แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะมัตถุ ระตะนัตตะยัสสะ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรม
จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
จากนี้ไปก็พึงตั้งใจฟังธรรมะ
ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อความรู้ความเข้าใจ เป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติ
เมื่อตอนบ่ายได้อบรมให้ทราบถึงสภาวะเป็นอย่างไร
ตอนบ่ายได้พูดถึงสภาวะ
ถามว่าสภาวะคืออะไร สภาวะหมายถึงสิ่งอะไร
สิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่จริงจริง
สภาพธรรมก็ได้ เรียกว่าสภาวะธรรมก็ได้
เรียกว่าปรมัตถ์ ก็ได้ เรียกว่าธาตุ
เรียกว่าธรรมชาติ เรียกว่าขันธ์ห้า
เรียกว่ารูปธรรม นามธรรมก็ได้
ฉะนั้นเวลาที่ไปฟังครูบาอาจารย์สอน
ถ้าเราได้ยินว่า เจริญวิปัสสนาให้กำหนดรู้รูปนาม
เราก็ต้องเข้าใจว่า มันก็คือสภาวะ
ไปอีกแห่งหนึ่งอาจจะพูดว่า ให้กำหนดขันธ์ห้า
มันก็คือสภาวะนั่นแหละ ขันธ์ห้า
แต่อีกแห่งอาจจะพูดว่าให้กำหนดธาตุ
หรือสภาวะ ก็คือสภาวะนั่นแหละ
ไปอีกแห่งให้บอกว่ากำหนดปรมัตถ์ ก็คือสภาวะ
สิ่งเดียวกัน มีชื่อได้หลายอย่าง
เหมือนคนคนหนึ่ง มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง
ชื่อจริงบ้าง ชื่อเล่นบ้าง
คน คนนั้น อยู่บ้าน
ถ้าเป็นลูกเขาก็เรียกว่าพ่อใช่ไหม แม่
ถ้าเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้องก็เรียกกันไปอย่าง
ก็คือคนนั้นแหละ
ไปที่ทำงาน เขาก็เรียกอีกอย่าง
เจ้านายบ้าง หัวหน้าบ้าง
สิ่งเดียวกันก็มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง
เรียกว่าสภาวะก็ได้ เรียกว่าสภาพธรรม
ปรมัตถธรรม รูปธรรม นามธรรม ขันธ์ห้า ธาตุ
ก็เรียกไป ก็คือสิ่งที่มันเป็นจริง
สิ่งที่เป็นจริงที่ปรากฏอยู่ที่ร่างกาย ได้แก่อะไรบ้าง
ที่ให้กำหนดไปเมื่อตอนบ่าย
ให้กำหนดดู ทดลองกำหนดดู
มีอะไรบ้างที่เป็นสภาวะที่กาย
ความหนัก ความเบา มีไหม
ตึงหย่อน เย็นร้อน อ่อนแข็ง หย่อนตึง
สบายไม่สบาย นี่คือตัวสภาวะ
สภาวะทางใจได้แก่อะไรบ้าง
ใจนี้ก็มีชื่อเรียกได้หลายอย่างอีกเหมือนกัน
เรียกว่าจิตก็ได้ เรียกว่ามโนก็ได้
เดี๋ยวนี้เอาไปใช้กัน มโน มโน
มโนก็คือใจ ภาษาไทยก็ใจ บาลีก็มโน หรือจิต
จิตตะ จิต วิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ
ก็คือสิ่งเดียวกัน มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง
บางทีก็เรียกสองคำ สองอย่าง
จิตใจ ให้กำหนดดูจิตใจ
ที่จริง คำว่าจิตก็รู้เรื่อง ใจ ก็ใช้ได้แล้ว
แต่ว่าบางครั้งพูดแล้วฟังไม่ทัน
พูดจิต บางทีฟังไม่ทัน
จิตใจ มันก็ทำให้ฟังทัน
คำว่าสุขคืออะไร สุข
สบายใช่ไหม สบายคืออะไร ก็คือสุข
บางทีเราก็พูดสุขสบาย
ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไร สุขสบายไหม
สุขสบาย สุขก็คือสบาย สบายก็คือสุข
แต่เราก็พูดสองคำ สุขสบาย
เหมือนจิต จิตก็คือใจ ใจก็คือจิต
บางทีก็พูด จิตใจ สองคำเพื่อให้มันฟังชัด
ฟังคำเดียวพยางค์เดียว ฟังไม่ทัน
ฉะนั้น เรียกว่าจิต เรียกว่าใจ เรียกว่ามโน
เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณขันธ์ วิญญาณธาตุ
ก็คือสิ่งเดียวกัน มีสภาพอย่างไร
จิตมีสภาพอย่างไร จิต
มีไหมในตัวขณะนี้ จิต
วิญญาณมีไหม ขณะนี้
มีวิญญาณแฝงอยู่ในตัวไหม ขณะนี้
ถ้าไม่มี คนไม่มีวิญญาณเป็นอย่างไร นอนแน่นิ่ง
แสดงว่าขณะนี้มีวิญญาณแฝงอยู่ในร่างนี้ใช่ไหม มี
ขณะนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีวิญญาณแฝงอยู่ทั้งนั้น
ถ้าสิ้นชีวิต วิญญาณไม่มีแล้ว ร่างกายนี้เป็นอย่างไร
นอนแน่นิ่ง นี่คนตาย
แต่ขณะนี้ที่นั่งอยู่ได้ เพราะวิญญาณบังคับอยู่
ง่วงก็บังคับไว้ให้นั่งอยู่
เมื่อยก็ วิญญาณก็บอก ยังไปไม่ได้ต้องอยู่
ร่างกายก็ปวดเมื่อยอยู่ วิญญาณก็บอก ยังต้องอยู่
เพราะมีวิญญาณควบคุมไว้อยู่
วิญญาณ หรือจิตเกิดขึ้นมา จะต้องรับรู้อารมณ์ทุกครั้ง
ฉะนั้นอารมณ์กับวิญญาณ ต่างกันอย่างไร
อารมณ์กับวิญญาณ
ใครจะเป็นฝ่ายถูกรู้ ใครจะเป็นฝ่ายผู้รู้
อารมณ์กับวิญญาณ หรืออารมณ์กับจิต
ใครเป็นฝ่ายถูกรู้ ใครเป็นฝ่ายผู้รู้
อารมณ์เป็นฝ่ายถูกรู้ หรือฝ่ายผู้รู้
(ผป) ฝ่ายถูกรู้
ฝ่ายถูกรู้
เพราะฉะนั้นจิตคืออะไร จิตคือผู้รู้ รู้อะไร
จิตเป็นฝ่ายผู้รู้ รู้อะไร รู้อารมณ์
เพราะฉะนั้นอารมณ์คืออะไร
ก็ไม่ได้ไปไหนเลยอยู่แค่ตรงนี้
ตอบไม่ได้อีก
จิตคือ รู้อารมณ์ เพราะฉะนั้นอารมณ์คืออะไร
ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้ของจิต
จิตไปรู้สิ่งใดสิ่งนั้นก็เป็นอารมณ์
จิตไปรับรู้สีสันต่างต่างได้ไหม ได้
ฉะนั้นสีสันต่างต่างที่มาปรากฏทางตา
ก็เป็นอารมณ์อันหนึ่ง เรียกว่ารูปารมณ์ สีต่างต่าง
จิตไปรับรู้เสียงได้ไหม
(ผป) ได้
เพราะฉะนั้นเสียงก็เป็น อารมณ์อันหนึ่ง
สัททะ คือเสียง
สัททะ บวกกับคำว่าอารมณ์ก็กลายเป็น สัททารมณ์
ได้แก่เสียงต่างต่าง
เสียงเป็นอารมณ์ จิตไปรับรู้เสียงได้
จิตไปรับรู้เสียง ตอนไหน
ตอนมีเสียงมากระทบหู
จิตก็เกิดขึ้นที่หู รับรู้เสียง
จิตที่รับรู้เสียง เรียกว่าอะไร ทำหน้าที่อะไร ได้ยิน
ทำหน้าที่ได้ยิน ได้ยินอะไร
(ผป) ได้ยินเสียง
ได้ยินเสียง
ตกลงว่า เสียงกับได้ยินอันเดียวกันไหม
เสียงกับได้ยิน เสียงเป็นอะไร เป็นอารมณ์
ได้ยินเป็นจิต
ได้ยินกับหูอันเดียวกันไหม
การได้ยินเสียงกับหู เป็นอันเดียวกันหรือไม่
หูเป็นตัวได้ยินเสียงหรือเปล่า
เวลานอนหลับมีหูไหม
(ผป) มี
ได้ยินเสียงไหม
(ผป) ได้ยิน
ใครได้ยินหรือ ตอนนอนหลับ
หลับสนิทได้ยินเสียงหรือ
ตอนนอนหลับได้ยินเสียงไหม
(ผป) ไม่ได้ยิน
ไม่ได้ยิน แล้วยังมีหูอยู่ไหม
(ผป) มี
ถ้าหูเป็นตัวได้ยิน เวลานอนหลับก็ต้องได้ยิน
เพราะอะไร หูยังอยู่ ไม่ได้เก็บหูไปไหน
ฉะนั้นหูไม่ได้เป็นตัวได้ยินเสียง
ตัวได้ยินเสียงมันคืออะไร
(ผป) จิต
จิต
แล้วหูเป็นอะไร
เป็นตัวรับ เป็นตัวเครื่องรับเสียง
รับเสียงแต่ไม่ได้ยินเสียง
เหมือนกระจก เป็นตัวรับภาพสะท้อน
มันรับภาพสะท้อนได้ ภาพเงามา
แต่มันรู้เรื่องไหม กระจก ก็ไม่รู้เรื่อง
ประสาทหูรับเสียง แต่ไม่ได้ยินเสียง
ตัวได้ยินนั่นคือจิต
ฉะนั้นมีเสียงมากระทบประสาทหู จึงเกิดได้ยินขึ้น
รวมความว่ามีกี่อย่าง
มีเสียง มีประสาทหู มีได้ยิน
ได้ยิน เขาเรียกว่าโสตวิญญาณ
สามสิ่งประชุมกันเรียกว่า ผัสสะ
ผัสสะที่เกิดขึ้นทางหูเรียกว่าโสตสัมผัส
เมื่อเกิดการผัสสะขึ้นทางหู ได้ยินเสียง
ทำให้เกิดอะไรต่อมา
ผัสสะ ปัจจยา เวทนา
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดอะไร เวทนา
เวทนาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร
เวทนามีลักษณะ เสวยอารมณ์
เสวยอารมณ์แล้วรู้สึกสบาย เรียกว่า สุขเวทนา
เสวยอารมณ์แล้วรู้สึกไม่สบาย เรียกว่า ทุกขเวทนา
เสวยอารมณ์แล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ คือเฉยเฉย
เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา
เวทนา เกิดขึ้นจากอะไร
อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
ที่พูดเมื่อกี้ ผัสสะ เป็นปัจจัยต่อเวทนา
ผัสสะก็คือสิ่งประกอบกันสามอย่าง ได้แก่อะไร
เสียง ประสาทหู แล้วก็ได้ยิน หรือโสตวิญญาณ
จิตที่เกิดทางหู รวมเรียกว่าผัสสะ
จึงเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เฉยเฉยบ้าง
เวทนาที่เกิดขึ้น ถามว่าเที่ยง หรือไม่เที่ยง
ทำไมจึงไม่เที่ยง
เวทนา สุขบ้าง ทุกข์บ้างเปลี่ยนแปลง
เรียกว่าไม่เที่ยง
ทำไมมันจึงเปลี่ยนแปลง ทำไมมันจึงไม่เที่ยง
เพราะมันเกิดจากอะไร มันเกิดจากผัสสะ
ผัสสะเที่ยงไหม เสียงกระทบหูแล้วดับไปไหม ดับ
ประสาทหูเกิดดับไหม ได้ยินแล้วดับไหม
เปลี่ยนแปลงไหม มันเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้น เวทนา จึงต้องเปลี่ยนแปลง
เมื่อเหตุปัจจัยมันเปลี่ยนแปลง
ตัวผลจะไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
เวทนาก็ต้องเปลี่ยนแปลง
เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดับไปไหม
เปลี่ยนแล้วดับไหม ดับ
เดี๋ยวเกิดใหม่ เมื่อมีเหตุปัจจัยมันก็เกิดใหม่
แล้วก็ดับใหม่ เกิดใหม่ดับใหม่
บังคับได้ไหมว่าอย่าเปลี่ยนแปลง
อย่าแตก อย่าดับ บังคับได้ไหม
เพราะฉะนั้นเวทนา ใช่ตัวเราหรือ ใช่ไหม
ที่สบายไม่สบาย ใช่ตัวเราหรือ
ไม่ใช่ตัวเรา
แต่เป็นของเราใช่ไหม
ใช่ ก็ยึดมั่นถือมั่นอยู่ อุปาทานเข้าไปยึด
จริงจริงแล้ว เวทนาไม่ใช่ของเรา
อยู่ในเราหรือเปล่า
ถ้าอยู่ในเรา ก็แสดงว่ามีตัวเรา
ในชีวิตนี้มีตัวเราไหม
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน
เพราะฉะนั้นตัวเราไม่มี
เวทนาจะอยู่ในเราได้อย่างไร
เวทนาก็ไม่อยู่ในเราหรือ ไม่ได้อยู่ในเรา
มีเรามาอยู่ในเวทนานี้หรือ มีไหม ไม่มี
ที่ต้องเจริญสติ กำหนดรู้เวทนาที่เกิดขึ้น
เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง
เวลาเวทนาเกิดขึ้น เวลาผัสสะกระทบอารมณ์
กระทบเสียง ได้ยินเสียง
เกิดเวทนา สุขบ้าง ทุกข์ ให้มีสติระลึกรู้อยู่เนืองเนือง
เพื่อให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า
เวทนา เที่ยง หรือไม่เที่ยง
ให้เห็นว่าเวทนาไม่เที่ยง
ให้เห็นว่าเวทนาเป็นสุข หรือเป็นทุกข์
เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ตั้งอยู่ไม่ได้
ให้เห็นว่าเวทนาเป็นอัตตา หรืออนัตตา
เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา
ที่ต้องกำหนดรู้กันอยู่นี่
เพื่อให้เกิดความรู้เห็นตามความเป็นจริงขึ้น
อารมณ์ที่มาปรากฏทางจมูก คืออะไร
อารมณ์ที่มาปรากฏทางจมูก ได้แก่อะไร
กลิ่นต่างต่าง เป็นรูปมาปรากฏทางจมูก
สิ่งที่เป็นเครื่องรับกลิ่นคืออะไร ประสาทจมูก
พอกลิ่นมากระทบกับประสาทจมูก
ทำให้เกิดวิญญาณขึ้นที่จมูก
วิญญาณที่เกิดขึ้นที่จมูก เขาเรียกว่า ฆานวิญญาณ
ทำหน้าที่อะไร รู้กลิ่น
สิ่งสามสิ่งรวมกันประชุมพร้อมกัน จึงเรียกว่าผัสสะ
ฆานสัมผัส เมื่อเกิดผัสสะ
ผัสสะก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร เวทนา
ถ้าได้กลิ่นหอมรู้สึกเป็นยังไง สุขเวทนา
ได้กลิ่นเหม็นเป็นทุกขเวทนา
กลิ่นธรรมดาก็เฉยเฉย
เที่ยง หรือไม่เที่ยง
เป็นสุข หรือเป็นทุกข์
(ผป) เป็นทุกข์
เป็นทุกข์ หมายถึงอย่างไร
ทนอยู่ ตั้งอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ ต้องดับ
บังคับได้ไหม อย่าเปลี่ยนแปลง
อย่าเกิดดับ บังคับได้ไหม
เมื่อบังคับไม่ได้ ควรหรือจะยึดถือว่านั่นเป็นตัวเรา
ควรยึดถือไหม นั่นเป็นของเราหรือ
ก็ไม่ใช่ของเรา
อยู่ในเราหรือ ก็ไม่มี
มีเรามาอยู่ในสิ่งเหล่านี้หรือ ก็ไม่มี
ถ้าปฏิบัติก็จะเห็นแจ้งตามความเป็นจริง
ว่าสิ่งเหล่านี้ก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่ง
สิ่งเหล่านี้ ทำไมต้องเอามาพูด
สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง
การเห็น การได้ยิน รู้
มันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมดา
ทำไมต้องมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ
เพราะอะไร ทำไมถึงต้องมาพูด
ทำไมต้องมาดูกันทำไม
เพราะว่าหลงยึด เห็นผิด ยึดติดว่าเป็นตัวตน
เป็นตัวเราของเรา จริงไหม
เวลาเห็น ยึดไหมว่าเป็นตัวเราเห็น
เวลาได้ยิน ยึดถือไหมว่าเป็นตัวเราได้ยิน
เวลารู้กลิ่น ยึดไหมว่าเป็นตัวเรารู้กลิ่น
เป็นความเห็นผิด หรือเห็นถูก เห็นผิดยึดผิด
แล้วจะปล่อยให้มันติดอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรือ
ปัญญาไม่เกิด ไม่รู้แจ้งก็หลงงมงาย หลงผิด เห็นผิด
ชีวิตก็จะต้องเกิดอีก แก่อีก เจ็บอีก ตายอีก
พอใจหรือกับการเกิด
มีใครชอบการเกิดบ้าง มีไหม
ว่าการเกิดดี เกิดแล้วดีมีสุข สนุกสนาน
ชอบไหม เกิดนี่
ใครรู้สึกเห็นว่าการเกิดเป็นสิ่งไม่ดี
เป็นสิ่งนำมาซึ่งความทุกข์
จิตใจไม่ปรารถนาที่จะต้องเกิดอีกแล้ว ยกมือ
ถ้าเกิดว่ามีการเสกได้ เอาไหม
ไม่ต้องไปผุดไปเกิดอีก ใจหายเลย
บางคนบอก เดี๋ยวต้องขอเวลาไปสั่งทางบ้านก่อน
การเกิดเป็นทุกข์อย่างไร ทรมานไหมเกิดนี่
เฉพาะแค่เกิดอยู่ในครรภ์
นั่งกรรมฐาน ที่นั่งคุดคู้ นั่งคู้ขางอเข้าหากัน
นั่งได้นานเท่าไรที่ไม่ขยับตัว
เลยจากนั้นปวดขาปวดเมื่อย ได้นานเท่าไร
ถึงชั่วโมงหรือยัง
แล้วนอนคุดคู้อยู่ในครรภ์มารดานานเท่าไร
กี่ชั่วโมง
นั่งคุดคู้ชั่วโมงหนึ่งก็ไม่ไหว
แต่นั่นจำใจ จำเป็นต้องคุดคู้อยู่
เมื่อยไหม ปวดไหม
แล้วยังต้องเกิดอีกซ้ำซ้ำ ไม่กลัวเหรอ
ต้องไปนอนในครรภ์ซ้ำซ้ำ
นอนในครรภ์มนุษย์ ก็เกิดมา ก็ยังเป็นมนุษย์
ถ้านอนในครรภ์หมา สุนัข
เป็ด ไก่ วัว ควาย เป็นอย่างไร งู จิ้งจก ตุ๊กแก
โยมว่า ตนเองพ้นแล้วหรือยัง
พ้นแล้วจากการที่จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อย่างแน่นอน
พ้นแล้วจากการเกิดในนรก
พ้นแล้วจากการเกิดเป็นเปรต อสุรกาย
พ้นหรือยัง ทำไมจึงยังไม่พ้น
แล้วไม่กลัวเหรอว่ามันทุกข์เยอะนะ
ไปเกิด เป็นสัตว์อยู่ในป่าอยู่ที่ไหน อันตราย
เกิดมาแล้วก็มีแต่สัตว์ใหญ่คอยจะกัด กินเป็นอาหาร
วิ่งอย่างเดียว หนีอย่างเดียว ที่สุดก็ไปไม่รอด
บางทีงูมันกินกวางทั้งตัว กินอะไรทั้งตัวเลย
เสือบ้าง กัด
เป็นสัตว์ชนิดไหนถึงจะอยู่ได้ดี
มันทุกข์ทั้งนั้น
เป็นสัตว์ใหญ่มันก็โดนสัตว์ด้วยกัน โดนมนุษย์ล่า
แล้วมืดบอดไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้อะไรเลย
ทำบาปไปบ่อย ฆ่ากัน เบียดเบียนกัน
จมอยู่อย่างนั้น เวียนว่ายตายเกิด
น่ากลัวไหม อบายภูมิ
ถ้าไม่หาทางปิดประตูอบาย ปิดให้มันพ้นเสีย
มันก็จะต้องไปอย่างนั้นอีก
แล้วยากจะกลับมาเป็นมนุษย์
ความยากของการที่จะกลับมาเป็นมนุษย์นี่
มันยากมากนะโยม
พระพุทธเจ้าอุปมาเหมือนเต่าตาบอด จมอยู่ในทะเล
ร้อยปีจะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำได้ครั้งหนึ่ง
ที่ผิวน้ำก็มีบ่วง มีแอก ทุ่นลอยไปลอยมา
ลมพัดไปทางเหนือ ทางใต้ ตะวันออก ตะวันตก
ไม่ได้อยู่นิ่ง
เต่าก็ ตัวเองก็ตาบอด ร้อยปีจึงจะโผล่มาครั้งหนึ่ง
โผล่มาทุ่นก็เลื่อนไปอีกไหนไหน
โอกาสที่เต่าจะขึ้น เกาะทุ่นขึ้นมาได้
ง่ายไหมในทะเล
ความเกิดเป็นมนุษย์ยากกว่านั้น
นี่พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาให้ฟัง
คือ จริงจริงมันก็ไม่มีเต่าตาบอดจม
แต่พระพุทธองค์ยกคำอุปมาให้ฟัง
เป็นคำที่พระพุทธเจ้ายกอุปมาให้ฟัง
ให้รู้ว่าการที่พอไปตกอยู่
จมอยู่ในความเป็นสัตว์เดรัจฉาน
มันยากที่จะกลับมาเป็นมนุษย์
เหมือนเต่าตาบอด
ที่จะโผล่ขึ้นมาเกาะทุ่นขึ้นมาได้ มันยาก
ความเป็นมนุษย์นี่มันยาก
โยมก็ลองดูว่าหมู หมา เป็ด ไก่
มันทำบุญทำทานอะไรบ้างไหม
ถือศีลอะไรไหม ฟังธรรม มีไหม
แมวที่นอนอยู่ในศาลา ฟังธรรมไหมนั่น
เดินจงกรมเป็นไหม มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ความอาภัพของมันเป็นอย่างนั้น
พอเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันอาภัพ
มันอยู่กับธรรมะ มันก็ไม่รู้เขาพูดอะไร
ธรรมะอะไร ไม่รู้เรื่อง
มีโอกาสกัดกัน มันก็กัดกัน แย่งกัน
สืบพันธุ์กัน เบียดเบียนกัน แก่งแย่งกัน
ชีวิตมันอยู่แค่กิน แล้วนอน แล้วก็สืบพันธุ์
ไม่รู้ว่าเป็นแม่เป็นลูก มันไม่รู้เรื่องทั้งนั้น
พอให้ลูกตัวผู้โตมาก็สืบพันธุ์ตัวเมีย ตัวแม่มันเอง
มันไม่เห็นเป็นแม่เป็นลูกอะไรแล้ว
แต่มนุษย์นี่ที่ประเสริฐกว่า
เพราะเรายังรู้จักความเป็นแม่เป็นลูก เป็นพ่อเป็นลูก
มันไม่มั่วขนาดนั้น
แต่ถ้ามนุษย์มั่วไปแบบนั้น ก็ไม่ต่างอะไร
หมดความเป็นมนุษย์ อนาคตจะเป็นอย่างนั้น
มนุษย์อนาคตจะเป็นอย่างนั้น
ตอนนี้ก็เริ่มบ้างแล้ว ชักมั่วแล้ว
แล้วมันจะได้มาเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
ในเมื่อมัน มันฆ่าสัตว์ เบียดเบียน
กัดตัวเล็กตัวน้อยกิน เบียดเบียน ทำร้าย
มีที่จะให้กันก็คือแม่กับลูก
หมาอย่างนี้ มีไหม
นกคาบเอาเหยื่อมาป้อนให้ลูก
หมาก็เหมือนกัน บางทีมันมาขออาหาร
แล้วพอได้อาหารไป มันไม่กิน
มันวิ่งเข้าไปในโบราณสถาน
ตามไปดูสี่ห้าตัวลูก เอาอาหารไปให้ลูกกิน ใช่ไหม
อันนี้คือ ความเป็นแม่เท่านั้นแหละที่จะให้ลูก
แต่พอโตขึ้นมา แม่มันก็กัดลูกแล้ว
ถ้ามาดูดนม ไล่หนี กัด
โตมากมาก ก็ชักกัดกันแล้ว ไม่รู้จักกันแล้ว
ลูกกัดแม่ แม่กัด
มันได้ตอนเด็กเด็ก
มันจะมีบุญอยู่บ้างก็ตอนนี้ ที่คาบมาให้ลูก
หรือว่า มันมีความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ
อย่างหมานี่ซื่อสัตย์ไหม มันยังมีความซื่อสัตย์
ถ้าเป็นเจ้าของมันก็จะไม่กัด
ตีมันอย่างไรก็ไม่สู้ มันก็ยอม
ฉะนั้นก็ยังดี มันยังมีความรัก จงรักภักดี เป็นบุญ
ข้อนี้ไปเกิดเป็นเทวดาได้เหมือนกัน
ที่สุนัขได้ไปรับพระพุทธเจ้า
เจ้าของพาไปรับพระมารับอาหารที่บ้านเป็นประจำ
จนสุนัขมันรู้เรื่อง คุ้นเคย
ตอนหลังเจ้าของก็สั่งให้มันไปรับพระมารับบาตร
มันก็ไป เห่า เห่า เห่า ตาม นำพระมา
พอพระจะไปทางอื่นก็ไปดึงจีวรไว้ให้เข้าทาง
พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็เลยเกิดความเมตตา รัก
ให้อาหารกิน หมาก็รัก จงรักภักดี
พอตายก็ไปเกิดเป็นเทวดา มีเสียงก้องกังวาน
เพราะว่าตอนเป็นหมา มันใช้เสียงเห่าเรียก
ทำความดี ไปเป็นเทวดามีเสียงดังก้องกังวาล
เลยเขาให้ชื่อว่า โฆสกเทพบุตร
เสียงดังก้องกังวาลไกลหมดเลย
แต่อยู่ไม่นานมัวเพลิดเพลินในกามคุณ
ลืมบริโภคอาหารทิพย์ ตาย
เทวดาบางพวกนี่ขาดอาหาร
เผลอ ไม่กิน ตายเหมือนกัน
โกรธ บางพวกโกรธตาย
เพราะฉะนั้น คนที่พูดออกไมโครโฟน
เสียงก็จะดังขึ้นใช่ไหม เขาก็เรียกว่าโฆษก
โฆษกก็มาจากหมานี่แหละ
โฆษก โฆสก โฆสกเทพบุตร
โฆษก โฆษก ก็คือโฆสก
ภาษาบาลี โฆสก พูดภาษาไทยว่า โฆษก
เสียงดัง พูดออกไมค์เสียงดังเรียกโฆษก
ประวัติมาจากนั้น
เพราะฉะนั้น ชีวิตน่ากลัว การเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าเราไม่หาทางหลุดรอดหลุดพ้น
มันก็จะมีโอกาสไปนอนในครรภ์ของสัตว์เดรัจฉาน
แต่บางครั้งสัญญาเก่าเก่า มันก็เตือนเหมือนกันนะ
สุนัข เวลาเคาะระฆัง มันจะหอนอยู่อย่างนั้น
มันวิเวกวังเวง มันคงเคยได้ยิน เสียงเหล่านี้
เพราะเสียงเหล่านี้ สัญญามันคุ้นเคย
มันกินใจ มันก็โหยหวน หอนอยู่อย่างนั้น
นี่จากคนไปเป็นสุนัข
ในเรื่องราวในพระไตรปิฎกก็มี หลายเรื่องด้วย
จากคนไปเป็นสุนัข เห็นดีเห็นงาม ไปเป็นสุนัขอีก
ฉะนั้นเราทำอย่างไรถึงจะเป็นผู้ที่มั่นคง
แม้จะยังเกิดอยู่
แต่จะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาเท่านั้น
ไม่ตกนรก ไม่เกิดเป็นเปรต อสุรกาย
พระพุทธศาสนานี่สอนให้ทำได้
ก็คือต้องปฏิบัติ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
จนกระทั่งบรรลุโสดาบัน
เป็นอริยบุคคลชั้นที่หนึ่ง
ก็จะเป็นอันว่า ไม่ต้องเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป
ปิดสนิทเลย โสดาบันนี่
พระพุทธเจ้าใช้คำว่าเป็นผู้เที่ยงแท้
เป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา
เป็นผู้ที่เที่ยงแท้ต่อสัมโพธิ
คือต้องเป็นพระอรหันต์ด้วย
ในอนาคตภายในเจ็ดชาติ
เกิดตายอยู่ภายในเจ็ดชาติ ต้องเป็นพระอรหันต์
เพราะรู้จักนิพพานแล้ว
อริยบุคคลชั้นที่หนึ่ง โสดาบัน
ความทุกข์ ถ้าไม่ได้เป็นโสดาบัน
ความทุกข์จะต้องเจออีกมากมาย
กับความทุกข์ของโสดาบัน
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ
ก้อนหินก้อนเล็กเล็กเท่ากับลูกกระเบาเจ็ดก้อน
ความทุกข์ของโสดาบัน
เมื่อเทียบกับความทุกข์ของปุถุชน เท่ากับแผ่นดิน
มันต่างกันเยอะไหม
คือปุถุชนนี่มันจะเกิดอีกเยอะแยะ
เกิดไป เกิดไป เกิดแก่เจ็บตายทุกข์ทรมาน
เสวยกรรมอยู่อย่างนั้น มากมายมหาศาล
เดี๋ยวเศร้าโศก เดี๋ยวร้องไห้ ลูกตาย สามีตาย
พี่น้อง พ่อแม่ตาย ร้องไห้น้ำตานองหน้า
ถ้ารวมไว้ได้จะมากกว่าน้ำในมหาสมุทร
ชีวิตของแต่ละคนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ในอดีตผ่านมาก็เป็นอย่างนั้น
อนาคตก็ยังวังเวงที่จะต้องเจออีก
ถ้าไม่หาทางปฏิบัติ
ให้บรรลุโสดาบัน โสดาปฏิมรรค
ฉะนั้นความเป็นโสดาบัน เป็นทรัพย์
เป็นอริยทรัพย์ เป็นสมบัติที่มีคุณค่ามาก
เอาสมบัติทั้งโลกมาแลก
เอามาแลกกับสมบัติโสดาบัน โยมจะเอาอันไหน
ต่อให้เป็นผู้ครอบครองทั้งโลก
พวกนั้นก็ยังแก่ ยังเจ็บ ยังตาย ยังตกนรกอยู่ดี
แต่ความเป็นโสดาบันนี่
ปิดประตูอบาย เกิดอย่างมากเจ็ดชาติ
เกิดก็เกิดในสุคติเป็นมนุษย์ เทวดา
ไม่เกิดในอบายภูมิ
และก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ภายในเจ็ดชาติ
โยมว่าดีไหม แล้วจะทำอย่างไรถึงจะถึง
ทำอย่างไรถึงจะได้ จุดธูป อ้อนวอนได้ไหม
บนบานศาลกล่าว อ้อนวอนเทวดา
ให้ข้าพเจ้าได้บรรลุเป็นโสดาบัน
แต่ข้าพเจ้าขอนอนก่อน
เทวดาทั้งหลาย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ช่วยดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นโสดาบัน
แต่ข้าพเจ้ามันอ่อนล้า
ขี้เกียจมาก ง่วงนอนด้วย ขอนอน
ถ้าโยมเป็นเทวดาฟังอย่างนี้ จะเกาหัวหรือไม่
สุดที่จะช่วย ไม่มีใครช่วยได้เลย
แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็เคยตรัส
เราก็เป็นเพียงผู้บอกทาง ชี้ทางเท่านั้น
คือสอนแล้ว สอนบอกอย่างนี้อย่างนี้
แต่พุทธบริษัทก็ไม่ทำตาม ก็ไปทำเสียอย่างอื่น
แล้วจะช่วยได้อย่างไร
พระองค์ก็บอก พระองค์ก็เป็นเพียงผู้สอนผู้บอก
สาวกในสมัยพุทธกาลก็ไม่ใช่จะบรรลุธรรมได้
เพราะว่าไปเสียอย่างอื่น
บอกสอนนี้ไปอย่างนั้น ก็ไม่ได้ช่วย
พระองค์ก็ไม่สามารถจะไปช่วยให้ท่านเหล่านั้น
ได้บรรลุโสดาบันได้
นอกจากผู้ปฏิบัติตาม พระองค์จะบอกทางให้
บอกวิธีปฏิบัติ บอกทางเดิน
ผู้ที่จะไปได้ก็คือผู้ที่ปฏิบัติตาม
ศึกษาปฏิบัติพากเพียรภาวนา
แล้วโยมเห็นแล้วว่าต้องเจริญวิปัสสนาเท่านั้น
ที่จะพ้นทุกข์
อย่างน้อยโสดาบันก็พ้นอบายภูมิไปได้
สบายมาก
เราจะต้องเจริญวิปัสสนา แล้วเราจะเจริญกันเมื่อไร
โยมจะเจริญวิปัสสนาเมื่อไรดี รอเมื่อไร
อายุเท่าไรถึงจะเจริญวิปัสสนา
ตอนนี้ยังแข็งแรง ยังหนุ่ม
เป็นหนุ่มเป็นสาวขอทำมาหาเลี้ยงชีพก่อน
ตอนนี้ลูกยังเล็ก ขอเลี้ยงลูก
พอลูกโตแล้วเดี๋ยวรอก่อน
หลานนะ ยังเลี้ยงหลานต่ออีก
รอไปรอมา เป็นอย่างไร
ตอนนั้นเข้าวัดเองไม่ได้ ต้องเขาหามเข้าวัด
แล้วเขาหามมาตอนนั้น จะฟังพระรู้เรื่องไหม
พวกเขาไปเคาะข้างโลง โป๊กโป๊ก
พระจะสวดแล้ว พระจะเทศน์แล้ว
เขาจะไปเคาะโลงบอก
ถ้าลุกขึ้นมาฟังเทศน์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ใครจะอยู่
เขาเคาะเพื่ออะไร
คนโบราณที่เขาไปเคาะ เขาไม่ได้เคาะปลุกผี
เขาเคาะเพื่อเตือนให้คนอยู่เบื้องหลังได้รู้ว่า
เห็นไหม ตายแล้วมันทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้เรายังไม่ตาย ทำตอนเสียนี้
เอาอาหารไปตั้งข้างโลง กินได้ไหม
ที่มากินคืออะไร แมว
เพราะฉะนั้น ต้องทำเสีย
แล้วเราจะทำตอนไหน
พออายุมากไป ทำไหวไหม นั่ง
ถามโยมแก่แก่ เป็นอย่างไร
นั่งกรรมฐาน ไหวไหม ปวดขาไหม
เดินจงกรมไหวไหม พอจะก้าวหน้าก็ก้าวหลัง
ก้าวหน้าก้าวหลังอยู่อย่างนั้น
หน้ามืดตาลาย ฟังอะไรก็จำไม่ได้
ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง
เดี๋ยวต้องใช้ยาดม ยาลม ยาหม่องกันอยู่อย่างนั้น
มันไม่ไหว ไม่ใช่สมัยแห่งปฏิบัติได้ดี
แต่ตอนนี้เรายังแข็งแรง เราต้องทำเสียตอนนี้
มรรคผลนิพพาน มันจะได้ง่าย
แล้วรอไปรอมามันก็ ตายก่อน
คิดไหมว่า เราเกิดใหม่ชาติหน้าเราจะได้เป็นอย่างนี้
ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีศรัทธา
ได้ฟังทำธรรม ได้ปฏิบัติ
มันง่ายไหมโยม โอกาสที่จะได้เจออย่างนี้
ต่อไปพระพุทธศาสนา ต่อไปก็ค่อยค่อยหมดไป
คนจะไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว ต่อไปก็จะหมด
แม้แต่ประเทศไทยที่ตอนนี้วัดเยอะเยอะ
พระสงฆ์เยอะ โยมว่ามันจะหมดไปไหม
ประเทศอินเดียเป็นเมืองที่เกิดแห่งพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้า
หมดไปหรือยัง นาลันทาก็ถูกเผา
ทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือคงอยู่
ประเทศที่เป็นเมืองพุทธหลายประเทศ
อัฟกานิสถาน ที่พระพุทธรูปใหญ่
ภูเขาที่ตาลีบัน เอาระเบิดไปถล่ม
นั่นก็เป็นเมืองพุทธ ปัจจุบันมีเหลือเมื่อไร
อินโดนีเซีย บุโรพุทโธเจดีย์ใหญ่ เมืองพุทธ
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร หลายหลายประเทศ หมด
ฉะนั้นประเทศไทยเรา
ถ้าเราดูในกฎของอนิจจัง มันก็ต้องเปลี่ยนแปลง
แล้วโยมจะไปเรียนพุทธศาสนาที่ไหนต่อไป
ก็ต้องไปเรียนกับฝรั่ง
ต่อไปก็ต้องไปเรียนศาสนากับฝรั่ง
ฝรั่งก็เริ่มสนใจพุทธศาสนา
ฉะนั้น ตอนนี้เรารู้เรื่องภาษาเดียวกัน ภาษาไทย
ต่อไปเรียนกับฝรั่งก็พูดฟังไม่รู้เรื่อง ลำบากอีก
ฝรั่งที่เขามาเรียนพุทธศาสนา
มาเรียนภาษา ภาษาไทย เขาก็ฟังลำบาก
แต่เขาก็ขวนขวายจนกระทั่งเขาพูดได้ ฟังได้
รู้เรื่อง เทศน์ให้โยมฟังได้
เทศน์ภาษาไทย ภาษาอีสานได้
ฝรั่งลูกศิษย์หลวงพ่อชาหลายองค์
ก็ไปที่ต่างประเทศ ซึ่งกำลังสนใจ
อาจจะไปรุ่งเรือง คนไทยก็ต้องบินไป
อยากจะปฏิบัติกรรมฐานก็ต้องไปเรียนที่ฝรั่ง
แล้วจะได้สนใจไปเรียนหรือเปล่า
ศรัทธาจะเกิดไหมชาติต่อไป มันยากนะ
ฉะนั้น บอกตัวเองว่าชีวิตเรานี่
มันต้องรอไม่ได้ ต้องทำ ต้องฝึก
ต้องเรียนรู้วิธีทำกรรมฐานแล้วก็นำไปใช้เลย
แม้ว่าเรายังอยู่ในการงานที่บ้าน
เราก็ทำไปด้วย ฝึกไปด้วย
เจริญภาวนาไปด้วยนะ รอไม่ได้
วันนี้เทศน์ไปยังไม่จบ
เรื่องอารมณ์ เรื่องจิต ไปได้กี่ทางแล้ว
ทางตา ทางหู จมูก
ยังเหลือทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อีกสามทาง
ก็ขออนุโมทนาที่อุตส่าห์มานั่งฟัง ปฏิบัติ
ขอให้ทุกท่านได้สนใจพากเพียรภาวนา
เพื่อดวงตาเห็นธรรม
เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานทุกท่าน เทอญ