แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะมัตถุ ระตะนัตตะยัสสะ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรม
จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
จากนี้ไปก็จะได้ปรารภธรรมะ ตามหลักคำสั่งสอน
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในโอกาสที่ท่านทั้งหลายได้มาปฏิบัติธรรม
ซึ่งก็มีหลายคณะด้วยกัน
ข้างหน้าก็จะเป็นนาค พ่อนาคยี่สิบแปดท่าน
ที่เตรียมตัวที่จะได้บรรพชาอุปสมบทในวันพรุ่งนี้
ถัดไปก็เป็นอุบาสก ถัดไปก็เป็นอุบาสิกา
ที่มาถือศีลปฏิบัติธรรม
แล้วก็มีคณะผู้ถือศีลอุโบสถส่วนหนึ่ง
วันนี้เป็นวันพระ ขึ้นแปดค่ำ เดือนเจ็ด
เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนกับหนึ่งวันพระ
ก็จะเป็นวันอาสาฬหบูชา ถัดไปก็เป็นวันเข้าพรรษา
ชาวพุทธก็จะให้ความสำคัญในวันอาสาฬหบูชา
เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา
ถัดไปก็เป็นการเข้าพรรษา
พระสงฆ์อยู่จำพรรษา ในอาวาสใดอาวาสหนึ่ง
ตลอดสามเดือน
ญาติโยมก็เตรียมตัวเตรียมใจ
ที่จะได้ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติตนเองให้ยิ่งขึ้น
ในการละความชั่ว ในการทำความดี
ให้เป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา
รวมในศาลานี้ก็คงจะ น่าจะกว่าสองร้อยคน
วันนี้ก็ขอพูดให้ความสำคัญกับนาคเป็นพิเศษ
ที่ได้สละเพศ ตั้งใจสละเพศฆราวาสมา
ที่จะบรรพชาอุปสมบท
มาถือเพศผู้ประพฤติพรหมจรรย์
มาเป็นพุทธบุตร พุทธชิโนรส
ได้ชื่อว่าเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า
ให้เกิดความภาคภูมิใจว่า พ่อนาคแต่ละท่าน
เราก็เป็นลูกคนชาวบ้าน เป็นคนธรรมดา
แต่ว่าเราเข้ามาในร่มผ้ากาสาวพัสตร์
เราก็ได้มาเป็นพุทธชิโนรส เป็นพุทธบุตร
เป็นลูกพระพุทธเจ้า
นุ่งห่มผ้ากาสายะเยี่ยงอย่างพระอรหันต์ทั้งหลาย
ธรรมดาฆราวาสจะเข้ามาในวงศ์ของพระสงฆ์
ในหัตถบาสของพระสงฆ์
ในพิธีกรรมในการทำสังฆกรรมไม่ได้เลย
ต้องออกห่าง ต้องอยู่ห่าง
สังฆกรรม เช่นอุปสมบท ในหัตถบาสในบ่วงแขน
จะต้องเป็นพระภิกษุทั้งหมด สามเณรก็ยังไม่ได้
ญาติโยมเข้ามาในเขตพระสงฆ์ไม่ได้ แต่อยู่ในโบสถ์ได้
แต่ต้องห่างอาสนะสงฆ์ที่นั่งพระสงฆ์
อย่างน้อยก็บ่วงแขน
มิฉะนั้น สังฆกรรมก็เสีย ตามพระวินัย
การจะอุปสมบทต้องได้อยู่ในท่ามกลางหมู่พระสงฆ์
ที่พระสงฆ์ลงมติเห็นชอบ มีการสวดตั้งญัตติลงมติ
ฉะนั้น ก็จะต้องมีเฉพาะพระสงฆ์ในหัตถบาส
เมื่อพ่อนาคทั้งหลายได้บวชแล้ว
เป็นผู้มีศีล มีสิกขา เยี่ยงอย่างพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
เราสามารถเข้าไปนั่งร่วมในการทำสังฆกรรม
ในการประพฤติปฏิบัติ
อย่างตอนนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้บวช
เราก็ต้องมาอยู่นั่งข้างล่าง
พระสงฆ์ท่านนั่งบนอาสน์สงฆ์
แต่พอเราบวชแล้ว เราก็เข้าไปนั่งต่อแถวได้
ให้ภาคภูมิใจในการที่จะได้บวช
การบวชเป็นบุญกุศลใหญ่
คนบางคนอธิษฐาน
เพื่อจะบวชให้พ้นเหตุการณ์ร้ายต่างต่างในชีวิต
ก็มีผลเกิดขึ้น
บางท่านอุทิศบุญกุศล บวชเพื่ออุทิศให้ญาติ
ญาติเหล่านั้นก็ได้รับบุญกุศล
ยังมีโยมท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังถึง แม่
ซึ่งก็เป็นยายของนาค ตายไปสี่สิบปี ไม่เคยฝันเห็น
แต่วันที่เป็นวันสุกดิบ รุ่งขึ้นจะเป็นวันพิธีบวชหลาน
ยายก็มาเข้าฝันแม่ของนาค
มาแสดงความดีใจชื่นชม ว่าหลานจะบวช
แสดงว่าบุญของการบวชนี่ยิ่งใหญ่ แผ่ไปถึงญาติ
มีโยมคนหนึ่งก็มีลูกชายบวช
แต่ก็เป็นโยมที่ไม่ได้ทำบุญกุศลความดีอะไร
ใช้ชีวิตอยู่ตามปกติธรรมดา
เมื่อตายแล้วก็ปรากฏว่า ไปตกนรก
ในขณะที่นายนิรยบาลกำลังนำตาข่าย
ตาข่ายเหล็กต้อนสัตว์นรกทั้งหลายมา
เสียงมันก็ใกล้เข้ามาเรื่อยเรื่อย จะมาถึงตัว
เสียงดังพึ่บพั่บ พึ่บพั่บ เรื่อยเข้ามา
ด้วยกุศลที่เคยได้บวชลูกไว้
ทำให้ได้ยินเสียงดังพึ่บพั่บ นึกไปถึง
เสียงตอนที่ถวายผ้าไตรพระลูกชาย
ในคราวหนึ่ง พระลูกชายมาเยี่ยมที่บ้าน
ตัวเองก็เก็บผ้าไตรไว้นาน เข้าไปในห้องหยิบออกมา
ด้วยความที่อายุมาก พอจะมาถึงตรงหน้าพระ
ผ้าไตรก็เลื่อนตกลงพื้น ดังพึ่บพั่บ
อันนี้แหละ เสียงอันนี้ก็ติดหูติดใจมา
บุญที่ทำกับการได้บวชพระลูกชาย
พอตนเองไปตกนรก
ได้ยินเสียงตาข่ายเหล็กดังมา พึ่บพั่บพึ่บพั่บ
จิตนึกถึงว่าได้เคยบวชพระลูกชาย
มีลูกชายบวชเป็นพระ จิตก็เป็นกุศลขึ้น
จิตระลึกถึงบุญกุศลได้ ก็ปรากฏจุติตายจากสัตว์นรก
ไปเกิดใหม่ในสุคติภูมิ
นี่ก็เป็นอานิสงส์ของการที่ลูกได้บวช
พ่อได้พ้นจากนรก
นอกจากนี้ก็ถือว่า
การบวชเราจะได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย
ได้มีโอกาสรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว
ได้ปฏิบัติธรรม ได้เจริญภาวนา ได้ศึกษาธรรมะ
ให้รู้จักวิธีการที่จะอบรมจิตตัวเอง
เราก็จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีก
มีนาค มีพระหลายรูปที่เปลี่ยน
พ่อแม่มาเล่าให้ฟัง หลังจากลูกสึกออกไปนี่
เปลี่ยนเป็นคนละคน เรียบร้อยดีงาม
แต่ก่อนดื้อดึงไม่ฟังไม่เชื่อ กลายเป็นลูกที่ดี
พ่อแม่มาเล่าให้ฟังว่า
รู้อย่างนี้ให้บวชเสียนานแล้ว ว่าอย่างนั้น
แต่ต้องปฏิบัติกรรมฐาน
คือการปฏิบัติ พอฝึกจิตไปนี่
พอจิตตัวเองมันสงบ มันมีสมาธิ มันมีปัญญา
มันคิดเอง มันรู้จักอะไรควรไม่ควร ผิดชอบชั่วดี
ไม่ต้องมีใครมาห้ามแล้วต่อไป
เว้นเองอะไรเอง ดีหมด
เพียงแต่ว่าต้องฝึก บวชแล้วก็ต้องฝึกกรรมฐาน
คนที่จะมีโอกาสเข้ามาบวชนี่ก็ยาก
ที่จะได้เข้ากรรมฐานก็ยาก
ที่จะได้ฟังธรรมนี่ก็ยาก ที่จะมีศรัทธานี่ยาก
เอาแค่เป็นมนุษย์นี่ก็ยาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
มีอยู่ห้าประการ
หนึ่ง ทุลลโภ มนุสสัตตะ ปฏิลาโภ
การที่จะอุบัติบังเกิดขึ้นเป็นมนุษย์
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก
เราอาจจะคิดว่า มนุษย์ปัจจุบันมากเหลือเกิน
ทั้งโลกหกเจ็ดพันล้านคน
เมืองไทยก็หกสิบกว่าล้านเข้าไปแล้ว
ถ้าเอามาเทียบ เอาแค่สัตว์เดรัจฉานในวัดนี่โยม
ใครจะมากกว่ากัน
จุ่มลงไปตรงไหนก็มีสัตว์เล็กสัตว์น้อย
ในดิน ในน้ำ เยอะแยะมากมาย
แค่ในวัดนี่ก็มากกว่าคนทั้งโลก
แล้วถ้าทั้งโลก สัตว์เดรัจฉานมีอยู่ทั่วไป
ในดิน ในน้ำ ยิ่งในน้ำมาก เป็นจิตมีวิญญาณทั้งหมด
ฉะนั้น ถ้าเทียบกับมนุษย์ มนุษย์ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
แต่พวกเราทั้งหลายก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ถือว่าได้สิ่งที่หาได้โดยยาก
เป็นมนุษย์มีสมอง มีสติปัญญาพัฒนาได้
แต่ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้สนใจไม่ได้พัฒนาจิตวิญญาณ
มันก็เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
สิ่งที่หาได้โดยยากประการที่สอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุลลภา สัทธาสัมปัตติ
การที่จะถึงพร้อมด้วยศรัทธา
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ศรัทธาคือความเชื่อ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม
เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน
เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ท่านทั้งหลายมีความเชื่อไหม เชื่อกรรม
หมายถึงว่า เวลาฆ่าสัตว์ ก็เชื่อมันเป็นบาป
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก
เชื่อว่ามันเป็นบาป หมายถึงเป็นเหตุแห่งความทุกข์
นำความทุกข์มาให้ บาปนี่
เชื่อไหมว่า การให้ทานเป็นบุญ
การรักษาศีลเป็นบุญ
การเจริญภาวนาเป็นบุญ การบูชาเป็นบุญ
การช่วยเหลือการงานผู้อื่นเป็นบุญ
การอุทิศกุศลเป็นบุญ
การโมทนาในความดีที่ผู้อื่นได้ทำ เป็นบุญ
การทำความเห็นให้ตรง เป็นบุญ เชื่อไหม
ถ้าเราเชื่อเรียกว่ามีศรัทธา
มีกัมมัสสกตาสัทธา เชื่อบุญเชื่อบาป
วิปากสัทธา เชื่อผลบุญ ผลบาป
เชื่อไหมว่า เวลาที่เกิดมาเป็นคนรวย
เป็นเพราะผลของบุญจากการให้ทาน
เกิดมายากจนเพราะไม่ได้ให้ประกอบทานไว้
เชื่อไหมแบบนี้
ถ้าเราเชื่อ แสดงเรามีวิปากสัทธา
เชื่อไหมว่าคนเกิดมาตระกูลสูง
เพราะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
คนเกิดมาตระกูลต่ำเพราะเป็นคนเย่อหยิ่งแข็งกระด้าง
เชื่อไหมว่า คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก
เพราะเคยทำร้ายร่างกาย เบียดเบียนร่างกายเขาไว้
เชื่อไหมว่า คนที่มีสุขภาพแข็งแรงดี
เพราะเขาไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
ถ้าเรามีความเชื่อ แสดงว่าเรามีวิปากสัทธา
เชื่อผลของกรรม
คนมีสติปัญญาดี เพราะเป็นคนที่สนใจใฝ่ธรรมมาก่อน
สอบถามปัญหา สนใจธรรมะ ก็มีปัญญา
คนเกิดมาโง่เง่าก็เพราะไม่สนใจใฝ่ธรรม
นี่คือผล ผลเป็นวิบาก
คนเกิดมาสวย เกิดมาขี้เหร่ เกิดมาพิกลพิการ
มันเป็นผลของกรรมที่ทำไว้
กรรมก็หมายถึง กรรมเจตนาที่กระทำไว้
กรรมดีก็มี กรรมชั่วก็มี กรรมดีก็เรียกว่ากุศลกรรม
กรรมชั่วก็เรียกว่าอกุศลกรรม
สูญเสีย เกิดการสูญเสีย เป็นผลของบาป
ประสบภัยพิบัติ อย่างนี้เป็นผลของบาป
ประสบอุบัติเหตุ อย่างนี้เป็นผลของบาป เชื่อไหม
ถ้าเชื่อแสดงว่าเรามีวิปากสัทธา
เพราะว่า มันเป็นความจริงอย่างนั้น
กฎแห่งกรรมมันมีอยู่
ฉะนั้น คนเกิดมามันไม่เหมือนกัน
เพราะว่าทำกรรมมาไม่เหมือนกัน
บางคนสวย บางคนขี้เหร่
บางคนมีฐานะ หาทรัพย์ได้ง่าย
บางคนยากลำบากจะหาเงินหาทอง
มันต้องมีเกี่ยวกับเรื่องเป็นวิบาก
ถูกโกง ถูกแกล้ง ถูกใส่ร้าย
อย่างนี้เป็นผลของบาปที่ทำไว้เอง
ทำไว้แบบนั้นแบบนั้น
เกิดมามีคนเมตตาคนช่วยเหลือเกื้อกูล
ทำอะไรก็รู้สึกมันได้ดีไปหมด
แสดงว่ามันเป็นผลของบุญที่ทำ
มีวิปากสัทธา มีกัมมสัทธา มีว่ากัมมัสสกตาสัทธา
เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตน
ถ้าทำอะไรไว้ มันก็ติดตัวเราไปเป็นเจ้าของ
เราอาจจะปิดบังคนอื่นได้
แต่เราปิดบังบาปกรรมไม่ได้ ปิดบังกรรมไม่ได้เลย
ถ้าเราทำความดี ใครไม่รู้ไม่เห็น
แต่ความดี บุญกุศล กรรมดี ไม่เคยลืมเจ้าของได้เลย
มันต้องให้ผลอย่างแน่นอน
มันเป็นกฎธรรมชาติ
ทำกรรมชั่วเอาไว้เราจะปิดบังใคร
แต่ถึงเวลาบาปกรรมต้องให้ผล
มันเป็นกฎธรรมชาติ เหมือนฝนตกแดดออก
มันเป็นกฎธรรมชาติ เวลาไฟติดสว่างขึ้นมามันก็สว่าง
เตะฟุตบอลเข้าไปฝาผนัง มันก็กระดอนออกมา
อย่างนี้มันเป็นกฎธรรมชาติ
ทำไว้อย่างไรมันสะท้อนมาอย่างนั้น
มีศรัทธาเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไหม
ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าอย่างนี้ อย่างนี้
เชื่อไหมว่าจริง
ถ้ามีความเชื่อก็เรียกว่ามี ตถาคตโพธิสัทธา
ใครที่มีศรัทธาอย่างนี้
ถือว่า ได้สิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
มันทำขึ้น บังคับให้มีศรัทธาไม่ได้นะ จิตเรานี่
มันต้องเกิดจากการที่ เรามีความรู้ความเข้าใจ
การจะมีความรู้ความเข้าใจ ก็เกิดจากการที่เราต้องฟัง
ต้องศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ
จนเข้าใจมากขึ้น ศรัทธามันจะตามมา
แล้วถ้าคนมีศรัทธา ความดีต่างต่างมันก็จะตามมา
มันก็จะมีศรัทธาที่จะบำเพ็ญบุญกุศล ทำความดี
จะเสียสละ จะทำอะไร มันทำได้เพราะศรัทธามี
ถ้าไม่มีศรัทธามันทำอะไรไม่ได้เลย
จะบริจาค ก็บริจาคด้วยความจำเป็นจำใจอย่างนี้
บุญก็น้อย เพราะใจมันไม่ไป
แต่ทำด้วยความเหตุการณ์บังคับ
แต่ถ้าเรามีศรัทธา มันจะมีใจเอง
คิดเอง ทำเองเป็นไป ก็ได้สั่งสมบุญกุศลได้เยอะ
ฉะนั้น ก็ดูว่าใครเกิดมาชาตินี้
ถึงพร้อมด้วยศรัทธาหรือยัง เชื่อบุญเชื่อบาปหรือยัง
ถ้ายังน้อยอยู่ ก็ต้องพยายามสั่งสมการฟัง
การศึกษาธรรมะ ให้มาก
สิ่งที่หาได้โดยยากประการที่สาม
ทุลลโภ พุทธุปปาโท โลกัสมิง
การที่จะอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งความเป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้องสร้างบารมีมาอย่างยวดยิ่งเพียงพอ
ในการสร้างบารมีมา
ทาน ศีล เนกขัมมะออกบวช
ปัญญา ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
สละอวัยวะ สละดวงตา สละชีวิต
สละบุตรธิดา ชายา ราชสมบัติ
ต้องบำเพ็ญมามากต่อมาก นับภพชาติไม่ถ้วน
ถึงจะได้บารมีเพียงพอ
ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือไม่ต้องมีใครสอน สามารถจะตรัสรู้ได้เอง
ปฏิบัติและบรรลุธรรมได้เอง รู้ถึงความจริงว่า
อะไรที่มันเป็นความทุกข์
อะไรที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
อะไรดับทุกข์ อะไรที่จะปฏิบัติถึงความดับทุกข์
ตรัสรู้ได้เอง เข้าถึงได้ด้วยพระองค์เอง
แต่อย่างพวกเราไม่ได้เป็นบารมีที่จะมาตรัสรู้ได้เอง
ก็ต้องฟัง ถ้าเราไม่ฟังคำสอน เราจะทำไม่ถูกเลย
ระดับสาวกสาวิกานี่ต้องฟัง
มีบุคคลหนึ่งที่บรรลุได้เอง ก็คือพระปัจเจกพุทธเจ้า
แต่ก็สอนผู้อื่นไม่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้จะบรรลุเอง
แล้วก็สอนผู้อื่นได้ บัญญัติคำสอนได้
เรามาเกิดในยุคนี้ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว
สองพันห้าร้อยกว่าปี
เราไม่ทันพระองค์ หรือใครทันบ้าง จำไม่ได้อยู่ดี
ถ้าทันก็จะได้บรรลุธรรมไปไหนไหนแล้ว
ที่เรายังมาท่องเที่ยวเวียนว่ายกันอยู่นี่
บางทีเราไม่ได้พบ ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า
ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้ปฏิบัติ
แต่ก็ไม่แน่นะบางคน
สร้างบารมีที่จะเป็นสาวกชั้นเลิศ ต้องมีบารมีเยอะ
บรรลุไม่ได้ในชาตินั้น บารมียังไม่พอ
อธิษฐานปรารถนาอย่างนั้น
หรือบางคนปรารถนาเป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ก็ต้องรออีกนาน
เวียนว่ายตายเกิดต้องสั่งสมบารมี
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะปรารถนาได้ มีสิทธิ์ที่จะบำเพ็ญได้
มีแต่ว่าเราจะบำเพ็ญถึงหรือไม่
คนที่ปรารถนาเขาเรียกว่าเป็นพระโพธิสัตว์
จะบรรลุธรรมไม่ได้ในชาตินั้นนั้น
บรรลุก็คือบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเลย
แต่ต้องมีบารมีสูงเพียงพอ
อย่างต่ำสี่อสงไขย แสนมหากัป
เป็นปัญญาธิกะพระโพธิสัตว์
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะเกิดมาในยุคนี้
ไม่ทันพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
แต่เราได้ทันศาสนาพระพุทธองค์
ยังมีพระสงฆ์ ใช่ไหม ให้ได้เห็น ได้ทำบุญ
ได้ทำทาน ได้กราบ ได้ไหว้
แล้วก็ ได้บวชได้ ถ้าไม่มีพระสงฆ์ก็บวชไม่ได้
พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ยังอยู่
คำสอนเรื่องอริยสัจ
เรื่องทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
อะไรดับทุกข์ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ
เรื่องขันธ์ห้า เรื่องอายตนะ เรื่องธาตุ เรื่องวิปัสสนาภูมิ
เรื่องปฏิจจสมุปบาท ยังเป็นคำสอนที่มีอยู่
ยังมีพระไตรปิฎกแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
ที่เก็บจารึกคำสอนพระพุทธเจ้าไว้
ถ้าเราได้ศึกษา เราได้ฟัง
แล้วเราได้ปฏิบัติ ได้เห็นธรรมได้
ถ้าเราถึงธรรม เราก็ถึงพระพุทธเจ้า
โย ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้า
ก็ถือว่าเราก็โชคดี ที่แม้ว่าจะมาอยู่ในยุค
ผ่านมาสองพันห้าร้อยกว่าปี ก็ยังดี
ดีกว่าอนาคตที่เราจะไม่มีรู้จักบุญรู้จักบาปเลย
ประการที่สี่
พระพุทธเจ้าตรัส สิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ทุลลภัง สัทธัมมัสสวนัง
การที่จะได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
เราอาจจะคิดว่า สมัยนี้หาฟังธรรมง่าย
เปิดมีแผ่นซีดี มียูทูบ มีเว็บไซต์
มีวิทยุ ทีวี อยู่ที่บ้านก็ฟังได้ หาฟังธรรมะ
ก็ใช่ มันเป็นยุคนี้เท่านั้น
เป็นยุคที่เราเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
มีพระไตรปิฎกที่เราสามารถค้นได้จากคอมพิวเตอร์
หรือจะฟังก็ได้ ที่เขาอ่านพระไตรปิฎกไว้
แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ สี่สิบห้าเล่มเขาอ่านไว้
ก็สามารถฟัง เปิดฟัง
แต่ว่ามันเป็นเฉพาะช่วงระยะนี้เท่านั้น
ต่อไปเราจะไม่มีแล้ว
พระธรรมคำสอนมันจะหมดไป
หรือว่าคำสอนมันก็จะมีการปลอม
มันจะมีปลอมปนจนกระทั่งหมดไป
เหมือนกลอง กลองที่เขาเอาหนังวัวมาขึง
พอมันแตกก็มีการเอาซ่อมใช่ไหม
เอาหนัง เอาลิ่มมาเสียบซ่อม
แตกอีกก็เอามาซ่อม เอามาซ่อม หนักเข้า
ที่มาซ่อมเต็มไปหมด ที่เนื้อเก่าหายไปหมดเลย
ธรรมะก็เหมือนกัน มันจะอันตรธาน
จะเริ่มมีแซมเข้ามา อันโน้นแซมเข้ามา
หนักเข้าเราก็จะไม่รู้จักคำสอนพระพุทธเจ้า
ที่แท้จริงเลย ในอนาคตต่อไป
ปัจจุบันนี้เราก็ ผิดเพี้ยนไปต่างต่างเยอะแยะ
ฉะนั้น การได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม
คำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
มีเฉพาะในยุคนี้เท่านั้น
สนใจไว้นะ เราต้องสนใจฟังเสีย
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้เป็นสัจจธรรม
เป็นความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องของความคิดขึ้นมา
ไม่ใช่เป็นเรื่องของการที่ใช้ตรึก นึก คิด
คำนวณหรือว่าไตร่ตรอง สถิติ หรือว่าคิดเอา
ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เกิดจากญาณที่ตรัสรู้
คือเกิดจากญาณที่พระองค์มีจิตเข้าถึงสมาธิแน่วแน่
มีปัญญาเกิดความรู้แบบแทงตลอดขึ้นมา
ไม่ใช่เอามาคิดนึก แล้วก็เอามาสอน ไม่ใช่
เพราะฉะนั้น สิ่งที่สอนไว้จึงถูกต้อง
เป็นสิ่งที่ถูกต้องแม่นยำทุกอย่าง
เกิดจากญาณที่ตรัสรู้ขึ้นมา
เราจึงน่าสนใจพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าตรัสไว้
ประการที่ห้า สิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ที่พ่อนาคจะได้รับ ทุลลภา ปัพพัชชา
การที่จะได้มีโอกาสบวชในพระพุทธศาสนา
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
พรุ่งนี้จะได้บวชแล้ว ได้สิ่งที่หาได้โดยยาก
ไม่ใช่ง่ายนะที่จะได้บวช
ต้องมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น
ตัวนาคก็ต้องมาเป็นมนุษย์ มีอาการครบสามสิบสอง
มีอะไรพร้อม สละออกมาได้
แล้วก็ต้องมีพระ มีพระสงฆ์
ถ้าไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีคู่สวด
ไม่มีพระอันดับเพียงพอ ก็บวชไม่ได้นะ
ไม่ใช่เราไปบวชเอาเองได้
นึกจะบวชก็โกนหัวนุ่งเหลืองเอาเอง มันก็ไม่เป็นพระ
ต้องบวชในโบสถ์ ต้องมีพระสงฆ์ทำสังฆกรรมให้
ตามวินัยบัญญัติ
ถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์บวชให้เองได้
แรกแรก ถ้าพระพุทธเจ้าบวชให้เอง
พระพุทธองค์จะตรัสเฉยเฉย
เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว
เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์
ก็ความสำเร็จเป็นพระภิกษุ
แต่ต่อมาพระพุทธองค์ก็ให้พระสงฆ์เป็นผู้บวช
แล้วพระสงฆ์ก็ต้องมีจำนวนพอ
แล้วก็ต้องมีการตั้งญัตติ
มีการสวดถามถึงสามครั้ง ไม่ใช่ง่าย
อย่างโยม ก็ไม่ได้บวช เพราะอะไร
ภาระธุระการงาน ครอบครัวอะไรทุกอย่าง
มันไม่สามารถจะบวชได้ง่าย
หรืออย่างโยมผู้หญิงอยากจะบวช ก็ได้มาแค่นุ่งขาว
ที่จริงก็ยังอยู่ฐานะเป็นอุบาสิกา
ไม่สามารถเป็นพระได้
พระภิกษุณี โยมจะบวชเป็นภิกษุณีได้อย่างไร
ในเมื่อไม่มีอุปัชฌาย์ คู่สวด พระภิกษุณีอันดับ
ตามวินัย การจะบวชเป็นภิกษุณีต้องบวชสงฆ์สองฝ่าย
บวชในสงฆ์ฝ่ายภิกษุณีเรียบร้อยแล้ว
ก็มาบวชในท่ามกลางพระสงฆ์ พระภิกษุสงฆ์
พระภิกษุณีสงฆ์ก็หมายถึงพระผู้หญิง
ตอนนี้หมดไปแล้ว ภิกษุณีสงฆ์หมดไปแล้ว
ในฝ่ายเถรวาทนะ ในเมืองไทยเราเป็นเถรวาท
พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
คือรักษาพระธรรมวินัยครบทั้งหมด
พม่า ลาว เขมร ศรีลังกา ไทย
รับพระพุทธศาสนามาแบบเถรวาท
คือรักษาพระธรรมวินัยทั้งหมด
แต่ว่าถ้าเป็นมหายาน แตกเขาแยกนิกายออกไป
แล้วก็ถอนสิกขาบทอะไรอะไร
ก็ยังมีภิกษุณีอยู่ ที่จีน ที่ทิเบต ที่ญี่ปุ่น
แต่ในเถรวาทอย่างเมืองไทยเราไม่มี
นี่ไม่ใช่ง่ายจะบวช
เพราะฉะนั้น การที่พ่อนาคจะได้บวชในวันพรุ่งนี้
ถือว่า ได้ในสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
การบวชได้มีโอกาส สร้างบุญกุศล
สร้างความดีให้ตนเองอันยิ่งใหญ่
ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ ได้มาสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ถึงแม้จะบวชชั่วคราว ก็ยังมาต่อต่อกันไว้
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วสองพันห้าร้อยกว่าปี
ถ้าไม่มีพระสงฆ์ กุลบุตรมาบวชสืบต่อสืบต่อ
รุ่นต่อรุ่นนี่ มันจะหมดไปแล้ว
ถ้าไม่มีพระสงฆ์ใครจะศึกษาพระธรรมวินัย มันก็หมด
ฉะนั้นมีการบวชต่อเนื่องต่อกันมา
ทำให้พระพุทธศาสนาสืบทอดมาถึงปัจจุบัน
การที่พ่อนาคจะเข้าไปบวช ก็เป็นถือส่วนหนึ่ง
ที่เราเข้าไปสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
นำพ่อแม่มาเป็นญาติกับพระพุทธศาสนา
การบวชลูกบวชหลาน
เป็นการทดแทนตอบแทนพระคุณ เพราะอะไร
เพราะให้พ่อแม่ได้ปลื้มใจชื่นใจ
ความสุขของความเป็นพ่อเป็นแม่ เห็นลูกบวช
ปกติเห็นลูกเป็นคนดี พ่อแม่ก็มีความสุขใจ
ลูกเป็นคนดี เรียนจบได้ปริญญา มีการงาน
มีครอบครัวที่ดี มีคนดี พ่อแม่ก็ปลื้มใจ
แต่ไม่เท่ากับเห็นลูกบวช
โยมเชื่อไหม โยมที่มีลูก มันต่างกัน
เพราะว่าความดีของลูกที่บวช มันเป็นเพศที่สูง
จนกระทั่งว่า พ่อแม่ก็ยังไหว้
ยังกราบไหว้ พระลูกชายลงได้
ทำไมเขากราบไหว้ เพราะเขามีศรัทธา
เขาก็ไม่ได้กราบลูก
เขากราบสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มันเป็นความสุข
มันเป็นความปลื้มใจชื่นใจของความเป็นพ่อ
เห็นลูกไปอยู่ในเพศสมณะ เห็นนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์
แล้วถ้าเราบวชไป อย่างพระที่บวชกันระยะยาว
ท่านก็มีโอกาสตอบแทนคือ
จิตของพ่อแม่นึกถึงพระทีไร
จิตเป็นกุศลเกิดมา ปลื้มใจ ทำบุญ
หรือไม่ก็ ได้ไปให้ท่านได้เห็น
พระพุทธเจ้าตรัสว่าพ่อแม่เป็นพระพรหมของบุตร
เปรียบเทียบเป็นพระพรหม
พรหมคือมีคุณธรรมสี่ประการ
เมตตา ความรักความปรารถนาดี
พ่อแม่ก็แบบเดียวกัน ปรารถนาดีต่อลูก
กรุณา สงสาร ช่วยเหลือ เกื้อกูล ดูแล
บางคนชีวิตตัวเองนี่แทนได้เลย
โยมคนหนึ่งมีลูก
ลูกไปถูกกระทำ ไปถูกทำร้าย แม่ใจจะขาด
แม่ตะโกนบอกว่า
ให้มาฆ่าแม่ดีกว่า อย่าทำร้ายลูกเลย
ความรู้สึกของความเป็นแม่เป็นอย่างนั้น
เจ็บยิ่งกว่า ทุกข์ยิ่งกว่า
ฉะนั้น ท่านบอกว่าเป็นพระพรหมของบุตร
มีกรุณาคือ ความสงสารช่วยเหลือเกื้อกูล
มีมุทิตาพลอยยินดี ไม่อิจฉาริษยาเหมือนคนอื่น
บางทีเราได้ดิบได้ดีเขาอิจฉาริษยา
แต่พ่อแม่ไม่เป็นอย่างนั้น
อุเบกขาวางเฉย บางทีเราทำอะไรล่วงเกิน
พูดจาไม่ดีบ้าง ทำอะไรกระทบกระเทือนบ้าง
ท่านก็ยังให้อภัย
ถึงจะน้ำตาไหล แต่ก็ยังให้อภัยเสมอ
แม้ลูกบางทีติดคุกติดตะราง
พ่อแม่ก็ยังให้อภัย ยังไปดูแล ยังไปดู
คนอื่นเขาไม่เอาด้วยแล้ว
นักโทษประหารชีวิตนี่ คนทั้งหลายไม่เอาด้วยแล้ว
แต่คนที่ไปรับคือแม่ คือไม่ทอดทิ้ง
เรียกว่ามีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
เป็นพระพรหมของบุตร
เป็นอาจารย์คนแรกของบุตร สอนเรามาก่อนใช่ไหม
พร่ำสอนแนะนำ เป็นอาจารย์คนแรก
และก็เป็นเทวดาของบุตร
เป็นพระอรหันต์ของบุตรด้วย
ฉะนั้น บุตรคนใดที่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่
ก็เหมือนเราทำบุญกับพระอรหันต์
ชีวิตจะมีความสุขความเจริญ
แต่ถ้าเราไปทำไม่ดีกับพ่อแม่
มันก็เหมือนทำไม่ดีกับพระอรหันต์ บาป
ต้องให้มีการขอขมา
เพื่อให้ท่านอโหสิกรรมจะได้พ้นกรรม
พระพุทธเจ้าเอง พระพุทธองค์ก็ตอบแทน
พอพรรษาที่เจ็ด เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดา
เพราะมารดาสวรรคตตั้งแต่ประสูติได้เจ็ดวัน
ไปเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
พระพุทธองค์ขึ้นไปสอน
นำอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ไปแสดงโดยพิสดารกับเทวดา
สามเดือนของโลกมนุษย์
ตอนพระเจ้าสุทโธทนะ จะสวรรคต
ประชวรหนัก พระพุทธเจ้าก็ไป
ตอนนั้นพระเจ้าสุทโธทนะสลบ
พระพุทธเจ้าก็ไปประคองศีรษะ อธิษฐาน
แล้วก็ลูบไปที่พระเศียรของพระราชบิดา
ก็ฟื้น รู้สึกตัว ฟื้นขึ้นมา
พระนันทะ ซึ่งก็เป็นโอรส เป็นพระลูกชาย
เป็นพระอรหันต์ด้วย แต่ว่าต่างมารดา
ก็ลูบไปทางแขน ทางขา ทางเบื้องขวาข้างนี้ก็ฟื้น
คือความเป็นระหว่างพ่อกับลูก
ใจมันถึงกัน พ่อแม่กับลูก
โดยเฉพาะลูกเป็นพระอรหันต์ด้วย
อธิษฐานลงไปมันก็มีผล
พระอานนท์ซึ่งเป็นหลาน เป็นลูกของอา
ก็อธิษฐานลูบไปทางซ้าย ข้างซ้ายก็ฟื้น
สามเณรราหุลซึ่งเป็นหลานปู่
หลานปู่ก็ลูบทางด้านหลัง
ฟื้นทั้งตัวลุกขึ้นมานั่ง ไหว้ได้
ชีวิตที่จะดับลงไปแล้วก็ได้เห็น
ลูกหลานมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
เป็นความอบอุ่นใจของความเป็นพ่อเป็นแม่
พ่อแม่จริงจริงไม่หวังอะไร
ยามแก่เฒ่าหมายเจ้าเฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้หมายเจ้าเฝ้ารักษา
ยามถึงวันตายวายชีวา
หวังเพียงเจ้าช่วยปิดตาคราสิ้นใจ
ได้เห็นพร้อมหน้าพร้อมตาก็อบอุ่นใจ
แล้วโดยเฉพาะเห็นหน้าลูกอยู่ในเพศสมณะ โยมคิดดู
เป็นพระ แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าด้วย
เป็นสาวก เป็นพระอรหันต์ เป็นความโชคดี
ที่จริงพระเจ้าสุทโธทนะกันที่สุดเลยนะ จะไม่ให้บวช
โหรทำนายว่า
ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
พระเจ้าจักรพรรดิจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่
ครอบครองทั้งโลก
มีจักรแก้ว นางแก้ว ช้างแก้ว มีของวิเศษ
ถ้าบวชก็จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถามว่า พระองค์จะออกบวชด้วยเหตุอันใด
โหรบอกว่า ถ้าเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย
พระองค์จะสังเวชใจ และจะออกบวช
พระเจ้าสุทโธทนะก็เลยกันหมดเลย
เอาคนแก่ คนป่วย คนตาย ออกนอกเมือง
อย่าให้มาให้เห็นเป็นเด็ดขาด
แต่ที่สุดพระองค์ก็ได้เห็นจนได้ เสด็จไปได้เห็น
พอเห็นแล้วพระองค์สังเวชสลดใจมาก
คือความเป็นพระโพธิสัตว์ ที่สั่งสมบารมีอธิษฐานมา
เพื่อจะช่วยสัตว์ทั้งหลายอยู่แล้ว
พอเห็นคนทุกข์ยาก เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย
สงสารมาก สังเวชใจมาก
นึกมาถึงตนเอง ชีวิตเราก็เหมือนกัน
เราก็หนีไม่พ้นความแก่ ความเจ็บ ออกบวชเลย
ซึ่งพระนางพิมพาก็ประสูติโอรสใหม่ใหม่
ตัดใจออกบวช
ถ้าพระพุทธองค์ไม่ตัดใจออกมา
ไม่สามารถจะช่วยทั้งหมดได้
ฉะนั้นในที่สุด พอพระองค์ออกมาบวชนี่ช่วยได้หมด
สามเณรราหุลก็ได้มาบวช ตั้งแต่เป็นสามเณร
แล้วก็เป็นพระภิกษุ แล้วก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระนางพิมพามเหสี ก็ที่สุดก็ออกบวชเป็นภิกษุณี
สำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระนางปชาบดีที่เลี้ยงพระองค์มา
ก็ออกบวชเป็นภิกษุณีองค์แรก
โกนหัวออกบวช สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ช่วยได้หมดเลยพระญาติทั้งหลาย
ถ้าไม่สละออกมาก็ช่วยไม่ได้
รวมทั้งพระเจ้าสุทโธทนะ
พระเจ้าสุทโธทนะนี่
ตอนที่พระพุทธองค์ไปโปรดครั้งแรก
ที่กลับมาโปรดที่เมืองกบิลพัสดุ์ ที่กำลังออกบิณฑบาต
พระเจ้าสุทโธทนะก็มาต่อว่า
ศากยตระกูลของเรา ไม่เคยมาเป็นขอทานอย่างนี้
มาขอทานเขาได้อย่างไร อับอายเหลือเกิน
พระพุทธองค์ตรัสว่า อาตมาภาพเป็นพุทธวงศ์
เป็นพุทธวงศ์ วงศ์ของพุทธะต้องบิณฑบาต
ธรรมเนียมของพุทธวงศ์ แล้วพระองค์ก็แสดงธรรม
บรรลุเป็นโสดาบันมาแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะ
แต่ตอนจะตาย
จึงรู้ว่าลูกบวชนี่เป็นโอกาสดี ตนเองได้เห็นธรรม
พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมในครั้งนั้น
พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุเป็นพระอรหันต์
พระเจ้าสุทโธทนะนี่เป็นพระอรหันต์ก่อนจะสวรรคต
เพราะฉะนั้นพระองค์พ้นไปแล้ว
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
สิ่งที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม
กับพระเจ้าสุทโธทนะ มีสามบท
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อใดบุคคลมาพิจารณาเห็นว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
เมื่อนั้นเขาจะเกิดความเบื่อหน่าย
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน
อันเป็นธรรมหมดจด
สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อใดบุคคลมาพิจารณาเห็นว่า
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
เมื่อนั้นเขาจะเกิดความเบื่อหน่าย
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน
อันเป็นธรรมหมดจด
แล้วก็ตรัสเป็นบทที่สามว่า
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อใดบุคคลมาพิจารณาว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
เมื่อนั้นก็จะเกิดความเบื่อหน่าย
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพาน
อันเป็นธรรมหมดจด
อันนี้ที่ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุเป็นพระอรหันต์
ด้วยบทพระธรรมสามบทนี้
ถ้าสามารถเห็น เข้าไปรู้เห็นถึงสังขารไม่เที่ยงได้
หรือเป็นทุกข์ หรือว่าธรรมทั้งหลาย
เห็นอนัตตาของธรรมทั้งหลาย จะเกิดความเบื่อหน่าย
เมื่อจิตเบื่อหน่าย จิตก็จะคลายกำหนัด
เมื่อจิตคลายกำหนัด จิตก็หลุดพ้นจากอาสวกิเลส
จะเข้าไปเห็นได้ จะต้องมีการเจริญสติ
เจริญสติเข้าไปหยั่ง ระลึกรู้ในกายในใจ
ให้มันตรงต่อรูปนามขันธ์ห้า ที่กำลังปรากฏ
สิ่งเหล่านี้ เราต้องฟัง ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าว่า
รูปมันเป็นอย่างไร
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นอย่างไร
แล้วก็ทำการเจริญสติ
เรารู้จักฟัง รู้จักแล้วก็เจริญสติ
ไปกำหนดดูรูป ดูเวทนา สัญญา สังขาร
บ่อยบ่อยเนืองเนือง ทำแล้วทำอีก
กำหนดไปกำหนดมา ก็เห็นว่า
ขันธ์ห้ามันเปลี่ยนแปลง มันเสื่อมสลาย
มันไม่เที่ยงเลย มันแปรเปลี่ยนตลอดเวลา
เห็นมันเป็นทุกข์ มันทนอยู่ ตั้งอยู่ไม่ได้
เห็นธรรมทั้งหลายบังคับบัญชาไม่ได้
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตน
ก็จะทำให้เกิดธรรมสังเวช เกิดความสลดใจ
เกิดความเบื่อหน่าย
จิตจึงน้อมไปสู่การหลุดพ้นได้
เพราะฉะนั้นทุกคน มีโอกาส มีสิทธิ์
ฟังธรรมะให้มันเข้าใจ แล้วก็ลงมือปฏิบัติ
พยายามเจริญภาวนา กำหนดระลึกรู้
เดินภาวนา นั่ง เดินจงกรม
แล้วก็เดินเพื่อจะให้มันมีสมาธิ
มีสติ มีสมาธิ แล้วก็มีปัญญารู้แจ้ง
แล้วก็มานั่ง นั่งก็ภาวนากำหนด
ดูกาย ดูลมหายใจ ดูลึกซึ้งเข้าไปในกาย
ในที่สุดก็จะเห็นแจ้งขึ้นมาได้
ทำแล้วทำอีก ทำให้มาก
ทีนี้เราใหม่ใหม่ มันยังไม่ได้เพราะอะไร
เพราะมันมีนิวรณ์ ทำไปหน่อยเดี๋ยวง่วง
เดี๋ยวหลับ เดี๋ยวสัปหงก
อย่างนี้มันก็ไม่รู้แจ้งสิ เพราะมันง่วง
แต่ถ้าเราทำไปทำไป จนกระทั่งมันสว่าง มันหายง่วง
มันจะผ่านได้ ถ้าเราทำไป
บางทีก็ฟุ้งซ่าน จิตใจซัดส่ายวุ่นวาย
มันจะไม่วุ่นวายอย่างไร เราไปใช้ชีวิตเรื่องนั้นเรื่องนี้
รับกันมากี่ปีแล้ว ที่เป็นเรื่องต่างต่าง
จะให้จิตมันสงบ มันต้องใช้เวลา ทำแล้วทำอีก
แต่มันก็มีโอกาสจะสงบได้
ถ้าเราพากเพียรไปเรื่อยเรื่อย
ทำไปทำมา เดี๋ยวสงสัยเสียอีกแล้ว
อย่างนั้นไหม อย่างนี้ ไปไม่ถูกไปไม่ได้อีก
มัวสงสัยอยู่
บางทีก็เกิดความโกรธขัดเคืองใจ
ทำไมมันไม่ได้ โมโหอีก อันนี้ก็มาจากความอยาก
อยากจะให้มันนิ่ง อยากจะให้มันได้
พอมันไม่ได้ก็โมโห โกรธ
ก็ต้องวางใจเฉยเฉย ได้ก็ได้ ทำไปเรื่อยเรื่อย
ขัดเกลา อย่างไรก็ได้ ทำใจสบายสบาย
ไม่ต้องไปทะยานอยาก มันก็จะสงบของมันเอง
พอเราฝึกไปอย่างนี้ มันผ่านนิวรณ์
จิตมันตื่นรู้ขึ้นมาสว่างในใจ
มันก็จะเห็นชัดในตัวเอง มันมีสิทธิ์ที่จะทำ
เหลือแต่ว่าเราไม่พากเพียรไม่ทำก็ไม่ได้
ฉะนั้น วันนี้ก็ขออนุโมทนาทุกท่าน
ได้มาร่วมกันประพฤติปฏิบัติธรรม
กุศลคุณงามความดีบารมีให้สูงส่ง
ตามเจตจำนงตรงต่อพระนิพพาน
เข้าถึงซึ่งความดับไปไม่เหลือแห่งทุกข์
คือพระนิพพาน ทุกท่านเทอญ
---------------------------------------------