แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะมัตถุ ระตะนัตตะยัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรม
จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
โอกาสนี้ไปก็จะได้ปรารภธรรมะ
ตามหลักคำสั่งสอน
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อส่งเสริมศรัทธาปสาทะ หิริโอตตัปปะ
วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
เพื่อพัฒนาชีวิตจิตใจของตนเองให้สูงส่ง
จนถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน
เรียกว่ามีศรัทธาปสาทะ
ก็หมายถึงมีความเชื่อมีความเลื่อมใส
ศรัทธาความเชื่อ เป็นความเชื่อที่หยั่งลง
ตรงต่อคุณของพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง
พระรัตนตรัยแปลว่า แก้วสามประการ
สิ่งที่ประเสริฐสูงสุดเราก็ใช้คำสมมติเปรียบเทียบ
เป็นเหมือนแก้วเพชรนิลจินดาทั้งหลาย
ที่โลกสมมติเป็นของมีค่ามีราคา
พระรัตนตรัยยิ่งมีค่าสูงสุด ก็ได้ใช้คำว่า รัตน
รัตน ก็แปลว่าแก้ว ตรัย ก็แปลว่าสาม
รัตนตรัย ก็คือแก้วสามประการ
เป็นคำยกย่องสิ่งที่มีค่ามีความประเสริฐสูงสุด
ในจำนวนสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะสัตว์สองเท้า
สี่เท้า หรือเท้ามาก หรือไม่มีเท้าก็ตาม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือว่าเป็นสัตว์อันประเสริฐ
สูงสุด อตุโล อะตุลัง ไม่มีผู้เปรียบปาน
คือพระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
วิชชาก็เป็นความรู้
จรณะก็เป็นความประพฤติ
รู้ด้วย ทำถูก ทำได้ด้วย
ได้นามว่าสัมมาสัมพุทธะ
คือตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ไม่ต้องมีครูอาจารย์ ไม่ต้องมีใครสอน
พระองค์พิจารณาธรรม เข้าถึงธรรม
บรรลุธรรมด้วยพระองค์เอง
การนับความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็นับตอนที่ตรัสรู้
ตอนประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ กรุงกบิลพัสดุ์
มีพระราชบิดานามว่าสุทโธทนะ
พระมารดานามว่าพระนางสิริมหามายา
ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ แต่ว่าเป็นพระโพธิสัตว์
คือผู้ที่จะได้มาตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง
และสามารถที่จะสั่งสอน
ประกาศธรรมให้ผู้อื่นได้รู้ตามได้
พระพุทธองค์ได้นามสัมมาสัมพุทโธ
ก็วันที่ตรัสรู้ใต้ต้นอัสสัตถะ
ชาวโลกเรียกกันว่าต้นอัสสัตถะ
หรือบุคคลเรียกกันทั่วไปว่าต้นโพธิ์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ในวันเพ็ญสิบห้าค่ำ เดือนหก
หลังจากที่พระองค์ออกบวช
ในพรรษาที่ยี่สิบเก้าพรรษา
บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่หกปี
ฉะนั้น แสดงถึงพระองค์ตรัสรู้
เมื่อพระชนมายุสามสิบห้าพรรษา
นับตั้งแต่ตรัสรู้นั่นก็เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สุคะโต เสด็จไปดีแล้ว
พระสุคต สุคะโต เสด็จไปดีแล้ว
คือไปสู่นิพพาน
หรือเสด็จไปที่ใด
ก็ยังประโยชน์และความสุขให้เกิดขึ้นกับมหาชน
ทั้งมนุษย์และเทวดา ณ ที่นั้นนั้น
โลกะวิทู
ได้นามว่าโลกะวิทู แปลว่าผู้รู้แจ้งในโลก
รู้แจ้งโลก แจ่มแจ้งแทงตลอด
โลก ไม่ว่าจะเป็นโลกคือชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย
ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง
โลกคือหมู่สัตว์
แม้แต่ที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งหลาย
หรือไม่ใช่ที่อยู่อาศัย
ที่อยู่อาศัยก็แบ่งเป็นสามโลก
หนึ่ง กามโลก
เป็นที่เกิดของสัตว์ทั้งหลายที่ยังข้องอยู่ในกาม
ยังพอใจติดใจในกามารมณ์
คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ที่น่าใครน่าปรารถนา ยังพอใจติดใจ
โลก ที่เกิดของสัตว์ที่ยังพอใจติดใจอยู่ในโลก
ในกามคุณอารมณ์ เรียกว่า กามโลก
ซึ่งมีสิบเอ็ดภูมิด้วยกัน ได้แก่ อบายภูมิสี่
คือสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
สูงขึ้นมาก็คือมนุษย์
อย่างพวกเราทั้งหลาย ก็ยังถือว่าอยู่ในกามโลก
ยังข้องยังติดอยู่ในกามคุณอารมณ์ทั้งหลาย
สูงขึ้นไปก็เป็นเทวดาทั้งหกชั้น
จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต
นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี
รวมแล้วสิบเอ็ดภพภูมิด้วยกันที่เรียกว่า กามโลก
เทวดาก็ยังข้องอยู่ยังติดอยู่ในกามารมณ์ทั้งหลาย
โลกที่สองก็คือ รูปโลก
เป็นที่เกิดของหมู่สัตว์ที่ยังข้องอยู่
ติดอยู่ในรูป รูปภพ รูปฌาน
แต่ไม่ติดไม่ข้องในกามารมณ์ ได้แก่พวกรูปพรหม
รูปพรหมก็มีทั้งหมดสิบหกชั้นด้วยกัน สิบหกภพภูมิ
อันนี้เขาก็จะไม่มีความข้องอยู่ในกาม
แต่ก็ยังมีกิเลสประเภทที่ยังติดอยู่ในภพ
ที่เป็นรูปภพ หรือรูปฌานที่ตนได้
อีกโลกหนึ่งก็คือเรียกว่า อรูปโลก
อรูปโลกเป็นที่เกิดอยู่ของสัตว์ที่มีขันธ์สี่ขันธ์
คือพวกอรูปพรหม พรหมที่ไม่รูปมีแต่นาม
มีแต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่มีร่างกาย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย
มีแต่ใจ มีขันธ์สี่ขันธ์
เขาก็ยังข้องอยู่ในอรูปภพ อรูปฌาน
ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏได้
รวมแล้วก็ทั้งหมดกี่ภูมิ
กามโลก หรือกามภูมิสิบเอ็ดภูมิ
รูปภูมิอีกสิบหกภูมิที่เรียกว่ารูปโลก
แล้วก็อรูปภูมิที่เรียกว่าอรูปโลกอีกสี่ภูมิ
รวมแล้วก็เป็นสามสิบเอ็ดภูมิด้วยกัน
ที่สัตว์ทั้งหลายวนเวียนเกิดตาย
อยู่ในสังสารวัฏเหล่านี้
ต้องประสบความทุกข์ต่างต่างคือ
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ความเผชิญกับทุกข์กับปัญหา
ความสูญเสีย ความพลัดพราก
ความผิดหวัง ความเศร้าโศกพิไรรำพัน
ทุกข์กายทุกข์ใจคับแค้นใจ
เป็นอยู่อย่างนี้อยู่ เพียงแต่ว่าชั้นสูงขึ้นไป
พวกพรหมเขาก็ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีโทสะ
เพราะฉะนั้นจิตที่จะเป็นโทมนัสไม่มี
แต่เขาก็ยังมีกิเลสประเภทพอใจติดอยู่ในภพ
ในรูปภพ อรูปภพ แล้วก็หมดอายุขัยก็ตาย
มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ เทวดา
ก็มีกิเลสครบครัน โลภะ โทสะ โมหะ
พวกเทวดาชั้นที่สองขึ้นไป
แม้จะมีแต่อารมณ์อันน่าใคร่น่าปรารถนา
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันเป็นทิพย์
ไม่ต้องมาแก่มาเจ็บป่วย แต่ก็ยังต้องตาย
ตายแล้วก็บางทีก็ลงนรกเลยก็มี
จากเทวดาหมดบุญ ตกสวรรค์ เกิดนรกก็มี
ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจทรงเห็นแจ้ง
รู้เรียกว่าเป็นโลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ฝึกบุรุษได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
พระพุทธเจ้าจะสอนบุคคลให้บรรลุธรรมได้
เพราะว่าพระพุทธองค์ทราบกำพืดของแต่ละคน
ว่าสั่งสมเหตุปัจจัยไว้อย่างไร
อินทรีย์บารมีอ่อนแก่ขนาดไหนอย่างไร
สมควรที่จะได้ฟังธรรมอย่างไร จังหวะไหน
ก็จะสอนได้ตรง คนนั้นก็บรรลุธรรม
สอนมหาโจรมาเป็นพระอรหันต์อย่างองคุลิมาล
พวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกเป็นพราหมณ์ที่ยังเห็นผิด
พอได้ฟังพระพุทธองค์ก็เปลี่ยนใจมานับถือพุทธศาสนา
มาบวชมาปฏิบัติ บรรลุธรรม
แล้วธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสนั้น
ผู้ฟังจะมีความเข้าใจแจ่มแจ้ง ก็จะประกาศตนเองว่า
พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น
ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
เหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนหงายของที่คว่ำ
เหมือนบอกทางกับผู้ที่หลงทาง
เหมือนจุดดวงประทีปส่องทางให้สว่าง
ข้าพระองค์ขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วย
พระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะตลอดชีวิต
เขาก็จะประกาศตน
สัตถา เทวะมะนุสสานัง
พระพุทธองค์เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่ใช่สอนเฉพาะมนุษย์ สอนเทวดาด้วย
เวลาที่พระพุทธองค์รับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายจาริกไป
อย่าไปทางเดียวกัน
ประกาศพรหมจรรย์ ประกาศธรรมพระพุทธศาสนา
ให้หมดจดพร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
เพื่ออนุเคราะห์ต่อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ไม่ได้ตรัสเฉพาะมนุษย์ ตรัสถึงเทวดาด้วย
ฉะนั้นในพระพุทธศาสนา
จึงมีเรื่องเกี่ยวข้องกับเทวดามาตลอด
แต่พวกเรามองไม่เห็นเอง
ตามีความจำกัด มองได้เฉพาะ ไม่ไกลนัก
แล้วก็รูปที่หยาบ ที่ละเอียดไปก็มองไม่เห็น
ถ้าเอากล้องจุลทรรศน์มาขยาย
ก็ได้เห็นรูปเล็กเล็ก เล็กเล็ก เขาขยายมาก็มองเห็น
กล้องส่องทางไกล ส่องไปดวงอาทิตย์ดวงจันทร์
ใช้กล้องช่วย แต่ก็ไม่สามารถจะเห็น
รูปที่ละเอียดขึ้นไปอีกที่เรียกว่าเป็นกายทิพย์
มองไม่เห็นด้วยตามนุษย์
กล้องปัจจุบันก็ยังส่องไม่ได้ ต้องใช้ญาณ
ทิพพจักขุญาณ ญาณที่เป็นตาทิพย์
ที่เกิดขึ้นจากการฝึกจิตเป็นสมาธิระดับสูง
แล้วก็เกิดทิพพจักขุ
จึงมองเห็นสัตว์ในโอปปาติกะ เทวดา
ในคำสอนพระพุทธศาสนา
ตรัสถึงมนุษย์ ตรัสถึงเทวดา ตรัสถึงสัตว์นรก
เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มาร พรหม
แต่พวกเราก็มีขีดจำกัดที่จะรับรู้ได้
แต่พระพุทธเจ้ามีทิพพจักขุไม่มีประมาณ
มองแค่ตาปกติก็มองได้ไกล
ได้เห็นมากกว่ามนุษย์ธรรมดา
เพราะว่าเกิดจากบุญบารมีที่สั่งสมมา
แต่มีญาณด้วยก็ยิ่งเห็นได้มากกว่ามนุษย์ทั่วไป
ทิพพโสต หูทิพย์ ฟังเสียงได้ไกลไกล
เสียงที่มนุษย์ธรรมดาไม่ได้ยิน
เจโตปริยญาณ หยั่งรู้วาระจิตผู้อื่นได้
อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ต่างต่างได้
ทำคนเดียวให้เห็นเป็นหลายหลายคนก็ได้
ทำหลายหลายคนให้เห็นเป็นคนเดียวก็ได้
ดำลงไปในดินเหมือนดำลงไปในน้ำก็ได้
เดินบนน้ำโดยน้ำไม่แตกแยกก็ได้
เหาะไปในอากาศก็ได้
สามารถไปสู่พรหมโลก
สามารถลูบคลำดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ได้
นี่ฤทธิ์ เขาเรียกว่าอิทธิวิธี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นทำได้ทั้งหมด
แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้เอามาใช้ตลอดเวลา
ใช้เป็นบางคราว บางครั้งใช้ปราบพวกเดียรถีย์
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าเป็นครู
ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เรียกว่า สัตถา เทวะมะนุสสานัง
พุทโธ พุทโธ พุทธะ แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน
จิตพระพุทธองค์รู้ แล้วก็ตื่นหมายถึง
ไม่มีสิ่งที่เป็นเครื่องเศร้าหมองในจิตใจ
ไม่เศร้าหมองไม่มัวหมอง
ตื่นจากกิเลสจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
จิตเบิกบาน พุทธะ จิตเบิกบาน
เหมือนพวกเราทั้งหลายถ้าได้ปฏิบัติ
เจริญสติเจริญภาวนาไป
ก็จะค่อยมีขึ้นเล็กเล็กน้อยน้อย มากขึ้นไปตามลำดับ
จิตตื่น จิตรู้ตื่น จิตเบิกบานขึ้น
ถ้าได้พยายามฝึกหัดปฏิบัติอบรมจิตใจตัวเอง
คือต้องมีสติสัมปชัญญะในการรู้ละสละวาง
ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่ดีดี ก็วางไปเลย
มันก็จะวางอย่างไม่รู้
ต้องมีความรู้เกิดขึ้นด้วย รู้ ตื่น และเบิกบาน
วางโดยไม่รู้มันก็จะกลายเป็นวางทิ้ง ทิ้งขว้าง
ต้องรู้ก่อน ต้องมีความรู้เห็นความเป็นจริง
ตามความเป็นจริง แล้วจิตจึงละสละวาง
รู้ความจริงก็หมายถึงรู้ หยั่งรู้
ในสังขารร่างกายจิตใจตนเอง
เห็นความจริงว่าไม่เที่ยงหนอ เปลี่ยนแปลง
เป็นทุกข์แตกดับ ตั้งอยู่ไม่ได้
เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นี่คือความเป็นจริง
รู้ความจริง ทิ้งตัวตน พ้นบ่วงมาร
จะเอามาคิดเอา นึกเอาเองก็ไม่ได้ ไม่ใช่เป็นความรู้แจ้ง
เราคิดถึงความไม่เที่ยงเป็นทุกข์
คิดถึงความไม่ใช่ตัวตน อันนั้นก็คิดเอา
เป็นความรู้จากความคิด ก็ยังตัดกิเลสขาดไม่ได้
แต่ก็มีส่วนช่วยได้ บรรเทาได้บ้าง
คิดไปในเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แต่ว่ามันตัดขาดไม่ได้ กิเลส
ไม่แจ่มแจ้ง ไม่รู้แจ้ง
การรู้แจ้ง รู้ความจริง รู้ประจักษ์
ประสบการณ์จริงจากจิตที่มีสติปัญญา
เข้าไปสัมผัสในสภาวะของกายใจ
ตามความเป็นจริง
ซึ่งจะเกิดได้ก็ต้องพากเพียรภาวนาปฏิบัติ
หมั่นอบรมเจริญสติมากขึ้นตามลำดับ
เจริญแล้วเจริญอีก ทำแล้วทำอีก ทำให้มาก
ไม่ใช่ทำกันครั้งเดียวสองครั้งแล้วจะบรรลุได้เลย
เหมือนเพชรที่จะต้องเอามาเจียกันมากมาก
ถึงจะเรียบ พอเรียบแล้วก็จะสุกใสแวววาว
จิตก็เหมือนกันจะต้องมาเจียระไน
ก็คือต้องฝึกมีสติสัมปชัญญะบ่อยบ่อยเนืองเนือง
จิตก็จะคลายไปจากนิวรณ์
ใหม่ใหม่นิวรณ์มันมี
ง่วง นั่งง่วงนั่งหลับสัปหงก
เดี๋ยวฟุ้งเดี๋ยวเผลอ หงุดหงิดขัดเคือง
โดยเฉพาะนิวรณ์ความง่วง
เพราะว่าจิตมันยังไม่ตื่น
ยังไม่สว่าง ยังไม่รู้ตื่น กำลังไม่พอ
การมีสติสัมปชัญญะยังไม่มีกำลัง
สู้นิวรณ์ไม่ไหว ดึงไปหลับหมด
แต่ว่าถ้าเราฝึกมาก ฝึกต่อเนื่อง ฝึกเรื่อยเรื่อย
มันก็จะหลุดไปได้จากนิวรณ์ทั้งหลาย
จิตก็จะตื่นขึ้นสว่างขึ้น รู้ชัดขึ้นไปตามลำดับ
พุทโธ รู้ตื่นและเบิกบาน
ภะคะวา จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
พระพุทธองค์สามารถจะจำแนกแจกแจง
สิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งในสภาพธรรม
หยิบมาแจง มาแสดง มาบัญญัติสื่อคำสอนต่างต่าง
การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ
จึงมีความรู้ถึงพุทธะเป็นอย่างไร
อย่างที่เราฟังนี้เราก็ได้ส่วนหนึ่ง
แต่ไม่เข้าถึงได้ทั้งหมด
แต่ก็จะยังศรัทธาเกิดขึ้น
ถ้าใครมีความเข้าใจมากขึ้น ปัญญามีมาก
ความศรัทธามันก็จะตามมาด้วย
ศรัทธาความเชื่อ
เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เชื่อมั่น เชื่อ ทำให้เงี่ยโสตลง
สดับตรับฟังทุกคำที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
เป็นคำที่มีสาระมีความถูกต้อง
ความศรัทธา ศรัทธาปสาทะ
ความเชื่อความเลื่อมใสแล้วก็นำมาซึ่งหิริโอตตัปปะ
ทำให้เกิดความละอายต่อบาป
เกิดความเกรงกลัวต่อบาป
เพราะว่ามีศรัทธา เชื่อคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ว่าบุคคลที่ประกอบกายทุจริต วาจาทุจริต มโนทุจริต
ก็คือทำบาปทางกาย วาจา ใจ
ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง
พูดจาโกหกหลอกลวงบ้าง
พูดจาส่อเสียด ให้ร้ายป้ายสี ยุยง
ใช้คำด่าทอหยาบคายบ้าง เพ้อเจ้อเหลวไหลบ้าง
ตลอดทั้งเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม
เพ่งเล็งจะเบียดเบียนเขาบ้าง
พยาบาทอาฆาตแค้น
อย่างนี้ก็เรียกว่ามีกายทุจริต วาจาทุจริต มโนทุจริต
กล่าวร้ายพระอริยเจ้า
มีความเห็นผิด ชักชวนผู้อื่นทำตามความเห็นผิด
ตนเองทำผิดยังไม่พอ ทำชั่วยังไม่พอ
ยังชักชวนผู้อื่นไปทำชั่วตามด้วย
เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็เหมือนถูกนำตัวไปฝังไว้ในนรก
คำสอนพระพุทธศาสนาก็จะมีอยู่อย่างนี้
ส่วนบุคคลที่มีกายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต
ไม่กล่าวร้ายพระอริยเจ้า
มีความเห็นถูก เห็นว่าการให้ทานมีผล
การบูชามีผล
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
คุณบิดามารดามี โลกนี้มีโลกหน้ามี
มีการเวียนว่ายตายเกิด ชาตินี้ชาติหน้า
สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี
พวกเทวดา มาร พรหม สัตว์นรก
สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
รู้แจ้งด้วยตน สั่งสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้ มี
นี่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ชักชวนผู้อื่นทำตามความเห็นถูก
ไม่ใช่ความเห็นผิด นี่คือความเห็นถูก
เรียกว่าสัมมาทิฏฐิความเห็นถูก
ยังแนะนำชักชวนผู้อื่นทำตามความเห็นถูก
เมื่อสิ้นชีวิตลงก็เหมือนถูกนําตัว
เหมือนถูกอัญเชิญไปประดิษฐานในสวรรค์
คำสอนอย่างนี้ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก
ฉะนั้นเมื่อมีการฟังธรรม มีความเข้าใจในธรรม
ยิ่งเห็นปัญญาของพระพุทธเจ้า
เห็นคำสอน เห็นความถูกต้อง
ก็มีศรัทธา เมื่อมีศรัทธาความเชื่อ
มันก็นำมาซึ่งหิริโอตตัปปะด้วย
คือความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป
ก็จะเป็นธรรมคุ้มครองโลก
ตนเองได้รับความคุ้มครองไม่ให้ทำผิดทำชั่ว
เพราะละอายแก่ใจในการที่จะไปทำชั่ว มันละอาย
แล้วก็โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อโทษของมัน
กลัวบาป กลัวผลของบาป ก็ทำให้เว้นบาปได้
ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ
ไม่ละอายไม่เกรงกลัวต่อบาป
ก็จะทำบาปกันได้ตามสบาย
ไม่มีอะไรคุ้มครองได้เลย
เพราะฉะนั้นคนที่มีหิริโอตตัปปะ
เขาเรียกว่าเป็นธรรมคุ้มครองโลก
โลกนี้ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ
คนก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน
สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีหิริโอตตัปปะ
มันมีกำลังกว่า มันก็ไปแย่งของตัวอื่น
กัดตัวอื่น บางทีมันก็ผสมพันธุ์กันหมด
ไม่มีใครเป็นแม่เป็นลูกเป็นอะไร
โตขึ้นมาก็ผสมพันธุ์กันหมด
แต่มนุษย์ที่มีหิริโอตตัปปะ
ก็จะรู้จักยำเกรงสิทธิของผู้อื่น
นี้ภรรยาของเขา
นี้ภรรยาของครูของอาจารย์
นี้คือพ่อ นี้คือแม่ นี้คือพี่คือน้อง
รู้จักยำเกรง มีความละอายที่ไม่ไปล่วงละเมิด
ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะ
มันก็จะสมสู่กันแบบไม่รู้จักใครเป็นใคร
ล่วงละเมิดในคู่ครองกัน
ล่วงละเมิดในชีวิต ทรัพย์สิน เบียดเบียน
ฉะนั้นหิริโอตตัปปะ
ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป
เป็นธรรมคุ้มครองโลกให้โลกนี้ยังสงบร่มเย็น
ให้อยู่กันอย่างถูกต้อง แต่ก็นับวันจะค่อยหายไป
เราฟังข่าวสังคม
เริ่มมีการขาดหิริโอตตัปปะมากขึ้นไหม
ทุจริตฉ้อโกงกันมากขึ้น
ล่วงละเมิดทางเพศกันมากขึ้น ไม่รู้ใครเป็นใคร
จนเห็นเป็นเรื่องปกติไปเลย
ทำผิดทำชั่วก็ยังมองว่ากลายเป็น
คนทำถูกทำดีเป็นคนผิดปกติของโลก
สังคมมันจะเริ่มเป็นอย่างนั้น
คือเรียกว่าคนดีน้อยลง สังคมคนชั่วมากขึ้น
คนจะดีก็เลยกลายเป็นคนผิดปกติไป
ทั้งทั้งที่คนที่ทำผิดทำชั่วนี้ผิดปกติของคนดี
ฉะนั้น มีการฟังธรรม การศึกษา
ได้มีศรัทธาปสาทะ มีหิริโอตตัปปะ เว้นบาป
แล้วก็ยังศรัทธาต่อการสั่งสมบุญกุศล
คุณงามความดีต่อไป
เราจึงต้องอาศัยพระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่พึ่งอันสูงสุดคือพระรัตนตรัย
เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
บุคคลใดอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก
เข้าถึงอริยสัจได้ เข้าถึงความจริงอันประเสริฐได้
ทุกข์ นี่คือทุกข์
นี่คือเหตุให้เกิดทุกข์ ต้องละ
ทุกข์ จะต้องกำหนดรู้
ทุกข์ คือขันธ์ห้า
คือรูป นาม กาย ใจ เป็นก้อนทุกข์
กำหนดรู้ทุกข์ ไม่ทำลายทุกข์ วางเฉยต่อทุกข์
สาวไปถึงเหตุให้เกิดทุกข์
ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
เพราะอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริง
ละอวิชชาได้ ละตัณหาได้ก็จะถึงความดับทุกข์
ความพ้นทุกข์ด้วยมรรค
ที่เข้าไปกำหนดพิจารณาในทุกข์อย่างถูกต้อง
คือต้องพึ่งพระรัตนตรัย
พึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้า
พึ่งพระธรรมคือปฏิบัติธรรมตามธรรมนั้นนั้น
จึงเข้าถึงโลกุตตรธรรม เข้าถึงมรรคผลนิพพาน
มีพระสงฆ์เป็นแบบเป็นอย่าง
เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่จะแนะนำ
ฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เป็นสรณะที่พึ่งแล้วเข้าถึงอริยสัจให้ได้
ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ
นี่แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
ผู้ใดอาศัยที่พึ่งนี้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
เราเป็นชาวพุทธถือว่าโชคดี
เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา
เหลือแต่ว่าเราจะพยายามเข้าถึง เข้าไปถึง
เข้าน้อมนำธรรมมา แล้วก็มาปฏิบัติ
ถ้าไม่ปฏิบัติตามธรรม
มันก็ไม่สามารถจะเยียวยารักษาใจ
ให้หมดจดจากกิเลสได้ เพียงแค่บรรเทาพอได้
แต่จะชำระกันจริงจริงขาดสิ้นได้
ต้องเข้าถึงการภาวนาปฏิบัติ
เจริญสติ กำหนดพิจารณา
กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่เนืองเนือง
หรือจะเรียกว่ากำหนดรู้ทุกข์ก็ได้
ขันธ์ห้าย่อลงมาคือรูปกับนาม
ยืนก็กำหนดรู้กายที่ยืน เดินก็รู้กายที่เดิน
นั่งก็รู้กายที่นั่ง นอนก็รู้กายที่นอน
กำหนดไปที่กายอยู่เนืองเนือง จนเข้าไปถึงตัวสภาวะ
ความไหวความกระเพื่อม ความสั่นสะเทือนในกาย
จนเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความเสื่อมสลาย
เห็นความแตกดับ เห็นความไม่ใช่ตัวตน
เจริญสติหยั่งรู้ไปถึงเวทนา จิต ธรรม
หรือว่าเข้าไปรู้ถึงนามธรรม
สบายก็รู้ ไม่สบายก็รู้ เฉยเฉยก็รู้
จิตใจเป็นอย่างไรก็คอยรู้คอยดู
ก็ค่อยเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลง
หมดไปดับไป ไม่เที่ยง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ละความยึดถือเป็นตัวตน
ละความเป็นตัวเรา ตัวตนของเราเสียได้
นี่เป็นทางแห่งความหลุดพ้น
ฉะนั้น ก็ขออนุโมทนาสาธุการ
ที่ท่านทั้งหลายได้มาขวนขวายใฝ่ธรรม
ถือว่าได้สาระของชีวิต
นำตนให้สูงส่งไปตามลำดับ
เป็นนิสัยเป็นปัจจัยต่อภพภายภาคหน้า
เพื่อจะได้เกิดสติปัญญา เกิดดวงตาเห็นธรรม
เข้าถึงมรรคผลนิพพานทุกท่านเทอญ
--------------------------------------------------