้นพราหมณ์ก็ตั้งใจจะลอยแต่บาป ทีนี้พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องไปลอยเฉพาะบาปลอยให้หมด ลอยทั้งบาปทั้งบุญเลย ถ้าเป็นพระอรหันต์พ้นจากทั้งบุญทั้งบาปพ้นหมดเลย สู่ความบริสุทธิ์ที่แท้จริง นั้นเราก็เลยบอกว่าหราหมณ์ที่แท้นี่คือพระอรหันต์ เป็นใครก็ได้ อยู่ในวรรณะไหนก็ได้ขอให้ ประพฤติ ปฏิบัติ ฝึกฝน พัฒนาตนแล้วก็เป็นพราหมณ์ แล้วเป็นพราหมณ์ที่แท้จริงด้วย
วันนี้ก็คิดว่าคงจะพูดเพียงกันเท่านี้ก่อนนะให้เห็นว่าหลักการพระพุทธศาสนาเรื่องไตรสิกขานี้ก็เป็นการสอนที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงของธรรมชาติ คือธรรมชาติของมนุษย์นั่นเองที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนพัฒนา จึงจะมีชีวิตที่ดีงามได้ นี่ก็ถ้ามนุษย์มาตระหนัก สำนึกในธรรมชาติของตนดังนี้แล้วก็จะได้ปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติของตนเอง ใช้ความจริงตามธรรมชาตินี้ให้เป็นประโยชน์ แล้วก็กลับทำให้ชีวิตของตนนั้นดีงาม ประเสริฐอย่างที่กล่าวมาวันนี้ก็ขอพูดยุติกันไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะ