แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีความสุขปีใหม่เนาะ วันนี้ก็วันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2554 แล้ว ใหม่เอี่ยมเลย ทำไงจะใหม่ให้ชีวิตเราด้วย คือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมทำอย่างไร มีเกณฑ์สัก 2 อย่างชี้วัดเอาไว้ ความชั่วมีเท่าใด พยายามละ ให้ทำ ความดีมีเท่าไหร่พยายามทำ สัก 2 อย่างนี้ รับรองว่าใหม่จริง ๆ
ทีนี้วิธีปฏิบัติทำอย่างไร ก็หนีไม่พ้นจากกรรมฐาน เพราะศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเรามีสติ มันก็ละความชั่วแล้ว ถ้าเรามีสติ มันก็ทำความดีแล้ว ถ้าเรามีสติจิตก็บริสุทธิ์แล้ว พระพุทธเจ้าจึงว่าธรรมอันที่ทำให้ไม่ประมาทคือสตินี้ ใหญ่ที่สุด เหมือนรอยเท้าของช้าง ใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์อื่น รอยเท้าสัตว์อื่นมารวมลงที่รอยเท้าของช้างลงได้ทั้งหมดเลย คำสอนของพระพุทธเจ้ารวมลงที่นี่
ชื่อว่ากรรมฐานศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนร้ายเป็นดีได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ทุกอย่าง เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ที่ฝึกหัดทำตามคำสอนของพระองค์ ไม่มีอะไรสะดวกไปกว่าการมีสติ ความหลงไม่สะดวกเลย ความรู้สึกตัวสะดวกที่สุดแล้ว ถ้าจะเป็นนักรบก็รู้จักสมรภูมิในสนามอย่างช่ำชอง ก็จะสะดวก ถ้านักรบใดรู้จักสมรภูมิดีก็ไม่มีทางแพ้ได้ เรียกว่าชัยภูมิที่ดี
มีสติ เห็นกายเห็นใจ เห็นรูปเห็นนาม ตามความเป็นจริง พื้นที่นี้ยึดได้แล้ว ว่าไม่เป็นรูปเป็นนาม นี่เรียกว่าชัยภูมิของนักรบ ของผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อละความชั่ว ทำความดีได้สะดวก อะไรที่มันเกิดจากรูปจากนาม อะไรก็ตาม มันต้องบังเกิดอยู่บนนี้ บนรูปทำ บนนามทำนี่
สติจะเป็นผู้เห็นทั้งหมดเลย เหมือนจอทีวี ที่มีข่าว จากดาวเทียมทั่วโลกมารวมลงที่จอทีวี เราก็เห็นได้ ฉันใดก็ดี ในธรรมทั้งมวลทั้งหลายนั้น มันไม่ต้องไปดูที่อื่นว่าแต่มีสติ เหมือนคนมีอยู่ นักรบที่มีชัยภูมิที่ดี
ข้อที่ 2 นักรบรู้จักขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง รูปก็ไม่ใช่ตัวตน เวทนาก็ไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารวิญญาณไม่ใช่ตัวตน ได้เป็นนักรบก็ยิงได้ไกลแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ทะลุทะลวงไปไกล เมื่อรู้รูป รู้นามแล้ว ก็รู้ขันธ์ 5 แล้วทะลุไปไกล เหมือนนักรบที่ยิงได้ไกลที่สุด
ผู้ปฏิบัติธรรมเหมือนกับเครื่องมือจริง ๆ นะ เห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง ไปไกลทะลุทะลวงไป ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ อาจจะสุดเลยก็ได้ แต่มันไปแล้ว ยิงไปก่อนแล้ว เราก็เลยรู้ตามไปง่ายขึ้น อะไรที่มันเกิดจากรูปจากนาม มีแต่ความไม่เที่ยง มีแต่ความไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น มันก็ทำให้เราสะดวก
ปัญหาทำให้เกิดปัญญา ความยากลำบากทำให้เราสะดวก มันสะดวกตรงที่มันยาก มันสะดวกตรงที่มันมีปัญหา มันสะดวกตรงที่มันเป็นทุกข์ นี่เรียกว่ายิงได้ไกล มันกรุยทางไปแล้ว นักรบประเภทอย่างที่หนึ่งคือ ยิงได้ไวและแม่นยำ ทั้งไวทั้งแม่นยำด้วย คือ เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง มีเหตุ มีผล มีสมุทัย มีสังขาร มีอวิชชา มีวิชา เป็นคู่กันเลย มีสังขาร มีวิสังขาร มีความหลง มีความไม่หลง มีความทุกข์ มีความไม่ทุกข์ อริยสัจเป็นอย่างนี้ มีความโกรธ มีความไม่โกรธ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ พ้นจากความโกรธ ยิงได้ไว เร็วไวแม่นยำ ไม่เสียเวลาตรงนี้เลย เวลามันโกรธ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ พ้นจากความโกรธ แม่นที่สุดเลย มันจะมีศัตรูที่ไหนเหลือ
อันที่ 4 กำลังพลน้อย แต่ปราบข้าศึกได้มาก คือ ทำลายอวิชชาเป็นวิชาได้ เปลี่ยนได้ มันเป็นทางไปอย่างนี้ เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง กำลังพลนะน้อยเท่านี้ เมื่อไม่หลงอะไรมันจะเกิดขึ้นได้ ทำลายข้าศึกได้จำนวนมาก ถ้าจะเปรียบเทียบพวกเราปฏิบัติ มันสะดวกจริง ๆ
พระพุทธเจ้าก็ตรัสดังนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย นักรบ 4 ประเภท คือ พระกรรมฐานนี่เอง อยู่ในกำมือเรานี่แหละ ท่านผู้ได้เจริญสติ เห็นรูปเห็นนาม เห็นขันธ์ 5 ตามความเป็นจริง เห็นอริยสัจ ตามความเป็นจริง เห็นสังขาร เห็นวิสังขารตามความเป็นจริง มันหนีไม่พ้น เรียกว่าไม่มีแพ้ก็แล้วกัน มีทางชนะได้อย่างเดียวคือชนะ ไม่มีแพ้ ผู้มีสติปิดอบายภูมิได้เด็ดขาด มั่นใจ เราเห็นมันอยู่เนี่ย
ถ้าเห็นมันก็หลุดพ้นแล้ว อะไรที่มันจะมามันก็ทำให้เราเห็นหมด เพราะมันเป็นสติอินทรีย์ ใหญ่กว่าตา กว่าหู ใหญ่กว่าจมูก ลิ้น กาย ใจ ใหญ่กว่ารูป รส กลิ่น เสียง อารมณ์ ต่าง ๆ ถ้าเป็นสติอินทรีย์ สติปัฏฐานแล้ว คล่องที่สุดเลย จะเรียกว่านักรบ 4 ประเภทก็ได้ จะเรียกว่า ศิลปะอะไรก็ได้ ชำนาญ มีปริญญา ชำนาญ ไม่มีสิ่งไหนที่จะตอบไม่ได้ ทุกข์ก็รู้แล้ว เหตุที่เกิดทุกข์ก็ทำแล้วละแล้ว วิธีที่ทำให้ดับทุกข์ได้ ทำเป็นแล้ว ทำได้แล้ว แล้วก็พ้นจากสิ่งนั้น พ้นจริง ๆ
ทำไมจะไม่พ้น เราเห็นเหมือนเราเห็นงู เราเห็นงู งูไม่ได้กัดเราเพราะเห็น นี่ตาเนื้อ ตาในมันรอบกว่านั้น มันรอบกว่าตาเนื้อ คือ หน้ารอบ สติเป็นหน้ารอบ เหมือนพระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัย พระขีณาสพคือพระอรหันต์นั่นเอง ไม่ใช่เอาอะไรมาวัดกัน ไม่ใช่เอารูปเอาแบบมาวัดกัน ชื่อเสียงมาวัดกัน อันเดียวกันทั้งหมด สติ
แม้เราปฏิบัติเริ่มต้นก็เหมือนกัน ก้าวแรกเหมือนกันหมด มีสติเหมือนกันหมด เปลี่ยนหลงเป็นรู้เหมือนกันหมด ก้าวแรกเหมือนกัน แต่ท่ามกลางอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนก็หลงแล้วหลงอีก บางคนก็ง่วงเหงาหาวนอน บางคนก็ไม่ง่วง บางคนก็ไม่หลง สิ่งที่เราหลงเขาผ่านไปแล้ว สิ่งที่เราง่วงเหงาหาวนอน เขาผ่านมาแล้ว ที่มันเคยขวางกั้น เขาข้ามไปได้แล้ว มันอาจจะต่างกันตรงนี้ ในท่ามกลาง
แต่จุดหมายปลายทางเหมือนกัน จุดหมายปลายทางเหมือนกัน เหนือการเกิดแก่เจ็บตายคือปลายทาง ไม่เป็นอะไร เพราะมีแต่เหยียบย่ำมาหมดแล้ว เลยไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไรที่ให้เป็นอีก หมายถึงปลายทาง ถ้าเป็นนักรบก็ชนะแล้ว ชนะแล้ว ชิตังเม ชิตังเม เหมือนคนขี่เสืออยู่หน้าวัดสวนป่าเลไลยก์ สวนธรรมเลไลยก์ ชิตังเม ปลายทางไม่มีอะไรที่ต้องแพ้อีกแล้ว เห็นหมดแล้ว อะไรที่ร้ายๆ เห็นหมดแล้ว นี่คือลักษณะของการปฏิบัติ
เป็นการตอบได้ด้วยทุกคน เรียกว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แม้แต่เรามีสติ แม้แต่เราเปลี่ยนหลงเป็นรู้ แม้แต่เราเปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ นี่คือสติเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ท่องจำ ไปทำ ทำกับสิ่งเหล่านี้แหละ งานของสติ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ งานของสติเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ งานของสติเปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธ งานของสติเปลี่ยนร้ายเป็นดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเราเนี่ย มันน่าจะขยันนะ
นี่แหละพรปีใหม่ พรคืออย่างนี้ คือเป็นพระ คือความดีอย่างนี้ มันมีอยู่ที่เรานี่เอง ใหม่เอี่ยมจริงๆ นะ เห็นนี่ใหม่นะ เป็นนี่ไม่ใหม่นะเก่านะ เป็นสุขก็เก่าไปแล้ว เปรอะเปื้อนไปแล้ว เป็นทุกข์ก็เปรอะเปื้อนไปแล้ว เป็นผู้หลง เป็นผู้ผิดก็เปรอะเปื้อน เป็นผู้ถูกก็เปรอะเปื้อน เป็นผู้สงบก็เปรอะเปื้อน เป็นผู้ฟุ้งซ่านก็เปรอะเปื้อน สติมันจึงเป็นซื่อๆ ไม่เป็นอะไร มันไม่เปรอะเปื้อนกับอะไร สตินะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง เห็นเนี่ยไม่เปื้อนนะ การเป็นนี่เปื้อนนะ เป็นไม่ได้เด็ดขาดถ้ามีสตินะ กระตือรือร้นตรงนี้ เหมือนไฟตกใส่ขาก็ปัดออกทันที เหมือนสิ่งใดมาสกปรกก็เช็ดออกทันที เอาทิ้งไว้ไม่ได้ สติยิ่งกว่านั้นอีก
พระพุทธเจ้าถึงเปรียบเทียบเหมือนบิดามารดา เหมือนพ่อแม่สติเนี่ย ดูแลอยู่ทุกโอกาส ปฏิบัติธรรมคือมาดูแลชีวิตของตัวเอง มาดูแลกายใจ ให้มันปลอดภัยจากปํญหาต่างๆ มันจะเห็นความหลงคู่กับความไม่หลง ทีแรกน่ะเป็นอย่างนี้
จึงอยากจะท้าทาย มันนานเหลือเกินเรื่องนี้ อยากให้เราพิสูจน์ลองดู การพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ใช่เอาจริงเอาจัง จนหน้าดำคร่ำเครียด ไม่หลับไม่นอน ไม่กินข้าว ไม่ทำอะไรเลย ไม่พูดไม่จา ก็ไม่ใช่ ความรู้สึกตัวก็คือความรู้สึกตัว ก็อยู่กับการพิจารณาอื่นๆ อะไรก็ได้ เล่นกับอะไรก็ได้ ถ้ามีความรู้สึกตัวเนี่ย ตกหมู่แร้งไม่เป็นแร้ง ตกหมู่กาไม่เป็นกา อันชื่อว่าความรู้สึกตัว อยู่ที่ไหนก็คือความรู้สึกตัว
อยู่กับคนพาลก็มี คือความรู้สึกตัว อยู่กับบัณฑิตก็คือความรู้สึกตัว จึงเป็นธรรมที่คุ้มครองโลกบาล ยิ่งใหญ่ ค้ำจุนโลก เพราะมันอันเดียวเท่านั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น มั่นคง
นี่ ถ้าเราได้มีสติแล้ว ถ้าสตินั้นเป็นปัฏฐานจริงๆ นะ มันจะรักษา ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุข เป็นไปเอง มาช่วยเรา มาไว อะไรเกิดขึ้นกับกายใจ สติมาไว ก่อนอะไรทั้งสิ้นเลย เรียกว่าสติปัฏฐาน มาไว เร็วไวกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง
ละความชั่ว ทำความดี บริสุทธิ์ แป๊ปเดียวเลยทีเดียว เป็นกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ กรรมฐานเนี่ย พิสูจน์ดูก็ได้ มีความรู้ ให้รู้ซื่อๆ นะ บางทีไปเพ่งเอา จนจ้อง จนเครียด จนง่วง จนเบื่อ ก็มีนะ ไม่ใช่ ถ้าทำถูก มันจะไม่มีอะไร มันจะมีรสชาติ รสพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง รู้ซื่อๆ เนี่ย มันไม่มีรสอะไรที่เปรียบเทียบได้ อันเผ็ด อันเค็ม อันหวาน อันเปรี้ยว มันไม่ซื่อๆ มันมีรส อันซ้าย อันขวา อันรู้ซื่อๆ มันไปตรงๆ ไป
วันที่ได้สัมผัสกับรู้ซื่อๆ นี่พอใจ มีครูสอนเราคนแรกคือหลวงพ่อเทียนเนี่ย รู้ซื่อๆ เนี่ย คิดถึงลูกถึงเมียก็รู้ซื่อๆ จืดไปเลย คิดถึงคนที่เคยโกรธ อิจฉาเบียดเบียน เราก็รู้ซื่อๆ สิ้นกรรมจริงๆ ล้างบาปล้างกรรมจริงๆ พ้นกรรมจริงๆ คำว่ารู้ซื่อๆ เนี่ย มันหลงก็รู้ซื่อๆ มันไม่หลง มันรู้ ก็รู้ซื่อๆ มันสุขก็รู้ซื่อๆ มันทุกข์ก็รู้ซื่อๆ เลยไม่มีค่าอะไรเลย สุขๆทุกข์ๆ เนี่ย แม้มันมีอารมณ์เกิดขึ้น กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด รู้ซื่อๆ ไม่มีค่าอะไรเลย ไม่มีรอย ถ้ามีรอยนี่ก็ไม่ซื่อแล้ว สุขก็พอใจ ทุกข์ก็ไม่พอใจ มีรอย ไม่ซื่อแบบนั้น โค้งไปแล้ว ซ้ายไปแล้ว ขวาไปแล้ว
หลวงพ่อเทียนพูดว่ารู้ซื่อๆ เรามาทำรวมกันเป็นรสเป็นชาติ เพียงแต่เสียงพูดเอามาทำให้เกิดรสเกิดชาติ ทำให้เห็นได้สัมผัส คำพูดได้สัมผัสได้ คำพูดเอามาปฏิบัติจนสัมผัสได้ ไม่ต้องมีคำถามตรงนี้เลย ระหว่างหลงกับความไม่หลงมันเป็นอย่างไร มันรู้ซื่อๆ มันก็ซื่อไปตะพึดตะพือไป เอาอันนั้นไว้หลัง อันนี้ไว้หลัง อันรู้ซื่อๆ มันไป ไปนะ ไม่ใช่มันหยุดนะ มันผ่านนะ รู้ซื่อๆ มันแล้วๆ ถ้าหลง รู้ซื่อๆ ความหลงก็แล้วไปแล้ว
ถ้าจะเปรียบเหมือนกับการทำงาน เปรียบเหมือนกับการเกี่ยวข้าว ความหลงเหมือนกับต้นข้าว รู้ซื่อๆ เกี่ยวไปแล้ว หมดไปแล้ว หลงทีไร รู้ซื่อๆ ทุกข์ทีไร รู้ซื่อๆ ความหลงหมดไปๆ ความทุกข์หมดไปๆ ความโกรธหมดไปๆ ถ้ารู้ซื่อๆนะ ถ้าสุข ถ้าโกรธเป็นผู้โกรธ ต้องเปลี่ยนความโกรธ ต้องสู้ความโกรธ ไม่ใช่รู้ซื่อๆ งานไม่เสร็จเลย
เป็นการบ้าน ง่ายๆ นะ ปฏิบัติธรรมไม่น่าจะยากนะ เนี่ยท่ามกลางอาจจะต่างกันตรงนี้ ถ้าทำถูก มันง่าย ไม่ว่าอะไรล่ะ ไปได้ง่าย งานมันบอก จึงตัวใครตัวมัน ไม่ช่วยกัน เป็นแต่เพียงเพื่อนกัน เป็นสากล ความรู้ซื่อๆ ไม่ใช่เป็นหญิง ไม่ใช่เป็นชาย ไม่ใช่เป็นคนหนุ่มคนสาว เป็นเพศ วัย ลัทธิ นิกาย รู้ซื่อๆ ตัวเนี่ย
จึงมาเริ่มต้นกันเถิดพวกเรา ปีใหม่ปีนี้ เอาจริงๆ ลองดู ลองให้สถานที่นี้เป็นที่พิสูจน์เรื่องนี้ลองดู ไม่ใช่อยู่ที่นี่ก็ได้ ถ้าได้หลักจากนี้ไปแล้ว ไปทำที่ไหนก็ได้ สบายๆ มันอยู่กับเราแล้ว รู้จักชัยภูมิแล้ว เหมือนกับนักรบ 4 ประเภทแล้ว รู้จักรูป รู้จักนาม รู้จักขันธ์ 5 อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่เราแล้ว สุขทุกข์น่ะเป็นขันธ์ 5 จำอะไรมา ติดอะไรมาเป็นขันธ์ 5 ว่ามันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ไปได้เลย มีปัญหามีปัญญามาพร้อมเป็นคู่กันไป
มันก็มีทางชนะได้ มันเกิดให้เราเห็นอยู่ ไม่ใช่ลี้ไม่ใช่ลับ ถ้าเป็นความทุกข์ก็ไม่ใช่ลี้ลับ ถ้าเป็นความสุขก็ไม่ลี้ลับ มันมาแบบโง่ๆ ถ้ามีสติก็ฉลาดกว่า ชั้นเชิงเหนือกว่า ทำไมจะไม่ชนะ สัมผัสดูก็ได้ เพียงแต่กระแอม แค่นี้มันก็วิ่งหนีแล้ว ไม่ได้ไปกัดกำหมัดกัดฟันสู้ เหมือนกับยาก เข็นครกขึ้นเขา ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น มันง่ายเหมือนเข็นครกลงเขา คล่องดี
คำว่ารู้ซื่อๆ เนี่ย เห็น ไม่เป็น มันง่ายๆ สบายสะดวกที่สุด ไม่ต้องกระดุกกระดิกก็ได้ โดยเฉพาะเห็นความคิดเนี่ย จะหมดปัญหาก็ตรงที่เห็นความคิด จะเปลี่ยนชีวิตได้ จะมีชีวิตได้ ก็เมื่อเห็นความคิดชัดเจน จนความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ล้มละลายจนสิ้นซากไปเลย เรียกว่าชนะสิบทิศก็ว่าได้
ต่อไปนี้ จะไม่เอากายเอารูปมาเป็นสุขเป็นทุกข์ จะไม่เอาจิตเอาใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้อีกต่อไปแล้ว เลิกกันแล้วบัดนี้ นี่เห็นความคิดนะ เรียกว่าอาการดับไม่เหลือแห่งนามรูป ผู้ใดเห็นอย่างนี้ มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวประเสริฐกว่าผู้มีชีวิตร้อยปี เพราะมันมีชีวิตตรงนี้ แต่ก่อนตรงอื่นไม่มีชีวิตเลย ล้มลุกคลุกคลาน เรามาได้ชีวิตจริงได้ตรงนี้ ไม่เป็นอะไรกับอะไรอีกแล้วบัดนี้ อย่างนี้
ควรจะเป็นสมบัติของมนุษย์ เรียกว่านิพพานสมบัติ อะไรก็ว่านิพพาน กรวดน้ำก็นิพพาน ถวายทานก็นิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง แม้แต่โบราณกล่อมลูกก็มีนิพพาน “เอ๊อ น้อง เจ้ามรรคเจ้าผล พัฒนากายจนทั้งกายทั้งใจ บ้านพี่เมืองน้องปรองดองกันไว้ พัฒนามีชัยมีสุขทุกประการ พัฒนากายใจถึงมรรคผลนิพพานเอย” (หัวเราะ)
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้นะ กราบพระพร้อมกัน