แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : มีอะไรจะถามไหม นิมนต์
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : ขอกราบพระเดชพระคุณอาจารย์ คนในสังคมนี้ก็จะมีความเห็นความคิดความเข้าใจที่หลากหลายแตกต่างกันไป ก็อาจนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน ขัดแย้งกันบ้าง แต่พระเดชพระคุณเคยบอกว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องยอมรับจุดต่าง อยู่กันด้วยจุดร่วม คือผมไม่เข้าใจว่า ยอมรับจุดต่าง อยู่กันด้วยจุดร่วมนั้น ต้องปฏิบัติอย่างไรครับ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : อันนี้มันก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่มองแบบว่า แม้แต่ประชาธิปไตยมันก็ต้องเอาอันนี้ไปใช้ประโยชน์ ก็เหมือนอย่างศาสนาต่างๆ ที่ว่าอยู่ร่วมกันนะ ถ้ามันไม่รู้จักยอมรับ จุดที่มันจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน มันก็ลำบาก ถูกไหม อันนี้ก็คือทั้งสองฝ่ายมันต้องยอมรับด้วย ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมรับ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับ ก็ลำบาก ก็คือจะทำไงให้คนมีปัญญา ฉะนั้นประชาธิปไตยก็ต้องมีการใช้ปัญญาไว้พิจารณาเหตุผลแล้วพูดกันได้ ในสังคมประชาธิปไตยที่สำคัญอันหนึ่งคือต้องพูดกันได้ เราพูดกันด้วยเหตุผล ด้วยการใช้ปัญญา ไม่ใช่ หนึ่ง-พูดกันไม่ได้ก็ตีกันอย่างเดียว สอง-พูดกันไม่ใช้เหตุผล ไม่ใช้ปัญญา ใช้แต่ความรู้สึก เอาแต่ความชอบใจไม่ชอบใจ ก็ยุ่งอยู่อย่างนี้ ทีนี้เวลานี้ที่เขาแก้ปัญหาไม่ได้ ตั้งแต่ระดับหมู่คณะไปจนถึงประเทศชาติ โลกเนี่ยอันนี้นะมันพูดกันไม่รู้เรื่อง ดูง่ายๆ อเมริกากับอิหร่าน อเมริกากับพวกตะวันออกกลาง ประเทศโน้นประเทศนี้ก็มีปัญหากันอยู่ แต่ละฝ่ายก็มีอะไรซ่อนแฝงอยู่ข้างใน มันมีเจตนาซ่อนเร้น มันมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอยู่ ฝ่ายถึงอาจจะมีโลภะ อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะมีทิฐิมีความยึดถืออุดมการณ์ของตัว เพราะฉะนั้นมันกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องมาสอนหลักใหญ่ แก้ปัญหาเรื่องตัณหา มานะ ทิฐิ มันกลายเป็นปัญหาพัฒนามนุษย์ระยะยาว หนึ่ง-ตัณหามันอยากได้ ยากได้ผลประโยชน์ อยากได้ทรัพย์ อยากได้เงินทองมาก มันก็ต้องไปรุกราน ไปแย่งชิง ไปหาทางข่มเหง ไปมีอิทธิพลครอบงำเขา อีกพวกหนึ่งก็มานะ อยากใหญ่ ส่วนมากก็มาด้วยกันแหละ ไอ้พวกอยากได้ผลประโยชน์มาก ก็ต้องการรักษาความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ก็ต้องไปครอบงำเขาไว้ ครอบงำเขาได้ตัวเองก็ต้องมีผลประโยชน์มาก ผลประโยชน์เหนือเขา ก็ต้องหาทั้งสองอย่าง รักษาความยิ่งใหญ่ด้วยการหาผลประโยชน์ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่าจะแก้ปัญหาโลกยังไง จะให้โลกมีสันติภาพ ตราบใดที่แกไม่แก้ปัญหาตัณหา มานะ ไม่ได้ ก็ยังอยากต้องการยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น มันก็ต้องหาทางที่จะไปจัดการ มีแผนมีอะไรต่ออะไร ไม่ซื่อต่อกัน ไม่จริงใจ แล้วเดี๋ยวนี้มันจริงใจกันเมื่อไหร่ แล้วที่ร้ายมากก็คือทิฐิ แนวคิด อุดมการณ์ ความเชื่อที่ซ่อนแฝงอยู่เบื้องหลัง ความเชื่อนี้มันก็สามารถทำให้กำจัดผู้อื่น ทำเพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายของตัวเอง ให้เป็นไปตามความเชื่อนั้น ก็เป็นปัญหาเรื่องนี้มาตลอด ลัทธิศาสนา รบกันก็เพราะเรื่องนี้ ปัญหาที่ท่านใช้คำรวมว่าทิฐิ ความเชื่อ ยึดถือหลักการ ยึดถือแนวความคิด อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตยเนี่ย ดูสิ สงครามเย็นมาตั้งกี่สิบปี สันติภาพไม่ได้ก็ขู่กัน โดยมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นตัวสำหรับขู่กันไว้ ไม่ให้มาทำอะไรกันรุนแรง กลายเป็นว่าอาวุธนิวเคลียร์นี่เขาเรียกว่า ??? เป็นตัวป้องกันไม่ให้ทำการรุนแรง ทีนี้ตอนนี้เจ้าอาวุธนิวเคลียร์มันชักจะคุมไม่อยู่ แต่ก่อนมันอยู่ในระหว่าง 2 มหาอำนาจใหญ่ มันก็เท่ากับคุมไว้ได้ทั้งโลก เจ้าสองฝ่ายนี้ก็หือ หือ กันอยู่ แต่ว่าไม่กล้าทำ เพราะว่าต่างคนต่างกลัว ก็ได้แต่เบียดเบียนกันในระดับย่อย แต่ว่าไม่ถึงกับเกิดสงครามโลก แต่ตอนนี้อาวุธนิวเคลียร์มันจะคุมไม่อยู่ มันชักจะออกไปประเทศเล็กประเทศน้อย ตอนนี้จะยิ่งปัญหาซับซ้อนหนักเข้าไปอีก ฉะนั้นเรื่องมันเยอะ ถ้าเรามองไปเรื่องนี้เหมือนกับว่าเป็นปัญญาโลกแตก คือตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส มันก็ต้องมีปัญหาเหล่านี้อยู่ แต่เราจะปล่อยยอมตามได้ไหม ก็ปล่อยไม่ได้ มันก็ต้องพยายาม ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายพัฒนามนุษย์ แก้ไขปัญหาก็ต้องเอาคุณธรรมความดีเข้าไปพัฒนาคน ให้ตัณหามันอยู่ในความควบคุมบ้าง มันแย่งชิงกันนัก เอารัดเอาเปรียบกัน ก็ตั้งกฎกติกาขึ้นมาคุมกัน พอว่าอย่าให้ละเมิดกฎเกณฑ์กติกานี้ ก็ได้ระดับหนึ่ง มนุษย์ก็อยู่กันได้อย่างนี้ ก็คล้ายๆ เดี๋ยวนี้ก็คือจะใช้อุบายวิธีอะไรที่จะมาแก้ปัญหาในระยะหนึ่งๆ ไม่ให้มันกำเริบถึงขั้นนั้น ได้แค่นี้ มนุษย์สมัยนี้ ทีนี้ที่ว่ามีจุดร่วมก็คือต้องหาประโยชน์ที่ร่วมกัน บางอย่างก็มองเห็นชัด บางอย่างมองเห็นต่อเมื่อมีปัญญา หลักการนี้ก็คือต้องพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา ให้มองเห็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เหมือนอย่างมนุษย์สมัยก่อนนี้ ไม่เห็นประโยชน์ร่วมกันในแง่สิ่งแวดล้อม เอาง่ายๆ ถอยหลังไปแค่ก่อนปี 1060 กว่า คิดเป็นเลขของเราก็ 2510 อะไรแถวนั้น ช่วงนั้นมนุษย์ไม่มีสำนึกในเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็จะเรียกว่าถลุงธรรมชาติอย่างเดียว ถือว่าตัวเองนี่มีสติปัญญาเจริญก้าวหน้าก็จะเอาธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบเข้าโรงงานอุตสาหกรรม อำนวยความสุขให้พัฒนาเศรษฐกิจ มนุษย์มีกินมีใช้บำรุงบำเรอ จนกระทั่งว่าปี 1960 กว่า อย่างน้อยก็อเมริกาเห็นเรื่องภัยในประเทศตัวเองที่เป็นอุตสาหกรรม เริญมาก ปรากฏว่ามีปัญหามลภาวะ มีปัญหาอะไรต่างๆ เรื่องเนี่ย เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ หนักเลย ก็เลยเริ่มตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมขึ้นมา แล้วพอปี 1972 ก็แผ่ความคิดนี้ไปทั่วโลก 1972 มีประชุมระดับโลกครั้งแรก เรียกว่า earth summit ครั้งแรกของโลก 1972 ก็เกิดความสำนึกคือรู้ เข้าใจเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ว่าการทำลายทรัยากรธรรมชาติ การทำให้เกิดมลภาวะนี่ เป็นผลเสียต่อโลกต่อมนุษย์ทั้งหมดเลย นี่ที่เรียกว่าประโยชน์ร่วมกัน ก็ต้องรู้ด้วยปัญญา ก็เผยแพร่ความรู้อะไรต่างๆ เพื่อจะให้มาช่วยรักษา อันนี้ก็ตัวอย่างอันหนึ่ง ทีนี้มนุษย์จะรู้เข้าใจไหม ประโยชน์ทางสังคม ประโยชน์ในทางชีวิตจิตใจ อันนี้บางทีก็ไม่ค่อยสำนึก คือเขาจะมองเห็นสิ่งที่เป็นวัตถุง่ายๆ ประโยชน์ทางวัตุ อย่างสิ่งแวดล้อมนี่จะเห็นง่ายกว่า แต่ว่าประโยชน์ในทางสังคม การเบียดเบียนข่มเหงกัน ความที่มนุษย์ส่วนหนึ่งนี่ไม่มีโอกาสอะไรต่างๆ เขาจะมองแต่ประเทศของตัวเอง ประเทศอื่นๆ ก็ปล่อยมัน ช่างมัน เหมือนอย่างกับประเทศพัฒนาแล้วเนี่ย ก็เอาใจใส่ว่าประเทศของตัวเอง คนมีโอกาสมาก อย่างประเทศอเมริกา ท่านจะย้ำนักย้ำหนา เป็นดินแดนแห่ง opportunity เป็นดินแดนแห่งโอกาส แล้วก็ freedom มีอิสรภาพ เสรีภาพ แต่ว่าเวลาเอาจริงไม่ค่อยได้คำนึงถึงประเทศเล็กน้อยเท่าไหร่ พวกนั้นมันขาดโอกาส ลำบากลำบนยังไง มันก็ทำเป็นว่าในใจ แต่ว่าในความเป็นจริงก็ไม่ได้เอาใจใส่มากมายนัก ทีนี้ว่าทำไงจะให้คนนี่มองเห็นประโยชน์ร่วมกันอันนี้ว่าเป็นประโยชน์ที่มนุษย์ควรจะได้ ก็มองเห็นมนุษย์นี่เป็นมนุษย์เหมือนกัน พุทธศาสนาก็จะสอนในแง่นี้ ไม่ใช่มองเฉพาะพวกตัว อันนี้ก็กลายเป็นว่ามนุษย์ก็ไปแบ่ง จำกัดพวกด้วยเรื่องเชื้อชาติ เรื่องศาสนา นี่ก็คือต้องพัฒนามนุษย์ให้มองกว้าง แล้วก็ทางด้านจิตใจ ให้มองเห็นประโยชน์ทางด้านจิตใจว่ามนุษย์นี่มัวแต่มาบำรุงบำเรอคิดพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอย่างเดียว เห็นไหมคุณ จิตใจก็ว้าวุ่น มีความเครียด เกิดโรคภัยไข้เจ็บ มนุษย์สมันนี้ก็ชักเข้าใจขึ้นมา เห็นของจริง พอมีความเครียดขึ้นมาแล้ว เกิดโรคมะเร็ง เกิดโรคหัวใจ เกิดโรคความดันโลหิตสูง มนุษย์สมัยนี้ก็ตายด้วยโรคหัวใจอันดับหนึ่ง ตายด้วยโรคมะเร็งก็มากมายต่างๆ แล้วโรคเหล่านี้ก็มาจากเรื่องปัญหาทางด้านจิตใจ เช่นความเครียดนี่มากมาย การแพทย์สมัยนี้ก็ชักเปิดโอกาสให้มีการแพทย์ทางเลือก มีจิตใจเข้าไปใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ก็หันมาให้ความสำคัญทางด้านจิตใจเพิ่มขึ้น อันนี้ก็เป็นการเปิดกว้างขึ้นมาบ้าง แต่ว่ามันก็ยังน้อย ก็มาว่าเราจะต้องมีการการพัฒนามนุษย์ให้มีสติปัญญา มีความรู้ เข้าใจเรื่องความสำคัญทางด้านจิตใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ไม่มัวไปมุ่งแต่ว่าจะหาความสำเริงสำราญความพรั่งพร้อมทางด้านวัตถุอย่างเดียว อันนี้เป็นตัวอย่างด้านจิตใจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติอะไรพวกนี้ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา ทีนี้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำกันยาวนาน ก็ต้องยอมรับความจริงว่าในแง่หนึ่ง เราก็ก้าวไปได้บ้างแล้ว ฝรั่งพวกหนึ่งก็มาสนใจด้านจิตใจ พวกหนึ่งสนใจสิ่งแวดล้อม นั่นมากแหละ ธรรมดา เพราะปัญหาของเขาหนัก แล้วก็มาสนใจทางด้านจิตใจมากขึ้น แล้วก็ตัวระบบ อย่างระบบประชาธิปไตย ถึงแม้มันจะมีส่วนที่เอื้อให้เกิดความเลวร้ายได้ แต่มันก็มีส่วนที่ดีเยอะอยู่ อย่างน้อยก็มีกฎกติกาบางอย่างมาช่วยกันกันไว้ ไม่ให้ร้ายแรงเกินไป แต่ว่าปัญหาตอนนี้ก็คือปัญหาเรื่องทิฐิ ลัทธินิยม อุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนา อะไรต่างๆ เวลานี้มันถอยหลังกลับไปเรื่องนี้ คือมนุษย์ตลอดประวัติศาสตร์มันจะรบราฆ่าฟันทำสงครามขัดแย้งกันด้วยเรื่อง หนึ่ง-ตัณหา หาผลประโยชน์ แย่งกัน สอง-เรื่องความยิ่งใหญ่ อำนาจ แสวงหาอำนาจ สาม-เรื่องทิฐิ ลัทธินิยม อุดมการณ์ ศาสนา ความเชื่อ แล้วก็รบราฆ่าฟัน เดี๋ยวนี้มันกลับมาอันที่สาม อันที่สามนี่มันไม่ได้ลดเลยนะ ระยะที่แล้วก็คืออุดมการณ์ เสรีประชาธิปไตย กับสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ตอนนี้เจ้าสองตัวนี้ คอมมิวนิสต์มันหมดแรง อิทธิพลมันจะหมด แต่ตอนนี้กลับมาเรื่องศาสนา เรื่องความเชื่อทางศาสนานี้กำลังแรง เป็นตัวใหญ่กลับมาอีก ถ้าเรามองดูอย่างเป็นกลางๆ มองเป็นความรู้ ไม่ใช่มัวไปกลัวแล้วก็พูดไม่ออก ก็อย่างศาสนาอิสลามกับคริสตร์ ก็รบกันมาตั้งกี่ร้อยปี แค่สงครามครูเสดก็ 200 ปีแล้ว รบพวกนี้ก็คือลัทธิศาสนา จะต้องให้อีกฝ่ายเชื่ออย่างตัว ถ้าใครไม่เชื่อพระเจ้าของฉันก็เป็นคนบาป อะไรอย่างนี้นะ ทีนี้เวลานี้บางทีมันพูดกันไม่ได้นะ พอมาปัญหาศาสนายิ่งหนักไปอีก พูดไม่ได้ มนุษย์ถ้าจะเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยมีแง่ดีอย่างหนึ่งคือมันต้องพูดกันได้ พอขึ้นโต๊ะประชุมแล้วมันต้องพูดกันได้ อย่างเป็นรัฐมนตรีนี้เข้าที่ประชุมแล้วต้องพูดกันได้ เราไม่ได้พูดด้วยอารมณ์หรือความรู้สึกชอบใจ ไม่ชอบใจ แต่พูดด้วยเหตุผลด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้แล้วก็คิดโดยมีเจตนาดี มุ่งจะแก้ปัญหา ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยกล้าพูดหรอก พูดเอาอกเอาใจกัน อย่างแสดงเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เขาก็พูดได้แค่ความเห็น ก็ว่าเรื่อยว่าสังคมไทยเวลานี้เอาแต่ความเห็นไม่หาความรู้ จริงไหม มีแต่ความเห็นทั่วไปหมด จนกระทั่งถึงสื่อมวลชน รัฐบาล นักวิชาการ มีแต่ความเห็น ความรู้ไม่มี ไม่พูด มันต้องความรู้ก่อน แล้วความเห็นตั้งอยู่บนฐานของความรู้ จะแสดงความเห็นอะไร ต้องรู้เรื่องนั้นให้ชัดก่อน ถ้าความเห็นมันไม่ตั้งอยู่บนฐานความรู้ มันก็เป็นความเห็นจากความรู้สึก ความรู้สึกก็มีสอง ชอบใจ ไม่ชอบใจ กับเฉยๆ แต่มันจะมากก็ชอบใจ ไม่ชอบใจ แล้วพูดไปตามความรู้สึก ชอบใจ ไม่ชอบใจ อยู่แค่ความรู้สึก มันไปไหนไม่ได้หรอก ทางพระท่านบอกว่าถ้าอยู่แค่ความรู้สึกก็เป็นพาล พาลชน ไม่ได้ใช้ปัญญา มนุษย์ที่จะเจริญงอกงามต้องใช้ปัญญา แล้วทีนี้สังคมประชาธิปไตย เราต้องการให้พัฒนาปัญญา เราต้องการให้มีการศึกษา ก็คือพัฒนาปัญญาขึ้นมา ทีนี้สังคมของเรานี้ขาดมาก อะไรที่ควรจะรู้ จะให้ความรู้ประชาชนก็ไม่ให้ ก็มีแต่ความเห็นทั้งนั้น อย่างตอนนี้ง่ายๆ อย่างเรื่องศาสนา เดี๋ยวนี้ก็พูดกัยเรื่องว่าจะเอาพุทธศาสนา จะเขียนรัฐธรรมนูญว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เคยได้ยินไหม แล้วก็ไปถาม อาจจะเป็นผู้ใหญ่บ้างอะไรบ้าง ได้ยินบ่อยๆ จะบอกว่า ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเกิดความแตกแยก ได้ยินไหม แล้วท่านคิดว่ายังไง ถ้าคำตอบอย่างนี้ อยากจะฟังบ้าง เวลาได้ฟังคำตอบว่า ไม่ได้นะเดี๋ยวมันจะเกิดความแตกแยก ว่าไงครับ ก็มักจะไปเถียงซะอีก ก็ที่เขาพูดว่าเดี๋ยวจะเกิดความแตกแยกก็เป็นความเห็นของเขา แล้วเราไปเถียงเราก็เอาความเห็นของเราเถียง ก็เลยเป็นเถียงกันแค่ความเห็นเอง มันก็ไม่ไปไหน ก็ทะเลาะกัน คือการที่จะไปตอบว่าเดี๋ยวจะเกิดความแตกแยก อะไรต่ออะไรเนี่ย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ หรือเป็นนักวิชาการ ไม่ควรพูด นอกจากพูดโดยสงวน ต้องจำกัดการพูดของตัวเอง บอกอันนี้เป็นความคิดเห็นนะ เฉพาะส่วนตัวผม ต้องบอกอย่างนี้ก่อน ส่วนตัวผมเห็นว่ากลัวเกิดความแตกแยก แล้วยิ่งสังคมแบบนี้เขาแยกไม่ออกด้วย ตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วไปพูดว่าเดี๋ยวจะเกิดความแตกแยก เขามองไม่ออกมาเป็นความเห็น เขาอาจจะนึกว่านี่เป็นหลักการ นึกว่าเป็นหลักการว่าไม่ได้ การเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติจะทำให้เกิดความแตกแยก นี่เป็นหลักการ อาจจะเกิดความเข้าใจผิด เชื่อไปอย่างนั้นก็ได้ ก็เสียซ้ำสอง ฉะนั้นต้องระวัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักวิชาการ ไม่ควรจะพูด ผู้พูดต้องจำกัด ความเห็นส่วนตัวของผมว่าอย่างนี้ แต่ว่าอันนี้ก็เป็นความเห็นของผมนะ แต่ว่าเราควรจะศึกษาหาความรู้กัน เพราะตามหลักประชาธิปไตย ต้องเคารพความคิดเห็นกัน ไม่ใช่เอาว่าตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเอาความเห็นของตัวเองไปครอบงำผู้อื่น การที่จะเคารพวามคิดเห็นของผู้อื่น ก็คือต้องให้เขามีความรู้ เช่นว่ารู้ข้อมูลในเรื่องนั้น ให้เขารู้ข้อมูลเรื่องนั้นเพียงพแล้ว เขาตัดสินใจด้วยตนเอง อันนี้เรียกว่าเคารพความคิดเห็นของเขา เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือให้ความรู้ บอกว่าเรื่องศาสนาประจำชาตินี่นะ มันเป็นอย่างนี้ๆ นะ เราก็เอาข้อมูลมา แล้วไปคิดดูว่าดีหรือไม่ดี เพราะจะได้มีความคิดเห็นของตัวเองที่ตั้งอยู่บนฐานความรู้ ไม่ใช่ขึ้นมาก็มีแต่ความเห็น ทีนี้อย่างเรื่องศาสนาประจำชาตินี่ เราจะให้ความรู้ยังไง เช่นว่าในโลกนี้นะมันก็มีประเทศที่ว่ามีศาสนาประจำชาติอยู่ เท่าที่ทราบนี้ก็สัก 50-60 ประเทศ ลองดู ท่านเคยรู้ไหม ศาสนาประจำชาติในโลกนี้ ไม่เคยใช่ไหม
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : จำนวนประเทศไม่ทราบมาก่อนครับ ว่ามีเท่าไหร่
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : แล้วยกตัวอย่างได้ไหม ประเทศไหน มีศาสนาอะไรประจำชาติ
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : อิหร่าน อิสลาม ส่วนมากจะเป็นศาสนาคริสต์กับอิสลามมากกว่า
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : นี่ก็ได้บ้าง แต่ไม่ชัด ต้องให้รู้เป็นตัวข้อมูลที่ชัดเจน วันนี้ก็มาคุยกันเรื่องนี้หน่อย เป็นความรู้ ประเทศที่มีศาสนาประจำชาติในโลกนี้ ก็อย่างที่ว่า 50-60 ประเทศ แต่บางทีเขาก็ไม่ได้ให้รายชื่อ ที่ได้ชัดเจนก็เป็นคริสต์ราว 10 หรือ 10 เศษๆ แล้วก็เป็นอิสลาม อิสลามนี่แหละที่ encyclopedia ของอ็อกฟอร์ดเขาให้ไว้ว่า 45 ประเทศ คือเขาให้แต่ตัวเลข เขาไม่ให้รายชื่อ ก็เลยไปหาได้ 14 ประเทศ แล้วก็ฮินดู 1 ประเทศ ศาสนายิว 1 ประเทศ พุทธศาสนา 1 ประเทศ ข้อมูลอย่างนี้ ถ้าเป็นรัฐบาลต้องเอามาให้ ถ้าเขากำลังพิจารณาเรื่องนี้กันอยู่ กำลังเป็นเรื่องที่สนใจในสังคม ก็ต้องให้ความรู้กับประชาชน คือรัฐมีหน้าที่อย่างหนึ่งคือให้ความรู้ ข้อมูลความรู้ที่ไม่มีความเห็นประกอบ คือให้ข้อมูลล้วนๆ ความรู้ตามที่มันเป็น ไม่มีความเห็นประกอบ คุณไปคิดเอาเอง ทีนี้ประเทศคริสต์นี่ยกตัวอย่างอังกฤษ อังกฤษมีศาสนาคริสต์ประจำชาติ ก็มีสองศาสนจักร หนึ่ง- Church of England เป็นศาสนาประจำชาติใหญ่ แต่ว่าสก็อตแลนด์ เขามีของเขา เขาเรียก Church of Scotland ฉะนั้นก็กลายเป็นว่าอังกฤษนี้มี 2 ศาสนจักร แล้วก็มีนอร์เวย์ แต่ก่อนสวีเดนก็มีศาสนาประจำชาติคริสต์ แต่ตอนนี้เขาเลิกไปแล้ว ฮังการีก็เคยมีก็เลิกไปแล้ว ไปเป็นคอมมิวนิสต์สักพัก ตอนนี้ก็ออกมาแล้วแต่ว่ายังไม่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ แล้วก็มีเดนมาร์กก็คริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็ฟินแลนด์ หมายความว่า 3 ประเทศ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ เดนมาร์ก 3 ประเทศนี้มีศาสนาคริสต์ประจำชาติ แต่ก่อนสวีเดนด้วยก็ครบเลย แผ่นดินตรงนั้นเคยเป็นคริสตศาสนาประจำชาติทั้ง 4 แต่ตอนนี้เหลือ 3 แล้วก็มีกรีแลนด์ แล้วก็มีมอลต้า โมนาโก กรีซ พวกนี้มีศาสนาคริสต์ประจำชาติ แต่มีแนวโน้มว่าประเทศฝรั่งที่มีศาสนาคริสต์ประจำชาตินั้น แนวโน้มเขาเป็นไปในทางเลิก จะเห็นว่าอย่างฮังการีก็เลิกไป สวีเดนก็เลิกไป แต่ว่าต่อไปจะเป็นไงไม่รู้นะ เพราะกระแสโลกก็เปลี่ยน เอาคริสต์แล้ว คริสต์นี่ยกตัวอย่างให้ดู ก็เป็นอันว่ามีราว 10 กว่าประเทศ ทีนี้ก็มาดูประเทศอิสลาม ประเทศของชาวมุสลิม หนังสือตำรานั้นเขาบอกมี 45 ประเทศ แต่ว่าไม่บอกรายชื่อ ก็เลยค้นดู เอาที่แน่ๆ มา 14 ประเทศ แต่ที่จริงไม่ใช่ 14 เพราะของอิสลามนี่มีข้อพิเศษต่างหาก คือไม่ใช่มีเฉพาะศาสนาประจำชาติ ของอิสลามนี่ต้องแยกเป็น 2 แบบ คืออันหนึ่งแค่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วอีกระดับหนึ่งเขามีศาสนานี่เป็นเจ้าของประเทศ ก็เรียกว่ารัฐอิสลาม หรือสาธารณรัฐอิสลาม อันนี้ก็คือตัวประเทศนั้นเป็นของศาสนาเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างท่านพูดถึงอิหร่าน เขาเรียกว่า Islamic Republic of Iran ก็หมายความว่าสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เอาพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นรัฐธรรมนูญ คัมภีร์อัลกุรอานนะ เป็นรัฐธรรมนูญนะ แล้วก็ใช้กฎหมายอิสลาม เรียกว่า ชารีอะห์ แล้วก็ Islamic Republic of Pakistan สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน แล้วก็สาธารณรัฐอิสลามมอริเตเนีย สาธารณรัฐอิสลามคอโมโรส รัฐอิสลามอัฟกานิสถาน อันนี้ไม่เรียกสาธารณรัฐแล้ว เรียกว่ารัฐอิสลาม Islamic State of Afghanistan อันที่ 5 นี้เป็นรัฐอิสระโดยตรง ทีนี้ก็อีกระดับหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ นี่ก็จะเยอะ ยกตัวอย่าง ซาอุดิอาระเบีย โซมาเลีย ลิเบีย แอลจีเรีย อียิปต์ บาเรนห์ บังคลาเทศ บรูไน มาเลเซีย นี่ยกตัวอย่าง ไม่ใช่หมดนะ อย่างนี้เรียกว่าศาสนาอิสลามประชาติ ศาสนาประจำชาติ ใช้คำฝรั่งเขาเรียกว่าเป็น official religion หรือเป็น national religion หรือเป็น state religion ก็แล้วแต่ ใช้ศัพท์ได้หลายอย่าง บางทีก็ใช้เป็น national church หรือเป็น established church ทีนี้เราก็ศึกษาไปให้รู้ เรื่องของศาสนาอิสลามมี 2 ระดับ ประเทศที่ใกล้เราก็มีบรูไน แล้วก็มาเลเซีย บรูไนนี่ก็มีประชากรเป็นมุสลิม 64-67 % มีพุทธศาสนิกชนอยู่ในบรูไนประมาณ 9% มาเลเซียมีประชากรเป็นมุสลิม ถ้าตัวเลขตำราทั่วไปเขาจะให้แค่ 48 แต่ว่าสถิติของราชการมาเลเซียเอา 51 อันนี้เล่าแทรก หลายปีมาแล้วที่เขาเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติใหม่ๆ มีคนจีนจากมาเลเซียมา ไม่รู้จักกันเลย จู่ๆ ก็ไปที่วัด แล้วก็ไปเล่าไปบอกว่ารัฐบาลมันโกง ที่จริงมีประชากรมุสลิมประมาณ 48% แล้วเขาหลอกชาวบ้านว่าตอนนี้มุสลิมมี 51% เป็นส่วนใหญ่แล้ว เขาก็เลยเอาศาสนาอิสลามเป็นสาสนาประจำชาติ ก็ว่างั้น แกก็วิตกห่วงใหญ่ต่างๆ เราก็ไม่รู้จะทำไง เราเป็นคนนอก ก็แค่ฟัง เราฟังแล้วเราก็ เอ๊ะ ไม่ได้ถือตัว 48 หรือ 51 แต่เรามองว่าแค่ 51 ก็เอาเป็นศาสนาประจำชาติแล้วหรือ นี่ก็คือเป็นข้อมูลความรู้ ส่วนความเห็นแทรกๆ ไม่ต้องไปถือ เอาข้อมูลความรู้ นี่ก็เป็นตัวอย่างให้เข้าใจ ในประเทศมาเลเซีย ก็มีประชากรที่เป็นชาวพุทธ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อสายจีน ประมาณ 7% แล้วก็คนไทยที่อยู่ในรัฐทางใกล้ชายแดนไทยก็มีพวกกลันตัน ตรังกานู เคดาห์ อะไรพวกนี้ เคยเป็นของไทยมาก่อน ก็มีวัดไทยอยู่ในนั้นพอสมควร อันนี้เราก็รู้จักแล้วเราก็ต้องศึกษาต่อไป ว่าเขาปฏิบัติกับเรื่องศาสนานี้ยังไง อย่างมาเลเซียนี้มีตำรวจศาสนา อย่างพระพูดในวัดนี้ก็จะมีตำรวจศาสนามาฟัง ว่าพูดไปกระทบศาสนาหรือเปล่า ยิ่งถ้าไปพูดนอกวัดก็ยิ่งต้องฟัง อะไรทำนองนี้ คือเป็นเรื่องความรู้ รัฐบาลมีหน้าที่เผยแพร่ ให้ประชาชนไม่อยู่กับความโง่เขลา คนที่จะรู้จักตัดสินใจนี่จะต้องมีความรู้หรือมีปัญญาพูดง่ายๆ ทีนี้ทำไงจะให้ประชาชนคนไทยมีปัญญา หรือมีความรู้ที่จะตัดสินใจ ก็ต้องให้ความรู้เขา ไม่ใช่ปล่อยอยู่กับความโง่เขลา คิดเอาเอง เดาเอา แล้วก็ให้แต่ความเห็น อะไรต่ออะไรไป ไม่ได้ เคารพความคิดเห็น ก็ให้ความรู้ไป ทัศนะส่วนตัวผมว่าอย่างนี้นะ เพราะว่าคุณก็มีสิทธิ์ที่จะคิด แต่คุณก็ต้องคิดด้วยความรู้ ผมก็จะให้ความรู้คุณ ก็ให้ความรู้ไปสิ ความรู้เรื่องอย่างนี้ยังมีอีกเยอะ พอเราเผยแพร่ก็จะมีข้อมูลให้อีกมากมาย ว่ายังไง อย่างประเทศมุสลิมด้วยกันเขาก็ปฏิบัติกับเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน อย่างประเทศมุสลิมต่างๆ ก็จะมีปัญหากันเอง ระหว่างพวกที่ต้องการเป็นประชาธิปไตยเปิดกว้าง แล้วพวกที่ต้องการสถาปนารัฐให้เป็นรัฐอิสลาม อย่างง่ายๆ อย่างอินโดนีเซีย อาเจะห์ เคยได้ยินไหม อาเจะห์ที่อยู่ยอดเหนือสุดของเกาะสุมาตรา เคยเป็นอาณาจักรมุสลิมที่ยิ่งใหญ่มาก สู้กับพวกโปรตุเกสได้ ยืนหยัดจนสิ้นสุดยุคโปรตุเกส ไม่ตกเป็นอาณานิคม แต่แพ้ฮอลันดา ส่วนมาเลเซียนี่อาณาจักรยิ่งใหญ่ชื่ออาณาจักรมะละกา มาเลเซียนี่จะภูมิใจมาก ในอาณาจักรมะละกา ถือว่าหัวใจหรือความเป็นมาเลเซียอยู่ที่อาณาจักรมะละกา ความเป็นมลายู มะละกานี่พอโปรตุเกสมาก็แพ้ โปรตุเกสก็เอามะละกาเป็นเมืองขึ้น แต่อาณาจักรอาเจะห์นั้นอยู่สู้โปรตุเกสได้ แต่ก็มาแพ้ฮอลันดา ก็เลยหมด อินโดนีเซีย มาเลเซีย อะไรพวกนี้ก็ตกเป็นเมืองขึ้น ไปเป็นอาณานิคมหมด ต่อมาโปรตุเกสก็แพ้ฮอลันดา ฮอลันดาก็แพ้อังกฤษ อังกฤษก็ยึดหมด มาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซียนั้นก็ไปเป็นของฮอลันดา จนกระทั่งมาเจอญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็เข้าไปอีก ต่อมาก็ได้เอกราช เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ ทีนี้อาเจะห์เขามีความรุนแรง เขาต้องการจะสถาปนาประเทศอินโดนีเซียเป็นรัฐอิสลาม ส่วนว่ารัฐบาลกลางนี่ก็ไม่ต้องการ ต้องการจะเป็นประชาธิปไตยกว้างหน่อย ก็เลยสู้รบกัน แล้วรัฐที่เป็นมุสลิมเองก็รบกัน ก็เพราะปัญหาเรื่องนี้ ปัญหานี้ก็ยังอยู่ในประเทศมาเลเซียด้วย มาเลเซียนี่รัฐบาลกลางก็ค่อนข้างเปิดไปทางประชาธิปไตยมากพอสมควร แต่ว่ามีบางรัฐ อย่างรัฐกลันตัน ตรังกานู นี่จะเข้มในการที่จะสถาปนารัฐอิสลาม จะให้ใช้กฎหมายอิสลาม ซึ่งติดอยู่กับชายแดนไทย จังหวัด 3 จังหวัดนั้นเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็น่าจะเผยแพร่ความรู้อย่างนี้แก่ประชาชน นี่มันไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรกัน ขนาดอยู่วัดยังรู้เลย ความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับสังคมประชาธิปไตย เราต้องการให้ประชาชนมีความสามารถในการพิจารณาในความคิด แล้วตัดสินใจให้ถูกต้อง คนจะตัดสินใจได้ถูกต้อง ต้องมีความรู้ ต้องอย่างน้อยมีข้อมูล แล้วก็พัฒนาปัญญาในการคิดพิจารณา แล้วก็เอาธรรมะประกอบเข้าไป ไม่คิดลำเอียงเพียงชอบใจไม่ชอบใจ คือมีปัญญาแต่ว่าคิดลำเอียงในทางชอบใจ เข้าข้างตัวเอง แต่เบียดเบียนผู้อื่น อย่างนี้ก็แย่ ใช่ไหม ก็ไปสนองตัณหา มานะ ทิฐิ เราต้องการให้ใช้ปัญญา แต่ว่าเอาเมตตา ความปรารถนาดีต่อสังคมทั้งหมด ทั้งตัวเองและผู้อื่นทั้งโลก จะอยู่กันได้ดี ก็คิดบนฐานของเมตตา คือความปรารถนาดี จะแก้ปัญหาว่าอยู่กันด้วยดียังไง แต่ถ้าไม่รู้มันคิดไม่ออกนะ ไม่ใช่ว่าข้อมูลนี้มันไม่น่าพอใจ จะเกิดปัญหา แกมองไม่เป็น ข้อมูลเดียวกัน ความรู้เดียวกัน คนหนึ่งเขามีเจตนาดี เขาคิดเอาไปใช้แก้ปัญหา สร้างสรรค์ ทำให้อยู่ร่วมกันได้ดี ส่วนอีกคนคิดในทางที่จะทำร้ายผู้อื่น จะเอาเพื่อตน มันก็เป็นคนละเรื่อง มันก็ต้องไปพัฒนาอีกด้านก็คือพัฒนาคนให้มีคุณธรรม ให้รู้จักมีเมตตา เพื่อจะได้ตั้งเจตนาให้ถูกในการคิด มันก็จะดีขึ้น ข้อสำคัญก็คือต้องให้ประสานกัน คนดีแต่ว่าไม่มีปัญญา เป็นไงคนดีไม่มีปัญญา ก็เป็นซื่อแต่เซ่อ แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ ก็แย่สิ ก็ต้องทำดีด้วยความรู้ จะทำอะไรที่ดีก็ต้องมีความรู้ มีปัญญา แล้วก็เจตนามันดี ตรงนี้ก็สำคัญ เจตนาเราต้องการแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าเรารู้เพื่อจะเอาไปทำร้าย อย่างนี้เขาพูดอะไรมาก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ภาษามาลายู อะไร ไม่รู้เรื่อง ก็ทำไม วิทยุก็มี สื่อมวลชน ทีวี ทำไมไม่ให้ความรู้ประชาชน เอาไปมัวแต่สนุกสนาน อะไรก็ไม่รู้ ใช่ไหม เนี่ยอยู่กับความรู้สึกเท่านั้นเอง ก็อย่างเขาพูดมาภาษามาลายู ภาษามาลายูคืออะไร เอาสิ พูดไป ผมเล่าให้ฟังเป็นบางงแง่ อย่างที่มาเลเซียภูมิใจในความเป็นมลายู แล้วความเป็นมลายูก็มีศูนย์กลางที่อาณาจักรมะละกา เพราะฉะนั้นมาเลเซียภูมิใจในอาณาจักรมะละกา ท่านรู้ไหมอาณาจักรมะละกามาจากไหน แล้วมาลายูอยู่ที่ไหน มลายูนี้คนมาเลเซียเขาภูมิใจมาก เขาถือคล้านๆเขาเป็นศูนย์กลางของมลายู แต่เวลานี้ทางสุมาตราเขาไม่พอใจอยู่ เขาไม่พอใจอะไร เขาบอกว่าทำไมมาเลเซียจึงทำอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงนั้นศูนย์กลางของความเป็นมลายู อยู่ที่สุมาตรา เดี๋ยวท่านฟังแล้วท่านจะรู้ คือมลายูมีอาณาจักรหนึ่ง เดี๋ยวนี้ยังมีชื่ออยู่ว่า จัมบีอยู่ที่เกาะสุมาตรา จัมบีนี่อยู่แถวๆ เกาะสุมาตราลงมาล่างๆ นิดหน่อย แล้วใต้เมืองจัมบีนั้นก็จะมีเมืองปาเล็มบัง เคยได้ยินไหม ปาเล็มบัง เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโบราณ ชื่อว่าอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นอาณาจักรของพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ อยู่ตั้งราว 7-8 ศตวรรษ 700-800 ปี แล้วอาณาจักรศรีวิชัยก็ยิ่งใหญ่มาจนกระทั่งว่ามีอำนาจเข้ามาหมดมาเลเซีย แล้วเข้ามาถึงใต้ของประเทศไทย แถวสุราษฎร์ธานี อย่างท่านพทุธทาส ท่านยังมีรูปพระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์ที่ท่านไปตั้งไว้ที่สวนโมกข์ นั่นก็ถือว่ามาจากอาณาจักรศรีวิชัย พระโพธิสัตว์มหายาน อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเข้ามาถึงใต้ของไทย เอาละ ศูนย์กลางเขาอยู่ที่สุมาตรา ก็คือเมืองปาเล็มบังปัจจุบัน ทีนี้ดินแดนมลายูนี่ก็อยู่เหนือตรงนั้นแหละ เหนือปาเล็มบังที่จัมบี แล้วทั้งหมดนั้นก็เป็นมลายู ก็หมายความว่าชาวอาณาจักรศรีวิชัยก็คือชาวมลายู เพราะฉะนั้นชาวมลายูก็คือชาวพุทธมาก่อนเกือบ 1,000 ปี ชาวมลายูเดิมเป็นชาวพุทธมานานเน เจริญรุ่งเรืองมาก ฉะนั้นเวลานี้ที่ประเทศอินโดนีเซีย เขามีความรู้สึกรำลึกถึงบรรพบุรุษเขา ฉะนั้นคนอินโดนีเซียได้ทราบว่าจะไม่รังเกียจพระ ไม่รังเกียจชาวพุทธ ต้อนรับอย่างดี ถึงขนาดว่าเวลาลูกเกิดยังไปขอชื่อจากพระเลย ทั้งๆ ที่เป็นมุสลิม จะเห็นว่าชื่อคนอินโดนีเซียจะมีชื่อบาลีสันสกฤตปน เช่น นางซูการ์โนบุตรี เมกาวาตี อย่างนี้ชื่อมาจากภาษาสันสกฤต เพราะว่าอารยธรรมของเขาเดิมเป็นพุทธ ฝังลึกมาก กระทั่งในภาษามาลายูเนี่ย มีศัพท์พุทธสาสนาเยอะ ศัพท์สันสกฤต เพราะฉะนั้นอย่าไปนึกว่าภาษาไทยมีภาษาบาลีสันสกฤตเยอะ ต้องมาลองวิเคราะห์กันดู ใครมีเวลาลองมาดูสิว่า ในภาษามาลายูมีภาษาสันสกฤตจากพุทธศาสนามาเท่าไหร่ ดินแดนที่สุมาตราก็เป็นอาณาจักร ศรีวิชัย อาณาจักรศีวิชัยก็เจริญรุ่งเรืองอยู่อย่างยาวนานมาก หลวงจีนบางท่านก็เคยไปแวะที่นี่ อย่างหลวงจีนอี้จิง เดินทางจากประเทศจีน แล้วก็ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่อินเดีย ก็มาแวะที่อาณาจักรศรีวิชัย กษัตริย์ศรีวิชัยยังต้อนรับท่าน แล้วก็จัดการเรื่องส่งเดินทางท่านอีก คนที่จะไปเรียนนาลันทา บอกว่าควรจะมาเรียนที่ศรีวิชัยก่อน นี่ศรีวิชัยในอดีตยิ่งใหญ่มาก ต่อมาอีกนานจนกระทั่งว่า ผ่านไป 500-600-700 ปี ก็มาถึงอีกยุคหนึ่ง ที่ชวา ชวาก็เคยเป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนากับศาสนาฮินดูแข่งกันมาก่อน ที่ชวาจะมีมหาเจดีย์อยู่อันหนึ่ง เรียกว่ามหาสถูป เราเรียกภาษาปัจจุบันว่า บุโรพุทโธ นั่นอยู่ที่เกาะชวา อยู่ใกล้เมืองยอร์คยากาต้า จากาต้าเป็นเมืองหลวงของอินโดนีเซีย อยู่ที่เกาะชวา ยอร์คยากาต้า ก็อยู่ใกลกับมหาสมุทรบุโรพุทโธ ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า บรมพุทโธ แล้วก็เลือนไป เวลานี้ที่อินเดียก็กำลังขุดค้นพบสถูปใหญ่ ซึ่งเข้าใจว่าที่มาของบรมพุทโธที่อินโดนีเซีย รูปร่า
แบบเดียวกัน กำลังขุดแต่งกันใหญ่ ว่าใหญ่กว่าที่อินโดนีเซียอีก ที่เคยขุดพ เอาละที่ชวาเองก็เคยมีพุทธศาสนาคู่กับฮินดูก่อนที่สุมาตราด้วยซ้ำ ทีนี้ต่อมาศรีวิชัยที่เกาะสุมาตราก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทีนี้ต่อมาสุมาตรา ศรีวิชัยชักเสื่อม แล้วมี่ชวาก็มีอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นเรียกว่าอาณาจักรมัชปาหิต เป็นฮินดู มัชปาหิตยิ่งใหญ่ขึ้นมา ต่อมามัชปาหิตก็เอาศรีวิชัยลงอยู่ใต้อำนาจ ไปครอบงำหมด จนกระทั่งขึ้นมามาเลเซียไปทางแผ่นดินทางนี้ด้วย ก็กลายเป็นว่าอยู่ใต้อิทธิพลมัชปาหิต ทีนี้ที่ศรีวิชัยนั้น มีตอนหนึ่งที่มัชปาหิตที่ยิ่งใหญ่ องค์หนึ่งสวรรคตลง เวลาเปลี่ยนแผ่นดินมันมักยุ่งยาก ทำให้ประเทศนั้นอ่อนแอ รบรากันเอง ตอนที่กษัตริย์มัชปาหิตที่ยิ่งใหญ่สววรคต กำลังเปลี่ยนแผ่นดิน ทางศรีวิชัยก็เห็นเป็นโอกาสว่าเราจะต้องแข็งเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่กลับ ก็มีเจ้าชายองค์หนึ่งที่กำลังครองอยู่เวลานั้นที่ศรีวิชัยสุมาตรา ชื่อว่าเจ้าชายปรเมศวร เจ้าชายปรเมศวรก็เลยทำท่าแข็งเมืองขึ้นมา แต่ผิดหวังเพราะว่ามัชปาหิตไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายนาน เขาจัดการแผ่นดินของเขาได้เรียบร้อยโดยเร็ว พอมัชปาหิต
เปลี่ยนแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ขึ้นแล้ว จัดการบ้านเมืองเรียบร้อย เห็นว่าศรีวิชัยยุ่ง ก็เลยยกทัพจะไปปราบ เจ้าชายปรเมศวรเห็นว่าสู้ไม่ไหว ก็หนี หนีจากสุมาตราที่ศรีวิชัยนั้นมาขึ้นที่สิงคโปร์ เกาะสิงคโปร์เวลานั้นเป็นเมืองหน้าด่านของพวกอาณาจักรเหล่านี้ อาณาจักรศรีวิชัย มัชปาหิต ไปขึ้นที่นี้ก็ฆ่าเจ้าเมืองสิงคโปร์แล้วขึ้นครองแทน ปรเมศวรขึ้นสิงคโปร์แล้วนะ นี่คือมลายูมาจากสุมาตรา นี่คือมลายูแล้วปรเมศวร มลายูแห่งศรีวิชัยเป็นพวกชาวพุทธเดิม ก็มาขึ้นสิงคโปร์ ทีนี้ประวัติศาสตร์ก็บอกว่าฝ่ายเมืองไทยนั้นมีอำนาจมากไปถึงปลายแหลมมะละกา มลายูนี่แหละ แล้วก็ถึงสิงคโปร์ด้วย ก็เห็นว่าเจ้าชายปรเมศวรนี้ยุ่ง ก็เลยขับไล่ ไทยใหญ่นะตอนนั้น ก็ไปขับไล่ แต่ประวัติศาสตร์อีกพวกหนึ่งบอกไม่ใช่ มัชปาหิตนี่แหละไปไล่ ไม่รู้ล่ะใครมาไล่ก็แล้วแต่ เป็นอันว่าปรเมศวรอยู่ไม่ได้ ก็มาขึ้นมะละกา ก็มาขึ้นแผ่นดินปลายแหลมมาลายู ของมาเลเซียปัจจุบัน เจ้าชายปรเมศวรก็เลยมาขึ้นที่มะละกา ตอนนั้นสภาพบ้านเมืองทั่วไป ศาสนาอิสลามกำลังแผ่ขยายมา แล้วก็ปรากฏว่าตอนนั้นได้บุกทำให้พุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย จากดินแดนโดยเฉพาะแถวแคว้นมคธ ที่เรียกปัจจุบันว่าแคว้นพิหาร ซึ่งอยู่ในดินแดนที่อังกฤษเขาเรียกว่าเบงกอล ก็คือด้านตะวันออกของอินเดียต่อมาถึงบังคลาเทศ ทีนี้พุทธศาสนาก็หมดไปจากที่นี่ พวกมุสลิมก็เข้ามาครอง มุสลิมเข้ามาครอง ตอนนี้ก็มีอำนาจมาก ตั้งแต่อาหรับมาถึงอินเดียตะวันตก อินเดียตะวันออก อาหรับก็เป็นนักค้าขาย ถึงแม้อินเดียอยู่
เบงกอล อยู่บังคลาเทศ แคว้นพิหารอะไรนั่นก็เป็นดินแดนของพวกค้าขาย เขาก็ค้าขายทางนี้ตรงมาทางเมืองท่าแถวกัลกาต้า ก็ลงเรือมานี่ ชาวมุสลิมก็เป็นพ่อค้า ก็มาค้าขายทางชายฝั่งทะเล ก็มาขึ้นแถวๆ มะละกานี่แหละ ทีนี้มะละกาแถบชายทะเลก็เลยมีพ่อค้ามุสลิมไปตั้งหลักแหล่งอยู่ พวกพ่อค้าก็เป็นธรรมดาเป็นคนร่ำรวย ผู้มีอิทธิพล ตอนนั้นก็คงมีพวกพ่อค้าพวกร่ำรวยเศรษฐีชาวมุสลิมอยู่ตามชายฝั่งมะละกา ฝ่ายเจ้าชายปรเมศวรนั้นมาขึ้นที่มะละกาแล้ว ตัวเองก็ลำบากลำบนมา พลัดถิ่นมาก็แทบแย่แล้ว ทีนี้จะตั้งตัวเป็นใหญ่ กำลังก็น้อยลง ก็คงเป็นเหตุนี้ก็ต้องหาพวก ก็ปรากฏว่าได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ที่มะละกานั้น ตั้งอาณาจักรขึ้นมาชื่ออาณาจักรมะละกา แล้วสถาปนาตัวเองเป็นสุลต่าน เจ้าชายปรเมศวรก็เปลี่ยนชื่อเป็นสุลต่านอิสกันดาร์ ชาห์ ชื่อปรเมศวรก็หายไป ท่านเข้าใจหรือยัง นี่ปรเมศวร มาลายูมากจากไหน ก็มาจากสุมาตรา ก็คือเจ้าชายปรเมศวร แล้วก็ตั้งอาณาจักรมะละกาขึ้นมา ฝ่ายไทยเรานี่ได้ยินว่าปรเมศวรตั้งตัวเป็นใหญ่ ตั้งอาณาจักรมะละกา พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพิโรธ ก็ส่งกองทัพไปปราบ ปรากฏว่าปราบไม่ลง ถอยทัพมา อย่างน้อยสองครั้ง ทีนี้ทางมะละกาก็เห็นว่าตัวเองจะลำบาก ไทยนี่ใหญ่มากเลย ก็เลยพึ่งอำนาจจีน ก็ส่งเครื่องบรรณาการอะไรต่ออะไร ตอนหนึ่งถึงกับไปเองเลย ไปหาพระเจ้ากรุงจีน พระเจ้ากรุงจีนก็เลยตั้งกษัตริย์มะละกาให้เป็นราชาธิบดี แล้วก็ส่งกองทัพเรือจีนมา ก็เรียกว่าขู่ไทยไว้ บอกอย่ายุ่งนะ ว่างั้น มะละกาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ นี่อาณาจักรมะละกาที่เป็นต้นกำเนินของมาเลเซียที่ชาวมาเลเซียภูมิใจว่าเป็นศูนย์กลางของความเป็นมลายู แล้วมะละกาก็อยู่ถึงยุคที่โปรตุเกสเข้ามาแสวงหาอาณานิคม แล้วก็แพ้โปรตุเกส ก็ตกเป็นอาณานิคม แล้วก็อย่างที่ว่า ก็มาเป็นของฮอลันดา แล้วมาเป็นของอังกฤษ แล้วส่วนทางโน้น สุมาตรา ต่อมาอาณาจักรมุสลิมก็ค่อยๆ เกิดมาเรื่อย มุสลิมตอนนี้มีอำนาจแผ่เข้ามาทั่วแล้ว ก็เลยเกิดอาณาจักรยิ่งใหญ่เรียกว่าอาเจะห์ขึ้น ยอดสุดเหนือของเกาะสุมาตรา แล้วก็สู้กับโปรตุเกสได้ ผ่านยุคโปรตุเกสมาก็แพ้ดัชต์ แพ้ฮอลันดา ก็กลายเป็นอาณานิคมเรื่อยมา จนกระทั่งสงครามโลกผ่านไปแล้วก็ประเทศต่างๆ ก็ได้เอกราชกันหลังสงครามโลก ตอนนั้นก็ได้ญี่ปุ่นไปกวาดล้างอิทธิพลของฝรั่ง ของไทยเราก็เหมือนกัน อังกฤษก็มาตัดดินแดนส่วนหนึ่งของไทยออกไปทางภาคใต้หลายตัวหวัด แล้วฝรั่งเศสก็ตัดแบ่งดินแดนทางด้านตะวันออกไป เสียมราฐ พระตะบอง พวกนี้ ญี่ปุ่นมา ไทยก็ได้โอกาสเอาคืน แต่เสร็จแล้วตอนหลังก็ต้องกลับคืนให้เขาอีก อะไรอย่างนี้นะ อันนี้ก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะรู้อะไรต่างๆ ภาษามาลายูนี่ก็ถือเป็นภาษาสำคัญของถิ่นนี้ แล้วภาษา
มาลายูก็ใช้ทั้งที่อินโดนีเซีย ทั้งที่มาเลเซีย แต่ว่าเวลาเรียกเป็นภาษาของตัวเอง เขาก็เรียกของตัวเองเป็นภาษาอินโดนีเซีย ภาษามาเลเซีย แต่คำว่าภาษานั้น เวลาเขาใช้เขาใช้เป็นคำสันสกฤตตามเดิม อ่านว่า
บาฮาซา คนอินโดนีเซียเรียกภาษาของเขาว่าบาฮาซา อินโดนีเซีย คนมาเลเซียก็เรียกภาษาของเขาว่า บาฮาซา มาเลเซีย ก็ชัดอยู่ว่าคำว่าบาฮาวา นั่นแหละ บาฮาซา ก็คือมาจากคำสันสกฤต แล้วคนมาเลเซียเองปัจจุบันนี้ที่ใช้ภาษามาลายูเนี่ย คำศัพท์ต่างๆ ที่เป็นคำสำคัญ ก็ยังเป็นคำบาลีสันสฤต เช่น นคร เมืองสำคัญๆ ที่สุลต่านอยู่ หรืออย่างพระเจ้าแผ่นดินบรูไนอยู่ สุลต่านแห่งบรูไน เมืองของท่านที่ว่า ดารุสซาลาม ขึ้นต้นว่า เนการา นคร มาเลเซียเวลาราชการคิดศัพท์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นศัพท์สำคัญ อย่างตอนที่แล้ว เขามองเห็นว่าพวกคนจีน คนอินเดีย โดยเฉพาะจีน เข้ามามีอิทธิพลทางเศรษฐกิจมาก เขาทำไงจะกันอิทธิพลพวกนี้ เขาก็ออกกฎหมายมาคุ้มครองสิทธิของชนพื้นถิ่น กฎหมายนั้นเช่นว่าสงวนอาชีพพวกนี้ไว้ ไม่ให้คนเชื้อสายอื่นมาประกอบได้ ต้องเป็นคนพื้นถิ่น ก็คือคนมลายู หรือคนเดิมแท้กว่านั้นที่ตั้งอยู่ เขาถือเป็นมาลายูด้วยนะ พวกเซมัง ซาไก ที่เป็นเจ้าถิ่นเดิม พวกเจ้าเงาะอะไรพวกนี้ที่อยู่มาเลเซียมาก่อน ก่อนมาลายูมา เซมัง ซาไก พวกนี้อยู่มาก่อน แล้วดินแดนแถบมาเลเซียเดิมเป็นพวกมอญ ขแมร์ ทีนี้เขาก็กันพวกคนจีน ก็มีการออกกฎหมายสงวนอาชีพ แล้วก็เรื่องการประกอบธุรกิจบางอย่าง เขาจะมีกฎหมายกีดกันไว้ เพื่อจะช่วยคนที่เรียกว่ามาลายู แล้วเขาก็เรียกคนพื้นถิ่นว่ามาลายู รวมทั้งคนที่เป็นเซมัง ซาไก เรียกว่า ภูมิปุตรา นี่คำราชการ แล้วมาจากไหน ภูมิปุตรา ภาษามาลายู ก็มาจากสันสกฤต บางทีคนมลายูเองก็ไม่รู้ว่าคำเหล่านี้เป็นคำบาลี-สันสกฤต ซึ่งเป็นพื้นฐานเดิมของเขา เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาก็คือชาวพุทธมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งกี่ศตวรรษ อย่างนี้ ตอนที่แล้วก็มีการอ้างบอกว่าคน 3-4 กี่จังหวัดภาคใต้ พูดภาษายาวี จะมาพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะว่าภาษาไทยเป็นภาษาพุทธศาสนา มีคำพระบาลีอะไรต่ออะไร ภาษายาวีเป็นภาษาของเขา เพราะฉะนั้นก็ต้องพูดยาวี ไม่ให้เรียนภาษาไทย ไม่ให้พูดภาษาไทยอะไรอย่างนี้ ก็ให้เอาภาษายาวีเป็นภาษาราชการด้วย อะไรต่างๆ เหล่านี้ คนของเราเพราะขาดความรู้ก็ไม่หลักในการที่จะวินิจฉัยหรือคิดพิจารณา ภาษายาวีคืออะไร เข้าใจไหม ก็ต้องรู้ พอเขาบอกภาษายาวีก็ต้องรู้ว่าคืออะไร ภาษายาวีมี 2 ความหมาย เดิมภาษายาวีคือภาษามลายูท้องถิ่นที่เป็นภาษาพูดไม่ใช่เป็นภาษาเขียน เป็นภาษาพูดเรียกว่ายาวี ก็คือมลายู ภาษาพูดในท้องถิ่นภาคใต้ทาง 3 จังหวัด 4 จังหวัด แต่ต่อมาเดี๋ยวนี้คำว่ายาวีได้มีความหมายใหม่ เป็นว่าภาษามลายู นั่นแหละ ที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ เรียกว่า ยาวี แล้วถ้าภาษามลายูนั้นเขียนด้วยอักษรโรมันแบบฝรั่ง เขาเขียนอักษรโรมันก็ได้ เขียนด้วยอักษรโรมันเรียกว่า รูมี ก็เป็นอันว่ามี 2 อย่าง มียาวี กับ รูมี ยาวีก็ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ รูมีก็ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรโรมัน ถ้าอย่างอินโดนีเซียเขาใช้อักษรโรมันนะ เขาใช้อักษรฝรั่งเขียน ภาษามลายูนี่ แต่เขาไม่มีตัวอักษร เขาใช้อักษรฝรั่ง ไม่ได้ใช้อักษรอาหรับ ก็จะได้เข้าใจ เป็นอันว่ายาวีตอนนี้ก็คือภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ แต่ตัวภาษาก็คือภาษามลายู ตัวภาษาก็เรียกว่าบาฮาซา ก็คือคำสันสกฤต ก็บอกเขาสิ บอกว่าตั้งต้นจากคำเรียกภาษาของคุณก็คำสันสกฤตแล้ว คุณจะมารังเกียจอะไรกับภาษาไทย ใช่ไหม ภาษาไทยก็แบบเดียวกัน แล้วบรรพบุรุษเราก็บรรพบุรุษเดียวกัน ก็เคยเป็นชาวพุทธเหมือนกัน จะไปรังเกียจอะไรกัน คือความรู้จะทำให้แก้ปัญหาได้เยอะ ก็ไม่รู้ ก็นึกว่าตัวเป็นคนละพวกกันไป ฉันก็ไม่รู้ เป็นชนมลายู มลายูมาจากไหน มลายูก็มาจากสุมาตรา ก่อนจะมาสุมาตรามาจากไหน มาจากเกาะบอร์เนียว แล้วตอนนี้เขาจะสันนิษฐาน ก่อนมาเกาะบอร์เนียว มาจากไหน มาจากไต้หวัน ไปๆ มาๆ โธ่ มนุษย์จะมาถือแบ่งแยกอะไรกัน มันจะจริงไม่จริง แต่ว่าสาระสำคัญก็คือว่ามนุษย์ก็มนุษย์นี่แหละ ถ่ายเทกันไปถ่ายเทกันมา จะมาถือสาอะไร ในที่สุดมันก็จะไม่มัวมากีดกั้นแบ่งแยกอะไรกัน แล้วมลายูที่อยู่ในมาเลเซีย หรืออยู่ภาคใต้ ผมมีเพื่อนผู้ใหญ่อยู่ที่ภาคใต้ ผมก็บอก เอ ท่านภาคใต้นี่หน้าตาไม่เชิงเป็นชาวมลายูนะ ทำนองนี้ เพราะหน้าตาชาวมลายูจะต้องเป็นคล้ายๆ พวกฟิลิปปินส์ พวกฟิลิปปินส์หน้าตาคล้ายๆ คนไทย ใช่ไหม จริงไม่จริง หน้าตามลายูแท้จะคล้ายๆ กับพวกนี้ พวกชาวเกาะพวกนี้ บอร์เนียว อะไรต่ออะไรเนี่ย อย่าลืมว่าแถวนี้นะ แถวสุมาตรา ชวา ในอดีตเนี่ยเป็นดินแดนย่านการค้าขาย ศูนย์กลางการค้า ใครจะค้าขาย จีนจะไปอินเดีย อาหรับจะมา ไปจีน อะไรอย่างนี้ ต้องผ่านเกาะสุมาตรา ชวา หมดเลย ก็เลยเป็นชุมทางการค้า ฉะนั้นคนก็ผสมหมด ทีนี้ตอนที่ชาวอินเดียเป็นใหญ่ จะเป็นมุสลิมหรืออะไรก็ตาม โดยเฉพาะตอนเป็นมุสลิมก็มาค้าขาย โดยเฉพาะจากบังคลาเทศ ก็มาค้าขายที่มะละกา อะไรอย่างนี้ ก็ต้องมาผสมกับชาวมลายูท้องถิ่น ผมก็ถามท่านว่าเนี่ย หน้าตาท่านนี่เป็นไปได้ไหมว่ามาจากอินเดียแถวบังคลาเทศ ท่านบอกน่าจะใช่ ว่างั้น ท่านเองท่านว่าอย่างนั้นนะ ก็รู้จักกันก็เพื่อนๆ กันนี่ จะไปรังเกียจอะไรกัน เขาก็ไม่ใช่มาเลย์มลายูบริสุทธิ์ ก็เป็นชาวเชื้อสายอินเดียมากกว่าด้วยซ้ำ หน้าตาก็บอก ใช่ไหม ถ้าเป็นมาลายูแท้ ต้องไปดูตั้งแต่บอร์เนียวมาสิ หน้าตาเป็นยังไง ถ้ามีความรู้แล้ว จะได้เลิกรังเกียจกันซะ มองอะไรต่ออะไรให้กว้าง เราไม่ใช่ว่าจะเอามามองในแง่ว่ามาแบ่งแยกหรือว่าจะมาว่าอะไรกัน แต่ว่าเพื่อจะให้เกิดความเข้าใจอันดี เมตตาความรักความปรารถนาดีที่แท้นี่มันต้องตั้งอยู่บนฐานของปัญญา ไม่ใช่เมตตาเลื่อนลอย เมตตาของคนโง่
ผู้ฟัง (ผู้ชาย) : เมตตานี้แผ่ให้ศัตรูก็ได้
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต): ก็มันเป็นของกลาง เป็นสากลไง อัปปมัญญา ก็ต้องแผ่รวมทั้งเป็นศัตรู ก็คือรวมสรรพสัตว์ ศัตรูก็อยู่ในสรรพสัตว์นั่นแหละ ไปพ้นที่ไหน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเมตตามันเป็นสากล มันถึงสรรพสัตว์หมด สัพเพ สัพตา ไง แล้วศัตรูมันจะไปพ้น สัพเพ สัพตา ได้ไง มันหมด ก็หมายความว่าเราไม่ได้คำนึงว่าศัตรู ไม่ศัตรู เรามองว่ามนุษย์ทั้งหลายน่าจะอยู่ด้วยกันมีความเข้าใจดี ทีนี้เมตตาพอมันขาดปัญญา มันก็ไม่รู้เรื่อง มันก็กลายเป็น หนึ่ง-เสียเปรียบ เป็นเบี้ยล่าง หรือไม่งั้นก็เป็น ฉันทาคติ เมตตาที่ไม่ถูกแล้ว ขาดปัญญา ดีไม่ดีเป็นฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักไง เป็นลำเอียงไปเลย ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เมตตาแล้ว เป็นฉันทาคติ ฉะนั้นเราไม่ต้องการโทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ แต่เราก็ไม่ต้องการฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก ด้วย เราต้องการความรักที่เป็นสากล ประกอบด้วยปัญญาที่จะใช้แก้ปัญหา ถ้ามนุษย์รู้ข้อมูลเข้าใจความจริงกันแล้ว จะได้มองกันได้ถูกต้อง ไม่ต้องมาแบ่งแยก หลักพุทธศาสนาท่านจึงบอกว่า มนุษย์พัฒนาไปเป็นโสดาบันนี้หมด มัจฉริยะ 5 ประการ มัจฉริยะ 5 ประการอะไร ความใจแคบ แบ่งแยกกีดกันกันเพราอะไรบ้าง 5 ประการ
หนึ่ง-กุลมัจฉริยะ แปลว่าตระกูลวงศ์โตราเหง้าเหล่ากอ พวก แบ่งพวกแบ่งเผ่าเนี่ย เลิก พระโสดาบันไม่แบ่งแล้ว มีปัญญาแก้กิเลสหมดแล้ว กุลมัจฉริยะ หมด ความใจแคบ กีดกั้นกันด้วยพงษ์เผ่าเหล่ากอ โครตเหง้า พวกเผ่า แล้วก็อะไร ลองช่วยกันไล่ ไม่ต้องตามลำดับข้อ
สอง-อาวาสมัจฉริยะ ความหวงแหน กีดกั้น ใจแคบ ด้วยถิ่นที่อยู่ ต้องรู้ด้วยปัญญาว่าเราแบ่งที่อยู่เพื่อให้มันอยู่กันอย่างสงบสุข แต่ละคนก็ต้องมีที่อยู่บ้าง จัดให้มันดี แต่ว่าไม่ใช่พอมีแล้วก็เลยกลายเป็นยึดกัน กีดกั้นกัน กลายเป็นว่าในขั้นกว้างขวางมันก็แบ่งแยกประเทศก็ทะเลาะกัน ยกทัพตีกันอย่างนี้ นี่นะ อาวาสมัจฉริยะ หวงแหนกีดกั้นกันเพราะถิ่นที่อยู่อาศัย มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้ ใจแคบ คือไม่รู้ทันสมมติ ว่านี่มันสมมติมาเพื่อที่เราจะอยู่กันด้วยดี จัดให้มันเหมาะ แต่มันกลายเป็นยึดซะนี่ ยึดหลงสมมติ เอาละ สองแล้ว กุลมัจฉริยะ อาวาสมัจฉริยะ
สาม-วัณณมัจฉริยะ หวงแหน ใจแคบ กีดกั้นกันด้วยวรรณะ ถือพันธุ์ สีผิว แบ่งชั้นวรรณะ ก็มาจากสีผิวเนี่ยแหละ ผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง อะไรต่ออะไรนี่นะ หรืออย่างอินเดีย อารยันเข้ามาก็แบ่งผิวแบ่งอะไรกัน เกิดวรรณะขึ้นมา 4 วรรณะ กษัตริย์ พราหมณ์ แพทศ์ ศูทร ไปเมืองฝรั่งก็ผิวขาว ผิวดำ ผิวเหลือง อะไรเนี่ย วัณณมัจฉริยะ มนุษย์ก็ยุ่งกันเพราะอันนี้ เป็นพระโสดาบันก็หมด ไม่มีแล้ววัณณมัจฉริยะ
สี่-ลาภมัจฉริยะ หวงแหนกีดกั้นกันด้วยลาภ ผลประโยชน์ มนุษย์ก็ใจแคบเรื่องผลประโยชน์ ใช่ไหม ก็แบ่งแยก กัดกั้น หวงแหนกัน ก็ยุ่ง รบราฆ่าฟัน พระโสดาบันท่านไม่มีแล้วความหวงแหนกีดกั้นในเรื่องลาภ
ห้า-ธัมมมัจฉริยะ ความหวงแหนกีดกั้นใจแคบในเรื่องของผลสำเร็จทางปัญญา ทางวิชาการ อย่างเวลานี้ก็หวงแหนกันนะ จะต้องระวังลิขสิทธิ์ทางปัญญา ใช่ไหม ก็ต้องซื้อกันอย่างหนักเลยใช่ไหม ประเทศใหญ่ก็สามารถโกยเงินจากประเทศเล็กได้เลย นี่ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ธัมมมัจฉริยะ หวงแหนความสำเร็จในภูมิธรรมภูมิปัญญา อย่างสมัยก่อนอาจารย์ต่างๆ คนไทยคนจีนอะไรเนี่ย หวงวิชากันนักเชียวนะ ก็อยู่ในข้อ 5 เนี่ย หวงแหนความสำเร็จในความเจริญทางวัฒนธรรม ก็ทำให้ไม่กล้าที่จะเผื่อแผ่ให้ประเทศอื่น กลัวเขาเจริญอย่างตัว
5 อย่างนี้ ถ้าแก้ได้หมด มนุษย์ก็หมดปัญหา ใช่ไหม ก็เป็นสากล ทำไม่ได้ แต่ว่าเราต้องคอยย้ำเพราะว่าเขาไม่ได้แม้แต่หลัก เขามองไม่ออกว่าเรื่องเหล่านี้มันสำคัญยังไง ว่ามนุษย์จะต้องไม่มีมัจฉริยะ เหล่านี้ พระโสดาบันนี่หมด กำจัดมัจฉริยะ 5 ประการ ฉะนั้นพระโสดาบันจึงเป็นบุคคลตัวอย่างที่จะแก้ปัญหาของโลก นี่ตัณหา มานะ ทิฐิ ไม่หมดทีเดียว แต่หมดระดับปัญหา แล้วก็มีความเป็นสากล เคยบอกแล้ว หนึ่ง-เมตตาก็สากล ไม่ใช่แบ่งว่าพวกเราแล้วก็รัก พวกอื่นนั้นเกลียด อะไรอย่างนี้ แล้วความเป็นมนุษย์ที่สากลว่า เป็นมนุษย์พวกไหนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่างพุทธศาสนานี่สอนว่า มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้แบ่งว่ามนุษย์ไหน ใช่ไหม ก็ถ้าเราไปฆ่า ก็เป็นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่ามนุษย์ไหนใช่ไหม บาปก็บาปเหมือนกันหมด ทีนี้ศาสนาที่เขาไม่ถืออย่างนี้ คนไหนไม่นับถือศาสนาอย่างฉัน ฆ่า เอาอย่างนี้ก็จบกัน ใช่ไหม ความเป็นมนุษย์มันก็ไม่สากล เมตตาก็ไม่สากล เอาเฉพาะพวกเฉพาะเผ่า แล้วหลักความจริงก็ไม่สากล ถ้ามนุษย์พวกนี้ทำอย่างนี้ไปสวรรค์ได้ แต่มนุษย์พวกอื่นทำดีอย่างนี้ไปสวรรค์ไม่ได้ ใช่ไหม นี่อย่างนี้ความจริงไม่สากล ของพุทธศาสนา ไม่ได้แยกศาสนาไหน พงศ์เผ่าไหน คุณทำกรรมดีนี้ ก็ไปสวรรค์เหมือนกันหมด เหตุปัจจัยอย่างเดียว มันอยู่ที่เหตุปัจจัย ไม่มีผู้พิพากษา อันนี้เขามีผู้พิพากษาคอยตัดสินว่าทำแล้วโปรดไม่โปรด ถ้าทำแล้วไม่โปรด ก็อด ถ้าทำแล้วโปรด ก็ไปได้ ถ้าทำไม่ดีมา เกิดโปรดก็เลยยกโทษให้อีก อะไรอย่างนี้ ทีนี้ไปพูดกันก็เดี๋ยวจะว่ากันอีก จะหาว่ามายกย่องตัว ก็ลองเอาหลักอย่างที่ว่าเนี่ย ก็คือจะทำไง จะยอมรับกันได้ มนุษย์ยอมรับกันว่าเป็นมนุษย์นะ ไม่แบ่งแยก มีเมตตารักกันทั่ว ทำอะไรก็ถือเป็นกลางเหมือนกันหมด ทำได้ไหม แค่นี้มนุษย์ก็ทำไม่ได้แล้ว ใช่ไหม แค่นี้เราก็เห็นแล้วปัญญา มันจะไม่เกิดปัญหาได้ยังไง แค่นี้มันก็ยุ่งแล้ว อย่างน้อยถ้ามีความรู้อะไรพวกนี้มันจะทำให้มองอะไรได้กว้างขึ้น ก็อยากให้เผยแพร่ความรู้กัน ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยเรานี่ขาดมาก เป็นสังคมที่อุดมด้วยความเห็น แต่ไม่ได้อุดมด้วยปัญญา ชอบพูดนักบอกว่าให้เป็รชนอะไร แม้แต่ทีวีก็บอกว่าให้เป็นสังคมอุดมปัญญา เวลานี้มีบางคนบอกกำลังจะเป็นสังคมไร้ปัญญา มันก็จะเป็นจริงได้ ถ้ามีแต่ความเห็นกันนะ ไม่มีความรู้ ก็ให้ความรู้ไป เขามีความรู้เข้าใจแล้ว เขาก็มีความสามารถในการคิดพิจารณา แล้วก็สามารถตัดสินใจได้ดี เรื่องอย่างศาสนาประจำชาตินี่ ความรู้ข้อมูลยังมีอีกเยอะ ก็มาบอกกันซะ ก็จะเข้าใจ ท่านถามบ้าง มีอะไรถาม เลยวันนี้ออกไปเรื่องไกลเลยนะ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เห็นชัดว่าธรรมะเกี่ยวข้องทั้งหมด จะต้องใช้ธรรมะแก้ปัญหา ก็คือใช้ความจริง ใช้หลักปฏิบัติที่จะนำเอาความจริงมาทำให้สอดคล้องกัน ทำให้เกิดผล ถ้ามนุษย์ไม่ยอมรับความจริง ไม่ปฏิบัติให้สอดคล้องกับความจริง แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องเข้าใจเรื่องอย่างนี้ อย่างน้อยเอาปัญญาที่รู้เข้าใจธรรมะนี่ มาใช้มองและปฏิบัติจัดการกับสิ่งรอบตัว เหตุการณ์ความเป็นไปในชีวิตในสังคมได้ อันนี้ก็คือความเป็นจริงของมัน ที่ธรรมะจะเกิดผล ถ้าท่านไปแก้ปัญหาโลกได้ แสดงว่าท่านเก่งแน่ ใช้ธรรมะได้เก่ง แค่นี้ ให้เขาไปลดตัณหา มานะ ทิฐิ เบาบางในเรื่องมัจฉริยะลง นี่รู้แค่ประวัติศาสตร์ก็สบายขึ้นเยอะ อะไรเป็นอะไร มาลายูเป็นยังไง ก็ต้องรู้ ก็มีเรื่องต้องรู้อีกเยอะ ถ้าท่านมีเวลาอยากให้ไปศึกษา เช่นว่า ในภาษามาลายู มีภาษาสันสกฤตอยู่สักเท่าไหร่ ยกตัวอย่าง อย่างภาคใต้ ผมโทร.ไปถามท่านที่เรียกว่าเป็นเพื่อนกันก็แล้วกัน ก็เป็นคนถิ่น ท่านเกิดที่นั่น ท่านเกิดเป็นมุสลิมด้วยซ้ำ บอกว่าที่เมืองใต้ทางจังหวัดที่นี่ เวลาบอกชื่อกันใช้นา-มา-สะ-ยะหรือเปล่า ท่านบอกใช้ อ้าว ก็ตรงกันสิ เพราะว่าในอินโดนีเซียเวลาเขาจะบอกชื่อกัน เขาจะบอกนา-มา-สะ-ยะ แล้วมาเลเซียก็นา-มา-สะ-ยะ นามา ก็ นามะ ชื่อ สะ-ยะ ก็แปลว่า ของตน คงจะใช้มาตั้งแต่ยุคศรีวิชัยแล้ว เป็นภาษามาลายู แล้วยาวีก็พูดอันนี้นะ ที่บอกว่ายาวีพูดนา-มา-สะ-ยะ แล้วคนที่พูดภาษายาวีรู้ตัวไหมว่า ตัวกำลังใช้คำสันสกฤต ก็ไม่รู้นะ ก็ถ้าไทยเราชาวกรุงเทพฯนี่ก็รู้ ชาวใต้เองถิ่นที่พูดภาษายาวีก็รู้ หมดเรื่องเลย ไปรังเกียจอะไรกัน ก็พูดภาษาอย่างเดียวกัน ใช่ไหม มารังเกียจกันเพราะความไม่รู้ ไปๆมาๆ ก็เพราะความโง่ แล้วก็มารังเกียจกัน ทะเลาะกัน อะไรก็ไม่รู้ พอรู้ซะมันก็เป็นพวกเดียวกัน ญาติมิตรกันอะไรกัน ในที่สุดมันก็เพื่อนร่วมโลก จะเอาอะไรกัน แล้วมันมีทิฐิผิด ไปยึดถือ นี่แหละที่ท่านบอกทิฐิ ไปยึดถือความเชื่อ หลักแนวความคิดเห็นที่เขาใส่ให้ ต้องยึด ก็ไม่มีปัญญาของตนเอง ก็ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะถาม ก็เลยคุยเรื่องกว้างๆ ออกไปซะบ้าง จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าไม่มีอำรถามก็หยุดเท่านี้ก่อน อนุโมทาทุกท่าน