แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ถ้าศึกษาเรื่องนี้ เอาเรื่องนี้ต่อรอง ระหว่างพิมพากับสิทธัตถะ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย แล้วก็มองใคร มองมนุษย์ในโลก สัตว์โลกทั้งหลายก็ตกอยู่ในสิ่งเหล่านี้ มีความเกิด มีความแก่ เจ็บ ตาย มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า มีความทุกข์หยั่งเอาแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีแต่คนร้องไห้ มีแต่คนเป็นทุกข์ ไม่มีใครสนุกเรื่องนี้ ต้องหาคำตอบให้ได้ เรื่องนี้เท่านั้น จึงเกิดศาสนา พุทธศาสนาขึ้นมา ก็ให้มันเป็นการบ้านของเราทุกคน ทุกคนเหมือนกันหมด สามัญลักษณะ อย่าออกบวชเพื่อการอื่น อย่าไปใช้ชีวิตเพื่อการอื่น ให้เป็นอาชีพเรื่องนี้โดยตรง
สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของเรา ถ้าเวลาใดมันรู้ เรียกว่า ได้ชีวิต เวลาใดมันหลง ไม่มีชีวิตแล้ว เปลี่ยนหลงเป็นรู้ นั่นคือเอาชีวิตคืนมา ถ้าจะเป็นความเกิด มันเกิดหลง ถ้ามันรู้ เรียกว่าไม่หลง เป็นรู้แล้ว ความหลงดับไป รู้ขึ้นมาแทน แก้ไขตรงนี้ไปก่อน เป็นก้าวแรก ต้องเป็นก้าวแรก จนถึงความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเป็นผล อันเดินทางต้องเปลี่ยนตรงนี้ และจะเดินทางไป เดินทางจากกรุงเทพมาสุคะโต ก้าวแรกต้องออกจากบ้าน ออกจากกรุงเทพ ถ้าไม่มีผ่านตรงไหน ก็ยังไม่ไปไหน วนเวียนอยู่ สิ่งที่ขวางกั้นก็มี ในการเดินทาง จราจร ปัญหาต่าง ๆ นั่นก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ แต่การเดินทาง ไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีปัญหาขนาดนั้น มันอยู่กับเรา แต่ว่าก็มีขวางกั้นเหมือนกัน
สิ่งที่ขวางกั้นใหญ่ ๆ ภูเขาลูกใหญ่ลูกโต เป็นความง่วงเหงาหาวนอน เรียกว่า “นิวรณธรรม” เป็นภูเขา คิดฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย มีนิสัยราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน ไปไหนไม่ได้ มองหน้ามองหลัง เชือกผูกคอ คอผูกศอก ไปไม่ได้ดังใจ เพราะมันเคยชิน มันติด มันย้อมเอา เหมือนผ้าที่ย้อมเอาสีต่าง ๆ ก็ติดไปเสียแล้ว แต่มันไม่ใช่เหมือนสี ชีวิตของเรา ใจของเรา จิตของเรา มันสามารถที่จะซักได้ ความหลงไม่ใช่เนื้อแท้ ความทุกข์ไม่ใช่เนื้อแท้ ความโกรธไม่ใช่เนื้อแท้ ความแก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่เนื้อแท้
เนื้อแท้ของจิตคือไม่เป็นอะไร บริสุทธิ์แต่เดิม แต่ที่มันเป็น มันไปซุกซน การใช้ชีวิตของเรา มันซุกซน เหมือนคนซุกซนในเรื่องต่าง ๆ ซุกซนในกามราคะก็เป็นเอดส์ ซุกซนในความโกรธก็ติดคุกติดตะราง ซุกซนในความโลภความหลงก็เป็นโทษเป็นภัย เสียหายเพราะใช้ชีวิตผิดพลาด ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ในความซุกซน
เราจึงสามารถหัดได้ หัดก็หัดอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ไปอ้อนวอนที่ไหน มามีสติเห็นกายเนี่ย มันจะหัดตรงนี้ ตำราเล่มใหญ่อยู่ที่นี่ ถ้ามันไปทางอื่นกลับมา ให้เป็นปัจจุบัน พระพุทธเจ้า ที่เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็ศึกษาเรื่องนี้ การคู้แขนเข้า การเหยียดแขนออก ให้รู้ตรงนี้ การเดินไปข้างหน้า การกลับไปกลับมา ให้รู้ตรงนี้ การหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้ที่นี่ เป็นเรื่องของกาย การเดินก็เป็นเรื่องของกาย การเคลื่อนไหวเป็นเรื่องของกาย การหายใจเป็นเรื่องของกาย แต่การคิด ที่มันหลงคิด มันสุขมันทุกข์ ที่มันเกิดความคิด เป็นเรื่องของจิตใจ มันอยู่ด้วยกัน แต่เอากายเป็นหลัก เอากายเป็นนิมิต จะไปจับจิต จับใจ จับความคิดเลย ไม่ได้ เรื่องจะเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย ไปห้ามคิด ไปควบคุมความคิด จนสงบเป็นก้อนดินก้อนหิน จะมองแบบนี้ การศึกษาแบบนี้ มีมาก่อนแล้ว ห้าพันปีอย่างน้อย มีก่อนวิปัสสนา ในรูปของสมถะ
อาจารย์สัญชัย เวลัฏฐบุตร, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ ยืนจนเถาวัลย์พันขาขึ้นมา พันขึ้นมา พันขึ้นมา พันขึ้นมา เขามีมาก่อนแล้ว ไปดูถ้ำอชันต้า เอลโลล่า ที่มันเป็นประวัติศาสตร์ อยู่ที่ออรังคบัด ประเทศอินเดีย เอลโลล่าเป็นของเกสกัมพล(อชิตะ เกสกัมพล) ยืนจนเถาวัลย์พันขาขึ้นมา พันเอวขึ้นมา เปลือยกาย มีมาก่อนแล้ว เป็นศาสดาของเขา ก็ยังไปมีคนกราบไหว้กันเป็นจำนวนมากอยู่ วิปัสสนาเกิดทีหลัง นับดูก็ 2590 กว่าปีมานี้เอง จากปรินิพพาน 2553 จากวันตรัสรู้ ก่อนนี้ 45 ปี บวกเข้าไป 2553, 2598 ปี เกิดมาเท่านี้ แต่ว่าสมถะเกิดมาก่อน อย่างน้อยก็มีอาจารย์เป็นหลักฐาน อุทกดาบส, อาฬารดาบส พระสิทธัตถะออกไปศึกษาเรื่องนี้ จนได้ฌานสมาบัติ ก็เลยศึกษาด้วยตนเอง ไม่เป็นที่พอใจ มีทั่วไป ในประเทศไทยเราก็มีอยู่ นั่งนิ่ง ไม่ลุก ไม่เคลื่อน ไม่ไหว บางทีก็เข้าฌานวุ่นวาย ทำให้คนเสียเวลา 7 วันบ้าง 5 วันบ้าง ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ คนก็ว่าอัศจรรย์ เอาฌานแบบนั้น
ฌานจริง ๆ คือสติเนี่ย อันฌานไม่ใช่หลบไปนั่งในห้อง ในถ้ำ ในโพธิ์ ในเขา ฌานจริง ๆ คือสติ ที่มันไม่เป็นอะไรกับอะไรเนี่ย เผากิเลส ... ฌาปนกิจ คำว่าฌาปนกิจคืออะไร คำว่าฌาปนกิจคืองานอะไร งานเผา (หัวเราะ) เผาอะไร เผาซากศพ ทำไมจึงเผา เพราะมันสกปรก เอาไว้มันสกปรก เผาให้มันเหลือแต่กระดูก ให้มันสะอาด เอากระดูกไปใส่โกศ เอาไว้บูชา ถ้าเป็นคนธรรมดา เขาเรียกว่าอัฐิ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่าพระธาตุ มีไหมที่นี่ มีไหมพระธาตุ อันนั้นนี่เรียกว่าฌานตัวหนึ่ง แปลว่าเผา อะไรคือเผา สตินี่แหละ มีสติเครื่องเผากิเลส มันหลง รู้ขึ้นมา ตายไปแล้ว หมดไปแล้ว มันทุกข์ รู้ขึ้นมา ทุกข์เผาไปแล้ว มันทุกข์ มันสกปรก ความหลงสกปรก ความหลงนี่สกปรกที่สุดใน...เปรอะเปื้อนใจเรา หลงไปในความคิด ถ้าเรามีสติจะโอ้! เวลามันหลง รู้สึกว่า อยากจะเอามือลูบหน้าอก แต่ก่อนดื้อด้าน ด้านในความหลง เฉย จนหลงเป็นสุขเป็นทุกข์ ก็ยังเฉยอยู่ หลงจนน้ำตาร่วงก็ยังเฉย ไม่อาย บางทีเอาไปอวดกันด้วย เอาความโกรธที่เป็นผลิตผลความหลงไปอ้างกัน ถ้ากูได้โกรธ ตายกูไม่ลืม ถ้ากูได้โกรธ กูไม่ด่า กูไม่ยอม ถ้ากูได้โกรธ กูไม่ได้ฆ่ามันกูไม่ยอม อันเนี่ย ด้าน ดื้อด้าน ถ้ามันรู้สึกตัว มันทำไม่ได้ มันจะหมดไป สิ่งสกปรกเหล่านั้นจะหมดไป คำว่าฌานตัวนี้คือสติเนี่ย สติอย่างยิ่ง อย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพานตรงไหน ละสุข ละทุกข์ได้ มีสติเป็นเอก มีจิตเป็นเอก ผุดขึ้นจากสุขจากทุกข์ มีสติแล้วแลอยู่ ปรินิพพานตรงนี้ ไม่ใช่ปรินิพพานที่ไหน อยู่ที่นี่ มีสติเนี่ย “เห็น” “อะไรไม่เป็นกับอะไร” หลวงตาเลยพูดแบบสรุป ๆ สรุปไว้เลย
พระพุทธเจ้าก็มอง พระสิทธัตถะมองแบบสรุป มองแบบไหน? พระสิทธัตถะออกบวช มองกันแบบไหน? มองแบบสรุป เห็นเกิดต้องมีไม่เกิด เห็นแก่ต้องมีไม่แก่ เห็นเจ็บต้องมีไม่เจ็บ เห็นตายต้องมีไม่ตาย แน่นอนที่สุด แน่นอนที่สุด สรุปลงมา
หลวงตาเลยพูดแบบหลวงตา “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” มันสุข..ไม่เป็นผู้สุข..เห็นมันสุข มันทุกข์..ไม่เป็นผู้ทุกข์..เห็นมันทุกข์ มันโกรธ..ไม่เป็นผู้โกรธ..เห็นมันโกรธ มันหลง..ไม่เป็นผู้หลง..เห็นมันหลง มันร้อน..ไม่เป็นผู้ร้อน..เห็นมันร้อน มันหนาว..ไม่เป็นผู้หนาว..เห็นมันหนาว มันหิว..ไม่เป็นผู้หิว..เห็นมันหิว มันหายใจไม่ได้..ไม่ใช่เป็นผู้หายใจไม่ได้..เห็นมันหายใจไม่ได้ มันตายไปแล้ว เห็นมัน จึงมาดูตัวเอง ดูแบบภายในมองกลับ ถ้าเป็นดวงตาก็กลับเข้ามาด้านใน ไม่ออกไปข้างนอก มีการเห็นเรา สายยางเต็มจมูก ทั้งสองรู ปากก็มีแต่สายยาง นิ้วมือทุกนิ้วมีแต่สายยาง นม เนื้ออก มีแต่สายยาง อะไรมีแต่สายยางเต็มไปหมด น่าเบื่อหน่ายที่สุด วางทิ้งเลย เอาแล้วไม่ต้องใช้มันแล้ว เราจะอยู่ยังไงล่ะ มันหายใจก็ไม่ได้ ก็ไม่ต้องหายใจมันแล้ว ไม่เอาลมหายใจมาเป็นการต่อรองชีวิต ไม่ต้องตายเพราะลมหายใจ ไม่ต้องเจ็บเพราะความเจ็บ อยู่เฉย ๆ เลยบอกว่า “ไม่เป็นอะไรกับอะไร” อยู่ได้หรือ? อยู่ได้ พออยู่ได้ ก็อยู่ไปเลย นึกว่าตาย (หัวเราะ) จะทำยังไง แน่นอน ต้องเจ็บต้องตาย ชีวิตเราเนี่ย ตรงนี้แหละ ทำเป็นหรือยัง? ทำให้มันเป็น
จึงมาหัดให้มันเป็น ไม่ใช่มาจำ มาให้เรียนรู้ ทุกคนนั่งอยู่นี่ มีแต่รู้ทั้งนั้น ไม่ใช่มีใครไม่รู้ แต่รู้นี่คนอื่นสอนเรา แต่การนำไปเป็นเนี่ย เราต้องทำเอง เวลามันหลง..รู้ขึ้นมาเนี่ย ทำเป็นไหม? เวลามันอะไร..มันรู้ขึ้นมาเนี่ย ให้มันทำเป็นตรงนี้ หัดอย่างนี้ไปก่อน เห็นทุกคนแล้วนี่ ไม่ลึกลับ มีความรู้ มือวางไว้บนเข่าก็รู้ได้ทุกคน ตะแคงมือก็รู้ได้ ยกมือก็รู้ได้ วางมือลงรู้ได้ คว่ำมือลงรู้ได้ เวลามันหลง มันก็รู้ได้ เพราะเราดูอยู่เนี่ย มันหลงไป..กลับมาเนี่ย มันกลับได้ “ปฏิ” คือกลับมา ตั้งไว้ ตั้งไว้ ๆ ให้มันได้นาน ๆ มีสติตั้งไว้นาน ๆ มีสติต่อเนื่องนาน ๆ มันจะงอกงาม เหมือนรากต้นกล้า ต้นกล้าต้นแค่เนี้ย เอาไปปักลงในดิน มีความชื้นพอสมควร ไม่ปัก มันก็ไม่เป็นต้นหญ้า มันงอกขึ้นมา หยั่งรากลงไป ลำต้นโตขึ้น แก่กล้าขึ้น ใหญ่ขึ้น กลายเป็นเม็ดข้าว เอามากินเป็นเลือดเนื้อของเรา
อันจากสตินี่ เป็นอริยทรัพย์ เป็นมรรคเป็นผล มรรคผลไม่ใช่อ้อนวอน เอากระดาษทองไปซื้อเอา ไม่มีทาง มีเงินร้อย เงินร้อยล้าน ซื้อเอาไม่ได้ ต้องทำเอาเอง เป็นอริยทรัพย์ แบ่งปันกันไม่ได้ เวลาท่านหลง คุณก็ต้องเปลี่ยนหลงเป็นรู้เอง เวลาคุณโกรธ คุณต้องเปลี่ยนโกรธเป็นรู้เอง ตรงนี้ ตรงกันข้ามอย่างเนี้ย มันสรุปแบบนี้ ไม่ลึกลับเลย ใครก็ทำได้ ไม่ใช่อาจารย์นั้นเข้าฌาน โอ๊ย! ท่านทำได้ ผมทำไม่ได้ ไม่ใช่ คำว่าฌานคือสติเนี่ย ไม่ใช่สอนให้คนไปนั่งทิ้งลูก ทิ้งเมีย ทิ้งบ้าน ทิ้งช่อง ถ้าจำเป็นต้องสัญญาความรักกัน ก็รักกันจนตาย แต่บางคนไม่มีสัญญา ก็ไปเลย ใช่ไหมแม่ชี? หรือว่าสัญญากับใครแล้ว (หัวเราะ) ถ้ามีสัญญาก็ต้องให้มันสุจริต ซื่อสัตย์ต่อกัน นี่คือสละ ในทางปฏิบัติ ชีวิตของเรา
ประเทศไทย มีศาสนาแบบนี้ มีวัดแบบนี้ มีนักบวชแบบนี้ มีสถานที่แบบนี้ มีอาชีพแบบนี้ อาศัยบิณฑบาตเลี้ยงชีวิตด้วยลำแข้ง มีคนเขามาช่วยเรา มันก็สะดวก ไม่ต้องทำไร่ทำนา ผิดวินัย ภิกษุไปทำนาอาชีพ อาชีพหาอาชีพ ค้าขายไม่ได้ มีแต่โสตาย โสตายไหมแม่ชี? หา! หรือว่าห่วงหน้าห่วงหลังอยู่? (หัวเราะ) อยากให้โสตายใช่ไหม? ชวนคนมา ก็ไม่ค่อยมีใครมา มาก็ ไม่จริงจัง และจะไปที่ไหนกันพวกเราเนี่ย
การรู้สึกตัวอยู่ที่ไหน? อยู่ที่ดอน อยู่ที่ลุ่ม อยู่ที่เมือง อยู่ที่ป่า อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทางมีที่ไหน มันอยู่ที่เราเนี่ย หัดตรงนี้เสียก่อน แต่ให้เป็นที่เริ่มต้น หัดเป็นแล้ว ไปใช้ชีวิตได้ทุกอย่าง นอกจากการงาน จะเป็นเมีย เป็นเมียอย่างดี เป็นสามีก็สามีอย่างดี เป็นลูกอย่างดี เป็นพ่อเป็นแม่อย่างดี เป็นเพื่อนอย่างดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอมตะ ชีวิตเป็นอมตะ
พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรักที่สุดในโลก องคุลิมาลจับดาบไล่ฟันอยู่ ก็ยังคิดจะช่วยเหลือองคุลิมาล จนช่วยได้ มีใครบ้างที่เป็นอย่างนี้
เมื่อไม่นานมานี้ นักสอนศาสนาทั้งหลายประชุมกัน เค้ายกให้พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ยอดเยี่ยม เพราะว่าศาสดาของเขายังพูดถึงการฆ่า แต่ศาสดาของพวกเราไม่มีเลย คำว่าพูดถึงการฆ่า ไม่มี จึงเป็นศาสนายอดเยี่ยม เขาก็ตำหนิศาสนา ศาสดาของเขา พูดถึงการฆ่ากัน ยังมีอยู่ทั่ว ๆ ไปในศาสดาทั้งหลาย ในศาสนาทั้งหลายในโลกเนี่ย เพราะนั้นเรามีศาสดา ถือว่าสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรที่บกพร่องเลย ในพุทธประวัติ ไปอ่านดู ตั้งแต่กำเนิดเกิดมาของพระสิทธัตถะ เป็นอย่างไร จนออกบวชได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ใช้ชีวิตเป็นนักบวช เป็นอย่างไร มีหลักมีฐาน มีร่องรอย มีอยู่
เราให้เกียรติตัวเอง ให้สงสารตัวเองให้เป็น เวลามันหลง สงสารเรา เวลามันทุกข์ สงสารเรา ช่วยกาย ช่วยใจ ช่วยรูป ช่วยนาม อย่าเบียดเบียนตนเอง อย่าเบียดเบียนคนอื่น ถ้าสงสารตัวเองได้ โอ! แต่ก่อนเราไม่ควรช่วยตัวเราเลย ปล่อยให้เราหมกมุ่นครุ่นคิด คิดสารพัดอย่าง อะไรก็คิดได้ พอมาดูแล้ว โอ! สงสาร ปล่อยให้ความคิดแล่นไป หมดพลังงาน กลางคืนก็ว่าฝัน กลางวันก็ว่าคิด กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ไม่หยุด ไม่เย็นสักที พอมารู้ตัวเองขึ้นมา โอ! น้ำตาซึมไปหลายวันนะ เรื่องนี้พ่อก็ไม่สอน แม่ก็ไม่สอน แต่พอรู้เรื่องนี้แล้วก็ โอ! ขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้เรามีชีวิตอยู่ เป็นกำเนิดเกิดชีวิตของเรามา มีรูปมีนาม มีกายมีใจ เพื่อละความชั่วทำความดีได้ ลูกที่มาจากพ่อจากแม่จะทำอย่างนี้ แต่ก่อนเอาลูกที่ได้มาจากพ่อจากแม่ทำนี้ วาจาก็ไปดุไปด่าใคร คิดก็คิดทำลายตัวเอง คิดเบียดเบียนตัวเอง คิดเบียดเบียนคนอื่น คิดถึงความโลภ ไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้จักอิ่ม สงสารตัวเอง พอรู้เรื่องนี้ก็ คล้าย ๆ กับว่า ยกมือไหว้ตัวเองได้ อดไม่รนทนไม่ได้ ไปบอกแม่ จะคิดว่าจะช่วยพ่อ พ่อก็ไม่มีแล้ว ตายจากตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ เหลือแต่แม่ ไปบอกแม่ แม่คุ้มค่าแล้ว ที่ให้ชีวิตลูกชายมาหนึ่งคน ไม่เสียค่าน้ำนมหรอก นี่เราเนี่ยทำไง ช่วยตัวเองได้ไหม? เราโกรธ พ่อแม่ไม่อยากให้เราโกรธ สงสารพ่อแม่ โกรธไม่ได้ เราทุกข์ พ่อแม่ไม่อยากให้เราทุกข์ สงสารแม่ทุกข์ไม่ได้ เราหลง แม่พ่อของเราไม่อยากให้เราหลง สงสารแม่หลงไม่ได้ เราจะเอาแม่เนี่ย ได้มา พ่อได้มา มาทำความดี มาละความชั่ว จะเอาไปทำทุกอย่างที่เป็นความดี ไม่สงวนชีวิตที่ได้มาจากพ่อจากแม่ เนี่ยให้มันคุ้มค่า
เราศึกษาที่ไหน ปฏิบัติธรรมที่ใด ถ้าไม่เปลี่ยนที่ตัวเรานี้ จะไปเปลี่ยนที่ตรงไหน ที่ไหนจะยิ่งใหญ่? เรานี่แหละจะยิ่งใหญ่ มันหลงมีสิทธิไม่หลง มันโกรธมีสิทธิไม่โกรธ มันทุกข์มีสิทธิไม่ทุกข์ เป็นธรรมาธิปไตย เมื่อมันเปลี่ยนตรงนี้ ก็เป็นโลกาธิปไตย เป็นประโยชน์ต่อโลก เป็นธรรมาธิปไตยประโยชน์ต่อธรรม อะไรเป็นธรรมขึ้นมา ให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง เม็ดดิน เม็ดทราย ไม่เบียดเบียน แร่ธาตุต่าง ๆ ไม่ทำลาย ดินฟ้าอากาศไม่ทำลาย และจะป้องกันด้วย จนสุดความสามารถ นี่เราจะมีชีวิตแค่นี้ ไม่เอาอะไรอีก ขอใช้ชีวิตอย่างนี้ ให้เราทุกคนเนี่ย ให้มันเห็น มันรู้ เรื่องนี้ซะ ตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่ม อย่ารอให้เฒ่าให้แก่ ถ้าแก่เฒ่าขึ้นมาแล้ว มันทำอะไรไม่ค่อยได้
เช่น พระสิทธัตถะออกบวชเนี่ย มองชีวิตนะ ตั้งแต่ 16 ปี 16 ปีนี่ก็ พระเจ้าสุทโธทนะสร้างปราสาทสามฤดู เพื่อผูกมัดให้อยู่ หาพระมเหสีให้ พิมพาคนสวย ปราสาทสามฤดู สาวสนมกำนัลใน จนเกิดพระราหุลขึ้นมา ในช่วงนั้นอายุเข้า 29 พรรษา อดไม่ได้แล้วเรื่องนี้ ศึกษาเรื่องนี้ อดไม่ได้ รอไม่ได้อีกแล้ว ถ้าแก่ไปกว่านี้ ไม่ได้อีกแล้ว ออกผนวช สัญญากันอย่างดีกับพิมพา สิทธัตถะก็รักพิมพา พิมพาก็รักสิทธัตถะ ความรักของเราสองคนเท่านี้ไม่พอ ให้ความรักของเราเป็นเรื่องของโลก รักคนทั้งโลก จึงจะสมศักดิ์ศรีแห่งความรัก ถ้ารักคนทั้งโลกจะต้องทำไง จะต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้ การเกิดต้องมีความไม่เกิด ถ้ามีแก่ต้องมีความไม่แก่ ถ้ามีเจ็บต้องมีความไม่เจ็บ ถ้ามีตายต้องมีความไม่ตาย จะหาคำตอบมาช่วยคนทั้งโลก มาช่วยมนุษย์ทั้งโลกให้ได้ รอสักหน่อยได้ไหม พิมพาก็ประสูติราหุลใหม่ ยังอ่อนแออยู่ ยังช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ สิทธัตถะก็ คงไม่ลำบาก สาวสนมมีเยอะ พิมพาไม่ต้องทำอะไร ไม่ลำบาก มีสิทธัตถะอยู่ ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องนี้ มีแต่สนมกำนัลใน ไม่ลำบาก พิมพาจะอยู่ที่ไหน ไม่ลำบาก เลือกเอาปราสาทสามฤดู อยู่นี่อย่าไปไหน อย่าไปเที่ยวเตร่เร่ร่อนตรงไหน อยู่พระราชวัง ไม่ลำบาก ตกลงกันอย่างดี เชียร์เลย เอาเถอะเสด็จพี่ เสด็จพี่ เอาเลย เอาเลย ๆ ไม่ใช่ลักขโมยไปไหน นี่ตกลงกันอย่างนี้ นี่มนุษย์ ใครจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้นะ รับผิดชอบเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์โลก เป็นสามัญลักษณะ ทุกชีวิตต้องมีตรงนี้นะ ไม่ใช่ชีวิตส่วน.. ตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ทุกคนในเรื่องนี้ หาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่สมชื่อว่าเป็นเจ้าฟ้าชาย จึงมีศาสนาขึ้นมา พุทธศาสนาขึ้นมา จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ เราก็ได้ประโยชน์ มีอานิสงส์ กุฏิศาลาหลังนี้ เป็นอานิสงส์ของพระพุทธเจ้า จีวรที่นุ่งอยู่เนี่ย เป็นอานิสงส์ของพระพุทธเจ้า อาหารที่เราได้กินทุกวันนี้ เป็นอานิสงส์ของพระพุทธเจ้า เจ็บป่วยไปนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 2 ปี หมดเงินเป็นล้าน ๆ เป็นอานิสงส์ของพระพุทธเจ้า เราจะเอายังไงเนี่ย ชีวิตของเราเนี่ย เลือกได้ในประเทศไทยเนี่ย อยากมีสถานที่แบบนี้
อยากจะท้าทาย อยากจะท้าทายเรื่องนี้ มันนานเหลือเกิน ขอท้าทายว่า ถ้าใครมาเจริญสติอย่างนี้ เราขอพูด ขอรับผิดชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ใดเจริญสติอย่างต่อเนื่อง 1 วัน ๗ วัน อย่างกลาง 1 เดือน 7 เดือน อย่างช้าที่สุด 1 ปี 7 ปี จะเกิดมรรคผลนิพพานขึ้นแน่นอน แก่คนผู้นั้น เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย แน่นอนที่สุด พระพุทธเจ้าท้าทายอย่างนี้ ไปอ่านหนังสือธรรมวิจารณ์ดู นักธรรมชั้นเอก หลวงตาก็จบนักธรรม อ่านเหมือนกัน สอบได้ การไปเรียนนักธรรมนี่ ไม่ใช่ไปเรียนในห้องสี่เหลี่ยม เรียนจากกรรมฐานนี่ เรียนไปแล้ว ก็ไปอ่านหนังสือประกอบ ไม่กี่วัน ถึงเวลาใกล้สอบก็ไปอ่านหนังสือเอา ดู อันไหนที่มันควรจำ เพื่อไปอ้างอิง ต้องไปสอบ สอบไหม? จะให้ขึ้นบัญชีสอบเนี่ย น่าจะสอบนะ น่าจะอ่านนะ พวกเราที่อยู่วัดเนี่ย หลวงพ่อเทียนสนับสนุนให้เรียนนะ เรียนแล้วก็สอบ ... สอบแล้วเพื่อมาประดับ เพื่อจะรับผิดชอบเรื่องนี้กัน
ก็คิดว่า จะไม่พาหลงทิศหลงทาง ไม่พาผิดศีล ผิดธรรม ให้เชื่อฟัง ลองดู เช่น เราอยู่ด้วยกันนี่ อุปัชฌาย์อาจารย์ อาจารย์ทำไงต่อลูกศิษย์ อาจารย์ก็บอก ไม่ปิดบังอำพราง พยายามสอนศิลปะวิทยาอย่างนี้ ไม่สอนอย่างอื่น ที่นี่สอนกรรมฐาน บอกอย่างนี้ เวลามันหลง ไม่หลงได้อยู่ เวลามันโกรธไม่โกรธได้อยู่ เวลามันทุกข์ ไม่ทุกข์ได้อยู่ ไม่ปิดบังอำพราง เวลามันเกิดกิเลสนะ ไม่เป็นไปกับมัน ได้อยู่ มันหลงคิด มันก็เกิดจากความหลงนี่แหละ เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน ความหลงเป็นบิดาเป็นมารดาของความชั่ว ความรู้สึกตัวเป็นมารดาของความดี กุศลอกุศลแยกตรงนี้ กุศลคือมีสติ อกุศลคือหลง นี่มันแยกตรงนี้ ทุกคนมีสิทธิทำได้อย่างนี้ ลองเอาไปศึกษาดู เพราะถ้าจะไปไหน ป้องกันให้
จะไปศึกษาที่ไหน ถ้าตามธรรมวินัยแล้ว บอกเรา ฝากได้ มีศักดิ์ศรี ไปฝาก มีอันเตวาสิกที่วัดป่าสุคะโตประสงค์จะไปศึกษาธรรมะกับท่าน ขอให้ท่านเมตตากรุณาสอน เธอคนนี้เป็นผู้ที่ว่านอนสอนง่าย มีปัญหาอะไรให้บอกมายังต้นสังกัด เราจะรับผิดชอบให้ ส่งไป ลูกศิษย์เราก็เอาหนังสือไปให้อาจารย์ มีศักดิ์ศรีนะ ไม่ใช่ไปมาจากไหน มาจากสุคะโต ไม่มีเลยหลักฐาน ไม่มีการป้องกันให้ อย่างหลวงตาไปอยู่วัดชลประทาน เจ้าคุณปัญญานันทะนิมนต์ไป ต้องมานิมนต์หลวงพ่อเทียน ขอหลวงพ่อเทียน มาขออนุญาตหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนก็บอกว่า ขอจากเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดเลยเป็นฝ่ายปกครอง ให้เจ้าคณะจังหวัดส่งไป มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ทางจังหวัดก็ฝากไป หลวงตาอยู่นี่ อาจารย์เจ้าคุณปัญญานันทะก็ฝากลูกศิษย์มาอยู่ที่นี่เหมือนกัน พระที่วัดชลประทานมาอยู่ที่นี่หลายรูปนะ มีหนังสือฝากมา เพราะนั้นถ้าพวกเราประสงค์จะไปไหน บอกนะ เรารับผิดชอบ ป้องกันให้ ทิศทั้งปวง ป้องกันให้ ทุกทิศทั้งปวง ไปสู่ทิศใดทางใด บอกให้ รับผิดชอบว่า นี่เป็นสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ของเรา ถ้ามีอะไรเสียหาย สั่งมา เราจะว่ากล่าวตักเตือนให้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ธรรมวินัยของเรา ป้องกันอย่างนี้ ไม่ใช่ไปไหน
อย่างหลวงตาไปเดินธุดงค์ ไปพักที่วัดหนึ่ง จังหวัดประจวบ ขากลับมา เดินธุดงค์จากสวนโมกข์ถึงเมืองเลยเลยนะ เดินธุดงค์จากเมืองเลยถึงเชียงใหม่เลย กลับมาพักวัดหนึ่ง ที่จังหวัดประจวบ อำเภอบางสะพาน มาเย็บผ้า ผ้ามันขาด ว่าจะขอนอนค้างคืนที่วัดเขาคืนเดียว แต่ผ้ามันขาด เปรอะผ้า ปะกันผ้าอยู่ เลยไม่ได้กลับ ไปเดินจงกรมเล่นอยู่ เจ้าอาวาสมาเห็นเข้า เห็นเย็บผ้าอยู่ เลยบอกว่าจะเอาผ้ามาให้ ก็บอกว่าไม่เอา ถือผ้าสามผืน พอใส่ได้ก็ใส่ไปก่อน ก็เห็นเดินจงกรมอยู่ เขาก็มาบอกว่า นิมนต์อยู่นี่ สอนญาติสอนโยม ช่วยผมด้วย บอกว่าไม่ได้ ถ้าจะให้ผมมาอยู่ ต้องขอหลวงพ่อเทียนก่อน หลวงพ่อเทียนเป็นอาจารย์อยู่ที่เมืองเลย แล้วก็เขียนเอา จะขอ จะมาอยู่ไหม ถ้าหลวงพ่อเทียนให้มา ก็จะมา ถ้าหลวงพ่อเทียนไม่ให้มา ก็มาไม่ได้ เพราะอาจารย์ของผมอยู่ที่โน่น ก็เลย ท่านก็เลยเขียนจดหมายไปขอหลวงพ่อเทียน นี่ไม่ใช่เราจะยื่นหมูยื่นแมวกัน ตามธรรมเนียมเป็นอย่างนั้น ใครจะไปไหนบอก บอกลากันดี ๆ ก็จะป้องกันอย่างนี้ คนอยู่ร่วมกันเนี่ย รับผิดชอบจนตาย แม้ไม่ใช่ลูกศิษย์นะ แต่นี่กำลังมีเจ้าภาพมาสร้างกุฏิไว้หลังหนึ่ง เพื่อคนที่ป่วยวาระสุดท้าย มาจากไหนก็ได้ เราจะดูแล เวลามันมีชีวิตดี ๆ อยู่ไม่มา ให้มันป่วยใจจะขาด มาที่นี่ จะสอนตรงนี้ (หัวเราะ) จะสอนตรงมันใจจะขาดเนี่ย รับรองนะ ไม่ทอดไม่ทิ้งนะ ถ้าหลวงตายังมีชีวิตอยู่ ให้สร้างกุฏิไว้ ใกล้ ๆ กับหลวงตานะ จะได้ดูแล มีศาลาไก่หลังหนึ่ง เมื่อมีญาติมาพัก คนป่วยอยู่ที่นั่น เราจะดูแล เรารู้จักโรงพยาบาล ไม่ใช่เราเป็นหมอ จะดูแลใจ เวลามันจะขาด จะทำยังไงนะ (หัวเราะ)