แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
[01:24] ขอความผาสุกความเจริญในธรรม จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็จะได้ปรารภธรรมะตามหลักคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการส่งเสริมศรัทธาปสาทะ ความเชื่อความเลื่อมใสยามจิตใจของตนเองที่เราได้ฟังให้มีกำลังใจในการที่จะสั่งสมอบรมบ่มนิสัย สร้างสรรค์บุญกุศลบารมี สร้างความดีให้ยิ่งขึ้นไป ให้เป็นนิสัยปัจจัยที่จะก้าวขึ้นสู่ความตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรม นำชีวิตจิตใจของตนเองให้รอดพ้นจากอาสวะกิเลสดับทุกข์ให้ตนเองได้ เมื่อต้องอาศัยการสั่งสมอบรมบารมีสร้างความดีให้ยิ่งขึ้นไป นั่นถ้าเราไม่สร้างสมอบรมบารมีความดีของเราก็ไม่เพียงพอต่อการที่จะบรรลุธรรม บุคคลที่จะบรรลุธรรมได้นี่ต้องสั่งสมอบรมบารมีมาด้วยกันทั้งนั้น ฉะนั้นเราทุกคนก็ต้องสร้างบารมี บารมีก็แปลว่าคุณสมบัติที่เป็นเครื่องให้ถึงความสำเร็จ หรือว่าเป็นคุณธรรมที่ทำไม่สมบูรณ์ เรียกว่าบารมี บารมีหรือว่าทำให้สมบูรณ์ เป็นเครื่องทำให้เกิดความสำเร็จ สะสมมาไม่ว่าจะเป็นสาวก เป็นอัครสาวก เป็นอติมหาสาวก เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้วนแล้วแต่ได้สั่งสมบารมีมาทั้งนั้น โดยเฉพาะว่าเป็นผู้ที่ได้สร้างบารมีและก็ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต ในอดีตชาติก่อนๆ ถ้าเราได้ศึกษาประวัติของแต่ละท่านน่ะล้วนแล้วแต่ได้ตั้งความปรารถนามาทั้งนั้น สาวกที่เป็นผู้เลิศที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทางใดทางหนึ่ง ที่เรียกว่าเอตทัคคะนี่ ล้วนแล้วแต่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่ไม่ใช่ตั้งแต่ความปรารถนาอย่างเดียว ท่านต้องสร้างบุญบารมีไว้ ทำบุญไว้ยิ่งใหญ่แล้วก็ตั้งความปรารถนา แต่ละรูปแต่ละท่านนี่ล้วนแล้วแต่สั่งสมบุญบารมีมา
อย่างสาวกรูปแรกในพระพุทธศาสนาที่เป็นศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี่ก็คือ พระอัญญาโกญทัญญะ เป็นสาวกรูปแรก พึงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นน่ะไม่ใช่มีเพียงพระองค์เดียว มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในอดีตผ่านไปจำนวนมากแล้ว แต่ก็ห่างกัน แต่ละรูปแต่ละองค์จะมาตรัสรู้นี่นาน นานมากกว่าจะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ บางครั้งโลกก็ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาไปนานแสนนาน สำหรับพระอัญญาโกญทัญญะเราก็รู้จักท่านตามสมควรจากการที่เราได้ฟังธรรมะ พระสงฆ์แสดงธรรม ได้อ่านได้ศึกษาประวัติของท่านที่เป็นภิกษุกลุ่มแรกที่ได้ฟังธรรม กลุ่มปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์แปลว่ากลุ่มนักบวชทั้งห้า พระอัญญาโกญทัญญะนี่เดิมท่านก็เกิดในตระกูลพราหมณ์ ท่านก็เชี่ยวชาญเรียนจบไตรเพท เดิมท่านชื่อโกญทัญญะ ชื่อแค่โกญทัญญะ แล้วก็มาเรียกว่าอัญญาโกญทัญญะนี่เรียกตามที่พระองค์ได้เปล่งอุทาน ท่านเกิดมาเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาล เรียกว่าก็มีฐานะดีด้วย เป็นวรรณะสูงด้วย พราหมณ์เค้าถือว่าเป็นวรรณะสูง ได้เรียนจบไตรเพท บ้านของท่านนี่ก็อยู่ที่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ หมู่บ้านโทณวัตถุ ท่านนอกจากจะเรียนจบไตรเพทแล้วท่านยังเรียนรู้ลักษณะมนตร์ที่สามารถจะทำนายดูลักษณะคน ทำนายทายทักได้ สมัยนี้จะเรียกว่า นรลักษณ์ หรือว่าดูลักษณะ ดูรูปร่างสัณฐานลักษณะหน้าตา ก็สามารถจะทำนายวาสนาบารมีอะไรต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้นท่านก็จึงได้มีโอกาสเป็นพราหมณ์ที่ได้รับเชิญเข้ามาทำนายเจ้าชายสิทธัตถะ คืออดีตพระพุทธเจ้าของเราซึ่งประสูติเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายานี่ เมื่อประสูติได้ ๕ วัน ตามราชประเพณีก็จะต้องมีการถวายพระนาม พระเจ้าสุทโธทนะก็จึงได้ให้เชิญพราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ มา มาเลี้ยงข้าวมธุปายาส แล้วก็คัดพราหมณ์ ๑๐๘ นั้นน่ะเหลือเพียง ๘ ท่านที่มีความเก่ง คัดเลือกแล้วก็เชิญพราหมณ์เข้าไปในท้องพระโรง
พราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น โกญทัญญะก็เป็นหนึ่งในแปด เป็นพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุดในจำนวนพราหมณ์ทั้ง ๘ ได้รับคัดเลือกเข้าไปด้วย เมื่อขึ้นนั่ง ณ ที่นั่งในท้องพระโรงแล้ว พระราชาก็ได้ให้พระโอรสซึ่งบรรทมอยู่บนผ้าอย่างดี นำเชิญออกมาให้พราหมณ์ทั้ง ๘ ได้เห็นลักษณะเพื่อจะได้ทำนายทายทักว่าดีร้ายเป็นประการใด แล้วก็จะได้ถวายขานพระนามได้ ปรากฏว่าพราหมณ์ ๗ ท่าน ซึ่งเป็นพราหมณ์ก็อายุมากต่างก็ยกนิ้วขึ้นเป็น ๒ นิ้ว ทำนายเป็น ๒ นัยว่า พระโอรสนี้เป็นผู้มีบุญญาธิการมาก ถ้าได้ครองราชย์สมบัติก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชก็จะได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าจักรพรรดินี่ถือว่ายิ่งใหญ่มาก เป็นพระราชาที่ครอบครองทั้งโลกน่ะ เพราะว่าจะมีฤทธิ์มีอำนาจพิเศษ มีจักรแก้วที่สามารถ เป็นของวิเศษ จักรแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว เป็นต้น เพราะฉะนั้นพระเจ้าจักรพรรดินี่จะครอบครองทวีปทั้งหมด ทำนายเป็น ๒ นัยอย่างนั้น แต่อัญญาโกญทัญญะซึ่งเป็นพราหมณ์หนุ่มที่สุดยกนิ้วเพียงนิ้วเดียว บอกว่าพระราชกุมารนี้จะต้องออกบวชแน่ และก็จะต้องตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะว่าพิจารณาจากสถานที่ประสูติ คือดูลักษณะด้วยและก็พิจารณาถึงสถานที่ประสูติ เพราะพระพุทธองค์ประสูตินี่ไม่ได้ประสูติในวัง ประสูติที่ใต้ต้นไม้สาละ ซึ่งพระมารดาซึ่งครรภ์แก่ก็กะว่าจะไปคลอดไปประสูติที่บ้านเกิด บ้านเกิดเมืองเทวทหะ ออกจากเมืองกบิลพัสดุ์ไปพอไปถึงระหว่างทางระหว่างเมืองกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะพระนางก็ปวดพระครรภ์ พวกข้าราชบริพารก็นำเข้าไปที่อุทยานที่เป็นอุทยานไม้สาละ ฉะนั้นพระพุทธองค์ก็ได้ประสูติเรียกว่าประสูติในป่า อัญญาโกญทัญญะจึงทำนายว่าต้องออกบวชตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นพราหมณ์ทั้ง ๗ ที่อายุมากนี่จึงได้สั่งบุตรชายของตนเอง เพราะว่าตนเองนี่แก่แล้ว บอกว่าหากพระโอรสเจ้าชายสิทธัตถะนี่ออกบวชเมื่อไหร่ เมื่อทราบแล้วให้ลูกนั้นออกบวชตาม เพื่อจะได้ฟังธรรมเพื่อจะได้ตรัสรู้ได้ พ่อแก่แล้วไม่มีชีวิตอยู่ถึงแน่
ครั้นโอรสได้รับถวายพระนามว่าสิทธัตถะ ฉะนั้นเมื่อพระองค์เจริญเติบโตอายุได้ ๒๙ พรรษา หลังจากอภิเษกสมรสเมื่ออายุ ๑๖ พรรษา ในปีที่ ๒๙ นี้ก็พระนางพิมพาซึ่งเป็นชายาก็ประสูติโอรส พระพุทธเจ้าเปล่งอุทาน “ราหุ นัง ชาตัง” บ่วงได้เกิดขึ้นแล้ว ลูกนี่เป็นเหมือนบ่วง พระองค์ก็ตัดสินใจออกบวชในวันนั้นเลย นี่..หลังจากที่ก่อนหน้านั้นไปเห็นเทวทูตคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เกิดความสังเวชมาก ผู้ที่มีบุญบารมีมานะเมื่อไปเห็นสิ่งเหล่านี้ก็จะสังเวช คนไม่มีบุญบารมีก็เห็นก็ไม่รู้สึกอะไร เห็นคนแก่ โอ..เราก็หนีไม่พ้นความแก่อย่างนี้..เป็นทุกข์ความแก่ เห็นคนเจ็บเห็นคนตายเกิดความสังเวช เห็นสมณะคือนักบวช นักบวชก็มีอยู่ทั่วไปสมัยนั้น แต่ว่านักบวชก็หมายถึงผู้ที่สละออกมาใช้ชีวิตถือเพศ แล้วก็บิณฑบาตขออาหารเค้าไป ก็มีนักบวชต่างๆ พระองค์ก็เลยว่าใช้ชีวิตอย่างนี้แหละดี ฉะนั้นเมื่อวันที่ชายาประสูติโอรส พระองค์ก็เห็นว่าบ่วงเกิดขึ้นแล้วจึงสละออกหนีออก โดยมีนายฉันนะติดตามเป็นเพื่อน ทรงม้ากัณฐกะมุ่งหน้าผ่านไปหลายเมือง ไปถึงริมแม่น้ำอโนมา พระองค์ก็สละเพศถือบวช ได้รับผ้าจากพระมหาพรหม ฆฏิการมหาพรหมได้น้อมเอาผ้ากาสาวพัสตร์เข้ามาน้อมถวายถือว่าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ผ้านุ่งห่มของพระสงฆ์ พระองค์ได้ทรงผ้าไตรผ้ากาสาวพัสตร์นะ ดูเหมือนเป็นภิกษุที่มีพรรษาถึงร้อยพรรษา เหมือนบวชมานาน ความที่พระองค์มีความพร้อมนี่ จริงๆ ก็น่าเป็นไปได้นะ เราดูจากแม้แต่สังเกตในปัจจุบันนี้ การบวชเป็นพระนี่ก็ไม่เหมือนกันนะ บางองค์นี่บวชมานี่เหมือนเป็นพระเถระได้เลยนะ คือมองไปนี่การนุ่งห่ม ความเป็นอยู่อะไรต่างๆ การนุ่งห่มต่างกัน เพราะว่าปกติพระใหม่ โอ..จีวงจีวรกว่าจะเรียบร้อย รุมร่าม ลุ่ย ห่ม แต่บางองค์บวชปุ๊บนี่ดูเรียบร้อยเหมือนเป็นพระเถระ มี..เท่าที่สังเกต ฉะนั้นก็เป็นไปได้พระองค์เมื่อรับผ้า นุ่งห่มผ้าแล้วเหมือนเป็นพระภิกษุอายุพรรษาตั้งเป็นร้อยได้
แล้วพระองค์ก็ออกบิณฑบาตมาทางเมืองราชคฤห์นี่จึงได้พบพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็ขอให้จะให้ครอบครองราชย์สมบัติแทน พระองค์ก็ทรงไม่ประสงค์ แล้วพระองค์ก็เสด็จเรื่อยมา มาที่อุรุเวลาเสนานิคม เห็นเป็นที่เหมาะเพราะว่าที่ราบเรียบริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรานี่ สมัยนี้ก็ตื้นเขินจนกระทั่งเดินข้ามได้เวลาหน้าแล้ง ฉะนั้นก็เป็นที่อยู่ของพวกนักบวช ฤษี ชีไพรต่างๆ ก็อยู่กัน ที่ร่มรื่น พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ที่นั่น ที่เขาดงคสิริ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่ออัญญาโกญทัญญะ ท่านชื่อโกญทัญญะ โกญทัญญะพราหมณ์ถ้าช่วงนั้นก็คงจะอายุคงจะเข้าไป ๕๐-๖๐ แล้วนะ เพราะว่าตอนที่เข้าไปทำนายทายทักในวังตอนนั้นท่านยังหนุ่มอยู่ ตอนหนุ่มก็น่าจะอายุสักประมาณ ๒๐ หรือไม่เกิน ๓๐ บวกกับอายุของพระองค์ ๒๙ .. ถ้านั้นก็ ๒๐+๒๙ ก็เข้าไป ๕๐ นั่นล่ะประมาณหรือถ้าอายุ ๓๐ บวก ๒๙ ก็ประมาณ ๖๐ .. ๕๐-๖๐ นี่ โกญทัญญะก็ไปหาลูกของพราหมณ์ทั้งเจ็ดบอกว่า บัดนี้เจ้าชายสิทธัตถะได้ออกบวชแล้ว หากพ่อของเธอทั้งหลายมีชีวิตอยู่ก็จะต้องออกบวชตามในวันนี้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นขอให้เธอทั้งหลาย พ่อเธอสั่งไว้ว่าให้พวกเธอออกบวชตาม ตัดสินใจแล้วก็ให้ไปด้วยกัน บรรดาลูกชายของพราหมณ์ทั้งเจ็ดบางคนก็ตัดสินใจได้เลยสละเพศออกบวช แต่บางคนก็ยังไม่ตัดสินใจ ก็เลยได้มาแค่ ๔ คน รวมทั้งโกญทัญญะด้วยก็เป็น ๕ คน สละเพศถือบวช จึงเป็นนักบวชกลุ่มที่เรียกว่าห้าคน เรียกว่า..ปัญจวัคคีย์ ปัญจะแปลว่าห้า แล้วก็เดินทางออกจากเมืองกบิลพัสดุ์ เพราะว่าบ้านเค้าอยู่ที่ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
จากกรุงกบิลพัสดุ์นี่ก็เป็นนักบวชแล้วก็บิณฑบาตมั่ง นั่งโคนไม้อยู่เรื่อยมา ติดตามหาพระพุทธองค์ แล้วจึงได้มาถึงอุรุเวลาเสนานิคม ก็ได้มาพบแล้วก็ถวายตัวเป็นศิษย์คอยรับใช้ปรนนิบัติอุปฐากดูแลพระพุทธองค์ที่กำลังบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ พระองค์บำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างยวดยิ่งนะ บางครั้งก็กลั้นลมหายใจอยู่อย่างนั้น เอาลิ้นดันเพดานจนลมออกหูอื้ออึง บางครั้งก็ใช้วิธีการต่างๆ ที่เค้าจะพึงกระทำทรมาน คนในยุคนั้นเค้าจะทรมานกายด้วยคิดว่าจะทำให้สำเร็จได้ด้วยการทรมาน นอนย่างไฟ นอนบนขวากหนาม ยืนขาเดียว ไม่นุ่งผ้า นอนกับโคกับทำแบบโคแบบสุนัขอะไร พระองค์ก็ทดลอง บางทีก็กินอุจจาระโค เข้าไปที่คอกโคก็ไปกินอุจจาระ ใช้ชีวิตอย่างนั้น บางทีก็ประพฤติแบบหลบซ่อนคือจะอยู่ในป่าเท่านั้น ไม่พบผู้คน พอเห็นคนมาก็จะหลบเข้าไปอีกเข้าไปป่าลึก ทำต่างๆ อดอาหารลดลงไปๆ เหลือเท่าเมล็ดพุทรา เท่าเมล็ดข้าวเมล็ดงานี่อด ฉะนั้นร่างกายซูบซีดผอมจนกระทั่งเหลือหนังหุ้มกระดูก ลูบที่ท้องก็กระทบที่กระดูกสันหลัง ลูบที่กระดูกสันหลังก็กระทบที่หน้าท้อง ลูบที่พระวรกายขนก็ล่วงหมดเพราะว่าขาดอาหาร หนังศีรษะก็เหี่ยวย่นเหมือนกับผลน้ำเต้าโดนแดด ที่ก้นก็แหลมเหมือนกับเท้าอูฐ นั่นพระพุทธองค์ทรมานขนาดนั้นก็ยังไม่สำเร็จ ลุกขึ้นจะเดินจงกรมก็ล้มสลบลง พวกชาวบ้านเด็กที่เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะก็ช่วยกันปฐมพยาบาลหยอดน้ำหยอดนมฟื้นขึ้นมา พระองค์ก็เห็นว่าไม่ใช่ทางดับทุกข์แล้ว ควรจะบำรุงร่างกายให้แข็งแรงดีกว่าเพื่อจะบำเพ็ญเพียรทางจิตใจ ก็เริ่มหันมาเสวยกระยาหารหยาบ ปัญจวัคคีย์ก็เลยหนีเลยคิดว่าสมณโคดมนี่คลายความเพียรกลายมาเป็นคนมักมาก เสร็จแล้วหมดความหวัง หนีไปเดินทางจากนั้นไปสู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่นั่นก็เป็นที่พวกนักบวชชอบไปอยู่กัน พระพุทธเจ้าก็บำรุงร่างกายแข็งแรงขึ้น สุดท้ายได้รับอาหารข้าวมธุปายาสจากนางสุชาดาถวายพระองค์ฉัน วันเพ็ญเดือนหกก็ไปประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์บำเพ็ญเจริญทางจิตใจ ที่สุดพระองค์ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อตรัสรู้เสวยวิมุตติสุขอยู่ในที่รอบๆ นั้นแห่งละเจ็ดวันๆ เจ็ดแห่ง แล้วก็พิจารณาว่าจะ..ใจพระองค์ตอนแรกก็เห็นไม่ขวนขวายที่จะแสดงธรรม จึงมีมหาพรหมลงมาอาราธนาธรรม พระพุทธองค์ก็เลยพิจารณาว่าสัตว์ที่ยังพอที่จะโปรดได้มีอยู่ ถ้าพ้นจากพระองค์แล้วก็จะขาดไปไม่มีโอกาส
พิจารณาแล้วจะโปรดใครก่อน อาฬารดาบส อุทกดาบส อ้าวก็ตายไปซะก่อนแล้ว ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฌานสมาบัติสูงนี่ เคยสอนเรื่องสมถะไว้ให้ ก็เลยนึกถึงปัญจวัคคีย์ที่เคยอุปฐากพระองค์อยู่ นึกถึงคุณของปัญจวัคคีย์ แล้วก็เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการที่จะโปรดได้ คือพระองค์จะโปรดใครนี่ต้องดูภูมิหลัง นัยว่าสั่งสมบุญบารมีมาเพียงพอมั้ยที่จะโปรด..ฉะนั้นก็โปรด รู้เบื้องหลังของแต่ละคน พระองค์ก็เสด็จไปเดินไปที่จากพุทธคยาจากคยาไปยังเมืองพาราณสี ก็ใช้เวลาจากกลางเพ็ญเดือนหกบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ (๗x๗=๔๙) เดือนกว่า เดินทางไปถึงที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนแปด นี่เดินด้วยเท้าเปล่าไป ไปถึงพวกปัญจวัคคีย์มองเห็นพระพุทธเจ้าเดินมาแต่ไกลก็ปรึกษากัน..เดินมาแล้วสมณโคดมผู้คลายความเพียรมักมากเวียนมาเป็นผู้มักมากนี่ พวกเราไม่ต้องไปต้อนรับท่าน เราปฏิบัติมาก่อนเราเหนือกว่า..ก็คุยกันอย่างนั้น แต่ว่าเราก็จะตั้งอาสนะไว้ ท่านประสงค์จะนั่งก็นั่งไม่นั่งก็แล้วไป พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ทั้งห้าคนก็ลืมตัว องค์หนึ่งก็ลุกขึ้นไปรับบาตรจีวรเพราะเคยปรนนิบัติกันมา องค์หนึ่งก็รีบไปหาน้ำมาล้างเท้า องค์หนึ่งก็คอยล้างเท้า องค์หนึ่งก็ไปถือพัดใบตาลยืนพัดวีให้อยู่ เรียกว่ากระทำวัตรนี่ว่าพึงกระทำวัตร วัตรก็คือสิ่งที่ควรพึงกระทำที่ลูกศิษย์พึงกระทำต่ออาจารย์ เคยปรนนิบัติมาก่อน แล้วก็ลงมานั่งใกล้ๆ แต่ก็ยังกระด้างกระเดื่องอยู่ เรียกพระพุทธองค์ว่าอาวุโสนะ เรียกชื่อด้วยนะ..สิทธัตถะนะ โคดมบ้าง ซึ่งการเรียกชื่อนี่เป็นการบ่งบอกถึงไม่ได้เคารพสูง โดยเฉพาะใช้คำว่าอาวุโส อาวุโสปกติสำหรับผู้มีพรรษามากเรียกผู้มีพรรษาน้อยนะ นี่ชาวบ้านเราไม่เข้าใจก็ไปใช้ผิด เรียกคนอายุมากว่าอาวุโส ที่จริงน่ะพระพรรษามากเรียกพระพรรษาน้อยว่าอาวุโส พรรษาน้อยเรียกผู้มีพรรษามากว่าพันเต พันเตแปลว่าท่านผู้เจริญ อาวุโสนี่แปลว่าผู้มีอายุ คือพระผู้มีพรรษามากเรียกพระผู้น้อยท่านก็จะเรียกแบบยกย่องว่าผู้มีอายุ ถ้าเทียบกับสมัยนี้ก็อาจจะเรียกว่า..คุณ..นะ คุณอย่างนี้เค้าเรียกว่ายกย่องขึ้น คือผู้ใหญ่เรียกผู้น้อยก็เรียกว่า..คุณ
ปัญจวัคคีย์ก็เหมือนกันเรียก..อาวุโสสมณโคดม อะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงห้าม อย่าเรียกอย่างนั้น อย่ากล่าวอย่างนั้น เห็นว่ายังกระด้างกระเดื่อง แล้วก็ยังไม่ฟัง ปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่ฟังก็ยังกระด้างกระเดื่องอยู่อย่างนั้น นี่พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราได้ตรัสรู้แล้ว เราได้ตรัสรู้อมตธรรมแล้ว คือธรรมที่ไม่ตายนี่ ปัญจวัคคีย์ก็บอกว่า โอ..อาวุโสสมณโคดม ตอนท่านทำความเพียรอย่างอุกฤติท่านยังไม่บรรลุได้ นี่ท่านมาเวียนมามักมากนี่ท่านจะบรรลุได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็จึงตรัสว่า เธอลองคิดดูนะว่าคำนี้เราเคยพูดหรือยัง เคยพูดบ้างมั้ย ที่อยู่ด้วยกันมา ๖ ปี พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปี ปัญจวัคคีย์อุปฐากอยู่น่ะเคยได้ยินมั้ยว่าเรากล่าวว่าเราบรรลุธรรมแล้ว เราได้บรรลุ เราได้สำเร็จแล้วตรัสรู้แล้วนี่ เคยได้ยินมั้ย เราเพิ่งกล่าวครั้งนี้เป็นครั้งแรก เธอจะไม่ตั้งใจฟังเชียวหรือ ปัญจวัคคีย์ก็เลยได้คิด เออ..คำนี้เพิ่งเคยได้ฟัง ก่อนโน้นพระพุทธองค์ก็ไม่เคยบอกว่าสำเร็จ แต่นี่เพิ่งมาบอกว่าสำเร็จ ก็เลยเกิดความสนใจตั้งใจฟัง ฉะนั้นพระพุทธองค์ก็แสดงธรรม บอกถึงการทรมานตนน่ะเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค ไม่ได้ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นทางสุดโต่ง ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นได้ พระพุทธองค์ลองมาแล้ว ที่สุดไม่ได้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ส่วนการย่อหย่อนหมกมุ่นอยู่ในกามคุณอารมณ์ก็ไม่ได้ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยค ทางพ้นทุกข์ต้องเป็นมัชฌิมาทางสายกลาง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงมรรคมีองค์ ๘ ให้ฟัง ฉะนั้นการแสดงธรรมครั้งแรกนี่เรียกว่าธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรนะ ทำให้โกญทัญญะนี่บรรลุธรรมเกิดดวงตาเห็นธรรม เรียกว่าเกิดดวงตาเห็นธรรมก็คือบรรลุโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นมานี่เท่ากับเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานเป็นครั้งแรก เป็นอริยบุคคลเป็นผู้ที่ไม่หวั่นไหว ศรัทธาไม่หวั่นไหว อาจาระศรัทธา มีศรัทธาอันมั่นคงและเชื่ออย่างราบคาบในคำสอนพระพุทธองค์เพราะว่าได้ไปสัมผัสความจริง บรรลุอมตธรรมเข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพานนี่
ฉะนั้นอัญญาโกญทัญญะก็เปล่งอุทานว่า [36:55] ..สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา.. พระพุทธเจ้าก็ทรงดีพระทัยนะ พระองค์จึงอุทานออกมาว่า..อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ.. อัญญาสินี่แปลว่ารู้แล้ว..อัญญาสิ วะตะ โภ.. อัญญาโกญทัญญะรู้แล้วหนอ คือพระองค์ดีพระทัย เบิกบานพระทัย การแสดงธรรมของพระพุทธองค์นี่มีผู้บรรลุธรรม พร้อมด้วย..ที่จริงไม่ใช่มีผู้บรรลุธรรมเพียงองค์เดียวนะ พรหมนี่ มหาพรหมนี่ ก็บรรลุธรรมไปด้วยนี่ มหาพรหม ๑๘ โกฏิ (๑๘ โกฏิ ๑๐ ล้านจึงเป็นโกฏิ) ฉะนั้นการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้งจึงมีผู้บรรลุธรรมมาก เพราะไม่ใช่มีแต่มนุษย์ นี่พรหมมากันหนาแน่น ๘ โกฏินี่บรรลุธรรม จากนั้นอัญญาโกญทัญญะก็ขอบวชเลย พระพุทธเจ้าก็บวชให้เดี๋ยวนั้นเลย ..เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้วเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์.. ก็สำเร็จเป็นภิกษุแล้ว การบวชอย่างนี้เรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา ภิกษุที่บวชแบบนี้เรียกว่า เอหิภิกขุ จะมีได้เฉพาะในสมัยพระพุทธเจ้าแรกๆ สมัยนี้ใครจะไปบวชแบบนี้ไม่ได้นะ นี่ไปบวชกันเองแบบนี้ไม่ได้ ต้องอาศัยสงฆ์ พระพุทธเจ้ามอบให้สงฆ์ทำการบวชในระยะต่อมา
ฉะนั้นในวันเพ็ญเดือนแปดนี่เท่ากับเป็นวันเกิดขึ้นของพระสงฆ์ ครบพระรัตนตรัยเลย พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งแรกพระสงฆ์เกิดขึ้น จัดเป็นวันอาสาฬหบูชา อาสาฬหะก็วันเพ็ญเดือนแปด แล้ววันต่อมาพระพุทธเจ้าก็แสดงสั่งสอนธรรมปัญจวัคคีย์ที่ชื่อว่าวัปปะ ก็ได้บรรลุเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นโสดาบัน เท่ากับแรม ๑ ค่ำนี่วัปปะบรรลุโสดาบัน แรม ๒ ค่ำ ภัททิยะก็บรรลุโสดาบัน แรม ๓ ค่ำ มหานามะก็บรรลุเกิดดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นโสดาบัน แรม ๔ ค่ำ อัสสชิก็เกิดดวงตาเห็นธรรม พระพุทธเจ้าก็จะอบรมแนะนำอยู่ ตกลงว่าถึงแรม ๔ ค่ำนี่มีภิกษุครบบวชกันหมด พอบรรลุธรรมก็บวชๆ ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าบวชเป็นพระภิกษุ พอถึงแรม ๕ ค่ำ พระพุทธเจ้าก็เรียกปัญจวัคคีย์ทั้งห้ามารวมกัน แล้วพระพุทธองค์ก็แสดงอนัตตลักขณสูตร ซึ่งเป็นการแสดงธรรมอีกสูตรหนึ่ง ทำให้ปัญจวัคคีย์บรรลุเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะกิเลส ฉะนั้นอัญญาโกญทัญญะจึงถือว่าเป็นภิกษุรูปแรก ได้เกิดดวงตาเห็นธรรมเป็นภิกษุบวชเป็นรูปแรก ท่านเป็นผู้ที่ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้มาแต่อดีต ฉะนั้นท่านก็ได้รับเอตทัคคะคือพระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีกาลอันยาวนาน บวชมาก่อนใคร ท่านได้มากราบขออนุญาตพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์นะ คือท่านอยู่ไม่สะดวก ไม่ถูกอัธยาศัยที่จะอยู่รวมกับหมู่คณะผู้คนมาก ก็มาขออนุญาตพระองค์จะไปอยู่ที่แถวริมสระที่ฉัททันต์ที่ในป่าหิมพานต์ ฉะนั้นท่านก็ไปอยู่ที่นั่น เพราะว่าที่นั่นจะมีช้างโขลงช้างอยู่ โขลงช้างนี้ก็โขลงช้างฉัททันต์นั่นแหละมาปรนนิบัติท่านอยู่ ความจริงที่สระนั้นก็ไม่ได้ชื่อว่าฉัททันต์หรอกเดิม ชื่อว่ามนธารนที แต่ว่าเป็นที่อยู่ของพวกโขลงช้างที่ชื่อว่าฉัททันต์ ก็เลยเรียกว่าสระฉัททันต์ นะท่านก็ไปอยู่ที่นั่นน่ะมีความผาสุก แล้วท่านก็ไปบิณฑบาต บิณฑบาตท่านก็บิณฑบาตในนั้นน่ะในป่าหิมพานต์ ก็จะมีเทวดามาใส่ข้าวมธุปายาสน้ำน้อยให้ท่านอยู่ นี่ก็เกิดจากการสั่งสมบุญบารมีมา ท่านก็จะแสดงธรรมก็จะมีเทวดา มีท้าวสักกะเทวราช มาฟังชื่นชมในพระธรรมของท่าน เรียกว่าอยู่ในป่า
ทีนี้ท่านสั่งสมบุญบารมีมาอย่างไร ในสมัยถอยหลังจากภัทรกัปนี้ไปถึงแสนกัปนี่ ท่านได้เคยตั้งความปรารถนาไว้ต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระนามว่าพระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าท่านเสด็จไปไหนก็จะมีดอกบัวรับพระบาทตลอด ความกว้างของดอกบัวที่ขึ้นมารับนี่กว้างถึง ๙๐ ศอก ยาวถึง ๑๒ ศอก แล้วยังมีที่วางพระบาทนี่ ๑๑ ศอก จะมีเกสร เกสรของดอกบัวนี่ยาว ๓๐ ศอก สรีระของพระพุทธเจ้าที่ทรงพระนามว่าพระปทุมุตรนี่ ท่านจะมีความสูงถึงพระองค์จะมีความสูงถึง ๕๘ ศอกนะ รัศมีที่แผ่ออกไปจากพระวรกายนี่จะเป็นเหมือนสายน้ำทอง แผ่รัศมีไปกว้าง ๑๒ โยชน์ (โยชน์หนึ่งก็ ๑๒ กิโลเมตร) นะคูณดู แล้วเวลาท่านย่างพระบาทไปปุ๊บนี่ก็จะมีดอกบัวขึ้นมารับ แล้วเกสรก็จะพุ่งขึ้นไปโปรยละอองทั่วพระวรกายของท่าน พอย่างพระบาทที่สองก็มีดอกบัวมารับ ยกพระบาทปุ๊บดอกบัวนั้นก็หายไป ก็มารับ เป็นอย่างนี้ตลอด ท่านจึงได้พระนามว่าพระปทุมุตร ปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระอัญญาโกญทัญญะนี่ ในสมัยของพระพุทธเจ้าปทุมุตรนี่ก็เกิดในตระกูลพราหมณ์คหบดี ไปเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาลเมืองหงสาวดี วันหนึ่งเห็นประชาชนถือดอกไม้ธูปเทียนเข้าไป ก็สอบถามได้ความว่าไปฟังธรรม ก็ตามเข้าไปก็เกิดศรัทธา พอฟังธรรมแล้วก็เกิดศรัทธา จึงเข้าไปกราบนิมนต์พระพุทธเจ้าฉันภัตตาหารที่บ้านของตน พร้อมด้วยพระสงฆ์หนึ่งแสนรูป มีพระสงฆ์หนึ่งแสนรูปเป็นบริวารอยู่ นิมนต์ทั้งหมด กลับมาตกแต่งเตรียมการคืนทั้งคืนนี่ จัดสถานที่ตกแต่งดอกไม้ของหอม เสนาสนะ อาหาร รุ่งเช้าก็กราบนิมนต์พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ มาฉัน พอฉันเสร็จก็นำผ้าหนึ่งคู่น้อมไปถวายพระพุทธเจ้า แล้วก็คิดว่า คือวันที่ไปฟังธรรมน่ะเห็นพระพุทธเจ้า วันนั้นพระองค์แต่งตั้งพระสาวกรูปหนึ่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในรัตตัญญู เป็นผู้ราตรีกาล มีใจชอบปรารถนาอยากเป็นอย่างนั้น อยากเป็นพระสงฆ์ที่เป็นผู้เลิศรัตตัญญู นิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหาร แล้วก็คิดว่า เอ..การที่เราปรารถนาอย่างนี้ถวายวันเดียวคงยังไม่พอ ก็นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยสาวกหนึ่งแสนฉันภัตตาหารติดต่อกันรวม ๗ วัน
ในวันที่ ๗ ก็ได้เปิดคลังนำผ้าเอามาถวาย ผ้าไตรนี่ ผ้าจีวร ถวายภิกษุสงฆ์ทั้งหมดทุกรูปๆ แล้วก็ตั้งความปรารถนาต่อหน้าพระพักตร์ การที่ข้าพระองค์ได้ทำบุญทำกุศลอย่างนี้มีความปรารถนาที่จะเป็นอย่างที่ภิกษุเมื่อ ๗ วันก่อนนั้น ที่พระองค์ได้แต่งตั้งว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในรัตตัญญู พระปทุมุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงใช้อานาคตังสญาณตรวจดู คือญาณพระพุทธเจ้านี่จะไม่มีอะไรขัดข้อง จะตรวจดูไปไกลแค่ไหนก็ได้ ก็รู้ว่าความปรารถนาของบุรุษผู้นี้จะประสพจะสมความปรารถนา พระองค์ก็จึงได้ตรัสว่า ความปรารถนาของเธอจะสำเร็จนับตั้งแต่นี้ไปอีกแสนกัป แสนมหากัป เธอจะได้ฟังธรรมครั้งแรกจากพระพุทธเจ้าที่มีนามว่าพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้เกิดดวงตาเห็นธรรมและได้บวช จะได้รับประกาศยกย่องเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านรัตตัญญู นี่ได้รับพยากรณ์มาก่อนเลย พอได้ฟังเช่นนั้นก็ปลื้มปีติ แล้วก็บำเพ็ญบุญกุศลนานัปการตลอดชีวิตมา นะนี่ก็คืออดีตของพระอัญญาโกญทัญญะที่ได้ตั้งความปรารถนาบำเพ็ญกุศล แล้วถอยหลังมา ถอยหลังจากภัทรกัปนี้ไป ๙๑ กัป นะที่กล่าวเมื่อกี้นี้แสนกัป ร่นลงมาอีก ๙๑ กัป นี่ถ้าในยุคของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี อ้อ..ในสมัยของพระพุทธเจ้าปทุมุตรนี่ อดีตของอัญญาโกญทัญญะนี่ท่านได้ทำความดีไว้อีกอย่าง คือหลังจากพระพุทธเจ้าปทุมุตรปรินิพพานแล้วนี่ ดับขันธ์ปรินิพพานแล้วนี่ อัฐิธาตุของพระองค์นี่จะรวมกันเป็นแท่งเดียว มีเสมือนทองคำ เป็นแท่งทองคำ ก็จะถูกบรรจุไว้บนเจดีย์ บรรจุไว้ในเจดีย์สูง ๗ โยชน์ เจดีย์นั้นน่ะเอาอิฐทองคำมาทำเลย สูง ๗ โยชน์ แล้วเกิดรัศมีแผ่ออกจากเจดีย์นี่ไกลไปถึง ๑๐๐ โยชน์ โกญทัญญะในอดีตนั้นได้มีศรัทธาสร้างเรือนยอด เรือนยอดก็คือเรือนที่มีปราสาทแหลมๆ ขึ้นไปนี่ ประดับด้วยแก้วนับพันดวงไว้รอบๆ พระเจดีย์นั้นโดยรอบนะ แล้วก็สร้างเรือนแก้วไว้ภายในพระเจดีย์ นี่ทำความดีอย่างนั้นตลอด ทำความดีตลอดหนึ่งแสนปีเพราะอายุในสมัยนั้นเค้าอายุยืนมาก อายุมนุษย์ในสมัยนั้นไม่ใช่แค่ ๑๐๐ ปี เหมือนปัจจุบัน อายุมนุษย์นี่มีสูงมีต่ำบางทีก็เป็นหมื่นเป็นแสนนี่อายุ สร้างความดีตลอดหนึ่งแสนปี
พ้นจากนั้นก็ไปสู่สวรรค์ เกิดตายอยู่ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์อย่างนั้นน่ะตลอด นี่เป็นตลอดเก้าหมื่นกัป เก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยกัป แล้วมาในกัปที่ ๙๑ นี่ที่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสีนี่ ก็มาเกิดเป็นลูกของกระฎุมพี คำว่ากระฎุมพีก็หมายถึงเศรษฐีย่อยๆ บ้านรามคาม ใกล้เมืองพันธุมดี มีชื่อว่ามหากาล น้องชายชื่อว่าจูลกาล พระพุทธเจ้าวิปัสสีนี่ก็เป็นโอรสของอัครมเหสีของพระเจ้าพันธุมดี เมื่อพระโอรสออกบวช พระองค์ออกบวชแล้วนี่ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ก็ได้กลับมาโปรดแสดงธรรมครั้งแรกกับน้องชาย เป็นอนุชาชื่อว่าขัณฑกุมาร กับติสสกุมารผู้เป็นบุตรของปุโรหิต ได้สองคนนี้มาเป็นภิกษุ แล้วตอนหลังก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครสาวก เมื่อพระพุทธเจ้าวิปัสสีมาแสดงธรรมโปรดขัณฑกุมารสำเร็จแล้ว ก็ได้โปรดพระบิดาพระเจ้าพันธุมดี พระราชบิดาก็ได้ฟังธรรมเกิดความเลื่อมใส เห็นว่าโอรสของตนเองแวดล้อมด้วยหมู่พระสงฆ์จำนวนมาก มีใจเลื่อมใสศรัทธาคิดว่าโอรสของเราก่อนโน้นเราก็เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูมา บัดนี้เป็นพระพุทธเจ้ามีภิกษุสงฆ์เป็นแสนบริวาร ก็ควรที่จะเป็นภาระของเราที่จะต้องดูแล จึงได้เอาต้น ให้ทำกำแพงล้อมบังตั้งแต่ที่ประทับของพระพุทธเจ้ามาสู่พระนคร เอาต้นตะเคียนให้เกณฑ์มาทำกำแพง ไม้ตะเคียนน่ะบังไว้หมดจากที่ประทับของพระพุทธเจ้ามาสู่พระนครสองข้างทาง ข้างบนก็ดารดาษไปด้วยผ้า ตกแต่งดอกไม้ของหอม เรียกว่าไม่ให้มีใครทำบุญเลย คิดว่าจะทำบุญอยู่คนเดียว พอถึงเวลาพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ ก็เสด็จจากที่ประทับมาในวังนี่ ผ่านมาระหว่างสองข้างทางที่เป็นกำแพงไม้ตะเคียนนี่ ทำบุญอยู่อย่างนี้ ๗ ปี ๗ เดือน อยู่อย่างนั้น
จนกระทั่งประชาชนอึดอัด ว่าพระราชานี่เล่นยึดพระพุทธเจ้าไว้องค์เดียวนี่ ถวายอยู่องค์เดียว พวกเราไม่มีโอกาสเลย พระพุทธเจ้าต้องเป็นที่พึ่งของมหาชน นี่พระราชายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ซะองค์เดียว ทำอย่างไรพวกเรารวมตัวกันไปกราบทูล ถ้าพระองค์ไม่ยอมก็ต้องสู้รบกัน ประชาชนจะสู้รบชิงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาให้ได้นะ การที่เราจะไปกราบทูลต่อรองนี่เราก็เจรจาไม่เก่ง เอาเสนาบดีมาเป็นพวก ก็ไปถามเสนาบดีว่านี่ท่านจะเป็นพวกของพระราชาหรือจะเป็นพวกของประชาชน เสนาบดีก็บอกว่าข้าพเจ้าก็ต้องเป็นพวกของประชาชน อ้าว..ถ้าอย่างนั้นท่านจัดการนำพาพวกเรา ให้ท่านไปพูดก่อนไปต่อรอง เสนาบดีก็มาต่อรองกับพระราชา บัดนี้ประชาชนกำลังจะเตรียมสู้รบกับพระองค์แล้ว ที่จะชิงเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไป พระองค์จะว่าอย่างไร พระราชาก็ไม่ยอมเหมือนกัน บอกสู้รบก็ต้องสู้รบกันสิ แล้วพระองค์จะสู้รบได้อย่างไร อ้าว..ก็เธอน่ะเสนาบดี เธอต้องไปกับเราด้วย ข้าพเจ้าก็เห็นว่าทาสของพระองค์ทั้งหลายก็ไปเข้าพวกประชาชนหมดแล้ว พระองค์จะเอาใครล่ะ ที่สุดพระราชาก็ต้องยอม ยอมต่อประชาชน บอกว่าเอาถ้าอย่างนั้นเรายอมแล้ว แต่ว่าขอให้เราทำบุญอีกสัก ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วเราจะยอม ไม่ได้ ประชาชนก็ไม่ยอม ลดลงมาเหลือ ๖ ปี ๕ ปี ก็ไม่ยอม นั้นขอ ๗ วัน เอ้า ๗ วันพอได้ พระราชาก็เลยทำบุญ เสบียงที่เตรียมไว้ที่จะทำบุญ ๗ ปี ๗ เดือน เอามารวมทำบุญ ๗ วันนี่ แล้วก็เปิดกำแพงที่ปิดกั้นให้ประชาชนได้เห็น แล้วบอกว่านี่พวกประชาชนน่ะจะทำได้อย่างพระองค์หรือเปล่านี่สมบัติมากมายขนาดนี้ ประชาชนก็บอกว่า พระองค์นั้นน่ะได้รับสมบัติจากภาษีอากรของพวกข้าพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์ก็ต้องทำได้ เพราะสมบัติเหล่านี้ก็มาจากเงินของประชาชน เพราะฉะนั้นประชาชนก็จะเอาเงินนั้นแหละทำบุญให้ได้ ก็พอครบกำหนด ก็เสนาบดีเค้าต่อรองกับประชาชนไว้ก่อนว่า ถ้าสำเร็จนี่ขอให้ข้าพเจ้าต้องทำบุญก่อนเป็นวันแรกนะ..ก็ตกลง พ้นจากพระราชามา เสนาบดีก็ทำบุญ ประชาชนก็ทำบุญ ก็สลับกันคนละวัน ประชาชนวันหนึ่ง พระราชาวันหนึ่ง แข่งกันทำ ตอนประชาชนทำก็ทำให้มากยิ่งกว่าพระราชาเข้าไปอีก
พอมาถึงวาระที่มหากาล มหากาลก็มีบ้านอยู่แถวใกล้ประตูเมือง ก็ปรึกษาน้องชายว่า..เอ้า..ถึงวาระที่เราจะทำบุญแล้วนะ เราคิดว่าเราจะเอานาทั้งหมด เราจะผ่าท้องข้าวกล้าเอาข้าวที่กำลังตั้งท้องนี่มาทำน้ำยาคูถวาย น้องชายก็ไม่เห็นด้วย ทำไมพี่คิดขนาดนั้น นาข้าวมากมายจะทำขนาดนั้น มหากาลเห็นน้องไม่ศรัทธาก็เลยแบ่งนากันคนละครึ่ง ส่วนที่แบ่งมาแล้วตัวเองก็เกณฑ์ให้ผ่าท้องข้าวกล้าที่กำลังตั้งท้อง คัดเอามาทำน้ำยาคูถวายพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ แล้วก็ทำบุญอย่างนี้มาทุกระยะ ไม่ว่าข้าวกำลังออกรวง พอข้าวโตขึ้นพอที่จะทำข้าวเม่าได้ก็ทำข้าวเม่าถวาย เสร็จแล้วก็พอข้าวแก่ก็ถวาย พอตอนเกี่ยวก็ทำถวาย พอทำขะเน็ดก็ถวายอีก ตอนมัดเป็นฟ่อน ตอนขนฟ่อนข้าว ตอนเข้ายุ้ง ถวายเป็นระยะๆ มาได้ ๙ ครั้ง นะทำบุญ แล้วก็ทำบุญมาขนาดนี้อดีตของพระอัญญาโกญทัญญะ เพราะฉะนั้นความปรารถนาที่เค้าตั้งไว้แต่เดิมนี่จึงมาให้ผล จึงได้เป็นผู้ที่ได้สามารถบรรลุธรรมเป็นองค์แรก เป็นพระสาวกองค์แรก นำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเพื่อเป็นเครื่องศรัทธาปสาทะว่าชีวิตพวกเราต้องสะสมบุญบารมีไว้ เราก็จะได้ประสบความสำเร็จเหมือนดั่งที่พระอัญญาโกญทัญญะทำบุญ [62:33] เราเกิดมาชาตินี้ก็ยังมีโอกาสเพราะว่าพระพุทธศาสนายังปรากฏ แม้พระพุทธองค์จะปรินิพพานไปแล้ว เราก็สามารถจะสร้างความดี สร้างบุญสร้างกุศลในพระพุทธศาสนา ในการบำเพ็ญทั้งทาน ทั้งศีล โดยเฉพาะการเจริญภาวนา สะสมสติ สมาธิ ปัญญาของเราเรื่อยไป เราก็มีโอกาสที่จะได้พบ ถ้าชาตินี้เราไม่สำเร็จ บุญกุศลนี้ก็จะส่งให้เรามีชีวิตอยู่ในสุคติภพ อยู่ในสวรรค์ อยู่ในมนุษย์โลก ไม่ลงไปสู่อบายภูมิ แล้วก็เราก็จะได้มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต ได้ฟังธรรม ก็จะมีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรมบ้าง วันนี้ก็ใช้เวลามาเกิน ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่านเทอญ.