แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะมัตถุ ระตะนัตตะยัสสะ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอความผาสุกความเจริญในธรรม
จงมีแก่ญาติสัมมาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
จากนี้ไปก็จะได้ปรารภธรรมะ
ตามหลักคำสั่งสอน
ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อเพิ่มพูนศรัทธาปสาทะ สติ สมาธิ ปัญญา
แก่สาธุชนผู้สนใจใฝ่ธรรม
น้อมนำตน เข้ามาสู่สถาน การปฏิบัติธรรม
จะนับว่าเป็นบุญลาภของชีวิต
เกิดมาได้มีดวงจิตที่คิดใฝ่ธรรม
การได้เข้ามาสู่วัด ได้มีโอกาสสั่งสมคุณงามความดี
ได้สร้างบารมีได้มาก นับตั้งแต่การได้เสียสละ
ออกจากบ้าน ออกจากครอบครัว
ออกจากการครองเรือน มาปฏิบัติอยู่กับวัด
ถือว่าเป็นเนกขัมมบารมี
การสั่งสมความดี ที่จะเข้าถึงความพ้นทุกข์
เข้าถึงบรมสุข ก็ต้องอาศัยการสั่งสมบารมี
สร้างความดีให้ยิ่งยวดขึ้นไป
ในบารมีสามสิบทัศ หรือบารมีสิบทัศ
สามระดับก็เป็นสามสิบทัศ
ทานบารมี การบริจาคทาน
นี่ก็ต้องสั่งสมบำเพ็ญ เพื่อความพ้นทุกข์
พระโพธิสัตว์ คือผู้ที่ปรารถนาความพ้นทุกข์
พระองค์ก็ต้องสร้างทานบารมี
พระโพธิสัตว์นั้นจะสร้างทานบารมี ระดับอุกฤษฏ์
เรียกว่าปรมัตถบารมี
อย่างทาน บำเพ็ญทานธรรมดา ปรารถนาความพ้นทุกข์
สละบริจาคทรัพย์ต่างต่าง เป็นทานบารมี
สูงขึ้นไป สละอวัยวะเป็นทาน
อย่างพระโพธิสัตว์ควักดวงตา
บริจาคดวงตาให้คนตาบอด
ปัจจุบันก็จะมีการสละเลือด บริจาคเลือด
ก็ถือว่าเป็นทานอุปบารมี การให้อวัยวะเป็นทาน
ซึ่งเป็นการให้ยากกว่าวัตถุทานภายนอก
ยิ่งมีบางท่านสละอวัยวะ ยอมให้ตัดไตออกไป
สละไตให้ผู้อื่นที่เป็นญาติกัน
นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ก็ยอมสละอวัยวะเป็นทาน
แต่ระดับพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะสั่งสมบารมี
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเข้าถึงปรมัตถบารมี
ทานปรมัตถบารมี สละชีวิตได้
อดีตพระพุทธเจ้าของเราเคยสละมามาก
ชาติที่เป็นกระต่าย โดดเข้ากองไฟ
เห็นพราหมณ์แสวงหาอาหาร ไม่ได้อาหาร
กระต่ายสลัดขนให้สะอาด โดดเข้ากองไฟ
ให้เป็นอาหาร
หรือชาติเกิดเป็นดาบส เห็นเสือแม่ลูกอ่อน
ทำท่าจะกินลูกของตัวเองเพราะมันอดอยาก
พระองค์ก็สละชีวิต กระโดดลงไปให้เสือกิน
โดยปรารถนา เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ
เพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทำยากไหม โดดให้เสือกิน
แต่กำลังใจของการปรารถนาที่จะช่วยสัตว์
ให้พ้นจากทุกข์ มีมาก ต้องยอมสละชีวิต
ชาติที่บำเพ็ญทานบารมี ชาติสุดท้าย
ที่เกิดเป็นพระเวสสันดร
สละมาตลอด ให้มาตลอดตั้งแต่เกิด
จนกระทั่ง ให้ช้างมงคลคู่บ้านคู่เมือง
ให้กับพราหมณ์ต่างเมือง เมืองอื่น
ต่างเมืองเขาอยากจะได้
คิดว่าจะได้เป็นมงคลกับบ้านเมือง
พระองค์ก็สละให้ คือใครขออะไรก็ให้อยู่แล้ว
มาสละช้างมงคล ช้างเผือกคู่บ้านคู่เมือง
ประชาชนก็เลยไม่พอใจ พากันประท้วงขับไล่
พระเจ้าสญชัยซึ่งเป็นพระราชบิดา ก็เลยต้องยอม
ด้วยพระเวสสันดรปรารภว่า ให้ทำตามมหาชน
มิฉะนั้น บ้านเมืองก็จะปั่นป่วน
ประชาชนจะลุกฮือขึ้นต่อต้านราชบัลลังก์
พระเจ้าสญชัยซึ่งเป็นพระราชบิดา
ก็จำใจต้องมีพระราชโองการ
ขับ เรียกว่าเนรเทศพระราชโอรสออกจากเมือง
พระเวสสันดรก็ไปลาพระนางมัทรีมเหสี
การจากไปครั้งนี้ คงอาจจะไม่ได้มีโอกาส
ได้พบเห็นกันอีก
เป็นการจากกัน ไม่มีโอกาสจะได้พบกันได้อีก
ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน อาจจะไปตายในป่า
จะออกจากเมืองไปอยู่ป่า เข้าป่าเขาวงกต
ก็เลยมาลาพระนางมัทรี แล้วก็ทรงตรัสอนุญาต
ให้พระนางมัทรีได้อภิเษกสมรสใหม่ได้
เมื่อเห็นชายอื่นใด กษัตริย์องค์ใด ที่มาขอ
พระองค์ก็สละ ให้พระนางอภิเษกใหม่ได้
พระนางมัทรีก็กราบทูลว่า
การที่จะให้หม่อมฉันไปกับชายอื่น
หรือว่าให้หม่อมฉันต้องเป็นม่าย
หม่อมฉันก็ขอไปตายกับพระองค์ดีกว่า
พระนางมัทรีก็ไม่ยอมที่จะอยู่ในวัง
ขอติดตามพระองค์ไป จะเป็นตายร้ายดีก็ไปกับพระองค์
ก็ที่สุดก็ พระเวสสันดร พระนางมัทรี กัณหา ชาลี
โอรสธิดา ชาลีก็เป็นโอรส กัณหาเป็นพระราชธิดา
สี่กษัตริย์ก็ออกจากวัง
ก่อนอื่นก็ไปกราบลาพระราชบิดา พระราชมารดา
พระนางผุสดีซึ่งเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร
หัวใจของความเป็นแม่ ที่ลูกจะต้องจากไป
โดยที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งหลานด้วย
พระนางผุสดีอ้อนวอนพระราชสวามีพระเจ้าสญชัย (แก้ไข มัทรีตามเสียงพูด เป็น ผุสดีให้ถูกตามเนื้อเรื่อง)
ให้พระราชทานอภัย เปลี่ยนคำสั่ง
แต่ว่าพระเจ้าสญชัยก็ตรัสว่า คืนคำไม่ได้
กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ
พระเวสสันดรก็ปรารถนาอย่างนั้นด้วย
รักษาบ้านเมืองไว้
มหาชนจะลุกฮือเข้ามาต่อต้านวงศ์กษัตริย์ทั้งหลาย
เมื่อพระเวสสันดรพระนางมัทรี กัณหา ชาลีออกจากวัง
พระนางผุสดีก็สลบลง ความเศร้าโศก
ของหัวใจของความเป็นแม่ก็ดี
ห่วงลูก แล้วก็หลานอีก ตัวน้อยน้อย
สี่กษัตริย์ขึ้นพระราชพาหนะ รถเทียมม้า
มุ่งหน้าออกจากพระนครไป
พอพ้นประตูเมืองไปแล้ว
ก็ยังมีพราหมณ์ มาดักรอขอพระราชพาหนะอีก
มาขอพระราชพาหนะ ทั้งม้าทั้งรถ
พระเวสสันดรก็ทรงประทานให้
ความเป็นพระโพธิสัตว์ สละได้ทั้งหมด
ใครขออะไรก็ให้
ตั้งความปรารถนาที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วก็ให้ด้วยความยินดี ที่ได้มีโอกาสได้ให้
จากนั้นก็เสด็จ ดำเนินด้วยเท้า
พระเวสสันดรอุ้มชาลี พระนางมัทรีก็อุ้มกัณหา
เดินเข้าป่าไปตามลำดับ
ไปถึงเขาวงกตก็อธิษฐานเพศเป็นดาบส
พระเวสสันดรก็อธิษฐานเป็นเพศดาบส ถือศีลพรต
พระนางมัทรีก็อธิษฐานเป็นดาบสินีถือศีล
ก็อยู่ในอาศรมในป่า
พระนางมัทรีก็จะมีหน้าที่ไปเก็บผลหมากรากไม้ในป่า
เข้ามาเลี้ยงบุคคลทั้งสี่เป็นประจำอยู่เรื่อยมา
จนกระทั่งชูชก ชูชกก็เป็นเฒ่าแก่ชราแต่มีภรรยาสาว
ภรรยายุให้สามีไปเอาเด็กมาเลี้ยง
มาเป็นคนรับใช้ ให้ไปขอ
เพราะว่าได้ทราบพระเวสสันดรใจดี
ใครขออะไรก็ให้ มีกัณหาชาลี
ชูชกก็เลย ความรักภรรยา
ก็อุตส่าห์ดั้นด้นเข้าป่า เสี่ยงตายเหมือนกัน
ไปถึงอาศรมพระเวสสันดรได้
ขอพระราชทานโอรสธิดาเพื่อไปรับใช้ เป็นเด็กรับใช้
พระเวสสันดรก็ทรงประทานให้
กัณหา ชาลีเห็นว่าชูชกก็น่ากลัว
เจอปากทางก็ดุมาแล้ว ยังมาขอตนเอง
ก็เลยวิ่งหนี เดินถอยหลังลงสระบัว
เอาใบบัวบัง ปิดบังหัวไว้ บังพระเศียรไว้
เฒ่าชูชกก็เร่งเร้าพระเวสสันดร
เมื่อประทานโอรสธิดาให้แล้ว ก็ให้นำเด็กทั้งสองมา
พระเวสสันดรก็ตรัสว่า
ขอเวลาให้แม่ลูกเขาได้เห็นกันก่อน
ได้พบกันก่อนเถอะ ขอเวลาสักวัน
เฒ่าชูชกก็ไม่ยอม บอกว่าไม่ได้หรอก
ธรรมดาแม่กับลูก แม่ก็จะไม่ยอมได้
พระเวสสันดรก็จำใจต้องไปเดินตามหา
เห็นรอยเท้า มีแต่รอยเท้าเดินขึ้นจากสระน้ำ
ไม่มีรอยเท้าเดินลง ก็ทราบได้ทันทีว่า
กัณหา ชาลีอยู่ในสระบัว สระน้ำ
พระองค์ก็ได้ตรัสออกไปว่า
กัณหา ชาลีลูกพ่อ ขึ้นมาเถอะ
มาช่วยเป็นนาวาให้พ่อได้ข้ามฝั่ง
เพื่อตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
เพื่อจะได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์
มาช่วยเป็นนาวา มาช่วยบารมีให้พ่อ
ตรัสรู้นี่เพื่ออะไร เพื่อจะช่วยสัตว์ทั้งหลาย
ชาวสัตว์โลกทั้งหลาย เขาได้พ้นจากเกิดแก่เจ็บตาย
กัณหา ชาลีซึ่งเป็นเด็กดีอยู่แล้ว
เป็นเด็กที่เชื่อฟังพ่อแม่มาตลอด
แม้จะกลัวเฒ่าชูชกอย่างไร
เมื่อเสด็จพ่อตรัสเรียกอย่างนั้น ก็ขึ้นจากน้ำ
มากอดข้อพระบาทพระราชบิดาคนละข้าง ร้องไห้
ยอม แต่ก็ยอมเพื่อพ่อ
กลัวด้วย แต่ก็ยอมตัว เชื่อฟังพ่อ
พระเวสสันดรก็ได้พาลูกทั้งสอง มามอบให้เฒ่าชูชก
เฒ่าชูชกก็เอาเชือกมัดข้อมือเด็กทั้งสอง
จูงลากไปต่อหน้า ลากไปไม่พอยังตบตีอีก
พระเวสสันดร ต้องอัสสุชลนองพระเนตร
เป็นการเสียสละที่ยาก สำหรับการสละโอรสบุตรธิดา
ซึ่งเป็นเหมือนดวงตาดวงใจ
แต่พระองค์ก็ควบคุมอารมณ์จิตใจพระองค์ไว้ได้
นี่คือการที่ทำมาแล้วสำหรับพระโพธิสัตว์
เพราะว่าพระโพธิสัตว์ ท่านจะทราบถึงการสร้างบารมี
ว่าในเรื่องของทานบารมี ต้องมีการบริจาคมหาทาน
มหาทาน ทานใหญ่ ห้าประการ
การสละบุตรธิดานี้ต้องทำ สละชายามเหสีก็ต้องทำ
สละราชสมบัติก็ต้องทำ
สละอวัยวะดวงตา สละชีวิตต้องทำ
สิ่งใหญ่ใหญ่ ห้าอย่าง ขาดไม่ได้
เราจะเห็นว่า ในชาติสุดท้ายที่พระองค์จะตรัสรู้
เผชิญกับพญามาร
ถ้าไม่มีบารมีที่ทำมาอย่างยวดยิ่ง
ไม่มีทางผ่านเงื้อมมือมารไปได้เลย
ขนาดเทวดาพรหมทั้งหลายยังกระเจิง พอมารมา
ตอนที่พระองค์นั่งประทับใต้ต้นอัสสัตถะ
ต้นอัสสัตถะที่ชาวโลกถือกันว่าเป็น
เรียกชื่อกัน ต้นอัสสัตถะ
ที่เราเรียกกันว่าต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์
คำว่าโพธิ์ก็คือรู้ ตรัสรู้
ต้นไม้ที่ตรัสรู้ เรียกว่าต้นโพธิ์ โพธิ
แต่ที่จริงเขาเรียกกันต้นอัสสัตถะ
ปัจจุบันก็อยู่ที่คยา เมืองคยา ประเทศอินเดีย
พระองค์ประทับนั่งอธิษฐาน
ว่าการนั่งครั้งนี้ แม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป
เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที
ตราบใดที่ยังไม่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
เราจะไม่ลุกจากสถานที่นี้เป็นเด็ดขาด ยอมตาย
ฉะนั้น โยมก็ต้องนึกว่า พระโพธิสัตว์
ท่านต้องเด็ดเดี่ยวอย่างนั้น ที่จะได้ตรัสรู้
เราเจอทุกข์เข้าหน่อยก็ทนไม่ไหว ใช่ไหม
นั่งปวดขา ปวดหลัง ก็ไม่เอาแล้ว
ต้องนึกถึงพระโพธิสัตว์ท่านเด็ดเดี่ยว
กล้าหาญ คือยอมตาย
พอพระพุทธองค์นั่งประทับ
เทวดาทั้งหลายก็มาบูชากันมากมาย
ท้าวมหาพรหมณ์ก็นำเศวตฉัตรมากางกั้น
ท้าวสักกเทวราชก็นำสังข์วิชยุตรมาเป่า
พญานาค นาคราชก็นำนาคมาฟ้อนรำ ขับลำนำเพลง
เทวดาทั้งหลายสักการะบูชาทั่วไปหมด
บูชาดอกไม้ของหอมทั้งของทิพย์ จุณจันทน์
เสียงคีตะบรรเลง
แต่พอพญามาร พญามารนี่ก็เป็นเทวดา
ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
นำเสนามารจำนวนมากเลย ถืออาวุธกันคนละอย่าง
พญามารก็เนรมิตแขนเป็นพัน ถืออาวุธต่างนานาชนิด
ขี่ช้างคิรีเมขล์เข้ามา มีจักร
จักรที่เขาสามารถจะขว้างตัดต้นไม้ใหญ่ใหญ่ขาด
จักราวุธ พญามารบอกว่า
ถ้าเราจะต่อสู้กับสิทธัตถะตรงตรงเห็นทีจะไม่ได้
เราต้องใช้ฤทธิ์ต่างต่าง
บันดาลเกิดลมบ้าง เป็นพายุลมมาปั่นป่วนบ้าง
บันดาลเป็นน้ำ เป็นฝนเทลงมา น้ำท่วมเข้ามา
บันดาลเป็นศัสตราอาวุธนานาชนิดร่วงมา
เป็นถ่านเพลิงบ้าง เป็นก้อนหินลุกเป็นไฟเข้ามา
เป็นเถ้ารึงบ้าง เป็นโคลนตม
เป็นเม็ดทรายละเอียดร้อนแรงเข้ามา
ความมืดบ้าง ทั่วบริเวณปั่นป่วนไปหมด
เทวดาไม่อยู่เลย
ท้าวมหาพรหมรีบเก็บเศวตฉัตรหนีกลับพรหมโลก
ท้าวสักกเทวราชก็ลากสังข์วิชยุตร
ไปยืนขอบจักรวาล
พญานาคราชก็ดำมุดดินลงไปสู่นาคพิภพ
เทวดาทั้งหมดกระเจิงหมดเลย
เหลือพระองค์ เจ้าชายสิทธัตถะอยู่องค์เดียว
ท่ามกลางมารทั้งหน้าทั้งหลัง เนืองแน่นไปหมดเลย
โยม ถ้าไม่มีบารมีที่สั่งสมมาเพียงพอ
ผ่านมารไม่ได้เลย
แต่ว่าเพราะพระองค์สร้างบารมีมา
พระองค์ก็นึกถึงบารมี อ้างเอาบารมี
เพราะว่าไม่มีอาวุธอะไรที่จะต่อสู้แล้ว
นอกจากบารมีที่สั่งสม
ฉะนั้น พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ท่านจะรู้
ว่าต้องสร้างบารมีทั้งสิบทัศอย่างยวดยิ่ง
อย่างทานบารมี พระเวสสันดรถือว่าเป็นชาติสุดท้าย
ของการสร้างบารมี เต็มที่ในการสร้างทาน
รู้ว่าจะต้องมีการได้บริจาคบุตร ภรรยา ราชสมบัติ
ฉะนั้น พอบริจาคไปแล้ว แม้จะเห็นชูชกทำร้ายลูก
แต่ด้วยพระองค์นึกถึง การที่จะต้องสร้างบารมี
เพื่อสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์
พระองค์ก็พยายามที่จะสะกดควบคุมจิตใจ
ส่วนพระนางมัทรี ไปเก็บผลไม้ในป่า
กลับไม่ได้วันนั้น เสือมานอนขวางอยู่ เสือ สิงโต
รออยู่อย่างนั้น อ้อนวอนเสือสิงห์
จนเย็นมาก จึงได้เดินทางกลับมาได้
พอกลับมา ก็นึกแปลกใจว่า
ทุกวัน ลูกทั้งสองจะวิ่งเข้ามาเกาะ เกาะแขนเกาะขา
เรียกร้องหาผลไม้
แต่ทำไมวันนี้มันเงียบเชียบไปหมด
พระนางมัทรีก็ร้องเรียก
กัณหา ชาลีแม่มาแล้ว มากินผลไม้เถิด
เงียบบรรยากาศวังเวง
พระนางก็เดินเที่ยวเดินหาไปทั่ว ไม่เจอ
ก็มาที่อาศรมพระเวสสันดร
เข้ามาละล่ำละลัก ทูลถามว่า
ลูกกัณหา ชาลีของเราไปอยู่ไหน หาไม่เจอ
พระเวสสันดรก็ไม่ตรัสอะไร นั่งสงบนิ่ง
แม้พระนางจะรบเร้าอย่างไร พระองค์ก็ไม่ตรัส
นั่งหลับตาประทับนิ่ง
ที่สุดพระนางมัทรีก็ออกไปตามหาอีก
เดินบ้าง วิ่งบ้าง หาไปทั่ว
ค้นไปทั่ว ตรงที่ลูกเคยเล่น ก็ไม่เจอ
มีแต่เสียงชะนีร้องโหวกเหวก เสียงนก เสียงชะนี
พระนางก็ไปถามพวกชะนีบ้าง นกบ้าง
เห็นกัณหาชาลีไหม ก็ไม่ได้รับคำตอบ
ตอบมาก็ฟังไม่รู้เรื่องอีก
พระนางก็ยิ่งตกใจ ความรู้สึกของความเป็นแม่
มันจะทุกข์มากสำหรับลูก อันเป็นดวงตาดวงใจหายไป
ทุกข์มาก มีข่าวอยู่เรื่อยเรื่อยแม่ตามหาลูก
ทั้งที่ตามไม่รู้เป็นตายร้ายดีอะไร
ตามหากันอยู่อย่างนั้นนะ ค้นกันไปทั่ว
ก็ยังไม่เจอ มันทุกข์
มีแม่ท่านหนึ่งตามหาลูกสาว หายออกไปตั้งเป็นเดือน
ตามไปทุกหนทุกแห่งก็ไม่เจอ
ก็เลยมาหานักข่าว มาที่สถานีโทรทัศน์
จะช่วยให้ประกาศตามหาลูกสาว
เขาก็จะให้ออกรายการ
ระหว่างนั้นก็เลยไปบนบานศาลเจอเทวรูป
เจอพระพุทธรูปอะไรก็ ความห่วงเอาหมด
จะให้ไหว้ จะให้บนบาน จะให้ทำอะไรเอาทั้งนั้น
นะแม่ ความเป็นแม่
แล้วก็มานั่งรอเวลาออกรายการ
ก็เอาโทรศัพท์มาเปิดดูยูทูบ ดูไปเรื่อย
ก็ปรากฏว่าภาพของลูกสาวขึ้นมา
เป็นภาพที่อยู่ในเหตุการณ์
มีผู้ชายมีผู้หญิงกำลังถูกทุบ ถูกทุบตีถูกทำร้าย
แม่ก็ตกอกตกใจมากเลย
พอถึงเวลาออกรายการ เขาก็ให้พูดออกรายการ
แม่ก็พูดไปละล่ำละลักด้วยความเป็นห่วงลูก
บอกไปถึงคนที่พาลูกไป ว่าอย่าทำร้ายลูกของฉันเลย
ฉันเลี้ยงมาไม่เคยทุบ ไม่เคยตี ไม่เคยทำร้ายอะไร
ถ้าจะทำร้าย มาทำร้ายที่แม่ดีกว่า
ความรู้สึกของแม่นี่ยอมยอมตายได้ แทนลูก
ความรู้สึกมันตอบไปอย่างนั้น
เขาก็ให้พูดผ่านรายการไป
ว่าจะพูดไปอย่างไรถึงลูกบ้าง
แม่ก็บอกว่าลูกเอ๋ย
ไม่มีใครจะรักเราจริงใจเท่ากับแม่หรอก
กลับบ้านเถอะ แม่ให้อภัยทุกอย่าง
ความเป็นแม่เป็นอย่างนั้น
ให้อภัยทุกอย่าง กลับบ้านเถอะลูก
มันทุกข์ ความเป็นแม่ที่ลูกหายออกไป
แม่อีกคนหนึ่งตามหาลูก
คือลูกขอเงินจะไปซื้อจักรยาน
แม่ก็บอกว่า เราจน
เงินจะกินไปแต่ละวันก็ลำบากอยู่แล้ว
ไหนจะค่าอาหารไปโรงเรียน
ไหนจะตำรับตำรา ค่ารถ ค่าเรือ
ต้องเก็บไว้เพื่อการใช้จ่าย
ลูกก็ไม่พอใจ เมื่อไม่ได้อย่างใจก็ออกจากบ้าน
แม่ก็ตามหาไป ตามไปทุกวันทุกวัน
ด้วยความวิตกห่วงใย ก็ไปเจอลูกไปอยู่กับเพื่อน
แม่ก็เข้าไปปลอบใจว่า กลับบ้านลูก กลับบ้านเถอะ
เดี๋ยวแม่จะไปกู้เงินมาซื้อจักรยานให้
ลูกคนนั้น เขาโตมา มาเข้ากรรมฐาน
พอเข้ากรรมฐานไป มันถึงนึกขึ้นได้
นึกถึงคำพูดของแม่ว่า กลับบ้านเถอะลูก
แม่จะไปกู้เงินมาซื้อจักรยานให้
ตอนยังไม่เข้ากรรมฐานไม่นึกถึง
ไม่นึกถึงหัวอกของความเป็นพ่อเป็นแม่
แต่พอปฏิบัติธรรมแล้ว มันนึกขึ้นได้
ร้องไห้ เสียใจว่า
เราเคยทำให้แม่ต้องเสียอกเสียใจ
จะเอาให้ได้จักรยาน
พระนางมัทรีก็เช่นเดียวกัน ตามหา
เมื่อไม่เจอก็กลับมาที่อาศรมพระเวสสันดร
ในที่สุดพระนางก็สลบลง
พระเวสสันดรก็ไปตักน้ำเอามารดราดพระพักตร์
ใบหน้า ศีรษะของพระนางมัทรี ก็ฟื้นขึ้นมา
พระเวสสันดรก็ได้ตรัสว่า
มัทรีเอย พระนางได้ตั้งความปรารถนาไว้แต่อดีต
ในการที่จะมาเป็นคู่สร้างบารมี
ตั้งความปรารถนามาแล้วตั้งแต่อดีต
ที่จริงก็เป็นอย่างนั้น
ชาติแรกเลยที่เขาตั้งความปรารถนากันไว้
คือชาตินั้น พระพุทธเจ้าอดีต เป็นสุเมธดาบส
คือเป็นลูกของพราหมณ์
แล้วก็สละทรัพย์สมบัติมากมาย แจกหมด
แล้วก็ออกบวช ด้วยคิดว่า
พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย สะสมเงินทองไว้มากมาย
แต่พอตายแล้วก็เอาไปไม่ได้เลย
พระองค์ก็เลยสละทรัพย์แจก
มาออกบวชบำเพ็ญภาวนา
ที่สุดก็ได้ฌาน ได้อภิญญา เหาะเหินเดินอากาศได้
ทีนี้พอเหาะมาคราวหนึ่ง
มาเห็นคนกำลังกุลีกุจอในการทำหนทาง
ก็ลงมาถามว่า ทำอะไรกันอยู่
ได้ทราบว่าพระทีปังกรพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสด็จมา พร้อมด้วยพระสงฆ์
ก็เลยขอทำทางบ้าง
ขณะที่ทำ ขนดิน ขนหินมาทำยังไม่ทันเสร็จ
พระพุทธเจ้า พระทีปังกร สาวกเสด็จมา
อดีตพระพุทธเจ้าของเราตอนนั้นเป็นสุเมธดาบส
ยอมสละชีวิต ยอมตาย
เอาตัวลงนอนทาบบนโคลนตม
หวังให้พระพุทธเจ้า พระภิกษุสงฆ์นั้นเหยียบ
คือตายก็ยอมตาย ให้เหยียบ ยอมเป็นสะพาน
กำลังใจขนาดนั้น
ด้วยจิตที่สละชีวิตเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ
เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา
ใจก็ปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง
พอพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา
ยืนตรงศีรษะของพระโพธิสัตว์ของสุเมธดาบส
ที่นอนพังพาบอยู่
พระองค์ก็ตรัสกับภิกษุสงฆ์ทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอจงดูดาบสผู้นี้
ถ้าเขาจะต้องการบรรลุธรรมครั้งนี้
คือเป็นพระอรหันต์ เขาก็สามารถบรรลุได้
แต่ความปรารถนาของเขาไม่เพียงแค่นี้ ต้องการที่จะ
ตนเองตรัสรู้แล้ว ก็จะให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย
พระโพธิสัตว์ท่านจะตั้งความปรารถนาไว้
คือจะไม่ไปเฉพาะตนเอง
จะต้องช่วยให้สัตว์ทั้งหลายได้ข้ามพ้นไปด้วย
ความปรารถนาของดาบสผู้นี้จะสำเร็จ
นับตั้งแต่นี้ไป อีกสี่อสงไขย กับแสนกัป
จะได้ตรัสรู้ ที่ใต้ต้นที่ชาวโลกเรียกกันว่า ต้นอัสสัตถะ
ดาบสผู้นี้จะเกิดในตระกูลศากยะ
มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชบิดา
พระนางสิริมหามายาเป็นพระราชมารดา
กรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อตรัสรู้แล้วก็จะมีสารีบุตร
โมคคัลลานะเป็นอัครสาวก
อานนท์เถระจะเป็นพุทธอุปัฏฐาก ก็พยากรณ์ไว้หมด
ทำให้สุเมธดาบส ก็ดีใจปลื้มใจ
ว่าความปรารถนาของเราจะสำเร็จ
แม้จะอีกนานสี่อสงไขย
แต่ความรู้สึกของโพธิสัตว์ไม่หวั่นไหว
เมื่อพยากรณ์อย่างนั้นมหาชนที่มาฟังอยู่ก็ได้ยิน
ก็มีสตรีผู้หนึ่งเก็บดอกบัวมาแปดดอก
ตั้งใจจะมาบูชาพระพุทธเจ้า
เห็นดาบสที่ขนดินขนหินยอมสละสร้างบารมี
ก็มีศรัทธา เกิดศรัทธาเลื่อมใส
แล้วก็เห็นว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้
เธอก็เลยเอาดอกบัวมามอบให้สุเมธดาบส
ห้าดอกห้ากำ ตัวเองก็ถือไว้สามดอกให้บูชา
แล้วนางก็ได้อธิษฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้า
ว่าขอไปเป็นคู่บารมี คือขอเป็นไปทุกภพทุกชาติ
ที่จะเป็นคู่ครองกันเพื่อสร้างบารมี
สุเมธดาบสก็หันมามองว่า อย่ามาปรารถนาอย่างนี้
เพราะจะต้องเจอทุกข์เยอะมากเลย
การสร้างบารมีจะต้องสูญเสีย จะต้องพลัดพราก
จะต้องทุกข์ อย่ามาปรารถนาอย่างนี้ด้วยเลย
พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ตรัสว่า เอาเถอะ
ตามความปรารถนาของเธอ
เพราะว่าการสร้างบารมี
จะต้องมีการได้บริจาคโอรสธิดาและชายาด้วย
นี่คืออดีตของพระนางมัทรี
หรืออดีตของพระนางพิมพา ปัจจุบันชาติสุดท้าย
เขาตั้งความปรารถนามาแล้ว
เพราะฉะนั้น เกิดมาแต่ละชาติก็จะมาเป็นคู่กัน
บางชาติ คือผ่านเหตุการณ์ ผ่านมา
บางทีก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
บางทีเกิดเป็นปลา เป็นนกบ้าง เป็นช้างบ้าง
เป็นอะไรก็ไปเป็นคู่กัน
บางทีเกิดเป็นมนุษย์
ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ไปบวช
บางทีเป็นพระราชาแล้วก็สละไปบวช
พระนางมัทรีในอดีต ก็ไปอุปัฏฐาก
บางชาติก็เกิดความหึงหวง
มีชาติหนึ่งที่ท่านบวช แล้วท่านก็ปฏิบัติอยู่บนกุฏิ
ตอนเช้าปกติ พระนางก็จะเอาปิ่นโตไปส่ง
วันนั้นไป เห็นมีผู้หญิงนอนอยู่ใต้ถุนกุฏิ
ที่จริงก็เป็นผู้หญิงที่ซัดเซพเนจรมา
มาถึงก็มานอนใต้ถุน
พระนางไม่ฟังเสียง ขึ้นไปฉุดกระชากจีวรออก
ไม่ฟังเสียงอะไร เลยจากนั้นก็ตายไปเป็นเปรต
เป็นเปรต แล้วก็มาปรากฏ
พระองค์ก็ให้ระลึกถึงบารมี ทานที่ทำ
แล้วก็อุทิศกุศลให้ บางชาติเป็นอย่างนั้น
มีชาติหนึ่งที่เป็นปลา แล้วก็ภรรยาเป็นปลา
เกิดแพ้ท้องอยากจะกินหญ้าอ่อน
หญ้าอ่อนมันอยู่บนบก
อดีตพระพุทธเจ้าของเรา
ก็ยอมดั้นด้นแหวกว่ายกันมา
แล้วก็ขึ้นมาบนบก ขึ้นไปคาบหญ้าอ่อน
ก็มีคนเห็นปลาแล้วก็เอามีดมาไล่ฟัน
โดนหาง ก็พยายามกระเสือกกระสนลงมา
แหวกว่ายไป เอาหญ้าอ่อนไปส่งให้ภรรยากิน
กินแล้วหายแพ้ท้อง
แล้วก็หันหางมาให้ดูว่าโดนฟันเหวอะ
แล้วก็ขาดใจตาย บางชาติก็เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น พอพระนางมัทรีฟื้นขึ้นมา
พระเวสสันดรก็ตรัสว่า
พระนางได้ตั้งความปรารถนา ที่จะมาเป็นผู้สร้างสม
ขอให้ตั้งใจให้ดี
วันนี้เราได้บริจาคกัณหา ชาลี โอรสธิดา
ให้กับเฒ่าชูชกแล้ว
พระนางมัทรีก็พนมมืออนุโมทนาสาธุ
ฉะนั้น ในอดีตเขาทำกันมา สร้างบารมี
ไม่ใช่ทำกันมาง่ายง่าย กว่าจะได้มาตรัสรู้
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องสละ
ต้องเสียสละกันมามาก
ไม่อย่างนั้น วันที่จะตรัสรู้ผ่านมารไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้านึกถึงบารมีที่สร้างมา
สิ่งที่มารบันดาลมา ทั้งลม ทั้งเถ้า ทั้งไฟ ทั้งอาวุธ
ก็มาเป็นกลุ่มดอกไม้หมดเลย
ร่วงลงแทบพระบาทพระองค์
พญามารโกรธจัด ขว้างจักราวุธ
ก็กลายมาเป็นข่ายเพดานดอกไม้อยู่บนพระเศียร
พญามารก็ลากช้างคีรีเมขล์เข้าไปประชิด
ตวาดให้พระองค์ลุกจากที่นี่
บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ของเรา
พระโพธิสัตว์ก็ตรัสว่า บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ของเรา
เราสร้างบารมีมา ส่วนท่านไม่ได้สร้างบารมี
ท่านไม่ได้บำเพ็ญมหาทาน
ไม่ได้บริจาคบุตรธิดา ชายา ราชสมบัติ
ดวงตา อวัยวะ ชีวิต แต่เราได้บำเพ็ญมา
พุทธจริยา พุทธัตถจริยา
การบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เราก็บำเพ็ญมา
ญาตัตถจริยา บำเพ็ญเพื่อความเป็นประโยชน์
ต่อพระญาติ บำเพ็ญมา
โลกัตถจริยา บำเพ็ญเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก
ได้สั่งสมบำเพ็ญ
เพราะฉะนั้น บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ของเรา
บารมีที่เราบำเพ็ญมากมายไม่ต้องพูดถึง
เอาแค่ชาติที่เราเป็นพระเวสสันดร
เราได้บริจาคสัตสดกมหาทานอย่างละร้อย เจ็ดอย่าง
แผ่นดินนี้จะเป็นพยานให้เราได้หรือไม่
พระองค์ก็เหยียดพระหัตถ์ ชี้ลงไปสู่แม่ธรณี
ธรณีก็ทนไม่ได้สิ อำนาจอธิษฐาน
ผู้ที่สร้างบารมีมาขนาดนี้ แผ่นดินก็สะเทือนเลื่อนลั่น
เหมือนหนึ่งเป็นพยานให้พระองค์
อสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมา ฟันพวกมาร
พวกพญามารกระเจิงหมดเลย บารมีที่สร้างมา
พอมารไปกันหมดแล้ว
เทวดาทั้งหลายก็นึกว่า เสร็จแน่แล้วสิทธัตถะ
พอเห็นพระองค์ชนะก็เข้ามาใหม่
พากันนอบน้อมบูชาว่า สิทธัตถะ แม้เป็นมนุษย์
ยังสามารถเอาชนะเทวปุตตมารได้
มารที่เป็นเทวดายิ่งใหญ่ ยังชนะ
พากันกราบนอบน้อมบูชา ไชโยโห่ร้องดีอกดีใจ
แล้วจากนั้นพระองค์ก็ตั้งความเพียรเจริญสติภาวนา
ตั้งแต่ช่วงพลบค่ำที่ผ่านมารมาได้
แล้วก็เจริญภาวนาโดยอานาปานสติ
ดูลมหายใจเข้าออก ทำจนมีสมาธิ
แล้วปฐมยาม ตั้งแต่ หนึ่งทุ่ม สองทุ่ม สามทุ่ม สี่ทุ่ม
เรียกว่าปฐมยาม ยามแรก
พระองค์ก็บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ระลึกชาติหนหลังได้ มากมายถอยหลังไป
พอมัชฌิมยาม ตั้งแต่เลยสี่ทุ่มไปถึงตีสอง
ก็บรรลุจุตูปปาตญาณ
รู้เห็นการเกิดการตายของสัตว์ทั้งหลายด้วยทิพยจักษุ
ว่าสัตว์ที่มีกายทุจริต
ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
วจีทุจริต โกหก พูดจาด่าทอหยาบคาย ส่อเสียด เพ้อเจ้อ
มโนทุจริต เพ่งเล็งจะเอาของเขา พยาบาทแค้น
เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม กล่าวร้ายพระอริยเจ้า
ชักชวนให้ผู้อื่นทำตามความเห็นผิด
เมื่อสิ้นชีวิตลงก็เหมือนถูกนำตัวไปฝังไว้ในนรก
เห็นอย่างนั้น
ส่วนสัตว์ทั้งหลายที่มีกายสุจริต วาจาสุจริต
มโนสุจริต ไม่กล่าวร้ายพระอริยเจ้า
มีความเห็นถูก ชักชวนผู้อื่นทำตามความเห็นถูก
เมื่อสิ้นชีวิตลง
ก็เหมือนถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ ณ สรวงสวรรค์
มองเห็นสัตว์ เห็นการเกิด การตายของสัตว์
เหมือนกับคนออกจากบ้านนี้ เข้าบ้านนี้
ออกจากบ้านนี้ เข้าบ้านนี้
จากภพนี้ไปสู่ภพนั้น ภพนั้นมาสู่ภพนี้
มองเห็นอย่างนั้น
พอในปัจฉิมยาม ตั้งแต่ตีสองผ่านไป
พระองค์ก็ได้พิจารณาธรรม
ชีวิตที่เกิดมา มันมีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ทำไมชีวิตต้องมาแก่ มาเจ็บ มาตาย
เกิดมา อะไรเป็นตัวทำให้เกิด
มันมีกรรม การกระทำกรรม
อะไรเป็นเหตุของกรรม เพราะมีอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น
ทำไมมีอุปาทาน เพราะมีตัณหานี่เอง ความทะยานอยาก
ทำไมมีตัณหา เพราะมีอาศัยเวทนา เสวยอารมณ์
เวทนาก็อาศัยผัสสะ
การกระทบสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ผัสสะก็อาศัย มีสฬายตนะ
มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผัสสะ
สฬายตนะก็อาศัยรูปนาม
รูปนามก็อาศัยวิญญาณ มีการปฏิสนธิวิญญาณ
วิญญาณก็อาศัยสังขาร การปรุงแต่งกาย วาจา ใจ
ปรุงแต่งกุศล อกุศล
สังขารก็อาศัยอวิชชา ความไม่รู้ตามความเป็นจริง
อวิชชานี่เอง ความไม่รู้
ได้ชีวิตมา เกิดแก่เจ็บตาย ก็ยังหลงอยู่อย่างนี้
มันก็จะวนเวียนอยู่อย่างนี้ เป็นวัฏสงสาร
พระพุทธองค์ก็พิจารณาเห็นว่า
ถ้าอวิชชาดับ สังขารก็จะดับ
สังขารดับ วิญญาณก็ดับ
วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
นามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ
สฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
เวทนาดับ ตัณหาก็จะดับ
เมื่อตัณหาดับ อุปาทานดับ
อุปาทานดับ ก็สิ้นกรรม
สิ้นกรรมก็ ชาติก็จะดับ ไม่มีการเกิด
ชราความแก่ มรณะความตาย
โสกปริเทว ทุกขโทมนัส ความเศร้าโศกพิไรรำพัน
ทุกข์กายทุกข์ใจ คับแค้น
กองทุกข์ทั้งหลายก็จะดับสิ้นไปด้วยประการนี้
แล้วพระองค์ก็อาศัยอานาปานสติ ที่ทำได้ฌาน
ได้ฌานสี่ เป็นบาทฐานขึ้นสู่วิปัสสนา
พิจารณาดูรูปนามขันธ์ห้า
ที่สุดพระพุทธองค์ก็บรรลุอาสวักขยญาณ
ทำอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป รุ่งอรุณของวันใหม่พอดี
จึงได้อุทานออกมาว่า
อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสัง
เป็นต้นว่า เราแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือน
เมื่อไม่พบ ต้องท่องไปในสังสารวัฏไม่ใช่น้อย
การเกิดบ่อยบ่อยเป็นทุกข์ร่ำไป
นี่แน่ะ นายช่างผู้สร้างเรือน คือตัณหานี่เอง
เป็นตัวสร้างเรือนชีวิตมาไม่จบสิ้น
เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว
เจ้าจะสร้างเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป
โครงเรือนของเจ้า เราก็รื้อเสียแล้ว
ยอดเรือนของเจ้า คืออวิชชา เราก็กำจัดเสียแล้ว
จิตของเราได้ถึงวิสังขาร
ที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
เราได้บรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
พระองค์ก็ได้เสวยวิมุตติสุข ใต้ต้นอัสสัตถะ
อีกเจ็ดวัน เจ็ดคืน
ฉะนั้น ต้องสร้างบารมี ทานบารมี
ศีลบารมี การรักษาศีลให้ดี
เนกขัมมบารมี การออกจากกาม
ออกจากการครองเรือน
พวกเราที่ได้ออกจากครองเรือนมา
แต่ยังไม่ได้เด็ดขาด ชั่วคราวใช่ไหม
ออกจากครองเรือนมาชั่วคราว
เดี๋ยวก็กลับไปครองใหม่ ก็ยังดี หมั่นไว้สั่งสมไว้
แล้วก็ปัญญาบารมี ต้องสั่งสมความรู้
ต้องเข้าหาศึกษาธรรมะ สอบถามปัญหาปฏิบัติ
ขันติบารมี ต้องบำเพ็ญอดทน ต้องทนบ้าง
อย่างนั่งมานี้ก็ต้องอดทน เป็นบารมี
ปวดขาปวดหลังก็ต้องอดทน
วิริยะบารมี ความเพียร ต้องพากเพียรประพฤติปฏิบัติ
การสั่งสมความดีในการละความชั่ว ต้องพากเพียร
มีสัจจะจริงใจ จริงแท้
อธิษฐานบารมี มีจิตใจแน่วแน่
มุ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจน ที่จะมุ่งสู่ความพ้นทุกข์
ก็ตั้งความปรารถนาไว้ให้ดี
ขันติ อธิษฐานบารมี
เมตตาต้องมี เมตตาบารมี
แผ่ความรักความปรารถนาดี ต่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
แล้วอุเบกขาบารมี วางเฉยไม่ถือโทษโกรธแค้น ให้อภัย
วางเฉยได้ ทั้งสิ่งที่มายุยั่วยวน
ชวนให้รักชักให้ใคร่ พาใจให้กำหนัด
สิ่งที่มากระทบกระทั่งชวนให้
ยั่วให้โกรธให้แค้น ก็วางเฉย
สั่งสมบารมีให้ยิ่งขึ้น
แต่เราไม่ถึงขนาดต้องสละชีวิต อย่างพระโพธิสัตว์
เพราะถ้าแค่ตัดให้สิ้นกิเลสในฐานะเป็นสาวก
บารมีก็สร้างน้อยลง
หรือใครจะมีใจแก่กล้า
ปรารถนาที่จะเป็นสาวกชั้นเลิศ
ก็บารมีก็สร้างมากขึ้นอีก
อัครสาวกก็ต้องมากขึ้นไปอีก
พระปัจเจกพุทธเจ้าก็มาก
ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็
อย่างต่ำก็ต้องสี่อสงไขยกับแสนมหากัป
เรียกว่าพุทธศาสนานั้น ไม่มีจำกัดเสรีภาพ
ทุกคนมีสิทธิ์ เพียงแต่ต้องทำเท่านั้น
ต้องปฏิบัติต้องสั่งสม
ฉะนั้น ก็ขออนุโมทนา
ที่ได้มาสั่งสมบุญกุศลบารมี สร้างความดีกันไป
เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่
เพื่อไกลจากกิเลส เพื่อตัดเหตุแห่งความทุกข์
เพื่อเข้าถึงบรมสุข คือพระนิพพาน
โดยทั่วหน้ากันทุกท่าน เทอญ
-----------------------------------------------------