แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) : ท่านพระเถรานุเถระที่รักนับถือทุกท่าน เริ่มตั้งแต่ท่านเจ้าคุณพระธรรมาโกศาจารย์ ที่ได้เอื้อเฟื้อมาเปิดงานเป็นประธานตั้งแต่เช้า ท่านที่รู้จักกันสนิทสนมคุ้นเคยหรือว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติศาสนกิจในท้องถิ่น โดยเฉพาะหลวงพ่อวัดเสือ ท่านพระครูโสภณสิทธิการ ซึ่งมีน้ำใจเมตตาอย่างยิ่ง แล้วขอเจริญพร โยมญาติมิตรสาธุชนทั้งหลาย ทั้งโยมที่เป็นชาวถิ่นศรีประจันต์ ชาวสุพรรณบุรี และโยมที่เดินทางมาจากถิ่นอื่น เช่นกรุงเทพฯ ทั้งท่านที่เป็นชาวถิ่นเดิมที่นี่ แต่ว่าออกไปตั้งหลักฐานในถิ่นอื่น ก็ย้อนกลับมาเยี่ยมถิ่นศรีประจันต์นี้ แล้วก็โยมที่อยู่ในจังหวัดอื่น เช่นกรุงเทพฯ ก็มีน้ำใจให้โอกาส หรือจะเรียกว่าให้เกียรติมาร่วมในงานนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของความมีน้ำใจเป็นกุศล ก็ถือว่าได้มาทำบุญร่วมกัน วันนี้ก็เป็นการที่ได้ทำสิ่งที่ถือว่าเป็นสิริมงคล ให้เป็นการเริ่มต้นที่ดี โดยมีน้ำใจเจาะจงมาที่อาตมาภาพ ในเมื่อปรารภมาที่ตัวอาตมาภาพเอง ก็เป็นเรื่องที่แน่นอนว่าเจ้าตัวจะต้องแสดงน้ำใจตอบแทน เมื่อไม่สามารถทำอะไรอื่นก็ได้แต่กล่าวเป็นวาจา ก็คือขออนุโมทนา ขอบพระคุณและขอบคุณขอบใจทุกๆ ท่าน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันด้วยความสามัคคี แล้วก็มีคุณธรรม เช่นมีศรัทธา ศรัทธาในพระศาสนา ศรัทธาในบุญในกุศล แล้วก็มีน้ำใจประกอบด้วยเมตตาธรรม ไมตรีจิตมิตรภาพเป็นต้น รวมแล้วก็คือว่าทำให้เกิดความสามัคคี แล้วก็มาร่วมแรงร่วมใจกันทำให้เกิดงานขึ้น ดังที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้ แต่ในส่วนของอาตมาภาพเองนั้น นอกจากอนุโมทนาแล้วก็ต้องขออภัยไปพร้อมกัน ที่ต้องขออภัยก็ที่เห็นง่ายๆ ก็คือ ควรจะมาตั้งแต่เช้า และเดิมนั้นทางคณะกรรมการก็จัดกำหนดการให้มาตอนเช้าด้วย แต่ก็ติดขัด ต้องขอโอกาสว่ามาเฉพาะตอนบ่าย นี่ก็เหมือนกับว่ามีน้ำใจต่อกันแทนโยมไม่เต็มที่ ก็เป็นเหตุให้ต้องขออภัย เมื่อขออภัยก็ต้องมีเหตุผลในการขออภัย ก็จึงต้องขอโอกาสชี้แจงแสดงเหตุผลนิดหน่อย ก็เป็นเรื่องไม่มีอะไรมาก เกี่ยวกับเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ความจริงเวลานี้ไม่ใช่โอกาสที่จะมาเล่าเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยกัน แต่ต้องขออภัยที่จะเล่าเล็กน้อย พอได้ให้เป็นส่วนอ้างอิง คือเหตุผลที่จะยกมาพูดแล้วก็รู้กัน แล้วก็จะได้เข้าใจ แล้วก็โล่งใจด้วย คืออาตมาภาพนั้นก็มีปัญหาเรื่องของร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงเช้าถึงเที่ยงนี่ไปไหนแทบไม่ได้เลย ถ้ามีการไปฉัน ก็เป็นอันว่าต้องตัดไปเลย พูดง่ายๆ สั้นๆ รวบรัดว่า ฉันเพลหรือฉันเช้าก็ตาม ฉันแล้วต้องรีบนอนภายในประมาณ 10 นาที ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดปัญหาในสมอง ทีนี้ถ้ายิ่งมีเหตุให้อ่านหนังสือ แม้แต่คำเดียวสองคำ ก็จะเกิดเรื่องใหญ่ ก็ไม่ถึงขนาดใหญ่โตถึงเข้าโรงพยาบาล แต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตในวันนั้น อาจจะเกิดอาการปวดศีรษะขึ้นมา แล้วก็อาจจะมีปัญหาไปวันหนึ่ง สองวัน สามวัน ตามปกติอาตมาจะไม่มีเลยเรื่องการปวดหัว ปวดศีรษะ ไม่มี ตั้งแต่บวชพระมานี่ ปวดศีรษะมีอย่างเดียวคือเวลาเป็นไข้หวัด แต่เวลานี้ถ้าไปอ่านหนังสือหลังฉัน แล้วก็เกิดปัญหาได้ นี่ก็เรื่องหนึ่ง ก็ทำให้ไม่เฉพาะไม่ได้มาที่นี้ในตอนเวลาเช้า เพล เท่านั้น แม้แต่ไปที่อื่น ก็ไม่ได้ไปไหน แล้วตอนนี้มีเรื่องเพิ่มเข้ามาก็คือเรื่องระบบทางเดินอาหาร เรียกง่ายๆ ก็คือเรื่องท้องนั่นเอง ธรรมดาคนถ้าเป็นเรื่องท้องเดินท้องเสีย ก็เพลีย แต่ของอาตมานี่ถ้าท้องเดินท้องเสีย เช่นติดกัน 3-4 วัน วันละ 4,5,6 ครั้ง 7 ครั้ง สู้ได้ แต่มันมีโรคที่กำลังเป็นอยู่นี้ จะเรียกโรคหรือไม่ก็แล้วแต่ ก็คือว่าไม่ต้องท้องเสีย ไม่ต้องท้องเดิน เรียกว่าท้องคล่อง คือท้องคล่องครั้งเดียวเท่านั้นแหละ หมดเลยแรง แทบหน้ามืดเกือบทั้งวัน ระยะนี้ดีขึ้นก็เพลียมากๆ แต่จุดที่กระทบกระเทือนที่สุดคือสมอง สมองจะเพลียอย่างมาก จนกระทั่งว่าบางทีนึกอะไรแทบไม่ออก คิดอะไรแทบไม่ได้ อันนี้ก็เป็นปัญหาอย่างยิ่ง พอดี 2-3 วันนี้จะมีปัญหานี้มากทีเดียว ฉะนั้นก็เลยต้องขออภัย เมื่อรู้ทราบเรื่องราวเหตุผลแล้วก็จะได้เบากันไปทั้งสองฝ่าย ผู้พูดเองก็ได้ชี้แจงให้ทราบ ฝ่ายโยมได้ฟัง ทราบเรื่องแล้วก็คงให้อภัย ทีนี้ก็ย้อนกลับมาเรื่องของงานนี้ ก็เป็นอันว่าเป็นเรื่องที่ต้องอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ที่ชาวศรีประจันต์ตลอดไปถึงชาวสุพรรณบุรีแล้วก็ตลอดไปถึงญาติโยมคนไทยทั้งหลาย ทั้งในกรุงเทพฯส่วนหนึ่ง ส่วนกลางทางหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ท่านได้มีน้ำใจ ได้มาดำริคิดการณ์ที่ได้จัดให้มีสิ่งที่เรียกว่าชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต ขึ้น ซึ่งได้พิธีเปิดไปแล้ว แล้วก็ยังได้ตั้งมูลนิธิ
ชาติภูมิ ป.อ.ปยุตฺโต ด้วย อันนี้มองในแง่หนึ่งก็คือเหมือนกับว่า ไม่ใช่เหมือนกับว่าหรอก คือเป็นความตั้งใจของท่านทั้งหลายที่ให้ความสำคัญกับอาตมาภาพ บางครั้งก็เรียกกันว่าเชิดชูเกียรติ อันนี้เป็นส่วนน้ำใจของท่านทั้งหลายแล้วก็ตะวันตกที่อาตมาภาพ อาตมาภาพเป็นผู้รับ ก็เลยกลายเป็นศูนย์กลาง เป็นจุดรวมน้ำใจนั้น กลายเป็นว่าอาตมาภาพนี่มีอะไรที่ทำให้โยมเนี่ยได้มาแสดงน้ำใจ มาเชิดชูเกียรติอะไรต่างๆ ทีนี้มองในด้านหนึ่ง ก็มองมาที่อาตมาภาพ แต่ในเวลาเดียวกันถ้ามองกลับอีกที การจัดงานนี้ เป็นการประกาศคุณความดีของผู้จัด คือท่านไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่มันเป็นอย่างนั้น เพราะว่าผู้จัดมีน้ำใจมากมาย อย่างที่พูดเมื่อกี้เช่นมีศรัทธา มัศรัทธาในความดี มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม มีเมตตา หรือว่ามีพรหมวิหารธรรม คือธรรมะของพระพรหม พระพรหมก็คือผู้สร้าง สร้างงานขึ้นมา ที่สร้างงานสำคัญ ทำให้เกิดขึ้น ท่านทั้งหลายมีน้ำใจอย่างนี้แล้วก็ยังมีความสามัคคีเป็นต้น ได้มามีความพร้อมเพรียงกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำงานที่เป็นประโยชน์ส่วนรวมให้เกิดขึ้น งานนี้เกิดได้สำเร็จได้เพราะคุณความดีของท่านผู้จัดทำ เพราะฉะนั้นการเกิดมีมูลนิธิก็ตาม ชาติภูมิสถานก็ตาม มองให้ลึกลงไปก็คือการประกาศคุณความดีของชาวศรีประจันต์นั่นเอง แล้วก็ความดีของชาวสุพรรณบุรี ความดีของญาติโยมที่เกี่ยวข้อง แม้จะในถิ่นอื่น ที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ท่านมีน้ำใจมุทิตา ตามหลักพรหมวิหารธรรม มาสนัยสนุนส่งเสริม อย่างเช่นอาจารย์อำนวย เป็นต้น ท่านอยู่ถึงกรุงเทพฯ ก็มาร่วมสนับสนุน โดยนำส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นกำลังสำคัญ ในการจัดการ ดำเนินการให้เกิดมีสถานที่และมูลนิธิดังที่กล่าวมา ก็เป็นอันว่าอันนี้เราจะต้องตระหนักไว้ เพราะความมีคุณธรรมของผู้จัดสิ่งต่างๆ นี่แหละที่จะทำให้ความเจริญก้าวหน้าเป็นไปได้ ถ้าลำพังมีอาตมาภาพ มีคุณความดีอะไรก็ตามเนี่ย มันก็มีไป มันก็จบ ถ้าไม่มีโยมทั้งหลาย ถ้าไม่มีชาวศรีประจันต์ มาจัด มาทำ มาเห็นคุณความดี มีคุณความดี มีคุณธรรมในตัว ถ้าท่านเหล่านี้ไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว งานอย่างนี้ไม่เกิดแน่นอน เพราะฉะนั้นมองดูให้ดีก็เป็นอันว่า กิจกรรมงานอะไรที่เกิดนี้ ย้ำอีกทีว่าเป็นการประกาศคุณความดีของชาวศรีประจันต์ ชาวสุพรรณบุรีและท่านผู้ได้ดำเนินการทั้งหมด แต่ที่กล่าวมานั้น มองอีกทีก็คือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทางอาตมาภาพด้วย แล้วก็ทางศรีประจันต์ ผู้ที่ดำเนินการจัดให้มี สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเนี่ย ก็มาสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อิงอาศัยกันและกันจึงเกิดมีขึ้น ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ที่เราเรียกว่า อิทัปปัจจยตา หรือหลักปฏิจจสมุปบาท คือถ้าโยมไม่ปรารภอาตมาภาพ โยมก็ไม่ได้ทำอันนี้ แต่ถึงมีอาตมาภาพ แต่ว่าโยมไม่มีชาวศรีประจันต์ ไม่มี ก็ไม่เกิดเหมือนกัน ความสัมพันธ์อันนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราใช้เหตุปัจจัยให้มันเป็นไปในทางที่ดีงามถูกต้องแล้วก็เกิดผลที่ดีงามขึ้นมา มองไปในแง่หนึ่งเนี่ย เกิดเรื่องชาติภูมิสถาน เกิดมูลนิธิชาติภูมิ ทั้งหมดนี้ขึ้นมา มองว่าอาตมาภาพได้ไปทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็นความเจริญก้าวหน้าอะไรต่างๆ ขึ้นมาเนี่ย มันเป็นผลเนื่องกันกับศรีประจันต์ทั้งหมด ก็คือว่าอาตมาภาพจะเกิดมีขึ้นได้ ถ้าไม่มีศรีประจันต์ก็เกิดขึ้นไม่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่ตัวเองนี่แหละเกิดมาก็ไม่ได้แล้ว ก็หมายความว่าตั้งแต่ตัวเองเกิดมามีกำเนิด ก็มีโยมบิดามารดา ชาวศรีประจันต์นี่ก็กินไปกว้างขวาง เมื่อก่อนนี้อำเภอศรีประจันต์มีดอนเจดีย์ด้วย ดอนเจดีย์แต่ก่อนก็อยู่ศรีประจันต์ แล้วก็มาแยกออกไป ก็รวมกันหมด แล้วต่อไปอาตมาโตขึ้นมา ก็ไปเรียนหนังสือโรงเรียนอนุบาลคุณครูเฉลียว แล้วต่อมาโตขึ้นไปเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ก็มีส่วนร่วมที่อาตมาภาพจะได้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นมาได้ ก่อนนั้นก็ไปเรียนโรงเรียนประชาบาล ชัยศรีประชาราษฎร์ ไม่ทราบปัจจุบันยังชื่อนี้อยู่หรือเปล่า ก็คือโรงเรียนวัดยาง นั่นเอง ก็ไปเรียนประถม 1-4 ที่โรงเรียนชัยศรีประชาราษฎร์ ก็โรงเรียนวัดยาง แล้วก็จบที่นั่น จึงไปมัธยมวัดปทุมคงคา ที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาก็มาบวช เริ่มต้นบรรพชิต สามเณร ที่วัดบ้านกร่าง โดยหลวงพ่อเจ้าคุณเมธีธรรมสาร ตอนนั้นท่านจะเป็นพระครูอยู่ ก็เจริญเติบโตไป เสร็จแล้วก็ไปเรียนต่อที่วัดประสาททอง ที่ อ.เมือง เข้ากรุงเทพฯ ไปอยู่วัดพระพิเรนทร์ ไปอยู่กับหลวงพ่อเทพคุณาธาร ท่านพระครูปลัดสมัย กิตติทัตโต ก็เรื่อยมาอย่างนี้ เรียกว่าไม่ต้องเล่าแล้วรายละเอียด แต่ที่มาเป็นอย่างนี้ได้ต้องอาศัยคุณความดีของท่านผู้ที่มีพระคุณทั้งหลายมากมาย ตั้งแต่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ไปจนกระทั่งชาวท้องถิ่น ครูบาอาจารย์ ฉะนั้นที่อาตมาภาพได้เกิดมาเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัย พูดรวบรัดว่าชาวศรีประจันต์เป็นต้นนั่นเอง จึงบอกว่าเป็นเรื่องเนื่องกัน ฉะนั้นมองในแง่นี้แล้วก็เท่ากับว่าพูดในแง่หนึ่งอาตมาภาพก็เป็นอันหนึ่งในบรรดาผลผลิตของศรีประจันต์ หรือผลผลิตของสุพรรณบุรี แล้วในที่สุดก็ของประเทศไทยด้วย ในเมื่อเป็นผลผลิต ผู้ที่ผลิตต้องมีบทบาทสำคัญ ฉะนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนหลักกตัญญูกตเวทีไว้ เพื่อเราจะได้ไม่ลืมตัวว่าผลผลิตที่เกิดมาต้องมีบุพการีขึ้นมา ก็เป็นอันว่าเมื่อท่านจัดงานให้แก่ลูกหลาน ก็ต้องนึกถึงปู่ย่าตายาย บุพการีผู้ให้กำเนินด้วย ฉะนั้นวันนี้เราทำบุญทำงานนี้ โยมจะนึกถึงอาตมาภาพอะไร ก็คือต้องนึกไปถึงบรรพบุรุษ บุพการี ชาวศรีประจันต์ ชาวใกล้เคียงอะไรทั้งหมดสุพรรณบุรี ประเทศไทยทั้งหมดนี้มารวมกันเข้า เราก็ประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั่นเอง ทำให้ผลอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดมีขึ้น เมื่อมองในแง่นี้เป็นอันว่าอาตมาภาพนี่เป็นผลที่เกิดมาโดยอาศัยเหตุปัจจัยที่ดีงามในส่วนอดีต แล้วมองอีกทีหนึ่ง เรายังจะต้องก้าวไปในอนาคต เมื่ออาตมาภาพเป็นต้น เกิดมาอย่างนี้แล้ว เราก็จะมาเป็นส่วนร่วมในการที่ว่าประเทศชาติของเรา เอาถิ่นชาติภูมิศรีประจันต์ เป็นต้น จะต้องมีความเจริญงอกงามต่อไป อดีตมันก็ล่วงลับไปแล้ว เอาคืนไม่ได้ แต่ว่ามันมีผลมาถึงปัจจุบัน อันนี้สิ่งที่จะต้องทำก็คือปัจจุบันที่จะเป็นเหตุปัจจัยไปสู่อนาคต อนาคตจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องเอาใจใส่ให้ความสำคัญ ก็หมายความว่าบัดนี้ตัวผู้ที่เป็นผลผลิต เป็นอาตมาภาพก็ตาม ท่านผู้อื่นก็ตาม จะต้องมาคำนึงว่าเราจะมาช่วยกันร่วมกันอย่างไร ในการที่จะมาสร้างสรรค์ความดีงามความเจริญก้าวหน้าสืบต่อไปในอนาคต อันนี้ก็คือว่าการที่เรามาตั้งชาติภูมิสถานอะไรเกิดขึ้นเนี่ย ก็เป็นส่วนที่เราจะมาคิดถึงอนาคตด้วย ก็คือการที่เรามาจัดกิจกรรม มาจัดกิจการ จัดองค์กร จัดตั้งอะไรขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนที่จะไปหนุนให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในอนาคตสืบไป ฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดต้องพิจารณามาก ก็คือว่าเราจะทำอะไรเพื่อให้เกิดควมเจริญงอกงามสืบต่อไปในอนาคต อันนี้ก็คือภารกิจที่อยู่ต่อหน้า อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่กล่าวแล้วเนี่ย การที่เราจะมีความเจริญอะไรเกิดขึ้นมาก็ต้องอาศัยเรี่ยวแรงกำลัง องค์ประกอบต่างๆ มาเสริมมาอุดหนุนซึ่งกันและกัน ท่านที่ทำงานครั้งนี้อันนี้ขึ้นมาก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งงานแบบนี้ก็แสดงถึงน้ำใจของผู้ทำ อย่างที่กล่าวแล้ว ว่าท่านมีน้ำใจอยู่แล้วที่จะจัดกิจกรรมที่เอื้อเกื้อหนุนที่ดีงามที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชน แก่สังคมส่วนรวม พอถึงกิจกรรมอันนี้ท่นก็จัดขึ้นมา แต่ถ้าเรามองไปในอดีต ท่านเหล่านี้ท่านก็จัดทำสิ่งดีงาม กุศลเหล่านี้มาอยู่แล้ว อาตมาภาพจะยกตัวอย่างง่ายๆ ก็อย่างหลางพ่อวัดเสือ ท่านพระครูโสภณสิทธิการ ก็ไม่ใช่เฉพาะว่าท่านจะมาทำงานนี้เมื่อไหร่ ท่านก็สนใจในเรื่องงานบุญงานกุศล งานสร้างสรรค์ ทำประโยชน์กับท้องถิ่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่รู้กี่สิบปี แล้วงานของท่านก็คือการสร้างคนนั่นเอง เป็นสำคัญ การบำเพ็ญประโยชน์ การสร้างท้องถิ่นให้มีความเจริญงอกงาม อยู่ในสันติสุข ทั้งช่วยเหลือเกื้อกูลงานเผนแผ่สั่งสอนอบรมประชาชน อะไรต่ออะไรใกล้ชิดเข้ามาจนกระทั่งถึงในวัดก็คือบวชพระบวชเณร ก็จัดกิจกรรม เช่นการบวชเณรภาคฤดูร้อนมานานเป็นสิบๆ ปี จนกระทั่งบัดนี้เณรที่ท่านได้ให้บรรพชาที่บวชภาคฤดูร้อนเดือนหนึ่ง อยู่ต่อมาจนกระทั่งหลายองค์ก็จบประโยคเก้าไปแล้ว มาเป็นกำลังของพระศาสนา นี่ก็เป็นตัวอย่างก็คือว่า เราดูไปแล้วท่านเหล่านี้ ที่มาทำกิจกรรมความดีเหล่านี้ ท่านก็ทำของท่านอยู่แล้ว แต่ทีนี้เราก็มาให้เป็นกำลังร่วมกัน ว่าเมื่อเรามีกำลัง มีบุคคลผู้เอาใจใส่ในกิจการส่วนรวมอย่างนี้นะ เราทำไงให้กำลังเหล่านั้นมาสามัคคี มาพร้อมเพรียงกัน ที่จะเดินหน้าไปสู่อนาคตต่อไป ตกลงก็คือเป็นอันว่าการที่มีงานนี้ขึ้น เป็นการประกาศว่าเรามีความดีและมีคนดีอยู่ในถิ่นอยู่แล้ว แล้วเราก็กำลังเอาคนดีความดีนี้มาร่วมกันในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่ท้องถิ่น แล้วขยายออกไปถึงสังคมประเทศชาติสืบต่อไป นี่ข้อสำคัญก็คือความดีเหล่านั้น การที่จะเอาความดีคนดีมารวมกันได้ก็คือต้องมีพลังสามัคคี ตอนนี้ก็ต้องมีความสามัคคีมาเป็นตัวที่มารวบรวมคน มารวบรวมความดี รวบรวมพลังความรู้ สติปัญญาความสามารถเป็นต้น ให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พอรวมกันได้ก็เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่จะขับดันให้ท้องถิ่นชุมชน สังคม ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าต่อไป เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้ามองในแง่นี้ก็เป็นการประกาศความสามัคคี ญาติโยมชาวศรีประจันต์ ชาวสุพรรณบุรี รวมกับชาวกรุงเทพฯ ชาวประเทศไทยทั้งหมด เราได้ประกาศความสามัคคี ก็ขอให้โยมได้มีพลังความสามัคคีนี้ต่อไป เพื่อจะให้ความสามัคคีนี้เป็นพลังนำไปสู่ความสำเร็จ ทีนี้ความสามัคคีทำยังไงจะเกิดขึ้นได้ เราบอกว่าความสามัคคีนี้ก็คือการที่พร้อมเพรียงกัน มารวมตัวกัน จะรวมกันได้ยังไง อันนี้จะรวมลึกลงไปมันต้องมีเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยอันหนึ่งที่สำคัญก็บอกว่ามีศรัทธาไง เชื่อว่าเรามีศรัทธา อย่างเรามีศรัทธา โยมมีศรัทธาในพระศาสนา โยมก็ไปรวมตัวกันที่วัดก็เกิดความสามัคคีได้ ศรัทธาก็เป็นกำลังสำคัญอันหนึ่ง นอกจากศรัทธาก็มีอะไร ธรรมะอันหนึ่งที่สำคัญ ธรรมะก็คือคุณสมบัติในใจในตัวของเรานี่แหละ อะไร ก็คือฉันทะ ฉันทะก็แปลว่าความพอใจใฝ่ปรารถนา คนเรานี้ต้องมีความพอใจ ใฝ่รักใฝ่ปรารถนาอะไร อย่างน้อยเราชอบใจอะไร ความชอบใจถ้าลงเป็นอันเดียวกันได้ ก็จะเกิดความสามัคคี ลงชอบใจคนละอย่างละยุ่ง เกิดความแตกสามัคคี พอความพอใจชอบใจรวมกันได้ ก็เป็นอันเดียวกัน ความพอใจนั้นทางพระท่านเรียกว่าฉันทะ ประสานกันรวมกันตรงกัน ท่านเรียกว่าสมานะ ทีนี้ถ้ามีฉันทะความพอใจใฝ่ปรารถนาตรงกันเสมอกันร่วมกันเป็นสมานะ ก็เรียกว่า สมานฉันท์ นั่นก็คือคำว่าสมานฉันท์ นั่นเอง ที่เราจะมีความสามัคคีได้ดีก็โดยมีสมานฉันท์ ถ้าเรามีสมานฉันท์แล้วเราก็จะมีความสามัคคี ที่ชาวศรีประจันต์มีความสามัคคี แสดงออกอย่างน้อยในวันนี้เป็นตัวอย่างได้นี่ก็โดยมีตัวสมานฉันท์นี่แหละ โยมมีสมานฉันท์ ความพอใจใฝ่ปรารถนาอันเดียวกัน ลองขุดค้นให้พบก็จะเจอ ว่าที่เรามาสามัคคีนั้น ในตัวสมานฉันท์อันนั้น ฉันทะอะไรหนอ จับให้ได้แล้วอันนี้แหละเป็นแกนของสามัคคี มีฉันทะร่วมกัน ความพึงพอใจใฝ่ปรารถนาร่วมกัน ทีนี้ความพอใจใฝ่ปรารถนาที่ร่วมกัน มันก็มี 2 แบบ คือความพอใจบางอย่าง เช่นความชื่นชมในคุณงามความดี สิ่งที่ดีงาม ชื่นชมไป ใจเราก็รวมกันเป็นสามัคคีจริง เพราะว่าความพอใจนั้นมันยึดเหนี่ยวใจให้รวมกันได้ แต่ว่าฉันทะที่ทำให้เกิดความสามัคคีแบบนี้ เป็นความสามัคคีที่ค่อนข้างอยู่นิ่ง มันไม่ค่อยก้าวไปข้างหน้า แต่ทีนี้ฉันทะที่แท้ ฉันทะที่จะทำให้เกิดตัวพลังยิ่งใหญ่เป็นสามัคคี ความหมายที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าได้ ก็ต้องเป็นฉันทะที่แท้ ฉันทะที่แท้ก็คือความพอใจใฝ่ปรารถนาจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง โดยมีใจใฝ่ปรารถนาที่เลยต่อไปถึงจุดหมาย คือเรามองเห็นจุดหมายอะไรสักอย่างหนึ่ง เราใฝ่ปรารถนาต่อจุดหมายนั้น แล้วเราก็อยากจะทำการเพื่อจุดหมายนั้น ตัวนี้เรียกว่าฉันทะที่แท้จริง ถ้าอยากทำการเพื่อให้บรรลุจุดหมายนั้นก็คือมาคราวนี้ล่ะก็มันจะเป็นพลังให้เกิดความสามัคคีที่ไม่ใช่หยุดนิ่ง จะเป็นการรวมตัวกันเพื่อทำการ คือเป็นการรวมตัวสามัคคีที่มีการมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าทำการอะไรต่ออะไรที่จะให้เจริญก้าวหน้าไปสู่ผลสำเร็จที่ต้องการนั้น เราต้องการความสมานฉันท์อันนี้ ประเทศชาติของเรานี้ก็ เราต้องการสมานฉันท์นี้มาก ไม่ใช่ต้องการสมานฉันท์เฉพาะที่ภาคใต้หรอก โยมต้องการ บอกทำไงจะให้เกิดสมานฉันท์ที่ภาคใต้ ปัญหาภาคใต้คิดแก้ปัญหาสมานฉันท์กันมาตั้งนานแล้ว ทำไมไม่สำเร็จสักที ที่จริงเราไม่ต้องไปรอ สมานฉันท์นี่ต้องใช้ตลอดเวลา แล้วสมานฉันท์อย่างที่บอกเมื่อกี้ อย่าเอาสมานฉันท์เฉพาะแบบหยุดนิ่ง ไม่ใช่ว่าพอใจใฝ่ปรารถนา ชอบสิ่งที่ดีงาม แล้วก็ใจชื่นชม ก็รวมใจกันได้ ก็อยู่นิ่งๆ รวมกันเหมือนกัน สามัคคี แต่อันนี้ต้องรวมใจแบบว่ามีจุดมุ่งหมายอย่างที่ว่า จะทำการนี้เพื่อจุดหมายนั้น งานนี้เรามุ่มมั่นเดินหน้าไปเลย ความสามัคคีอย่างนี้จะมีพลังที่แท้จริง เราต้องการความสามัคคีแบบนี้ โดยเฉพาะเวลานี้ สังคมประเทศชาติ เราก็รู้กันอยู่ว่ามีปัญหามาก อย่างน้อยต้องมีการแก้ไข พร้อมไปกับการสร้างสรรค์นั้น ฉะนั้นเราจะต้องมีสมานฉันท์กันให้มาก เราพูดกันถึงสามัคคี ตอนนี้เรามีคำว่าสมานฉันท์ ซึ่งเป็นคำเก่าแก่ อาตมาก็เลยอยากจะเล่าเรื่องให้ฟังว่าที่จริงมันคำแสนจะเก่า คำว่าสมานฉันท์นี่นะ สมานฉันที่สำคัญก็คือสมานฉันท์ที่จะมารวมสามัคคีทำให้ทำบุญ จะเล่าเรื่องสักเรื่องหนึ่ง โยมรู้จักพระอินทร์กันทุกท่าน พระอินทร์นี่ก็เกิดจากสมานฉันท์ ถ้าไม่มีสมานฉันท์ก็ไม่มีพระอินทร์ แต่นี่เป็นพระอินทร์ตามคติพุทธศาสนา โยมก็มาทวนเรื่องเก่ากันซะที ถ้าเป็นญาติโยมเก่าๆ ก็น่าจะรู้นะเรื่องนี้ พระอินทร์เกิดมาอย่างไร เรื่องพระอินทร์เป็นเรื่องเกี่ยวข้องที่บอกเมื่อกี้ว่ามาจากสมานฉันท์ แล้วเป็นการสมานฉันท์ในการทำบุญกัน เรื่องเป็นอย่างไร ท่านก็เล่าไว้ คำในบาลีนั้นชัดเลย แล้วโยมวิเคราะห์ด้วยว่าบุญที่ว่านั้นคืออะไร ในคัมภีร์นั้นท่านบอกไว้ว่า มีคน 33 คน ใน 33 คน มีคำว่าดาวดึงส์ นี่เป็นชื่อสวรรค์ แปลว่า 33 ??? ภาษาบาลี 33 คนนี้เป็นมานพ เป็นชายหนุ่ม ในชายหนุ่ม 33 คน คนหนึ่งก็เป็นพระโพธิสัตว์ อีก 32 คนนั้นก็เป็นเพื่อนๆ ท่านก็เล่าว่า ชายหนุ่ม 32 คน หรือมานพ ได้มีสมานฉันท์กับพระโพธิสัตว์ ในการที่จะมาบำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชน ทำชุมชนนั้นให้สงบร่มเย็น ปลอดภัย มีความสะดวกในการที่จะทำกิจการงานต่างๆ เพื่อความเจริญงอกงาม และอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข ก็เลยมาพร้อมใจกับพระโพธิสัตว์นั้น เที่ยวทำบุญ ว่างั้น เที่ยวทำบุญ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า ปุญญานิ ??? เที่ยวทำบุญ พวกนี้ 33 คนเที่ยวทำบุญ เที่ยวทำบุญยังไงบ้าง ฟังนะ ความหมายคำว่าทำบุญ เพราะจะได้เข้าใจ ขยายความหมายคำว่าทำบุญซะบ้าง แล้วบุญอย่างนี้สำคัญ บุญที่ 33 คนที่จะไปเป็นดาวดึงส์ธรรมนี่คืออะไร ก็บอกว่า ตื่นแต่เช้า ก็ถือเอามีด ขวาน สาก หรือไม้พลองโตๆ แล้วพากันไป ถนนหนทางที่ไหนขรุขระ ไม่เรียบร้อยก็ช่วยกันขุด ช่วยกันถาก ช่วยกันถาง ช่วยกันปราบ ช่วยกันปรับให้ถนนเรียบราบสม่ำเสมอ คนเดินทางจะได้ไปได้สะดวก ที่ไหนติดขัด มีลำธารสายน้ำคั่น ก็สร้างสะพานข้ามไป แล้วที่ไหนขาดแคลนสระน้ำ ไม่ค่อยมีน้ำ ก็ขุดสระน้ำให้ ในที่สุดก็สร้างศาลา ศาลาก็เป็นที่พักคนเดินทาง ก็เป็นที่คนมาประชุมกันบ้าง ทำกิจกรรมต่างๆ นี่เป็นตัวอย่าง เมื่อมานพ 33 คนนี้เป็นหลักในการทำบุญเหล่านี้แล้ว ต่อมาคนอื่นก็มาร่วมแรงร่วมใจ เช่นว่าฝ่ายผู้หญิง ฝ่ายสตรีก็มาช่วย เช่นว่าคนกลุ่มนี้ไปสร้างศาลาที่พักแล้ว ก็ไปช่วยกันตกแต่วปลูกต้นไม้จัดสวนเป็นต้น ก็เลยกลายเป็นว่าต่อมาชุมชนหมู่บ้านของเขานั้นก็ร่มเย็นมีความสงบสุข แล้วก็น่ารื่นรมย์ด้วย แล้วก็ขยายไปทำประโยชน์ให้กับชุมชนหมู่บ้านอื่นต่อๆไป นี่แหละคือคำว่าบุญที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์ บุญพื้นฐานเลย ซึ่งโยมมักจะลืม เวลาเราทำบุญเรามักจะไปนึกกันแต่ว่า ไปทำบุญที่วัดไปถวายอาหารอะไรต่างๆ เหล่านี้ บุญในคัมภีร์แท้ๆ แบบนี้ บางทีไม่ได้นึกเลย การที่เราจะไปทำบุญที่วัด ไปถวายภัตตาหารได้ดี บ้าน หมู่บ้าน ชุมชนอะไรของเรามันต้องดีด้วย ถ้าเราทำให้หมู่บ้านชุมชนของเราดี มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่กันสงบเรียบร้อยดีแล้ว เราก็พร้อมที่จะไปทำบุญที่วัด ไปเลี้ยงพระเป็นต้น พระท่านก็จะสั่งสอนแนะนำให้เรามาอยู่กันอย่างดีมีความร่มเย็นเป็นสุข มีศีลมีธรรม ช่วยกันสร้างสรรค์ชุมชนของเราเอง บุญอย่างนี้ เป็นคำว่าบุญชัดๆ เลย บางทีเราก็ไม่ได้นึก บุญของมานพ 33 คนนี้ที่มีมรรคมานพ เป็นต้น ก็คือการที่มาช่วยกัน ถ้าใช้ภาษาปัจจุบันก็พัฒนาหมู่บ้านพัฒนาชุมชนนั่นเอง แต่ภาษาเก่าก็คือการที่ว่าเห็นแก่ประโยชน์สุขของชุมชน ของหมู่บ้าน แล้วก็มาช่วยกันบำเพ็ญประโยชน์ มาสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณูปโภค ทำสิ่งที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัย ความร่มเย็น ในที่นั้นเขาก็บอกไว้ด้วย คนพวกนี้ก็ช่วยแนะนำชักจูงคนอื่นที่เคยนติดยาเสพติด กินเหล้าเมายา ให้เลิก แล้วชวนกันบำเพ็ญตั้งตนอยู่ในศีลภาวนาเป็นต้น มันคลุมไปหมด บุญนี้ มันตั้งแต่ในบ้านไปเลย ฉะนั้นเราต้องหันกลับมาทบทวนความหมายคำว่าบุญด้วย ถ้าทำบุยอย่างนี้ล่ะก็ ชีวิตดีงามแน่ ทำให้ชีวิตดีงาม สังคมหมู่บ้านดีงาม อันนี้ตรวจสอบได้ ให้ไปดูเถอะในคัมภีร์ ท่านบอกเลย อาตมาพูดแล้วเมื่อกี้ บอกว่ามานพ 33 คนนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาแกก็เอาอย่างนี้ ท่านใช้คำว่า ปุญญานิ ??? เที่ยวทำบุญกันไป เที่ยวทำบุญเที่ยวทำความดี ก็คือบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ถ้าสังคมไทยคิดกันอย่างนี้ ทำบุญแบบนี้นะ แล้วเราจะไปประสานกับบุญชั้นสูงขึ้นไปที่เราทำกันอยู่แล้วเนี่ย สังคมก็จะร่มเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริง อันนี้ก็คือความใฝ่ปรารถนา ความดีงาม ความเป็นสุข ความร่มเย็น ความรื่นรมย์ของชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น แล้วก็ทำให้เรามีกำลังที่จะทำงาน บำเพ็ญประโยชน์ มีความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกันนี้ เป็นสมานฉันท์ สมานฉันท์แบบนี้แหละ มันเกิดการเกิดงานที่แท้จริง เป็นการสร้างสรรค์ ซึ่งไม่ใช่แก้ปัญหาที่คนรบราฆ่าฟันกัน ก่อการร้ายกันในภาคใต้ มันก้าวไปยิ่งกว่านั้น มันไม่ใช่แค่แก้ปัญหาให้สงบจากการทะเลาะวิวาท แต่มันทำให้เกิดการสร้างสรรค์ก้าวหน้าต่อไป ฉะนั้นสมานฉันท์นี่เราไม่ควรพูดอยู่แค่แก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทกัน ต้องพูดถึงการที่จะมาช่วย สร้างความสามัคคีที่จะมาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าต่อไปด้วย แม้ในสมัยต่อมา เอาละ ก็เป็นการจบเรื่องนี้ตอนหนึ่งว่ามานพ 33 คนนี้แหละ ก็ได้ไปเกิด ตายแล้วไปเกิด ตัวพระโพธิสัตว์หัวหน้านั้นเป็นพระอินทร์ คือท้าวสักกะ แล้วก็เรียกสวรรค์ชั้นนี้ว่าดาวดึงส์ ก็คือสวรรค์ชั้น 33 คน ทีนี้เราดูต่อมา จากสมัยพุทธกาลเรารู้จักพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา คือพระเจ้าอโศกมหาราช คิดว่าชาวพุทธรู้จักดี พระเจ้าอโศกมหาราช จะเรียกว่า ศรีธรรมาโศกราช ก็ได้ แปลว่าเป็นพระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม พระเจ้าอโศกมหาราชำบุญมากมายเหมือนกัน แล้วก็ทำบุญแบบเดียวกับมานพ 33 นี่แหละ ตอนแรกนี่พระเจ้าอโศกดุร้ายมาก เรียกว่าพระเจ้าจัณฑาโศก แปลว่าอโศกผู้ดุเดือด หรือโศกผู้ดุร้าย ก็เที่ยวรบราฆ่าฟันแย่งชิงดินแดนชาวบ้าน ฆ่าคนตายมากมายเหลือเกิน ต่อมาสลดพระทัยกก็หันมาปฏิบัติธรรม ก็ทำบุญทำกุศล เมื่อก่อนมีทรัพย์ หาลาภ หาเงินหาทอง ก็เพื่อจะมาบำรุงบำเรอตัวเองเพื่อความยิ่งใหญ่ พอทีนี้หันมาปฏิบัติธรรม นับถือพระพุทธศาสนแล้ว ก็เอาลาภยศ เอาเงิน เอาทรัพย์ เอาความยิ่งใหญ่นั้นมารับใช้ธรรมะ ทำไงล่ะ ทรัพย์กับยศนี่ ถ้าเอาไปใช้ในทางร้ายมันก็เบียดเบียนข่มเหงผู้อื่น เดือดร้อนกันมาก แต่ว่าถ้ามาใช้ทางดีนะ ทรัพย์ ความยิ่งใหญ่ เกียรติยศ บริวาร นี่ กลับเป็นโอกาสให้ทำงานสร้างสรรค์ได้มากมาย คนเรามีสติปัญญาคิดดี อยากจะทำดี ไม่มีทรัพย์ ทำได้นิดเดียวไม่มีกำลัง ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะ ไม่มีอำนาจ ไม่มีบริวารก็ทำได้นิดเดียว แต่ถ้าเป็นคนดี มีความคิดดี มีสติปัญญาแล้ว ทรัพย์ก็มีมาก อำนาจก็มีด้วย บริวารก็เยอะ ทีนี้จะทำงานใหญ่ ทำการสร้างสรรค์ได้มากมาย พระเจ้าอโศกก็เปลี่ยนเลย พลิก แต่ก่อนนี้หาลาภ หาเงิน ทรัพย์สมบัติ หายศ หาความยิ่งใหญ่ เพื่อจะมาประกาศความยิ่งใหญ่ของตัวเอง เพื่อจะบำรุงบำเรอตัวเอง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพระเจ้าอโศกผู้ทรงธรรม ก็เอาเงินทองทรัพย์สินสมบัติ อำนาจนั้นมารับใช้ธรรมะ ธรรมะท่านสอนว่าให้ทำความดี บำเพ็ญประโยชน์ ก็เอาทรัยพ์ เอายศ เอาความยิ่งใหญ่นั้นไปทำความดี ก็เลยทำได้มากมายเหลือเกิน เพราะเจ้าอโศกทำอะไร ก็ทำคล้ายๆ กับมานพ 33 คนนั่นแหละ แต่ว่าทำได้ในขอบเขตกว้างขวาง มานพ 33 คนนั้นก็อยู่แค่หมู่บ้าน แกก็ทำได้แค่หมู่บ้านชุมชนของแก แต่พระเจ้าอโศกทำได้ทั่วประเทศเลย ทั่วประเทศชมพูทวีป ประเทศอินเดียสมัยนั้นเราเรียกว่าแคว้นมคธหรือชมพูทวีปเนี่ย ไกลกว่าอินเดียปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงอินเดียสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้แต่อินเดียปัจจุบันนี้ใหญ่กว่าประเทศไทย 6 เท่านะ ประเทศไทยนี้มีเนื้อที่เท่าไหร่ 5 แสนตารางกิโลกเมตร อินเดียมีพื้นที่ 3 ล้านตารางกิโลเมตร ก็ 6 เท่าของเรา 3 ล้านตารางกิโลเมตร พระเจ้าอโศกทำอะไร พระเจ้าอโศกเป็นมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเต็ม มีทรัพย์สินเต็มที่ ก็ทำความดีใหญ่ คล้ายๆ กับมานพ 33 คนนั่นแหละ หนึ่ง- สร้างถนนหนทางเชื่อมต่อท้องถิ่นต่างๆ ให้ประชาชนไปมาถึงกันได้สะดวก แล้วบนถนนหนทางเหล่านั้น เป็นระยะๆ กี่กิโลเมตร จำไม่ได้ ใช้คำว่า ครึ่งโกรศ ว่างั้น ตอนนี้ก็เถียงกันว่า โกรศ มาตรานี้กี่กิโลกันแน่ ก็ไม่แน่นอนแล้ว เอาเป็นว่าจะกี่กิโลก็แล้วแต่ ช่วงระยะหนึ่งๆ ก็สร้างที่พักคนเดินทาง ก็ศาลานั่นแหละ สร้างที่พักคนเดินทาง แล้วก็ปลูกป่า ปลูกสวน ปลูกต้นไม้ ให้เป็นที่รื่นร่ม แล้วพระเจ้าอโศกก็ขุดอ่างน้ำ อ่างเก็บน้ำสำหรับการเกษตร ชลประทาน อะไรพวกนี้ ขุดอ่านเก็บน้ำ แล้วก็ปลูกป่ามาก แล้วก็ปลูกป่าสมุนไพร สร้างโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลคน โรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งหาได้ยากนะสมัยนั้น มีโรงพยาบาลคนยังไม่พอ ยังสร้างโรงพยาบาลสัตว์ด้วย แล้วก็หาพวกยา ก็คือสมุนไพรสมัยนั้น มาเที่ยวปลูกไว้ นี่ก็เป็นตัวอย่างของงานบุญที่พระเจ้าอโศกได้ทรงทำไว้ แล้วก็สร้างวัดทั้งหมด 84,000 วัด ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเรียกว่า 84,000 วิหาร ทั่วมหาอาณาจักร วัดนี้คืออะไร ก็คือศูนย์กลางการศึกษาของประชาชนนั่นเอง เพราะสมันนั้นไม่มีโรงเรียนในระบบปัจจุบัน โรงเรียนระบบปัจจุบันนี้เป็นระบบตะวันตก มาจากเมืองฝรั่ง ทีนี้ของเดิม ของตะวันออกนี่ก็วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษา พระเจ้าอโศกมหาราชก็สร้างวัดมากมาย 84,000 วัด แต่ยังไม่เท่าประเทศไทยนะ คิดดูให้ดี ประเทศไทยเรามีเนื้อที่ 5 แสนตารางกิโลเมตร เรามี 30,000 วัด ประเทศอินเดียนี่ใหญ่กว่าไทยเรา 6 เท่า ถ้าพระเจ้าอโศกสร้างวัดให้มีอัตราส่วนเท่าประเทศไทย ต้องสร้างกี่วัด ก็ลองดู เรา 30,000 วัด เอา 6 คูณเข้าไป ก็เป็น 180,000 วัด พระเจ้าอโศกยังสร้างได้แค่ 84,000 วัดเลย ไม่เท่า อย่างประเทศไทยนี่แสดงว่าเจริญด้วยวัดยิ่งกว่าสมัยพระเจ้าอโศกอีก แต่ว่าเราเจริญดีเหมือนพระเจ้าอโศกหรือเปล่า ต้องคิดตรวจสอบตัวเองแล้ว เรามีวัดมาก อัตราส่วนเหนือพระเจ้าอโศกตั้งเยอะ พระเจ้าอโศกมีแค่ 84,000 วัดเอง เนื้อที่ตั้ง 3 ล้านตารางกิโลเมตร สมัยนั้นมากกว่านี้อีก ถ้าหากว่า 84,000 วัดนี้มากกว่าเราแค่ 2-3 เท่า เท่านั้นเอง ฉะนั้นเราต้องคิดให้ดีแล้ว เราควรจะเจริญมากกว่าสมัยพระเจ้าอโศกอีก ไม่รู้เราเจริญจริงหรือเปล่า ต้องมาคิดทบทวนกันในแง่เนื้อหาสาระ รวมความก็คือวัดนั้นเป็นศูนย์กลางการศึกษาของมวลชน นี่คือพระเจ้าอโศกมหาราชก็ทำบุญอย่างนี้ เราต้องมาคิดเรื่องการทำบุญขั้นพื้นฐานนี้ด้วย ไม่ใช่ทำบุญแต่เรื่องที่ไปวัดไปวาอย่างเดียว แต่ว่ามันต้องมาประสานกันแหละ ก็คือต้องโยงกันให้ได้หมด คนที่ทำที่บ้าน โยมทำบุญที่วัด แล้วบุญที่วัดก็กลับมาหนุนที่บ้าน เพราะไปทำบุญที่วัดนั้นพระท่านมีกำลัง ท่านมีคุณภาพดี ท่านมีการศึกษาดี ท่านก็มีธรรมะให้แก่โยม ท่านก็มาสอนโยม วิธีการดำเนินชีวิต ถึงการที่จะมาขยันหมั่นเพียร สร้างสรรค์ทำการงาน ทำความดีต่างๆ ก็ทำให้ชุมชนของเราดี อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข มันก็เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ประชาชนของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุขอุดมสมบูรณ์ เราก็อุปถัมภ์วัดได้ดี ทีนี้ถ้ามันไม่เป็นอย่างนี้แล้ว ต่อไปมันก็เสื่อมหมด เพราะฉะนั้นต้องดูว่าวงจรของเราในเชิงอาศัยซึ่งกันและกันนี้มันดีอยู่ไหม ระหว่างวัดกับบ้านเป็นต้น ให้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อันนี้อาตมาภาพก็เอามาเล่าให้เห็นว่า เรื่องสมานฉันท์มันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องทำให้เกิดให้มีให้ได้ เป็นสมานฉันท์ที่ทำให้เกิดความสามัคคีแบบที่มีความมุ่งมั่นก้าวหน้าในการทำการ ไม่ใช่เป็นความสามัคคีที่อยู่นิ่งเฉย โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ เราจะต้องมาคิดกันให้มาก ว่าเราจะเอายังไง กับเรื่องอนาคตของสังคม ของประเทศชาติ สังคมของเรานี่ สภาพปัจจุบันนี้ เราบอกว่าเราอยู่ในโลกาภิวัตน์ เราเจริญก้าวหน้า เรามีเทคโนโลยี มีไอทีอะไรต่างๆ มีสิ่งเสพบริโภคมากมายอุดมสมบูรณ์ แต่ลองพิจารณาใช้ปัญญาตรวจสอบให้ลึกดูสิว่า ความเจริญแบบไหนเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ความเจริญแบบที่เป็นอยู่นี้น่าพอใจหรือยัง ใช้ปัญญาคิดพิจารณากันให้ดี ไม่ใช่ว่าเขาว่าเจริญก็เจริญ แล้วก็นิยมตามกันไป ถ้าอย่างนี้เราก็ไม่ได้ใช้ความคิดพิจารณา พูดง่ายๆ ก็คือไม่ใช่ปัญญานั่นเอง ทีนี้เรื่องของฉันทะที่แท้มันต้องมาจากปัญญา คือปัญญาคิดพิจารณารู้ว่าอะไรดี อะไรมีประโยชน์แท้จริงแล้ว พอเราแน่ใจว่าอันนี้แหละแน่แล้ว ดีงามเป็นประโยชน์แท้แล้วเนี่ย ความพึงพอใจใฝ่ปรารถนาที่แท้ และมีพลัง มันจะเกิดขึ้น อันนั้นแหละคือฉันทะ ทีนี้ถ้าเราไม่มีปัญญา ฉันทะมันก็จะเป็นเพียงความพอใจแบบที่ว่าชอบๆ ถูกใจไป ถูกตา ถูกหู อะไรต่ออะไรไป ผิวๆ เผินๆ ถ้าอย่างนี้ท่านไม่เรียกฉันทะหรอก ท่านเรียกว่าตัณหา คือมันถูกตา ถูกหู แค่นี้เรียกว่าตัณหา แต่ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาว่า อะไรมันดีแท้ มันเกิดประโยชน์แก่ชีวิต แก่สังคม มันเป็นความเจริญงอกงาม อย่างนั้นมันเห็นได้ชัดด้วยปัญญาแล้ว ถ้าพอใจอย่างนั้นท่านเรียกว่าฉันทะ ทีนี้เราต้องมาตรวจสอบว่าเราเนี่ย พอใจด้วยตัณหา หรือพอใจด้วยฉันทะ ถ้าพอใจด้วยฉันทะ เอาได้ เพราะถ้าพอใจด้วยฉันทะนั้นปัญญามันชัดแล้ว ความพอใจนั้นจะมีกำลังทำให้เกิดการกระทำ แล้วเราจะมุ่งไป แล้วจะเกิดสมานฉันท์ที่ว่าเมื่อกี้ เราจะก้าวไปสร้างสรรค์คุณความดี ทีนี้สิ่งที่เราต้องการเวลานี้ ก็สมานฉันท์ที่มันมีความหมายในการสร้างสรรค์ที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราจะต้องชวนกันแล้ว มาพิจารณาคิดกันให้ชัด อย่างน้อยก็อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าความเจริญอะไรเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือความเจริญที่พึงปรารถนาเป็นอย่างไร ความเจริญที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ ปรารถนาดีไหม ความเจริญที่ว่าตื่นเช้าขึ้นมาเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ก็ข่าวอาชญากรรม ทะเลาะวิวาทแย่งชิงทรัพย์ ฆ่ากันตาย ข่มขืนผู้หญิงแล้วก็ฆ่าเขาตายอีก แล้วก็ติดอบายมุข หลงหมกมุ่นในเรื่องการพนัน สุราเมรัย สิ่งเสพติดสารพัด แล้วก็เอารัดเอาเปรียบ วุ่นวายกันต่างๆ จนกระทั่งเด็กของเรานี่ก็เป็นที่หนักใจของพ่อแม่ ไปหมกมุ่นในเรื่องยาเสพติดบ้าง ไปมั่วสุมกันต่างๆ ไปทะเลาะวิวาทกัน อย่างน้อยก็มาอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ ได้แต่หาสิ่งเสพบริโภค หาความสนุกสนานมัวเมา เพลิดเพลินอะไรต่างๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้แม้แต่ในทางร่างกายสุขภาพ กำลังมีแนวโน้มว่าเด็กของเรากำลังจะเป็นโรคอ้วนตามฝรั่งด้วย เวลานี้ประเทศอเมริกานี้ เขากำลังมีปัญหาใหม่คือโรคอ้วน ตอนนี้หมอไทยกำลังไปดูงานที่อเมริกา เพื่อจะมาแก้ปัญหา รับมือกับสังคมไทย หรือเด็กไทยที่กำลังจะเป็นปัญหานี้ ก็คือโรคอ้วน ทำยังไง เขาจะต้องแก้ปัญหาโรคอ้วยด้วยการผ่าตัดกระเพาะ ใครเป็นโรคอ้วนก็เข้าโรงพยาบาลตัดกระเพาะ กระเพาะที่มันใหญ่เท่ากำปั้น ผ่าให้เหลือจุแค่ 15 ซีซี ตอนนี้จะกินได้น้อยก็บังคับตัวเองเลยไม่อ้วน เพราะถ้ากินไปๆ กระเพาะมันก็จะยืดออกไปอีก เดี๋ยวมันก็ใหญ่อย่างเก่า ฉะนั้นปัญหาก็คือต่อไปเมืองไทยก็จะกระทบกับเรื่องแม้แต่โรคอ้วนนี้ เราชอบไหมความเจริญแบบนี้ เด็กของเราจะมีชีวิตที่ดีไหม โลกของเราจะเจริญร่มเย็นเป็นสุขไหม สังคมของเราจะเป็นที่น่าพึงพอใจ จะร่มเย็นรื่นรมย์หรือเปล่า มองไปดูหน้าคนก็เครียด เศร้าหมอง ขุ่นมัว คนหน้าหมองมองไปที่ท้องฟ้าก็มืดมัว ด้วยหมอกควัน มีมลภาวะมากมาย ธรรมชาติก็ไม่รื่นรมย์ ต้นไม้ต้นไร่ก็น้อยลงไป ป่าก็จะหมด อะไรต่างๆ เหล่านี้ ความเจริญแบบนี้ น้ำเสีย ดินเสีย อากาศไม่บริสุทธิ์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราชอบไหม ถ้าเราพิจารณาให้ดีแล้วเราบอกว่ามันไม่ดี ความเจริญแบบนี้เราควรจะเปลี่ยน เราน่าจะความเจริญก้าวหน้าเป็นแบบที่พึงปรารถนา ที่มันเจริญก้าวหน้าไปในสันติสุขที่น่ารื่นรมย์ ชีวิตคนก็ดี มีความสุข สยามก็ยังเป็นเมืองแห่งความยิ้มแย้ม คนก็หน้าตายิ้มแยมต่อกัน มีไมตรีจิตมิตรภาพ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่แย่งชิงอะไร ข่มเหงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เด็กๆของเราก็อยู่กับครอบครัว ก็อยู่ด้วยกันมีความสุข พ่อแม่ลูกก็ยิ้มแย้มเข้าหากัน มีความอบอุ่นใจ อะไรอย่างนี้ เราชอบไหมความเจริญแบบนี้ แล้วตลอดไปจนกระทั่งว่าธรรมชาติต่างๆ โดยทั่วไปก็รื่นรมย์ ไปไหนก็สุขสบายใจ เห็นป่าไม้เขียวขจีอะไรต่างๆ ถ้าเราชัดว่าเราต้องการความเจริญที่ก้าวหน้าไปในสันติสุข ความร่มเย็น ชีวิตคนก็ดี สังคมก็มีสันติสุข แล้วธรรมชาติก็น่ารื่นรมย์ โลกนี้น่าอยู่อาศัย เราก็ต้องคิดใหม่ แล้วก็ทำใหม่ แต่ทำใหม่ในแบบที่ว่านี้ ที่ประกอบด้วยธรรมนะ ทำใหม่ก็ต้องทำใหม่ในทางที่ถูกต้อง เป็นกุศล ประกอบด้วยธรรม คือประกอบด้วยปัญญาที่แท้ ที่ทำให้เกิดฉันทะที่เป็นสมานฉันท์ถูกต้อง ถ้าอย่างนี้แล้ว เราคิดชัดแล้ว เราก็จะได้มาเดินหน้ากันในทางที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เรื่องของงานในเรื่องชาติภูมิสถาน อาตมาภาพว่าก็เป็นส่วนปรากฏชัดออกมาอันหนึ่ง เป็นประจักษ์พยานของการที่รวมอย่างน้อยตั้งแต่ชาวศรีประจันต์เป็นต้นไป มีคุณธรรม มีความดีงาม มีความสามัคคี มีสมานฉันท์ นั่นแหละ แต่ว่าเราคงไม่หยุดเท่านี้ เราจะต้องนึกถึงสมานฉันท์ ถ้าอะไรที่จะมารวมเราให้มีใจร่วมในการมุ่งมั่นทำการเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมกันต่อไป เพราะว่าฉันทะแต่ละอย่างเนี่ย ถ้าเป็นฉันทะที่ต้องการมุ่งหมายอันใดอันหนึ่ง เมื่อจุดหมายนั้นมันจบแล้วเนี่ยนะ ตัวฉันทะนั้นมันจะสิ้นสุดได้ พอฉันทะนั้นสิ้นสุด ทีนี้ความสามัคคีมันก็ชักจะโหวงเหวง มันชักจะเลื่อนลอย มันไม่มีจุดจับ สามัคคีมันต้องอาศัยตัวฉันทะเป็นตัวจับ ฉะนั้นถ้าเรามีความสามัคคีเพื่อทำการอันหนึ่ง พองานนั้นจบแล้ว เราต้องรับหาฉันทะตัวต่อไป ถ้าหากว่าญาติโยมมีสามัคคี มีสมานฉันท์ คือฉันทะที่จะทำชาติภูมิสถานนี้ให้เสร็จ ตอนนี้โยมทำเสร็จแล้ว บรรลุถึงจุดหมายของฉันทะแล้วทำไงล่ะทีนี้ จุดหมายของฉันทะมันจบซะแล้ว ก็จะไม่มีตัวยึดแล้วสิ สามัคคี ทีนี้ถ้าสามัคคีนี้เป็นเพียงที่นี้ ที่น่าชื่นชม ก็จะเป็นสามัคคีแบบหยุดนิ่งแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องก้าวต่อ ก็จะต้องหาฉันทะที่จะเป็นตัวที่ทำให้ดำเนินการเพื่อจุดหมายต่อไป ตอนนี้เราทำเพื่อท้องถิ่น เราก็จะต้องให้ท้องถิ่นเป็นส่วนร่วมในสังคมประเทศชาติที่เป็นส่วนรวมกว้างออกไป ก็คือก้าวหน้าต่อไป เพราะฉะนั้นก็หวังว่าเราทั้งหลายจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ ชาติภูมิสถานนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการที่เรามีสมานฉันท์ก้าวมาขั้นหนึ่งแล้ว แล้วจะเป็นเหตุปัจจัยให้เรามีสมานฉันท์อันใหญ่ที่จะก้าวไปสู่การสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติของเราให้เจริญก้าวหน้า ไปสู่ความดีงาม ให้เป็นสังคมที่มีสันติสุข เจริญก้าวหน้าในทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ปัญหาปัจจุบันนี้เราต้องมองว่าโลกนี้ไม่ใช่ว่าเจริญงอกงามไปในทางที่ถูกต้อง เมื่อเราได้คิดวิเคราะห์อย่างที่ว่าเมื่อกี้แล้ว ถ้าเรามั่นใจ เราจะสร้างความเจริญที่ดีงามที่ว่าก้าวหน้าไปในสันติสุข เราก็จะแม้แต่ว่าจะต้องคิดที่จะเป็นผู้นำ หรือเป็นแบบอย่างในการสร้างสรรค์ความเจริญแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องชวนกันก้าวต่อไป อันนี้ก็คือจะต้องมีการคิด มีการใช้ปัญญากันอย่างจริงจัง ทีนี้อาตมาภาพก็ขอมอบแนวความคิดอันนี้ไว้ก็คือเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เป็นเครื่องประกอบการที่อนุโมทนาชาวศรีประจันต์และชาวสุพรรณบุรีทั้งหลาย รวมทั้งญาติโยมทั่วประเทศไทยในหน่วยงานต่างๆ ทั้งหลายที่ท่านมีน้ำใจเป็นกุศล มาร่วมกันสร้างงานนี้ให้เกิดขึ้น ท่านมีน้ำใจต่ออาตมาภาพ เหมือนกับว่ามาสร้างอันนี้ให้ โดยจิตใจนี้มารวมว่า สร้างเป็นชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต เลยมาที่ชื่อของอาตมาภาพแหละ ทีนี้หน้าที่ของท่านผู้จัดทำทั้งหลาย มีชาวศรีประจันต์เป็นต้น ก็เหมือนรู้จุดหมาย เป็นความมีน้ำใจที่เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ดีแล้ว หน้าที่ของท่านเหมือนจบไปตอนหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็เลยตกมาถึงอาตมาภาพ คือเหมือนกับว่าทำเสร็จแล้วนะ ยกให้ท่านแล้ว ทีนี้พอยกมาให้อาตมาภาพแล้ว ทำไง อาตมาภาพก็ต้องตอบแทนน้ำใจท่าน อาตมาภาพก็ตอบแทนนะ บอกว่าโมทนาเต็มที่เลยโยม คนที่ทำมาให้อาตมาภาพนี่ ทีนี้อาตมาภาพก็ขอโอกาส ก็มอบกลับให้โยม ตอนนี้ก็ขอมอบชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต นี้ ให้แก่ญาติโยมชาวศรีประจันต์ ตลอดจนถึงชาวสุพรรณบุรีเป็นต้นไปเลย เพราะฉะนั้นชื่อของชาติภูมิสถานนี้ก็จะมีชื่อยาวออกไปอีก แม้จะไม่ออกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ให้รู้กันนะ ให้รู้กันว่าชาติภูมิสถานนี้มีชื่อยาวกว่าปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร ชื่อยาวนั้นว่ายังไง ก็บอกว่าชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต ของชาวศรีประจันต์ เอานะ ทีนี้โยมรับไว้ด้วย ก็เป็นของโยมแล้ว แต่ว่าไม่ใช่สั้นแค่นั้นนะ ก็เป็นอันว่านี่ท่อนที่หนึ่ง ชื่อนี้ยาวกว่านั้น แต่ยาวบอกทีเดียวแล้วโยมจำไม่ไหว ทีนี้ยาวต่อไปยังไง ชื่อนี้ก็ขอบอกต่อ บอกว่าชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต ของชาวศรีประจันต์และปวงชาวสุพรรณบุรี ที่จะร่วมกำลังกับสังคมไทย ในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวออกไปอย่างสง่างาม ในท่ามกลางประชาคมโลก เอาล่ะ อย่างนี้ ไปทวนกันอีกทีก็ได้ ก็เอาอย่างนี้แหละ นี่แหละมันจะมีความหมาย ถ้าโยมทำอันนี้ได้ มันจะมีสมานฉันท์ต่อ คือภารกิจรอหน้าเราเยอะเลย เราจะต้องสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม ปัญหารอเราเยอะเลย ในด้านหนึ่งเรามีความสุขสดชื่น ว่าเราได้ทำความดี ได้ประสบความสำเร็จ แต่อีกด้านหนึ่งเรามองว่าสังคมของเรานี่ปัญหายังเยอะแยะหมดเลย เราจะต้องช่วยกันแก้ไข แต่ว่าปัญหาเหล่านั้นคงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ถ้าเรามีน้ำใจที่มีสมานฉันท์ อันเกิดจากปัญญาที่ชัดเจนอย่างที่ว่า แล้วก็มีความสามัคคีในการทำการต่างๆ ต่อไป
วันนี้อาตมาภาพก็ได้กล่าวมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็นึกว่าจะเป็นการอนุโมทนา แต่อีกส่วนหนึ่งถือว่ายังไม่เต็มน้ำใจโยม เพราะว่าบุญกุศลที่ญาติโยมทำกันนี้ ทำมามากแล้ว แต่ว่าต้องทำกันต่อไป คือบุญกุศลมันเป็นเรื่องไม่จบ ต้องก้าวหน้าไป เขาเรียกว่าก้าวไปในบุญ คนเรานี้ก็ต้องพัฒนาชีวิตให้เจริญงอกงามไปเรื่อย ทำให้บุญกุศลเจริญขึ้นไป อย่างภาษาพระท่านบอกว่า บุญตอนแรกมันก็เป็นกามาวจรกุศล ต่อไปเจริญเป็น รูปาวจรกุศล เป็น อรูปาวจรกุศล เป็น โลกุตตรกุศล ก็มีเป็นขั้นๆ ต่อไป เราต้องก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่ามาทำอะไรแบบหยุดนิ่ง ทีนี้สมานฉันท์ของเรานี่ก็เป็นกุศลอย่างหนึ่งแล้ว ที่เป็นแกนสำคัญเลย พระพุทธเจ้าตรัสไว้บอกว่า ฉันทะเป็นเหมือนรุ่งอรุณของชีวิตที่ดีงาม เขาเรียกว่าเป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของมรรค ถ้ามีฉันทะแล้ว มรรค วิถีชีวิตแบบชาวพุทธจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การศึกษาที่แท้จะเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่มีฉันทะ เราก็อยู่เนี่ย ไม่รู้จะคิดอะไร ได้แค่ถูกตา ถูกหู ถูกลิ้น ถูกอะไรต่างๆ แล้วก็ติดใจเพลิดเพลินหลงใหลไป ท่านเรียกว่าอยู่แค่ตัณหา อันนี้ถ้าหากว่าเกิดปัญญา พิจารณาเห็นว่าอะไรดี เป็นประโยชน์แท้จริงแล้ว ฉันทะเกิดขึ้น อันนี้เป็นกุศลนั่นแหละเราจะก้าวหน้าอย่างแท้จริง ก็ขออนุโมทนาญาติโยมชาวศรีประจันต์ แล้วก็ญาติโยมท้องถิ่นใกล้เคียงทุกแห่ง จนกระทั่งเพื่อนร่วมชาติ แล้วก็มาถึงพระเถรานุเถระ มีหลวงพ่อวัดเสือเป็นต้น ที่ได้เป็นกำลังสำคัญตั้งแต่ริเริ่มในการที่จะดำเนินการให้เกิดชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต และมูลนิธิชาติภูมิ ป.อ.ปยุตฺโต นี้ขึ้น ก็ขอตั้งจิตตั้งใจในกัลยาณฉันทะ อราราธนาคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พร ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญด้วยคุณธรรม มีศรัทธาและเมตตาไมตรี เป็นต้น จงเป็นปัจจัยอันมีกำลังอภิบาลอวยชัยให้ชาวศรีประจันต์ พร้อมทั้งชาวสุพรรณบุรีทั้งปวง ตลอดถึงญาติโยมปวงชนชาวไทย ตลอดกว้างขวางขยายไปทั่วโลก จงได้เจริญงอกงามในกุศล ในความดีงาม ในการทำกิจหน้าที่เพื่อความเจริญก้าวหน้า ที่ประกอบด้วยธรรม ให้ประสบความสำเร็จสมความมุ่งหมาย มีกำลังที่จะแผ่ขยายประโยชน์สุขออกไป ให้ประโยชน์สุขนั้นเกิดขึ้นแก่ชีวิตของตน แก่ครอบครัว แก่ชุมชน ท้องถิ่น แก่สังคมประเทศชาติ แล้วช่วยกันทำให้โลกนี้ ก้าวไปในสันติสุข ตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ