แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ไฟล์ถอดเสียงนี้ยังไม่ได้ผ่านพิสูจน์อักษร นำขึ้นมาเพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ
พระถาม แล้วมีอะไรอีกไหมครับ ใครจะถามอะไรในที่นี้
คนฟังถาม พระเดชพระคุณหลวงพ่อครับ พอดีมีเรื่องที่ค้างที่เมื่อวานท่านจะพูดถึงเรื่อง จตุคามรามเทพครับ
พระตอบ อ้อ นิมนต์ อ้อจะให้ผมพูดเหรอครับ อ้อนึกว่ามีคำถาม แล้วท่านไม่มีคำถามบ้างเหรอ
คนฟังถาม คือกระผมมี 2 ประเด็นที่ผมสงสัยครับ คือประเด็นแรกนี่คือว่า คนนับถือไปแต่ว่าในทางงมงายครับ เป็นว่าไปขอแล้วก็มีดลบันดาลมีอะไรอย่างงี้ครับ เออจะมีจริงไหมที่ว่าท่านดลบันดาลมานี้ ส่วนประเด็นที่ 2 นี่คือว่าผมไปตามวัดสมัยนี้นะครับ ก็จะมีแทบทุกวัดเลยที่ว่าออกเป็นจตุคามรุ่นนู้นรุ่นนี้ไปเหมือนเป็นว่าวัดไหนจะสร้างโบสถ์อะไรอย่างนี้ก็จะเหมือนเป็นวิธีทางหาเงินเข้าวัดที่ว่าได้เร็วและได้เยอะอะไรอย่างนี้นะครับ พระเดชพระคุณครับ
พระตอบ เนี่ยกลายเป็นว่าพระเรานี่ถือโอกาสจากเรื่องของสิ่งจะช่วยให้หาเงินได้คล่อง ก็ไปเอากับเขาด้วยอะไรเนี่ยก็คือกลายไปมองเพื่อประโยชน์ของตัวโดยไม่ได้มองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน คือจริงพระต้องมองขึ้นอันที่หนึ่งคือว่า เอ้อเรื่องนี้มันจะเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวเขาไหม แก่ประชาชนไหม แก่สังคมไหม ไม่ใช่มองว่าเราจะได้อะไร มองว่าเราจะทำอะไรให้เขาได้ มันต้องมองอย่างงั้น ก็เป็นลักษณะของพระถ้าจะมองในแง่ของผู้ยังไม่สำเร็จก็เป็นการฝึกตัว ถ้าเรามองในแง่ที่เราจะทำให้เป็นประโยชน์แก่เขาได้อย่างไร มันก็เป็นการฝึกตัวเราไป เราก็ปฏิบัติธรรม ถ้ามองไปในแง่จะได้อะไรมันก็โลภะสิใช่ไหม กลายเป็นว่าไม่มีการฝึกตัวแล้ว จะเอา มันจะไปฝึกตัวอะไรละ มันก็เป็นไปตามนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าพูดกันอย่างน้อยมันก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วมันก็มาเป็นตัวกระตุ้นหรือทำให้ถือว่าเป็นโอกาสที่เราจะสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะพระควรจะถือเป็นโอกาสที่ว่าเอ้อมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วต้องรีบให้ความรู้แก่ประชาชนหลักพระศาสนาเป็นอย่างไรเพราะยามปกติเขาไม่สนใจ พอมีเหตุการณ์อย่างนี้ก็รีบสอนกันเลยให้รู้หลักพุทธศาสนาเป็นยังไง นี้หลักอย่างนี้ใช้ไปได้ทั่วมันไม่ใช่เพราะเหตุการณ์เรื่องจตุคามรามเทพ พูดโดยตัวประเด็นหรือสาระ ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดานั่นเอง ตามหลักของพุทธศาสนานี่เป็นอย่างไร เราควรจะมีท่าทีก็คือวิธีปฏิบัติต่อเทพเจ้ายังไง นี้อันนี้ชาวพุทธไม่ชัด เมื่อไม่ชัดก็ปฏิบัติไม่ถูก คือปัญหาพวกนี้ มักจะมีสองแง่ แง่หนึ่งก็คือ จริงไหม เทวดามีจริง ไม่มีจริง โดยมากคนก็จะไปพูดในแง่นี้ แล้วแง่ที่ 2 ก็คือว่าเราควรจะปฏิบัติตัวต่อเทวดาอย่างไรหรือควรมีความสัมพันธ์กับท่านอย่างไร ไอ้แง่ที่ 2 เนี่ยมักจะไม่ได้ถามหรือไม่ได้มองว่าเราควรจะปฏิบัติอย่างไร คือทึกทักเอาเลย เออถ้าท่านมีจริงก็คือเราต้องอ้อนวอนท่าน ก็เหมือนกับว่าอันที่ 2 นี่มาเองทันทีเลย ไปนึกถึงแต่อันที่หนึ่งว่า จริงไม่จริง ทีนี้ทางพุทธศาสนาตรงข้ามกับถืออันที่สองสำคัญ คุณจะต้องรู้วิธีปฏิบัติต่อเทวดาเป็นเบื้องต้นเลยทีเดียว ท่านจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ต้องปฏิบัติให้ได้ เพราะว่าไอ้ปัญหาแบบนี้มันเป็นการเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองไม่เห็นเถียงกันไม่รู้จักจบนี่ ของประเภทนี้ว่า เทวดามีจริงไม่มีจริงนี่ เถียงกันไปตลอดชีวิตหรือเถียงไปจนสิ้นโลกก็ไม่จบ แล้วเมื่อเถียงกันจนสิ้นโลกไม่จบแล้วมันจะไปรอยังไงล่ะรอว่ามีจริงหรือไม่มีจริงแล้วจึงปฏิบัติได้ก็ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นพุทธศาสนากับถือเรื่องว่าปฏิบัติต่อท่านได้ถูกต้องนี่สำคัญที่สุด ท่านจะมีไม่มีนี่เรารู้หลักปฏิบัติเสร็จแล้วมีไม่มีเราไม่ต้องห่วงแล้ว ต้องถึงขนาดนั้น คือเราต้องรู้วิธีปฏิบัติต่อเทวดาพร้อมอยู่แล้วอย่างสบายใจมั่นใจชนิดที่ว่าไม่ต้องรอรู้ว่าเทวดามีจริงไม่มีไม่ต้องห่วงด้วยซ้ำเลยกลายเป็นว่าในที่สุดก็ไม่แคแล้ว เทวดาจะมีไม่มีก็เรื่องของท่าน แต่เราปฏิบัติได้ก็แล้วกัน ฉันรู้ตัวฉันแน่ใจว่าฉันปฏิบัติไม่ผิดด้วย ทีนี้มันเป็นยังไง เอาที่นี้หันกลับมาปัญหาแรกก่อนอย่าเพิ่งเข้าถึงหลักนี้ คือเอาเรื่องสภาพที่เป็นอยู่เวลานี้กระแสนี่อยากจะถามท่านก่อนว่า เวลานี้กระแสยังแรงไหม เพราะผมเนี่ยมันอยู่ข้างในไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างแรงมากไหมครับ
คนฟังตอบ พอเริ่มซา ๆ ลงบ้างแล้วครับ พระตอบ ซาบ้างนะ อ้อ
คนฟังบอก มีแทบทุกวันเลยตอนนี้ในกรุงเทพฯเยอะ พระตอบ ตามถนนหนทาง ประชาชนชาวบ้าน
คนฟังบอก ก็เห็นห้อยกันเยอะ แต่ว่าตามป้ายโฆษณา ป้ายใหญ่ ๆ ตามริมถนนนี่จะเห็นโฆษณาเยอะมากเลยครับ
พระตอบ เอาง่าย ๆ หนังสือพิมพ์นี่ยังโฆษณาหนักไหม แสดงว่าก็ยังหนักอยู่ถึงแม้จะซานะ ก็ยังหนักถ้าหนังสือพิมพ์ยังโฆษณาได้มากก็แสดงว่ายังหนักอยู่ เพราะว่าหนังสือพิมพ์เหมือนเป็นตัวแสดงออกเป็นหลักฐานที่ฟ้องสภาพ เพราะว่าหนังสือพิมพ์ก็ต้องได้ค่าโฆษณาถูกไหม แล้วใครจะยอมโฆษณาถ้าไม่ได้รายได้มากใช่ไหม รายได้มากจึงเอามาโฆษณาได้ รายได้ก็มากเพราะว่าคนนิยมมาก ก็เห็นว่าเวลาห้อยจตุคามรามเทพนี่ต้องเอามาอวดกันด้วยนะ เอาออกมานอกเสื้อเลยไม่ใช่แขวนในเสื้ออย่างพระเครื่องโดยมาก เอ้อแสดงว่าไปหนักเลย กลายเป็นเรื่องโก้เรื่องเก๋ไปด้วย แล้วก็โยมโทรจากที่ทางภาคอีสานคุยกันก็ถามเรื่องทางโน้น เห็นทางโน้นบอกไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ในทางภาคอีสานไม่ค่อยได้ตื่นเรื่องนี้ จะจริงแค่ไหนหรือจะเป็นบางจังหวัดที่ท่านยังไม่ยืนยัน เอาละจะยังไงก็ตามเป็นว่ากระแสนี้ก็แรง มันก็ยังยืดเยื้ออยู่นะ ที่จริงเราก็มองไปในแง่ที่คงชั่วคราวระยะหนึ่ง แต่มันจะมีผลกระทบต่อสังคมไทยทำให้ยิ่งเป็นคนหลักลอยไปกันใหญ่ยิ่งมันมีกระแสแบบนี้มาแล้วก็ซาไป เดี๋ยวมาแล้วก็ซาไปนี่ คนไทยจะยิ่งเป็นคนที่เลื่อนลอยมากขึ้น คือไม่มีหลักอะไรเลย นี้เราก็มาดูว่าคนนี่เป็นยังไงถึงได้เกิดสภาพอย่างนี้ขึ้นในสังคม ก็ดูที่ตัวคนปัจจัยภายในก็คือคนเนี้ย อย่างชาวพุทธนี่แหละ เพราะคนส่วนมากก็เป็นชาวพุทธไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจ 1 ด้านปัญญาไม่ค่อยรู้หลักการ ก็อย่างเช่นหลักที่จะพูดต่อไปเนี่ย หลักการเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดาซึ่งเป็นหลักศาสนาก็แสดงว่าเขาไม่รู้ไม่เข้าใจเลย นี่ขาดความรู้ความเข้าใจ ทายปัญญาก็ไม่รู้ ไม่รู้หลักพุทธศาสนาว่าเราจะวางใจอย่างไร แม้กระทั่งว่าหลักยึดเหนี่ยวจิตใจที่จะทำให้ศรัทธามายึดอยู่โดยไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยจตุคามก็ไม่มี แล้วก็ต่อไปก็คือจิตใจไม่เข้มแข็งความรู้ความเข้าใจก็ไม่มีอยู่แล้วอ่อนปัญญา แล้วเสร็จแล้วก็อ่อนแอทางจิตใจอีก อ่อนปัญญาด้วยอ่อนกำลังใจด้วย จิตใจไม่เข้มแข็งหวั่นไหวง่ายต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก ไม่มีความเข้มแข็งในใจนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง ก็กลายเป็นคนที่ว่าเมื่อไม่มีความเข้มแข็งนอกจากพึ่งพาอาศัยก็รออำนาจภายนอกมาช่วย 2 ก็คือปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายนอกตอนนี้มันมีไอ้ปัจจัยตัวสำคัญก็คือเรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องเชิงธุรกิจหรือหาผลประโยชน์ ไอ้ปัจจัยภานอกก็เป็นตัวกระตุ้นแรงเพราะเป็นแรงจูงใจให้พวกหาผลประโยชน์นี่ยิ่งมาปั่นกระแสใช่ไหม ทำไงจะปั่นกระแสให้นิยมกันมากเพราะเมื่อยิ่งปั่นกระแสให้นิยมมากก็ยิ่งรายได้มาก ฉะนั้นไอ้ตัวปัจจัยภายนอกก็ยิ่งแรงใหญ่เลย มายุมายั่วมากระตุ้นมาเล้าเดี๋ยวก็บอก อู้รุ่นนี้ดีจะทำให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ จะรวยอย่างนั้นอย่างนี้ เอ้อก็ปลุกปั่นเข้าไปกระตุ้นโลภะเข้าไป กลายเป็นว่ากระแสกิเลสก็ยิ่งแรงขึ้น กระตุ้นหนักเข้าไปอีก นี่ 2 แล้วปัจจัยภายนอกก็เป็นตัวที่มาอาศัยเอาประโยชน์จากปัจจัยภายในของคนที่ขาดความรู้ความเข้าใจแล้วก็ไม่มั่นคงอยู่แล้ว แล้วก็ 3 สภาพสังคมกว้างออกไป สภาพสังคมทั้งหมดก็เป็นสภาพสังคมที่ขาดความมั่นคง คนใจบางทีก็ว้าเหว่รู้สึกสังคมมันเคว้งคว้างมันไม่ชัดเจนไม่มีจุดหมาย รวมแล้วขาดความมั่นคงในทางสังคมด้วย ก็เลยกลายเป็นขาดความมั่นคงในจิตใจตัวเองเป็นปัจจัยต่อกัน สภาพสังคมปัจจุบันนี่ก็เป็นตัวอันสำคัญหนึ่ง แล้วก็กระแสไอ้ตัวเนี้ยกระแสบริโภคนิยมการที่มุ่งเรื่องเสพบริโภคหาความสุขส่วนตัวอะไรต่ออะไร นี้มันก็ทำให้ยิ่งหวังลาภอยากจะหาเงินหาทองมาบริโภคเสพได้มาง่าย ๆ ก็ยิ่งดีของประเภทนี้มันก็เป็นของที่ว่านำโชคมาให้ได้มาง่าย ๆ ลาภลอยคอยโชคไม่ต้องไปลงแรงลงเริงอะไรเนี่ยก็เลยมันก็หนุนกันไปหมด ตกลงที่เราพูดนี่ก็ได้ปัจจัย 3 แล้วนะ ปัจจัยในตัวคน แล้วปัจจัยฝ่ายผู้ที่มาฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากคน แล้วก็ 3 ก็คือสภาพสังคม นี้เราจะแก้ไขปัญหาก็คือในตัวคนเนี่ยจะต้องมีหลักก็คือมีปัญญาความรู้เข้าใจแล้วก็มีความเข้มแข็งมั่นคงในทางจิตใจ เราไม่สามารถสร้างอันนี้ขึ้นมาได้เนี่ยมันจะมีปัญหาไม่เฉพาะตัวคน มันจะกลายเป็นปัญหาสังคมไปด้วย สังคมนี้ก็พลอยแย่ไปตามคนเพราะอะไรเพราะมันเป็นปัญหาคุณภาพคน เพราะว่าคนอย่างนี้ก็คือคนเสื่อมคุณภาพหรือคนไม่ค่อยมีคุณภาพ ปัญญาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ปัญญาก็อ่อนจิตใจก็อ่อนแอ ก็คนปัญญาอ่อนกำลังใจอ่อนมันก็ไม่มีคุณภาพสิ แล้วสังคมมันก็อ่อนด้วยเราต้องการสังคมที่เข้มแข็งไม่ได้ เมื่อสังคมไม่เข้มแข็งแล้วประเทศชาติมันจะเจริญได้ไงใช่ไหม มันก็หมดกัน คำนึงถึงสัมคมทั้งหมด เราก็มาดูที่ตัวคนก็เข้ามาสู่หลักพระศาสนาที่พูดเมื่อกี้ ทีนี้ทางพุทธศาสนาว่ายังไง
ในสมัยพุทธกาลนี้ท่านประสพมาแล้ว พระพุทธเจ้าตั้งหรือประกาศพระศาสนาก็ด้วยเหตุผลอันนี้ด้วย ก็ธรรมดาสมัยนั้นในอินเดียก็รู้กันอยู่แล้วพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในดินแดนของเทวดา อินเดียเป็นแดนเทวดาสมัยพราหมณ์นั้นก็คือสมัยของเทพเจ้า เราก็รู้กันแล้วนี่ พราหมณ์บูชายัญ บูชายัญก็อะไรละ ก็บูชาเอาใจเทพเจ้า บูชายัญคืออะไรก็เอาสัตว์เป็นต้น มาบวงสรวงเซ่นไหว้เทพเจ้า เพื่อให้เทพเจ้าพอใจจะได้ช่วยบำบัดทุกข์ภัยเคราะห์ให้หมดไป แล้วก็จะได้เอาใจท่านให้โปรดปรานแล้วท่านจะได้ช่วยบันดาลให้เกิดโชคลาภอำนาจวาสนาใช่ไหม นี่ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าในสมัยโบราณก่อนพระพุทธเจ้าประสูติก็คืออย่างนี้ ก็คือความสัมพันธ์แบบบวงสรวงอ้อนวอนเอาอกเอาใจแล้วก็มีความนับถือเทพเจ้า เทพเจ้าก็มากมายตั้งแต่เทพเจ้าพระพรหมที่เป็นผู้สร้างโลก แล้วก็เชื่อกันไปด้วยว่าพระพรหมนี่ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมานะ สร้างเสร็จแล้วก็สร้างสังคมมนุษย์ด้วยจัดมาเสร็จเลยมนุษย์เกิดมาแบ่งเป็น 4 วรรณะ เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นแพศย์ศูทร เกิดมายังไงต้องอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตแก้ไม่ได้ แค่ไปแต่งงานข้ามวรรณะกันเท่านั้น ก็เสียคนอีกเป็นจัณฑาลเป็นอะไรไปอีก มีกฎเกณฑ์สารพัดรวมแล้วก็คือขึ้นต่อเทพเจ้าเป็นผู้กำหนดขึ้นมา ก็เป็นอันว่าทุกอย่างนี่อยู่ที่เทพเจ้า 1 เทพเจ้าเป็นผู้สร้างบรรดาล 2 เทพเจ้ารู้กำหนดสังคมวิถีชีวิตของคน 3 เป็นผู้ที่จะบันดาลคนที่ปรารถนาต่าง ๆ ต้องไปบูชายัญ ก็เลยมี 1 เทพสูงสุด 2 ก็มีการแบ่งวรรณะสี่ 3 ก็มีคัมภีร์พระเวทมาเป็นเครื่องกำหนดว่าเป็นคัมภีร์ที่พระพรหมท่านบอกไว้ว่าจะให้ทำยังไง ยังไง พระเวทก็กำหนดมาไงต้องเชื่อตามนั้นใช่ไหม เหมือนองค์การของพระพรหมอยู่ในนั้น คำสั่งของเทพอยู่ในนั้น แล้วก็ 4 ก็สัมพันธ์กับเทพเจ้าด้วยการบูชายัญก็คือว่าต้องไปบวงสรวงเอาใจท่าน นี่แหละครับถ้าจับหลักนี้ได้จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าล้มเลิกหมดทั้ง 4 นี้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็ล้มเลิกหมด 4 อย่างนี้เลย นี่คือการมองพุทธศาสนาแบบหนึ่ง มองแบบภูมิหลังแล้วจะเข้าใจพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้า 1 เลิกเชื่อถือว่ามีเทพเจ้าสูงสุดเป็นผู้สร้างผู้บันดาล แล้วก็เปลี่ยนหลักการใหญ่จากเทพสูงสุดเป็นธรรมสูงสุด เดิมนั้นเขาถือเทพสูงสุดเป็นผู้บันดาลเมื่อเทพสูงสุดมนุษย์สัมพันธ์กับสิ่งสูงสุดนั้นก็ทำไงล่ะไม่รู้ใจท่านนี่ ก็ต้องเอาอกเอาใจท่านใช่ไหม นี่แหละที่เกิดการบูชายัญ นี้พระพุทธเจ้าเปลี่ยนมาเป็นธรรมสูงสุด ธรรมสูงสุดก็คือธรรมดาความจริงตามธรรมชาติ อันนี้มันไม่ต้องเอาใจแล้วใช่ไหม ธรรมสูงสุดนี่ความจริงมันอยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้นใครจะไปเอาใจมันได้ใช่ไหม มีแต่ต้องรู้มัน เอ้อตอนนี้ไม่ใช่ไปเอาใจแล้วถ้าเป็นเรื่องธรรมะนี้ต้องรู้มันแล้ว ต้องรู้เข้าใจเช่นความเป็นไปตามเหตุปัจจัย กฏเกณฑ์ผลเป็นยังไงรู้เข้าใจแล้วก็จึงจะปฏิบัติได้ถูก แล้วจะไปอ้อนวอนเอาใจได้ไหมไม่ได้ ต้องทำเอา เอ้อรู้แล้วเหตุเป็นยังไง ผลเป็นยังไง เกิดยังไง แล้วเราก็มาทำเอา แล้วก็ต้องมีความเพียรพยาม เปลี่ยนหมดเลย นั้นจากการเปลี่ยนเทพสูงสุดมาเป็นธรรมสูงสุดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนหมด แต่ว่า 1 เทพสูงสุดเป็นธรรมสูงสุด 2 วรรณะสี่ล้มเลย เพราะว่ามันไม่มีตัวผู้มาบัญชาแล้ว พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเกิดมาเท่ากันเป็นมนุษย์เหมือนกัน กรรมคือการกระทำเป็นตัวตัดสิน ทำดีทำชั่วแล้วการพัฒนาตัวขึ้นไปที่นี้การกระทำก็ต้องอาศัยความรู้ก็ต้องศึกษานี่ไงจึงต้องมาหลักการศึกษาจึงต้องมาเพราะอันนี้ เพราะว่าธรรมมันเป็นใหญ่เป็นสูงสุดนี่เราเอาใจเขาไม่ได้เราต้องรู้เขา พอรู้เข้าใจธรรมะคือ รู้เข้าใจความจริงแล้วเราก็ปฏิบัติได้ถูกต้อง เราก็ต้องพัฒนาปัญญาของเร าเราก็ต้องศึกษาก็ทำให้เกิดหลักการพัฒนาชีวิตของเราเกิดไตรสิกขาขึ้นมา ก็เปลี่ยนหมด วรรณะสี่ก็หมดไป แล้าเรื่องของบูชายัญก็หมดไป ก็กลายเป็นการกระทำด้วยความเพียรของตนเอง ทำกรรมดีเพื่อพัฒนาชีวิตขึ้นไป แล้วก็พระเวทก็หมดไปก็ไม่มีพระพรหมณ์เป็นผู้ที่มาออกองค์การแล้ว ก็เอาเป็นว่ามนุษย์ก็ศึกษาให้เกิดปัญญา คนไหนรู้ก็มาเป็นกัลยาณมิตรช่วยบอกช่วยสอนแนะนำกัน พระพุทธเจ้าค้นพบความจริงความรู้แล้วก็มาสั่งสอนแนะนำแล้วก็รวบรวมความรู้กันขึ้นมา เมื่อเกิดความรู้ ความรู้ที่แท้ก็ต้องเกิดขึ้นในปัญญาตัวเองเกิดมีความรู้ตัวเองนั่นแหละพระเวทที่แท้ พระเวทของพระพุทธศาสนาก็เปลี่ยนมาเป็นวิชา 3 นี่แหละชื่อเดียวกันในภาษาบาลีที่เราเรียกว่าพระเวท เราไปเรียกแบบพราหมณ์ เราก็เลยบางทีสับสน ถ้าไปดูในคัมภีร์ภาษาบาลีแล้ว พระพุทธเจ้าเปลี่ยนพระเวท 3 มาเป็นวิชา 3 เวลาพระพุทธเจ้าตรัสเรียกพระเวท 3 ก็เรียกวิชา 3 เหมือนกัน เรียกเตวิชะพราหมณ์ผู้ทรงไตรเทพ เรียกเตวิชะ แล้วพระภิกษุที่ทรงวิชา 3 ก็เรียกเตวิชะเหมือนกัน ใช้ศัพท์เดียวกันแต่คนละความหมาย เตวิชะของพราหมณ์ความหมายถึงผู้รู้พระเวท 3 ซึ่งมาจากพระพรหม แต่ว่าของพุทธศาสนาผู้ที่พัฒนาตนเองจนถึงที่สุดแล้วเป็นเตวิชะ มีวิชา 3 หมายความว่าเกิดความหยั่งรู้ของตนเองขึ้นมา แล้วไตรเทพมันอยู่ในตัวไม่ต้องไปอาศัยข้างนอก นี่เปลี่ยนหมดก็เห็นละนะ เอาล่ะครับ
ทีนี้ก็มาถึงที่ว่า ความสัมพันธ์กับเทพเจ้า ที่นี้ เอ้าเขามีเทพเจ้าอยู่ก่อนแล้วนี่ ตั้งแต่พระพรหมมาเลย พระพุทธศาสนามีอันหนึ่งก็คือไม่ใช้ความรุนแรง ต้องใช้ไม่รุนแรง แต่ว่าไม่หักล้างไม่ได้ล้มเลย แต่ว่าไม่ใช้ความรุนแรง ไม่มีความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วไม่มีแม้แต่การบังคับศรัทธา คุณจะเชื่อไม่เชื่อก็พูดกันแต่ขอให้พูดกันให้เต็มไอ้นี่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้านี่เวลาไปเจอกับพราหมณ์ก็เถียงกันเต็มที่แหละ ถ้าว่าสมัยนี้ก็คือใช้ภาษาแรงถึงที่สุดเลยนี่ พราหมณ์เขาบอกว่าเกิดมานี่นาเขาบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายบิดาทั้งฝ่ายมารดามากี่ชั่วคนก็เป็นพราหมณ์มาตลอด ฝ่ายมารดากี่ชั่วคนก็เป็นพราหมณ์มาตลอด ทั้งนี้ก็สืบมาจากพระผู้เป็นเจ้าพระพรหมณท่านสร้างมา เขาเกิดมาจากพระโอษฐ์พระพรหมอะไรนี่ เขาก็บอก พระพุทธเจ้าตรัส ก็เขาเห็นกันอยู่นี่ พราหมณ์ที่เกิดมานี่ ไอ้ตอนนางพราหมณีมีครรภ์ท้องโตก็เห็นอยู่ ก่อนคลอดก็เห็นอยู่ คลอดมาจากไหน คลอดมาจากช่องคลอดของนางพราหมณี ก็รู้กันอยู่แล้วจะมาบอกว่าพระพรหมณ์ เป็นผู้สร้างมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ นี่พระองค์ตรัสอย่างนี้นะ นี่ในพระไตรปิฏกไปอ่านดูซิ คือเถียงกัน ก็เถียงกันให้จริง ๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ดีไม่ดีก็ฆ่าพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหม เอ้อก็เถียงกันได้นะ สมัยนั้นเขาดีอย่างเปิดใจก็เรียกว่าสู้กันทางปัญญา พราหมณ์ก็ต้องสู้ ก็มีพราหมณ์ที่ใจกว้าง พราหมณ์ที่เมื่อเถียงกันในที่สุดยอมรับ ก็มานับถือพระพุทธเจ้า เลิกนับถือวรรณะไม่เอาแล้วมาบวชเลย นี่พระองค์มีเหตุผลเยอะแล้วการถกเถียง เรื่องอย่างนี้พราหมณ์นี้มาก ก็คือเถียงในจุดสำคัญเรื่องนี้ 1 เรื่องพรหม เรื่องพระเวท เรื่องบูชายัญ แล้วก็เรื่องวรรณะนี่ มีในพระศูทรเยอะเลย ถ้าเรารู้จักสังเกตจากจับจุดแล้วจะเห็น พระศูทรนี้พระพุทธเจ้าได้ยินข่าวว่าพราหมณ์ใหญ่นี่ จะทำพิธีบูชายัญพระองค์เสด็จตรงไปเลย เขาผูกแล้ว เขาเอาหลักของเขาจะมีอย่างพิธีใหญ่ก็ วัว 700 แพะ 700 แกะ 700 อะไรอย่างนี้ มัดเตรียมไว้แล้ว ทำพิธีจะต้องฆ่าหมด ตัดคอหมด เอาละทีนี้พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วพราหมณ์จะก่อพิธีใหญ่ พราหมณ์นี้เป็นเจ้าเมืองเชียวนะ พราหมณ์นี่ก็เหมือนบาทหลวงขออภัยเถอะในยุโรปสมัยกลาง แม้จะพ้นสมัยกลางแล้วก็ยังเป็นเจ้าเมืองปัจจุบันอยู่ นี้พราหมณ์จะใหญ่เป็นเจ้าเมือง ท่านก็ประกอบพิธีบูชายัญ พระพุทธเจ้าก็ตรงไปเลยเสด็จไปเขากำลังเตรียมพิธีกันเต็มที่โกลาหลอลหม่าน พระองค์ก็เสด็จเข้าไปพบกับพราหมณ์ใหญ่หัวหน้า แล้วก็มีการปฏิสันถารกันก็ค่อย ๆ สนทนา สนทนากันเรื่องบูชายัญ พระองค์ก็ตรัสเรียกกันง่าย ๆ ว่าคุยกับเขาแหละจนกระทั่งเขายอมรับพระองค์มีความรู้เรื่องบูชายัญ เอ้พระพุทธเจ้านี่รู้เรื่องบูชายัญมากกว่าเขาอีก เรื่องของศาสนาพราหมณ์ของเขาก็ยังรู้เรื่องบูชายัญสู้ไม่ได้ เขาก็เลยยิ่งยินดีรับฟัง พอเขาก็ยอมรับความรู้ เขาก็รับฟังใช่ไหม พระพุทธเจ้าก็จะมีดีบอกให้รู้ว่า เอ้อการบูชายัญนี่เขาอยากทำเพื่อให้ได้ผลมากที่สุดใช่ไหมเขาก็ยิ่งอยากรู้สิ ว่ามันจะมีวิธีอะไรอื่นอีกที่ดียิ่งกว่าที่เขาทำอยู่ ว่าจะให้ผลอย่างงั้นอย่างงี้ พอเขายอมรับแล้วที่นี้พระองค์ก็ตรัสว่าในสมัยอดีต สมัยยุคนั้น ยุคนั้นเคยมีพิธีบูชายัญแบบนี้ แบบนี้ แล้วมีพิธีอันหนึ่งที่ดีกว่าที่คุณทำ ทำแล้วไม่เบียดเบียนใคร ไม่ต้องจับสัตว์มามัด ข้าทาสกรรมกรก็ไม่เดือดร้อน เขาก็อยากฟังพระองค์ก็ค่อย ๆ เล่าให้ฟัง พอเล่าจบอะไรเขาเห็นว่า เอ้อดีจริง ๆ ให้แก้มัดสัตว์หมดเลยอย่างละ700 700 700 พิธีบูชายัญ พอทำพิธีบูชายัญแบบพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น เรื่องอย่างนี้เยอะแม้แต่พิธีบูชายัญเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ในพระไตรปิฎกมีเยอะแต่คนโดยมากไม่ได้สังเกต ไอ้นี่ก็เป็นวิธีศึกษาอย่างหนึ่งให้เห็นพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงผจญหนักหนาเลย บางทีไปนี่เขาด่า พราหมณ์มาเห็นพระพุทธเจ้าคือพราหมณ์เขาถือนะ เขาถือว่าคนหัวโล้นนี่ ขออภัยเป็นกาลกิณี พอเห็นพระพุทธเจ้าด่าใหญ่เลย แหมวันนี้เราจะประกอบพิธีมงคล พระพุทธเจ้าจงใจซะด้วยนะเขาจะประกอบพิธีมงคลตามแบบของเขาอยู่พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเลย พราหมณ์ก็โกรธสิเห็นพระพุทธเจ้าเลยด่าใหญ่เลยนี่ เพราะเขากำลังทำพิธีเขาเสียพิธีแล้วนี่ พระพุทธเจ้าก็ปล่อยเขาด่า ๆ พอแก่ใจแล้วก็คุยกัน คุยกัน คุยกันไปกันมาเขาก็เลยเกิดความรู้ความเข้าใจได้ทัศนะใหม่ยอมรับตอนนี้ก็ไม่โกรธแล้ว เลิกโกรธแล้ว เรื่องของกาลกิณีกาลกิเนอไม่พูดถึง เลิกกันไป ก็หันมาเลื่อมใส เรื่องอย่างนี้มีเยอะ ไม่งั้นพราหมณ์จะมาบวชกันทำไมเยอะแยะใช่ไหม ที่มาบวชเป็นกำลังสำคัญของพระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์แทบทั้งนั้นใช่ไหม พระมหากัสสปะ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอัญญาโกณฑัญญะพราหมณ์ทั้งนั้น คือคนชั้นยอดเยี่ยมนักวิชาการปัญญาชนสูงสุดในสังคมยุคนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องไปเอาคนพวกนี้ พวกกษัตริย์ พวกพราหมณ์ นี่แหละพระพุทธเจ้าเอาเลยไม่ทรงละย่อไปเลยพบกันให้รู้กันไป ท่านก็ยอมรับ
เอ้าที่นี้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในสังคมอย่างนี้เขานับถือเทพเจ้ามามาย นับถือพระพรหม นับถือประชาบดี นับถือแม้กระทั่งพระอินทร์ตกอันดับแล้ว สมัยอารยันเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่กับที่พระพรหมขึ้นไปแล้ว แล้วมีพระอัคนีนี่สำคัญ พระอัคนีเป็นเทพเจ้าที่รับเครื่องเซ่นโดยตรง ที่เขาบูชายัญต้องใช้พระอัคนีใช่ไหม อัคนีคืออะไร ไฟ เอ้าก็เวลาบูชายัญก็ต้องเผาสิใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระอัคนีที่มีบทบาทมากในการบูชายัญเนี่ยเขานับถือเทพเจ้ากันอยู่พระพุทธเจ้าจะทำไง พระองค์ก็เปลี่ยนใหม่แล้วนี่ให้มานับถือธรรมสูงสุด แล้วเทพของเขา พระองค์ไม่รุนแรง พระองค์ก็ไม่ได้ไปเหยียดหยาม แม้ใครจะมานับถือพุทธศาสนาแล้วก็ยังให้เกียรติเทวดาคือเราจะเปลี่ยนท่าทีของการนับถือใหม่อันนี้สำคัญมาก จุดนี้ต้องเข้าใจ คือไม่ได้นับถือแบบว่าท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้มีอำนาจดลบันดาลจะให้สำเร็จสิ่งที่เราปรารถนาแล้วจะไปอ้อนวอนไปพึ่งพาอำนาจดลบันดาลของท่านไม่ใช่อย่างงั้น แต่เปลี่ยนเป็นยังไงรู้ไหม เปลี่ยนเป็นว่าในโลกในจักรวาลนี้ก็มีสัตว์ทั้งหลายมากมาย แล้วในบรรดาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นที่เราเรียกสรรพสัตว์นี่ ก็มีเทพเจ้ามีเทวดามีพระพรหมรวมอยู่ด้วย
แล้วในพุทธศาสนาเราก็จะเห็นว่ามีเทวดาเนี่ยมาเข้าระบบที่เรียกว่าเป็นภพ เป็นภูมิต่าง ๆ อย่างเช่นจัดเป็นภูมิ 31 เรียกว่าพิสดารหรือจะเป็นภูมิ 3 ภูมิ 4 อย่างในคัมภีร์ไตรภูมิเคยได้ยินไหม ไตรภูมิพระร่วง นั่นก็คือมาเอานี่แหละจัดตามระบบของพุทธศาสนา ก็คือสรรพสัตว์นี่ เราก็มีระบบพุทธศาสนานี่เป็นนักจัดระบบ อะไรต่ออะไรจัดระบบหมด สัตว์ทั้งหลายในจักรวาลในพิภพก็มาจัดระบบชีวิตระดับไหน ระดับไหน ระดับไหน ก็เลยมีภูมิต่าง ๆ มีกามาวจรภูมิหรือกามภูมิ มีรูปวจรภูมิหรือรูปภูมิ อปูวจรภูมิหรืออรูปภูมิ 3 ภูมินี่แหละที่อยู่ในไตรภูมิใจ แล้วพ้นจาก 3 ภูมินี้จะไปอีกภูมิหนึ่งคือโลอุตรภูมิ โลอุตรคือพ้นภูมิ 3 ตามหลักธรรมดาสรรพสัตย์ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่ 3 ภูมินี้ ถ้าเมื่อไหร่จะเป็นผู้สำเร็จบรรลุธรรมสูงสุดก็หลุดพ้นไปจากภูมิ 3 นี่ในภูมิ 3 มีตั้งแต่ต่ำสุดจนถึงสูงสุดจนถึงพระพรหม พระพรหมก็อยู่ในภูมิสูงสุดในไตรภูมินี้ก็ไม่พ้นไปจากไตรภูมิก็อยู่ในนี้ อ้าวก็ยอมรับว่าท่านเป็น เขาเรียกสัตว์ชั้นสูงแต่ก็อยู่ในภพภูมิเหล่านี้ก็ให้เกียรติกันสิก็อยู่ด้วยกัน เหมือนกับมนุษย์อยู่ด้วยกันเราก็มีความนับถือกันท่านผู้มีคุณธรรมความดีเราก็นับถือให้ความเคารพยกย่อง แล้วก็คนที่ไม่ดีก็ต้องแนะนำสั่งสอนกันไม่ใช่ไปเบียดเบียนคือไม่ทำร้ายแต่ว่าต้องกรุณาแล้วก็ไปช่วยเหลือยกเขามาให้เขาพ้นจากภาวะต่ำทรามนั้นขึ้นมาด้วยการอบรมสั่งสอนแนะนำอะไรต่าง ๆ ก็อยู่ด้วกันด้วยเมตตากรุณา ตกลงก็มีหลักความสัมพันธ์กับสรรพสัตว์ก็คือพรหมวิหาร 4 มีเมตตากรุณาเป็นต้น เสร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยหมดทั้งสิ้น อยู่ในกฎธรรมชาติอนิจจังทุกขังอนัตตาด้วยกัน ตกลงพระพรหม หรือจนกระทั่งแมวก็อยู่ในกฏเดียวกัน เอ้าถ้าอย่างงั้นเราอยู่กับแมว อยู่กับเสือ จนกระทั่งอยู่กับกระต่ายยังไงเราก็อยู่กับพระพรหมอยู่กับเทวดาอย่างนั้น ท่านก็บอกแล้ว ถูกไหม หรืออยู่กับเพื่อนมนุษย์นี่ เราก็มีเพื่อนมนุษย์เราก็อยู่ด้วยกันนี่ เราก็ไม่เห็นต้องไปอ้อนวอนใครนี่ใช่ไหม เทวดาถ้าเปรียบเทียบแล้วก็เหมือนกับมนุษย์ที่มีอำนาจ มีคุณธรรมความดี แล้วก็ถือว่าเทวดานี้เป็นสัตว์ชั้นสูง คือคำว่าสัตว์ในภาษาพระไม่ได้ถือเป็นคำศัพท์ต่ำ พระพุทธเจ้าก็เรียกว่ามหาสัตว์ พระโพธิสัตว์ สัตว์ทั้งนั้น คำว่าสัตว์ก็เป็นศัพท์สามัญล้วก็เริ่มที่มนุษย์ เวลาใช้คำว่าสัตว์ ศัพท์ในภาษาบาลีใช้ว่าสัตว์ในหมายถึงมนุษย์ก่อนเลย แล้วก็ขยายไปยังสัตว์ชนิดอื่น ทีนี้ในภาษาไทยเราใช้ผิด พอพูดถึงสัตว์นี่เรานึกถึงเดรัจฉานเสียนี่ใช่ไหม ทีจริงศัพท์แท้ ๆ เของเดรัจฉานไม่ใช่สัตว์ เรานึกเอาสัตว์ไปใช้ผิดแคบไป ทีนี้ว่าในเมื่อเป็นสัตวโลกร่วมโลกร่วมอะไรกันร่วมสังสารวัตรเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันก็มีเมตตากรุณากันอย่างที่ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ก็ไม่ต้องไปมัวคอยรอไปพึ่งพาอาศัยไปดลบันดาลเอาอกเอาใจกันอยู่ เรามีผู้ใหญ่แม้แต่โลกมนุษย์นี้ก็อยู่กันด้วยคุณธรรมความดี ท่านผู้มีคุณธรรมความดีเห็นคนที่เขาต่ำต้อยกว่ามีทุกข์มีความลำบากก็ต้องไปช่วยเขาด้วยน้ำใจเมตตากรุณาคุณธรรมของตนเองไม่ใช่รอให้เขามาอ้อนวอน แล้วคนที่ต่ำต้อยด้อยกว่าก็ไม่ใช่ไปหวังให้ท่านผู้ใหญมาช่วยอ้อนวอนเขา ก็ทำความดีของตัวเองทำความเพียรพึ่งตนเองไป ไอ้ส่วนเขาคนไหนที่เขามีอำนาจมีความดีเขามีจิตใจดีมีคุณธรรมเขาก็มาช่วยก็เรื่องของเขาใช่ไหมด้วยความดีเขาเอง เราก็ทำหน้าที่ของเราไปแม้แต่ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เทวดาก็เหมือนกัน ก็ท่านเป็นคนที่อาจจะไปจากมนุษย์ที่เป็นคนดีแล้วก็ตายไปเกิดเป็นเทวดา แล้วท่านยังอยู่ในสังสารวัฏท่านก็ยังต้องบำเพ็ญความดียังต้องบำเพ็ญคุณธรรมพัฒนาชีวิตของท่านขึ้นไป หน้าที่ของท่าน ๆ ก็ต้องทำอยู่แล้วจะมัวมายุ่งเรื่องกะไอ้เรื่องจะไปมองดูใครมาช่วยเหลือ มาดลบันดาลให้ใครอยู่อย่างไงใช่ไหม เออมันก็ไม่ใช่เรื่อง ถ้าทำอย่างงั้นมันก็ผิดด้วยกันผิดทั้งมนุษย์ผิดทั้งเทวดา เหมือนกันคนต่อคน คนไหนมีอำนาจวาสนาแล้วเป็นผู้ใหญ่ก็คอยจะรอเครื่องเซ่นอยู่มันก็ไม่ถูกใช่ไหม เออเดี๋ยวกลายเป็นระบบศีลธรรมเสียหมด ลองสิที่มนุษย์ในโลกมนุษย์นี้นะ ผู้ใหญ่มีอำนาจขึ้นมาก็รอว่า เออเด็กคนไหนมันจะเอาเครื่องเซ่นมาเราจะช่วยมันใช่ไหม ไอ้คนไหนไม่เอามาช่วยเราไม่ช่วย แล้วอย่างงี้สังคมอยู่ได้ไหมครับก็ไม่ดีใช่ไหมไอ้สังคมจักรวาลมันก็เหมือนกันแล้วก็เทพเจ้าไปรอแบบนี้ก็จะเป็นเทพเจ้าที่ดีได้ไหม เทพเจ้าที่ว่าต้องรอเครื่องเซ่นไอ้คนไหนมันมีภัยอันตรายแล้วก็ต้องมาเซ่นเรา เราจึงจะไปช่วยมันแทนที่จะช่วยด้วยกรุณา มันมีทุกข์อะไรใช่ไหม คนฟังพูด รอรับสินบน เออก็นั่นสิใช่เหมือนกับรับสินบน กลายเป็นว่า ไอ้จะช่วยคนทุกข์ภัยก็ต้องรอให้เขาเอาเครื่องเซ่นมา แล้วเราจะช่วยคนที่ดีคนดีมันก็ไม่อยากมาเซ่นใช่ไหม ก็เลยคนดีก็แย่สิ เออคนอยากได้ผลประโยชน์ก็มาเซ่นอีก อย่างนี้ก็ระส่ำระสายหมดใช่ไหม นี่ระบบสังคมมนุษย์ยังแย่แล้วสังคมไทยทั้งหมดในระบบของจักรวาลธรรมชาติยิ่งเสียใหญ่เลย ดังนั้นพุทธศาสนาไม่เอาด้วยหรอกวิธีนี้ เป็นอันว่าเทวดาของพุทธศาสนานั้นก็เลยต่างไปจากเทวดาที่เขานับถือกันนี่ ท่านไปดูนะครับลองศึกษาแม้เราจะยังยอมรับเทวดาแต่เปลี่ยนหมดทุกอย่าง หนึ่งท่าทีของมนุษย์ต่อเทวดาก็เปลี่ยนอย่างทีว่า คืออยู่ด้วยเมตตากรุณาถือว่าเป็นสรรพสัตว์ร่วมโลกร่วมจักรวาลร่วมเกิดแก่เจ็บตายต้องมีพรหมวิหารเมตตากรุณาต่อกันคนใดมีความดีก็เคารพนับถือให้เกียรติยกย่อง แต่ว่าต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปด้วยความขยันหมั่นเพียรแล้วก็ต้องพัฒนาชีวิตของตัวไป นี้ว่าเมื่อเรายังนับถือเทวดาอยู่ เทวดาเองก็ต้องเปลี่ยนลักษณะนิสัยไม่ใช่เป็นเทวดาที่คอยรอการเซ่นไหว้บูชายัญ เทวดาในพุทธศาสนาอย่างพระอินทร์พระเอินเปลี่ยนนิสัยหมดเลย อย่างพระอินทร์จะมีธรรมสภา อันนี้ผมเล่านอกเรื่องไปหน่อยนะเป็นเกล็ดความรู้ พระอินทร์นี่มีธรรมสภาเป็นที่ประชุมของเทวดาชั้นดาวดึงส์ พอถึงวันพระ 15 ค่ำ พวกเทวดาก็มาประชุมที่ธรรมสภาก็มาพิจารณากันว่า เออเวนี้โลกมนุษย์เป็นยังไง อันนี้แสดงว่าเขามีน้ำใจนึกถึงมนุษย์นะ แต่เขานึกในแง่ว่าเออ มนุษย์ตอนนี้เขาประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันอยู่โดยธรรมกันไหม เออถ้าเขาประพฤติดีมีธรรมต่อไปนี่ ก็จะมีคนดีเยอะ แล้วเมื่อมีคนดีเยอะแล้วต่อไปพวกนี้ตายไปก็สภาก็มาพิจารณากันว่าเวลานี้โลกมนุษย์เป็นยังไงนี่แสดงว่าเขามีน้ำใจนึกถึงมนุษย์มนุษย์ตอนนี้เขาก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันอยู่ในธรรมกันไหมจะหาว่าเขาก็พูดดีมีทำต่อไปนี้ก็จะมีคนดีเยอะต้องมีคนดีก็แล้วต่อไปเขาก็จะได้มาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พวกเราก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นลองช่วยกันดูซิ สำรวจตรวจตาโลกดูว่ามีคนประพฤติดีไหม มากไหม เพิ่มขึ้นไหม แล้วใครมีหน้าที่จะดูแลเหล่าเทวดาชั้นรองลงมาก็คือท้าวจตุโลกบาล ท้าวโลกบาล 4 เนี่ยก็เป็นผู้ที่เหมือนกับรับใช้พระอินทร์อีกทีนึงเป็นสวรรค์ชั้นรองลงมาเรียกว่าจตุมหาราชิกา ท้าวมหาราช 4 เป็นโลกบาล 4 นี้เป็นผู้คุ้มครองโลก ท่านเหล่านี้ก็มาสำรวจตรวยตาจุดตาดูโลกแล้วไปรายงานต่อธรรมสภาของพระอินทร์นี่ ว่าเออเวลานี้พวกมนุษย์นั้นประพฤติความดีอยู่ในธรรมะกันมากหน่อยมีจำนวนเพิ่มขึ้น พวกเทวดาได้ยินอย่างนี้แล้วก็ดีใจว่าเออพวกเราต่อไปจะมีกำลังมากขึ้นมนุษย์ที่ตายแล้วจะมาเกิดเพิ่มขึ้นอะไรอย่างเงี้ยแล้วก็มีเทวดาที่ทำหน้าที่อย่างนางมณีเมขลาก็ดูแลรักษามหาสมุทร อันนี้ก็คือคติเก่าเขามีอยู่แล้วมีเทวดาประจำอะไรต่าง ๆ แต่ว่าลักษณะของการทำหน้าที่จะต่างกัน นี้เทวดาพวกนี้ก็ดูแลว่าคนมีความทุกข์ลำบากก็จะต้องช่วยเหลือ อย่างเรื่องมหาชนกอ่ะที่ในหลวงทรงนำมาพระราชนิพนธ์เรื่องท้าวมหาชนกนี่ ก็มีคติเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทวดานี้ด้วย มหาชนกท่านก็ไม่คำนึงถึงเทวดาแหละ เล่าย้อนนิดหนึ่งคือตอนที่เรือจะแตก เรือสำเภาจะแตก ในชาดกนี่ท่านพรรณาหรือบรรยายถึงสภาพของคนต่าง ๆ คนจำนวนมากนี่พอเรือจะแตกก็มีความทุกข์เดือดร้อนร้องไห้กัน พวกหนึ่งก็อ้อนวอนเทวดาที่ตัวนับถือขอให้มาช่วย บางพวกก็ไม่ได้สติเลยคร่ำครวญโวยวายไป บางพวกก็นึกถึงพ่อแม่พี่น้องก็คร่ำครวญเหมือนกันอะไรแบบนั้น บางคนก็วิ่งโวยวายไปนู่นไปนี่ก็คือขาดสติ พระมหาชนกนั้นมีสติดีอยู่ก็นึกว่า เออเราก็ไม่รู้จะตายหรือไม่ตายเป็นอันว่าเรือจะแตกก็แล้วกัน แต่เราทำไงจะอยู่ให้ดีที่สุดเผื่อมันมีทางรอดบ้าง ตั้งสติได้ก็คิดพิจารณาว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนในเรือนี้จุดไหนที่ดีที่สุดเวลาเรือล่มลงไปนี้เราจะอยู่ในสถานะที่ลงทะเลอย่างมีท่าที่สุดแล้วก็เราจะอาศัยอะไรได้บ้างเออเตรียมไว้ ท่อนไม้ท่อนเมัยให้พร้อมเวลาเรือลงแล้วก็จะมีท่อนไม้นี้กอดหรืออะไรไป ทีนี้แสดงว่าท่านใช้ความคิดไม่ใช่มัวอ้อนวอนเทวดาอยู่ หรือว่ามัวแต่ร้องไห้คร่ำครวญปริเทวนาการไม่เอาทั้งนั้น พระมหาชนกท่านมีสติและใช้ปัญญานี่แหละวิถีพุทธ พออย่างนั้นแล้วก็ใช้ความเพียรของตนเองไปอยู่ในจุดที่เรือล่มแล้วดีที่สุดมั่นใจที่สุดแล้วก็เตรียมของให้พร้อม มีน้ำมันน้ำมนต์ทาตัวเล็กอะไรนะ แล้วพอเสร็จแล้วเรือล่มปั้บท่านก็อยู่ในจุดที่ว่าท่านหาทางช่วยตัวเอง ท่านก็อยู่ในน้ำ ทีนี้คนตายกันมากเพราะไม่ได้เตรียมตัว พวกที่อ้อนวอนเทวดาละตายกันแทบหมด ทำไมเทวดาไม่ยักมาช่วยแล้วดูซิ ก็เวลาเรืออับปาง เวลาเครื่องบินตกแล้วเทวดามาช่วยยังไงบ้างละ เออนี่ต้องคิดต้องใช้ปัญญา ท่านมหาชนกไม่รอเทวดาท่านก็เลยพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ลงไปอยู่ในน้ำไอ้พวกอ้อนวอนเทวดาตายหมด ท่านก็ว่ายน้ำไปเอ้ แต่ว่ามันอยู่กลางมหาสมุทรไกลเหลือเกิน 7 วันแล้วยังไม่เห็นฝั่งเลย แล้วมันไม่เห็นทิศเห็นทางใช่ไหม คนว่ายน้ำไม่เห็นทิศเห็นทาง ก็ไม่รู้ทิศไหนจะว่ายไปจึงจะถูก ตอนหลังนี่นางมณีเมขลาก็ตรวจมหาสมุทรมา ก็มาเห็นเข้า ก็เกิดบทสนทนาระหว่างนางมณีเมขลาซึ่งเป็นเทวดาถามพระมหาชนกซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ทางนางมณีเมขลาก็ทำเหมือนเยอะเย้ย ก็เอ้อนี่ว่ายน้ำมาตั้ง 7 วันแล้วไม่เห็นฝั่งว่ายไปทำไม ไม่มีความหวังอะไรต่าง ๆ พระโพธิสัตว์ท่านก็ตอบ ท่านก็ไปอ่านเอาเอง ท่านตอบเยอะแยะตอบกันไปตอบกันมา ท่านก็บอกเป็นมนุษย์ก็ต้องใช้ความเพียรไปตราบใดที่ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นไป ท่านว่าเป็นภาษาปัจจุบัน ก็ต้องพยายามไปเท่าที่เราปัญญาจะมองเห็น แล้วถึงตายไปก็ไม่เป็นหนี้ใครนี่ ท่านก็ว่าของท่านไปก็เรียกว่าทำไปตามเหตุผลของท่านโดยไม่ได้ละทิ้งความเพียรที่สมควรจะทำ พูดกันไปกันมา ในที่สุดนางมณีเมขลาก็เลยมาช่วยอุ้มขึ้นฝั่งไป มหาชนกก็ขึ้นฝั่งได้ เรื่องท้าวมหาชนกนี่เล่าเป็นตัวอย่าง
เรื่องในพุทธศาสนาแบบนี้ทำไมเราไม่มาเน้นให้เห็นว่าเรามีท่าทีปฏิบัติต่อเทวดาอีกเยอะมีเรื่องเล่ามากมาย แม้แต่มนุษย์ขัดใจกันเทวดามีเรื่องขัดแย้งกัน มนุษย์ไม่จำเป็นต้องยอมเทวดา คัมภีร์ของเรานี่มีเยอะเลยตัวอย่างถ้ามนุษย์ขัดแย้งกับเทวดาให้เอาธรรมะตัดสิน ถ้ามนุษย์รู้ว่าตัวถูกต้องเอาธรรมะมาตัดสินได้ว่าเราถูกธรรมะแล้วไม่ต้องยอมเทวดา เป็นไงเป็นกัน เออแล้วในที่สุดเทวดาจะต้องยอม แล้วมีเรื่องในคัมภีร์นี่เยอะที่เทวดาต้องยอมมนุษย์ นี้ก็คือการที่พุทธศาสนานี่มาให้กำลังใจมนุษย์ใช่ไหม เอาธรรมเป็นใหญ่ธรรมสูงสุด
คติแค่นี้ชาวพุทธก็ยังไม่ได้เลยนะ ฉะนั้นมันไม่มีหลักอะไรเลยพอมีเรื่องจตุคามมาก็อะไหล่เลื่อนไหลไปตามกระแสล่องลอยเคว้งคว้างไปหมดเลยไม่ได้มีหลัก ถ้ารู้หลักนี้นิดเดียวก็ตั้งตัวได้แล้วใช่ไหม นี่ผมเล่าเป็นเพียงตัวอย่าง เป็นอันว่าหลักของเรามีอย่างนี้ หรืออย่างพระอินทร์ พระอินทร์ในทางพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ไปเที่ยวรังแกคนนะของเขานี่เทวดาทั้งหลายเนี่ยแกมีโลภมีโกรธแรงนะ เทวดาในศาสนาเดิมนี่ เทวดาก็ยกทัพรบกันแย่งแฟนกันใช่ไหม เอาจริง ๆ ท่านไปอ่านดูซิในตำนานเทพเจ้าใช่ไหม เทวดาแย่งแฟนกันแล้วก็โกรธกัน อย่างพระพรหม พระวิศวร พระนารายณ์นี่ ตอนสมัยก่อนโน้นพระพรหมเป็นใหญ่ ต่อมาอีก 500 ปี เปลี่ยนยุคสมัยเกิดพระศิวะนารายณ์ขึ้นมา พระศิวะก็คือพระอิศวร แล้วนารายณ์ก็คือพระวิษณุ พวกนับถือพระศิวะพระวิษณุ ก็ต้องบอกว่าพระศิวะพระวิษณุใหญ่กว่าพระพรหม ก็สร้างเทพนิยายขึ้นมาอีก พระพรหมเกิดจากไหน เอาแล้วเดิมพระพรหมเป็นใหญ่ใช่ไหมเป็นผู้สร้างกลายเป็นว่าตามฝ่ายนิกายไวษณวะ หรือนิกายของพระวิษณุพระนารายณ์นี่ พระนารายณ์ใหญ่กว่าพระพรหมนะ เอ้าทำไมว่าใหญ่กว่า บอกว่าเดิมทีพระนารายณ์นี่บรรทมอยู่ในเกษียรสมุทรเอาละนะ นี่เทพนิยายฝ่ายพระนารายณ์บรรทมอยู่ในเกษียรสมุทร แล้วก็ต่อมามีดอกบัวงอกออกมาจากพระนาภีพระนารายณ์ พูดง่าย ๆ ภาษาชาวบ้านก็คืองอกมาจากพระสะดือ ออกจากพระสระดือพระนารายณ์แล้วบนดอกบัวก็เกิดเป็นพระพรหม ตกลงพระพรหมมาจากไหน อ้าวเห็นว่าไหมนี่ ๆ นี่เห็นไหมแล้วใครใหญ่กว่าละ ตอนนี้กลายเป็นว่าพระนารายณ์ใหญ่กว่าพระพรหม พระพรหมเป็นผู้สร้างทุกอย่าง เอ้าที่นี้ฝ่ายพระศิวะ พวกนี้เขาเรียกนิกายไศวะ นิกายไศวะก็คือนับถือพระศิวะ ก็คือนับถือพระอิศวร พวกนี้ก็มีนิยายอีก บอกว่าเคยมีเรื่องระหว่างพระพรหมกับพระศิวะ พระพรหมนี่เดิมมี 5 พระพักตร์ เอาละซิ เรารู้ว่ามี 4 พระพักตร์ใช่ไหม อ้าวตามนิยายนี้เขาบอกมี 5 พระพักตร์ อีกพระพักตร์หนึ่งอยู่บนยอดบนกระหม่อมสูงขึ้นไปก็เป็นยอดแหลมขึ้นไปอีกที ทีนี้วันหนึ่งก็มีเรื่องขัดใจกันระหว่างพระพรหมกับพระศิวะ พระศิวะก็เลยพิโรธหรือกริ้ว กริ้วขึ้นมาก็เลยตวัดพระองคุลีพระนิ้ว ตวัดนิ้ว ตวัดพระหัตถ์ขึ้นไป ตวัดนิ้วเชือดเดียวไปตัดคอพระพรหมหลุดไปเศียรเหลือ 4 หน้า หน้าบนหลุดหายไปเลย เอาละสิทำไง ก็เป็นอันว่าพระพรหมนี่สู้พระศิวะได้ไหมครับ ไม่ได้นี่ นี่ตามเทพนิยายนี่ก็จบ คนฟังตอบ แค่ปลายนิ้ว ใช่ โดนแค่ปลายนิ้วเท่านั้นเอง เศียรพระพรหมหลุดไปเศียรหนึ่ง พระพักตร์ก็หายไปพระพักต์หนึ่ง ด้วยเลยเหลือ 4 พระพักตร์ อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่ารวมความก็คือเทพทั้งหลายนี่ มีโลภะโทสะรุนแรงพอดู หรืออย่างเรื่องพระคเณศ ท่านเคยได้ยินไหม พระคเณศเป็นยังไง เราเรียกันว่าพระพิฆเนศ แต่เรียกพระเดิมก็แค่พระคเณศก็พอ เรียกพิฆเนศก็ได้ คเณศก็ได้ พระพิฆเนศนี่เป็นพระโอรสของพระศิวะหรือพระอิศวร แล้วก็ทำไมมีเศียรเป็นช้างละ เอ้าเรื่องก็มาแบบคล้าย ๆ กันนี่ ก็คือท่านก็เป็นเทวดาใหญ่เป็นโอรสของพระศิวะ ท่านก็ต้องมีรูปร่างสวยงาม นี่เรื่องมันเกิดขึ้นมาวันหนึ่งนี่พระศิวะประทับอยู่กับพระอุมาในที่ Private ใช้ศัพท์ฝรั่งหน่อย ก็คือทรงต้องการความสงบ แล้วก็ตรัสบอกว่าตอนนี้ฉันต้องการอยู่เงียบ ๆ นะใครอย่าเข้ามา เออเรียกว่าพระดำรัสอันศักดิ์สิทธิ์นะ มีพระบัญชาว่าไม่ให้ใครเข้ามาอยู่กับพระอุมา 2 พระองค์ นี้พระพิฆเนศนี่ท่านไม่ทราบ อยู่ ๆ ก็เดินเข้ามาเสียนี่ เดินเข้าในห้องส่วนพระองค์ของพระศิวะ พระศิวะออกนี่พระบัญชาไปแล้วพอเห็นเข้ามาก็กริ้วมาก ก็ตวาดไอ้หัวหาย เท่านี้เแหละเศียรของพระคเนศหลุดหายไปเลย แค่ตวาดเท่านั้นนะ ไม่ต้องทำอะไร อันนี้ไม่ต้องใช้มือเลยก็วาจาศักสิทธิ์นี่ เป็นอันว่าด้วยพระดำรัสของพระศิวะเศียรพระโอรสคือพระคเนศก็หลุดหาย แล้วทำไง ทีนี้พระอุมาก็เดือดร้อนซิใช่ไหม พระอุมาเป็นพระมารดา พระอุมาก็คงทรงพระกันแสง แล้วก็มาขอร้องหรือจะโอดครวญต่อว่าพระศิวะอย่างนี้แล้วแต่ว่าทำไงทำกับลูกอย่างนี้ใช่ไหม ต้องหาทางเอาเศียรกลับมาแล้วซิทีนี้ พระศิวะก็เดือดร้อนละซิทีนี้ ทำไงละต้องหาเศียรมาให้พระโอรส เศียรก็หายไปแล้ว แต่พระองค์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่มีอำนาจเหนือบนจักรวาลนี้ เอ้อจะทำไงหาพระเศียรให้ลูกชายได้ พระองค์ก็เลยตั้งกฎขึ้นมาทันทีทันใด บอกว่า เอ้าใครนอนวันนี้หันหัวไปทิศตะวันตกจะเอาหัวมันมา ว่าอย่างงั้นนะ พอได้กฏนี้แล้วก็จัดการได้เป็นผู้สร้างกฎเองนี่ ไม่เหมือนของเราใช่ไหม ประชาธิปไตยต้องว่ากันด้วยความรู้มีเหตุลผล อันนี้ท่านสั่งมาเลย ตั้งกฏขึ้นมาแล้วทีนี้พระศิวะก็คงตรวจดู เอ้าปรากฏว่าช้างเจ้าตัวนี้มันนอนหันหัวไปทิศตะวันตก เอออย่างนั้นก็ผิดกฏ พระศิวะก็เลยเอาหัวเจ้าช้างตัวนี้มา จะเรียกว่าตัดหัวหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่ทราบเอามาได้อย่างไรก็แล้วแต่ ก็เลยได้หัวช้างมาใส่เศียรพระคเนศ พระคเนศก็เลยมีเศียรเป็นช้างสืบมาจนบัดนี้ นี่แหละครับคือเขาถืออำนาจป็นใหญ่เรื่องของเทพเจ้าทั้งหลายนี้มันศักดิ์สิทธิ์กันอยู่ที่อำนาจ นี้โยมคนหนึ่งแกก็ท้วงบอกว่า เอ้ ก็พระศิวะท่านมีอำนาจขนาดนั้นน่ะ ท่านตวาดให้หัวหายได้ ท่านก็มีองค์การให้หัวกลับมาได้ซิใช่ไหม ทำไมจะต้องไปหาหัวให้ลำบาก เอ้อโยมคนนี้ฉลาดเหมือนกัน ก็เลยมีปัญหาว่า พระศิวะกับโยมคนนี้ใครจะฉลาดกว่ากัน ท่านว่ายังไงละ เอ้ามีอำนาจขนาดตวาดหัวหาย แล้วทำไมจะทำให้เกิดหัวใหม่เองไม่ได้เหรอใช่ไหม ก็ต้องได้สิ เอ้อแปลกเหมือนกันนะ ก็ชอบกลอยู่ นี่แหละครับ เอาเป็นว่า รวมความก็คือเทพเจ้านี่ท่านก็เป็นอย่างเงี้ย นี้พุทธศาสนาเกิดขึ้นมาก็เปลี่ยนระบบใหม่หมด ให้เทพเจ้านี่โดยปกติแล้วก็จะต้องมีคุณธรรมความดี ยิ่งเป็นเทพเจ้าเป็นใหญ่ก็มีคุณธรรม อย่างพระอินทร์เดิมก็มากับพวกอารยัน ในยุคที่อารยันมาจากอิหร่าน คือตอนแรกนี่พวกอารยันอยู่เหนืออิหร่านทางทะเลสาบแคสเปียนหรืออะไรโน่นนะ แล้วอพยพลงมาแล้วก็เข้ามาอิหร่าน เข้ามาอิหร่านแล้วพวกหนึ่งอยู่ครองอิหร่าน ต่อมาอิหร่านนั้นภาษาอังกฤษเขาบอกว่ารากศัพท์มาจากคำว่าอารยันเนี่ย คำว่าอิหร่านแปลว่า The land of the Ariyan คำว่าอิหร่านก็แปลว่า ดินแดนของอารยัน ที่นี่อารยันพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ครองอิหร่านก็เดินทางอพยพต่อมาก็มาตีอินเดีย ในช่วงที่เดินทางกันอยู่เร่ร่อนก็เป็นนักรบ เทพเจ้ายิ่งใหญ่ก็คือพระอินทร์ท้าวสักกะ เพราะพระอินทร์เป็นนักรบ ตอนนั้นวรรณะกษัตริย์ก็ยิ่งใหญ่ ตอนนั้นก็ยังไม่มีวรรณะ แต่หมายถึงนักรบยิ่งใหญ่ คือคนจะนับถือนักรบพวกวีรชน เพราะอยู่ในระยะที่ต้องสู้ต่อสู้กับพวกชนเผ่านี้ พระอินทร์ก็เป็นใหญ่ ทีนี้พอเข้ามารบในอินเดียชนะก็คว่ำทำให้อาริยธรรมลุ่มน้ำสินธุ โมเฮโจดาโรอะไรพวกนั้นนะ ฮารอบป้านี่พินาศลง พวกอริยธรรมเก่านี่สิ้นสุดลงไป พวกอารยันก็เข้าครองก็เอาพวกเก่านั่นเป็นทาส เป็นทัศยุไปแล้วก็เกิดระบบวรรณะขึ้นมา ทีนี้พอตั้งหลักแหล่งอยู่กับที่แล้วเหตุจำเป็นในการทำสงครามรบราฆ่าฟันน้อยลง ทีนี้ต้องการสร้างบ้านสร้างเมืองปัญญาชนก็ใหญ่ขึ้นมา ปัญญาชนก็คือพวกพราหมณ์ เพราะฉะนั้นพอเข้าตั้งหลักแหล่งแล้วทีนี้ พวกพราหมณ์ก็ใหญ่ขึ้นมา พระอินทร์ก็ตกอันดับ เทพเจ้าเก่าที่เป็นนักรบยิ่งใหญ่ตกอันดับพระพรหมก็ขึ้นมาตอนนี้แหละ พระพรหมพึ่งจะขึ้นนะตอนที่อารยันเข้ามาอินเดียแล้ว แล้วพระพรหมก็เลยมีชื่อขึ้นมาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้พระอินทร์ก็มีเรื่องเสียหายก็คงจะแต่งกันนะแหละ พระอินทร์นี่ไปเป็นชู้กับภรรยาพระฤษี ถูกพระฤษีสาป ให้มีขออภัยมีอวัยะลับของสตรีเกิดโทษตัวเลยมีชื่อว่าขออภัยพระอินทร์นี่มีพระนามตามนี้ตามที่ถูกพระฤษีสาปว่าวาสะโยดี ทีนี้พระอินทร์ทำไงพระอินทร์ก็เลยในที่สุดก็ไปขอขมาพระดาบสฤาษีนี้ ฤษีก็ยกโทษให้ ให้เปลี่ยนรูปนั้นน่ะมาเป็นรูปลูกกะตา พอเป็นลูกกะตาก็เลยเป็นท้าวสหัสนัยน์เคยได้ยิน นี่ก็เรื่องเป็นมาอย่างนี้ ก็เลยพระอินทร์ก็มีชื่ออีกชื่อหนึ่งท้าวสหัสนัยน์ ท้าวพันตา อันนี้ก็คือยุคพระอินทร์ตกอันดับแล้ว พระอินทร์ก็มีเรื่องเสื่อมเสียอำนาจลดลงสู้พวกฤษีไม่ได้ ฤษีบำเพ็ญตะบะเข้าไปแล้วยิ่งใหญ่กว่าอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ตอนหลังพระอินทร์ตกอันดับ แล้วนี่พระพรหมเป็นใหญ่ในยุคที่ปัญญาชนเข้าไปคลองอินเดีย พอต่อมาอีก 4 500 ปี พระพรหมก็ตกอันดับ พระศิวะกับพระนารายณ์ก็ขึ้นเป็นใหญ่ แล้วก็ใหญ่กันมาจนกระทั่งปัจจุบันก็แยกเป็น 2 นิกาย นิกายไศวะนับพระศิวะอิศวร อีกนิกายไวษณวะ หรือไวษณพระวิศนุถือถือพระนารายณ์ เรื่องก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็มี 2 นิกาย พระพรหมไม่ค่อยมีความหมายสำหรับคนอันเดียปัจจุบัน ท่านไปอินเดียอย่างไปนึกว่าพระพรหมใหญ่นะ พระพรหมกลายเป็นเทพเจ้าที่ยังมีความสำคัญในอดีตติดมาแต่ว่าไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดจะเป็นเจ้านิกาย เจ้านิกายเหลือพระศิวะ พระวิษณุ อย่างพวกที่นับถือเทพ ก็อย่างที่เขากล่าวนามพระเจ้า พวกที่ไปอเมริกาเป็นพวก เขาเรียกฮาเรกฤษณะ นี่ไปใหญ่ในอเมริกาพวกฝรั่งหนุ่มสาวมาเข้าลัทธิกันเยอะแยะไปหมด เมื่อสมัย ค.ศ 1960 กว่า นี่ก็นับถือพระนารายณ์ จะร้องฮาเล รามา ฮาเร รามา รามา ก็คือพระราม พระรามก็คืออวตารของพระนารายณ์ พวกหนึ่งก็นับถือพระอิศวรอย่างงี้ เรื่องก็เป็นมาอย่างนี้ เราควรจะรู้ว่า อันนี้เป็นเรื่องความรู้ ความรู้มันก็ทำให้เราวางใจเข้าใจอะไร อะไรโดยถูกต้อง อ้าวนี่ก็ย้อนกลับไปเรื่องนี้เพราะว่าเรื่องยาวแต่ว่ารู้เข้าใจเท่าไหร่ก็ยิ่งดี