แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน หลวงพ่อจะพูดให้ฟัง ท่านทั้งหลายก็ตั้งใจฟัง การฟังธรรมนี้ก็คือการฟังเรื่องของเรา เรื่องของคนเราก็มีหลายอย่าง พอสรุปได้ก็คือกายคือจิตใจ เรื่องที่เกิดขึ้นกับกายเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิตใจ ก็มีมาก 84,000 เรื่อง ถ้าเราไม่รู้ก็เป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นปัญหาต่อตัวเองและคนอื่น ถ้าเรารู้ก็เป็นปัญญาหลุดพ้นถึงมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานต้องเรียนรู้เรื่องคนเรา เรื่องกายเรื่องจิต ไม่ใช่เป็นเทคโนโลยี เหมือนกับการศึกษาวิชาทางอื่นเขา การเรียนรู้เรื่องกายเรื่องจิตก็มีสติเป็นนักศึกษา สร้างให้เห็นให้ดูให้เห็นให้รู้ เหมือนกับว่ากายใจนี้เป็นตำรา สติเป็นนักศึกษาเข้าไปศึกษาเข้าไปดู เหมือนที่เราทำอยู่นี่ วิชานี้เรียกว่าวิชากรรมฐาน
วิชากรรมฐานเป็นวิชาไตรสิกขา ไตรสิกขานี่ถลุง ถลุงย่อยออก อะไรที่มันเป็นเปลือกเป็นกระพี้ เฉือนออก ให้เหลือแต่เนื้อเหมือนเขาถลุงแร่ จะได้แต่เนื้อให้มันใช้ได้ ในกายในใจของเรานี่บางทีมันใช้ไม่ได้เลยทำให้เราเป็นภาระเปล่า เราก็เสียเวลา เวล่ำเวลาไปกับสิ่งที่ใช้ไม่ได้มากมาย เมื่อใช้ไม่ได้ในตัวเราแล้วก็เป็นภาระต่อคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่น หรือบางทีต้องเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาต่างๆมากมาย ไตรสิกขานี่คือถลุงสิ่งย่อย
เห็นไหมเวลาเราเจริญสติ สิ่งไหนไม่ใช่สติมันก็มี เช่นความหลง โอ้มันไม่ใช่สติ เราก็ไม่ต้องเป็นภาระต่อความหลง เราก็เปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้ให้มันจบไป เปลี่ยนตัวหลงมาเป็นตัวรู้ ก็รู้สึกไป แต่มีตัวรู้ รู้สึกตัวรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นอะไรต่างๆที่มันโชว์ มันต้องโชว์ให้เราเห็น เพราะมันไม่มีที่ลี้ลับ ไม่มีที่ลับในกายในใจเรานี่ มีแต่เราหลง พอหลงมันก็ลับแล้ว ถ้าเรารู้ ไม่มีที่ลับเหมือนกับเปิด
ตัวรู้สึกตัวนี่แหละ เหมือนกับเปิดของปิด สิ่งไหนที่ปิด เปิดออกแล้ว ตัวรู้สึกตัวนี่แหละ เปิดหงายของที่คว่ำ ให้หงายขึ้น ตัวรู้สึกตัวนี่แหละ บอกผ่านแก่ตัวเรา เราดั่งที่เราสวด ตัวหลงก็เฉือนออกแล้ว เหลือแต่ตัวรู้ ของขี้ริ้วๆ ตัวหลง ดูไปๆ มีสติดูไปๆ เห็นกาย ขี้ริ้วอยู่ในกายก็ไม่มาก คือ ตัวคือตน คือตัวคือตน คือกูทั้งหลาย กูสุข กูทุกข์ กูร้อน กูหนาว กูหิว กูปวด กูเมื่อย นั่นมันขี้ริ้ว พอมีสติเห็นเข้าไปก็เป็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้าใครได้เห็นแจ้งอย่างนี้แล้ว เฉือนส่วนขี้ริ้วออก เหลือแต่เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาจริงๆ เป็นปัญญา เป็นญาณ เป็นปัญญา เป็นปัญญาขนส่งจากภาระ หมดภาระไป นั่นมันเป็นญาณทัศนะ การเห็นแจ้งในกายนี้เรียกว่าญาณทัศนะ เหมือนพระพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรให้ปัญจวัคคีย์ฟัง ว่าญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา มันเป็นญาณ แต่ก่อนไม่เคยรู้ พอมามีสติเข้าไปๆ เห็นกายแล้วก็ดู มันก็ต้องเห็น วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ซื่อๆตรงๆ เป็นฐานหรือที่ตั้งการกระทำ คือกรรม เมื่อเราทำสิ่งไหนๆ มันก็ต้องเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เช่นเรามีตา เราดูก็ต้องเห็น เรามีหูเราฟังก็ต้องได้ยิน เราเอากายไปทำดีมันก็ต้องดี เอากายไปทำชั่วก็ต้องชั่ว เอาใจไปคิดเรื่องไม่ดีมันก็ไม่ดี เอาใจไปคิดเรื่องชั่วมันก็ชั่ว เรื่องดีมันก็ดี นี่กรรม วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ลิขิต วิชาที่ลิขิตชีวิตให้มันเป็นไปตามกรรมที่เราทำ
นี่เรามาเห็นกาย เพราะมันโชว์ เราดูอยู่ มันเคลื่อนมันไหวต่อหน้าต่อตาเรานี่ 14 จังหวะ รูปแบบของกรรมฐานตามบรรพะในสติปัฏฐานสูตร เรียกว่าบรรพะคือการเคลื่อนการไหว เยอะแยะ เรื่องของกายก็มาก เรื่องของจิตใจก็มาก บรรพะเนี่ย บรรพะทางกายยืนเดินนั่งนอน คู้เหยียดเคลื่อนไหว กลืนน้ำลายหายใจ กระพริบตา อะไรเยอะแยะ หยาบๆ ละเอียด เล็กๆ น้อยๆ ใหญ่ๆ มีมาก มันก็เห็นอยู่นี่ มีความรู้สึกตัว ผ่านสายตาแห่งความรู้สึกตัว ถ้าเราดูมันก็เห็น เห็นของอันเดียวบ่อยๆ เห็นสิ่งเดียวบ่อยๆ พอเห็นสิ่งเดียวบ่อยๆ มันก็วิวัฒน์พัฒนา เห็นแจ้งขึ้นมา เหมือนกับเราเห็นหน้าเห็นตากัน หรือเหมือนกับเราเดินทางไปรอบโลก เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยู่ตรงนั้นตรงนี้ หากใครมาพูดเรื่องอันนั้นเราก็รู้ เราก็เห็นมาแล้ว คนที่มาพูดให้เราฟังก็หลอกเราไม่ได้ เพราะเราเห็น เราผ่านมา เห็นกับตาเราแท้ๆ เหมือนกับโต้กันทีหนึ่ง กับ(...) เพื่อนที่เขาว่าธาตุมันมีอยู่สี่เท่านั้นแหละ สี่ธาตุเท่านั้นแหละ หลวงพ่อก็บอกมันโอ้ไม่ใช่สี่ธาตุนะ มันหกธาตุนะ ไม่มีๆ มี มีอยู่ที่ไหน มีมันอยู่ในนวโกวาทหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี ไม่มีผมเรียนมาหมดแล้ว มี เถียงกันไปเถียงกันมา โอ้ว่ามันมี อยู่ในธาตุสี่ก็อยู่ในหมวดสี่ ธาตุหกก็อยู่ในหมวดหก เถียงกันไปกันมา ไปหาหนังสือมาดูซิ เขาก็ไปหาหนังสือ สมัยนั้นเถียงกันอยู่วัดชัยสามหมอ เขาไปหานวโกวาทมาแล้วก็เปิด ผมก็เห็นมาแล้ว เขามาเปิดดูอ้าวอย่าไปดูหมวดสี่ซิ ต้องไปเปิดดูหมวดหก อ่านดูซิหมวดหก อ่านไปเขาก็เห็นโอ้มีจริงๆ มีจริงๆ เราเห็นกับตา เราเรียนมา เราจำมา ปฐวีธาตุคือธาตุดิน อาโปธาตุคือธาตุน้ำ วาโยธาตุคือธาตุลม เตโชธาตุคือธาตุไฟ อากาสธาตุคือช่องว่างมีในกาย วิญณาณธาตุคือความรู้อะไรได้ นั่นมีไหม เราเห็นเราเห็นกับตาเราก็จำมา
ในการศึกษาชีวิตของเราๆ ก็เหมือนกัน กายมันเห็นกับตานี่ ไปถามใคร เราเอามือวางไว้บนเข่า ต้องไปถามใครไหมว่ามือเราอยู่ไหน ไม่ต้องไปถามใครเลย เห็นกับตา ตาอะไร ตาใน ตาเนื้อดูก็ได้ เราพลิกมือขึ้นเห็นไหม เห็น เรายกมือขึ้นเห็นไหม เห็น เราเดินเห็นไหม เห็น มันเดินมันเคลื่อนมันไหวเห็นมัน เห็นไปเห็นมามันก็ ความจริงก็ปรากฏ ความไม่จริงก็ปรากฏ เห็นมันเป็นรูป เห็นมันเป็นกาย มันเป็นสักว่ากาย เห็นมันเคลื่อนมันไหว โอ้มันมีกายมันมีรูปนั่นแหละ มันเป็นรูปเป็นนาม ในส่วนที่วิญญาณธาตุพอมันเคลื่อนมันไหวรู้สึกเคลื่อนไหว ก้อนหินก้อนดินมันเคลื่อนไหวไม่เป็น สิ่งที่มันเคลื่อนไหวเป็นมันเป็นรูป เออมันเป็นรูปเป็นนาม มันเป็นกายสักว่ากายหนอ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แต่ก่อนเราเอากายมาเป็นทุกข์ เราเอากายมาเป็นสุข พอมาเห็นเข้าไป โอ้มันเป็นสัก ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เห็นเป็นกาย เป็นทัสสนานุตตริยะ เห็นแจ้งเหลือเกิน สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายมากมายหลายอย่าง ก็เป็นเพียงอาการที่มันเกิดขึ้น เห็นทะลุทะลวงไป ปฏิปทานุตตริยะใช้กายอย่างถูกต้อง ไม่เอามาเป็นสุข ไม่เอามาเป็นทุกข์ ตัวปฏิปทา ดำเนินไปอย่างถูกต้อง วิมุตตานุตตริยะหลุดพ้นแล้ว สิ่งที่เอากายมาเป็นทุกข์ ไม่เอากายมาเป็นสุข ไม่เอากายมาเป็นทุกข์ มีเหตุเป็นปัญญา วิมุตตานุตตริยะ พ้น ปัญหาเรื่องกายค่อยหมดไปๆ ให้มันเห็นอย่างนี้ เรียกว่าเห็นธรรมเหมือนกัน
เห็นธรรมก็คือเห็นเรื่องกายเรื่องจิต แล้วก็เห็นอะไรที่มันโชว์ เวทนาที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์มีอยู่ในกายนี้ เห็นอันหนึ่งก็เห็นต่อกันไป มันอยู่เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นกรุ๊ปเป็นกลุ่ม ของใครของเรา เหมือนกับกรุ๊ปเลือดของเรา ไปตรวจเลือดก็เป็นของใครของมัน กรุ๊ปใครกรุ๊ปเรา ต่างวาระกัน ส่วนตัวๆ เห็นกายแล้วก็ต้องเห็นเวทนา เวทนานี่เป็นภาษาบาลี ถ้าว่าภาษาบ้านเราก็สุขๆ ทุกข์ๆ มันร้อนมันหนาว มันหิวมันปวดมันเมื่อยอยู่นั่นแหละ มันมี มันเป็นเรื่องของกายแท้ๆ ถ้ากายไม่มีเวทนามันก็ไม่ใช่กายนะ พอมาเห็นเวทนามันก็ว่าเหมือนเดิม ตัวรู้ตัวสติ ตัวสติก็ไปเห็นแจ้ง ถึงบอกว่าเวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา โอ้ บางทีเป็นปัญญา แต่ก่อนมันเป็นสุขมันเป็นทุกข์ บัดนี้มันเป็นปัญญา มันก็ทัสสนานุตตริยะ เห็น เห็นเวทนา แต่ก่อนเอาเวทนามาเป็นสุข เวทนามาเป็นทุกข์ บัดนี้เปลี่ยนสุขเปลี่ยนทุกข์มาเป็นปัญญา เปลี่ยนมาเป็นปัญญาแล้ว เวทนาที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิต มันเป็นปัญญา มันขอบคุณนะ น่าขอบคุณเวทนา ถ้ากายมันร้อนไม่เป็นมันก็อยู่ไม่ได้ ถ้ากายมันหนาวไม่เป็นมันก็อยู่ไม่ได้ ถ้ามันไม่รู้จักหนาวมันจะดีไหม มันไม่ดีมันจะไหม้นะ เคยหนาวศูนย์ ลบหก ลบสิบ หนาวลบหกลบสิบ ลบศูนย์แล้วไม่พอลบลงไปอีกจนถึงสิบ ร้อนนะหนาวนะ ร้อนนะ ถ้าหนาวจริงๆ นะร้อน เหยียบพื้นดินเหมือนกับเหยียบไฟ ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นมันจะฉิบหาย มันดี มันจะให้เราได้ช่วยมัน ที่นี่ไม่หนาวหรอก โยมเอาผ้าห่มไปกองให้หลวงพ่อตั้งสามสี่ผืน หลวงพ่อเห็นโยมลุกผิงไฟตั้งแต่ตีหนึ่ง โอ้โยมหนาวละหนอว่าจะเอาผ้าห่มไปให้ หลวงพ่อไม่หนาวแต่ก็เอาผ้าห่มมาให้ โยมหนาวมาก เห็นโยมลุกกันไปหลวงพ่อก็ลุกด้วย ออกมานั่งเล่นอยู่ในรถ
หนาวก็ขอบคุณมันอย่าเป็นทุกข์ ร้อนก็ขอบคุณมันอย่าเป็นทุกข์ เป็นปัญญา ถ้ามันร้อนไม่เป็น มันหนาวไม่เป็น มันปวดมันเมื่อยไม่เป็นนี่ มันจะฉิบหาย กายนี่ ฉิบหายจริงๆ ถ้ายุงกัดไม่เจ็บ ฉิบหายแล้ว เหยียบหนามไม่เจ็บ ฉิบหายแล้ว ไฟถูกไม่เจ็บ ฉิบหายแล้ว ไม่รู้สึกหิวไม่รู้สึก เหนื่อยฉิบหายแล้ว ฉิบหายจริงๆ ไม่เหลือหลอ ถ้าเหยียบหนามไม่เจ็บ ฉิบหายแล้ว บางคนเอามีดเฉือนไม่เจ็บ ฉิบหายแล้ว ฉิบหายแบบไหนก็เกิดโรคมะเร็ง บางคนเอาไฟจุดไม่เจ็บฉิบหายแล้ว อันตราย โอ้แต่ก่อนมันเป็นสุขเป็นทุกข์ บัดนี้เวทนาไม่เป็นทุกข์เลย เป็นปัญญา เอาอย่างนี้นะพวกเรานะ หัวเราะมันเลยบัดนี่ต่อไปนี้ เวทนาโอ้หัวเราะมัน ขอบคุณหนอถ้ามันหิวไม่เป็นมันก็ตาย มันหิวนี่มันดีแล้ว มันร้อนมันดีแล้ว มันหนาวมันดีแล้ว สัญญาณภัยที่มันบอก
โอ้เวทนาสักว่าเวทนา อย่าเอาเวทนามาเป็นตัวเป็นตน สักว่าเวทนาไม่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ลอยตัว ชีวิตที่ลอยตัวลอยลำ เหมือนเครื่องบินที่มันบินขึ้นสูงๆ มันลอยลำ มันจะหนักตอนมันขึ้นใหม่ๆ พอมันขึ้นไปสักสี่หมื่นสามหมื่นฟุตเนี่ย มันจะลอยตัว มันจะดันไปข้างหน้า ตอนมันขึ้นใหม่ๆ มันก็ยกตัวมันก็หนักกินน้ำมัน พอมันขึ้นลอยตัวเนี่ยเบา กายลหุตา จิตลหุตา โอ้เบา เห็นกายสักว่ากาย เห็นเวทนาสักว่าเวทนา เบา ต่างเก่านะ เห็นจิตอ้าวมันก็มี จิตมันคืออะไร มันคิด เห็นไหมเวลาเราเจริญสติเห็นความคิดไหม แทรกหน้าแซงหลัง เดี๋ยวก็คิดไปโน่นเดี๋ยวก็คิดไปนี่ มีไหม มีเนาะ ต้องเห็นความคิดของตัวเอง แต่ก่อนเราไม่เคยเห็นความคิดก็ว่าตัวว่าตน นึกว่าตัวว่าตน พอเรามาดูอย่างเดียว มันมาเข้าคิวให้เราดูหลายอย่าง
พอเราดูถูกจุด ช่องแคบ เหมือนช่องแคบทะเล เรือทุกลำต้องมาผ่านตรงนี้ อย่างประเทศไทยเราก็ต้องเมืองท่าก็คือสิงคโปร์ เขาก็ประเทศเล็กๆ ไม่มีเกษตรไม่มีอะไร ไม่เท่าชัยภูมิ แต่ว่าเขาเป็นมหาอำนาจเป็นเศรษฐีเขามีท่าเรือเก็บภาษีกับเรือทุกลำที่ต้องผ่านสิงคโปร์ ก็ต้องเก็บภาษี ต้องแวะไปขึ้นภาษีไปเก็บ(...)ของเขา เขาก็ร่ำรวยทั้งๆ ที่เขาไม่ได้มีอะไร เมืองท่า เรียกว่าเมืองท่า นี่ก็เหมือนกันเราเจริญสติ มันเป็นเมืองท่าทางผ่านมันมีอะไรมาผ่านให้เราเห็น โอ้ทำอย่างนี้เห็นหลายอย่าง ดูกายดูจิตมันก็อยู่ในช่องแคบๆ ไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหน ว่าแต่เรามีสติดูกายดูจิตขึ้นมาเนี้ย เห็นจิตเนี่ย จิตมันคืออะไรจิตเนี่ย คือความคิด สิ่งที่มันเกิดจิตที่มันคิดขึ้นมา จิตที่มันคิดขึ้นมา และมันไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คิดได้หลายๆ อย่าง จิตเนี่ย คิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ลักคิด ไม่ได้ตั้งใจก็ไปคิดขึ้นมา เราก็นึกว่าตัวว่าตนหอบหิ้วเราไป มันคิดโกรธก็โกรธตามมัน มันคิดรักก็รักตามมัน มันคิดยินดียินร้ายก็ไปตามมัน ถูกมันหลอกมันลวงมามาก พอมาเห็นตัวคิด รู้จักหยุดความคิดแล้วบัดนี้ เห็นมัน เห็นว่าจิตสักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไปเห็นความคิดนี่ โอ้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเนี่ย ไม่เคยเห็นเลย อายุ 30 ปีจึงมาเห็นความคิดตัวเอง แต่ก่อนนี้ถูกความคิดหลอก ให้น้ำตาร่วงน้ำตาไหล หลอกให้รักให้ชัง หลอกให้โกรธให้โลภให้หลง โกรธพ่อโกรธแม่ โกรธพี่โกรธน้อง โกรธแล้วก็ไม่พอตีน้องด้วยสมัยก่อน โกรธไอ้ควายก็ตีควาย โกรธไอ้หมาก็ตีหมา โกรธไอ้น้องก็ตีน้อง โกรธทั้งพ่อทั้งแม่ก็ด่าพ่อด่าแม่ แต่ว่าไม่ค่อยได้เคยด่า แต่ว่าโกรธเหมือนกัน
ความคิดเนี่ยปัดโธ่ พอมาเห็นแล้วนะ เสียเปรียบความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจนี่มากๆ กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลวนะ เห็นบ่แม่ออก เห็นความคิดบ่ เข้าไปในบ้านจักเที๊ยแล้ว หาลูกหาหลาน ไปไสแน๊ ไหลไปไสแน๊ ไปฮอดสิใด นั่งอยู่วัดเนี๊ยมันไปขึ้น ปึ๊บ ถึงบ้านแล้ว ถึงนา ถึงไหนๆ ไปแล้วบ่ไปอื่น ไปฮักไปซัง ไปยินดีไปยินร้าย โอ้ความคิด บัดนี้มาเห็นแล้ว เห็นมารยาสาไถยความคิด เจ้านี่แหละเจ้าสังขาร เจ้าสมุทัย ตัวคิดตัวหลงนี่แหละ รู้ปั๊บ ถ้ารู้ทีไรก็เหมือนน็อคแล้ว เหมือนนักมวยเขาชกได้แต้มนับแต้ม ถ้ามีสติไปๆ เวลาใดมันคิดขึ้นมารู้ปั๊บ ถ้าเป็นนักมวยก็ชกก็ได้ ถ้าชกถูกหน้าเขาจึงนับแต้มนับคะแนน ถ้าชกถูกที่อื่นเขาไม่นับ การเจริญสตินี่ก็เหมือนกัน เอาจริงๆ มันต้องมาเห็นจิต จิตมันเป็นตัวการที่มันสั่งกายในตัวของมัน ในตัวของจิตก็มีตัวหลงตัวรู้ ตัวสุขตัวทุกข์ ถ้ามีตัวดูก็จะดี มีความรู้สึกตัวเข้าไปดูเข้าไป เข้าไปดูจิต มีสติดูจิต แล้วมีจิตก็ดูจิตในตัวมันเอง ในจิตมันมีสุขมีทุกข์ ในจิตมันก็เป็นตัวรู้ตัวดู เนื้อใน เนื้อของมันนั่นแหละ เห็นจิตสักว่าจิตไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันเดียวแล้วบัดนี้ เห็นกิเลสอยู่เลย กายก็ทิ้งไปแล้ว เวทนาก็ทิ้งไปแล้ว สุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับเวทนาไม่มีแล้ว ทิ้งไปแล้ว เหมือนกับไม่ได้ใช้ให้มันเป็นสุข ไม่ได้ใช้มันเป็นทุกข์ ไปเห็นจิตที่มันคิดนี่ก็ โอ้จับได้ไล่ทัน จับตัวการมันได้ นับแต้ม มันแล้วบัดนี้
ไม่มีอะไรที่จะชอบไปเท่ามีสติดูจิตแล้วบัดนี้ มันเป็นเครื่องทุ่นแรง มาดูอย่างเดียวๆ มีสติดูจิตอย่างเดียว เหมือนกับเครื่องทุ่นแรง อันอื่นก็ปวกเปียกไปเลย หรือกระทั่งความโลภความโกรธความหลง ไม่มีที่เกาะไม่มีที่ตั้ง ถ้าเห็นจิตสักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่รู้ว่ามันจะไปตั้งอยู่ไหน ความโลภความโกรธความหลง กิเลสตัณหาราคะ ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่ตั้งแล้ว ถอนออกแล้วชักลากถอนสะพาน แต่สมัยก่อนสะพานมันเกย สิมน้ำ ตามพระวินัยถ้าสิมน้ำมันต้องตั้งอยู่ในน้ำ แต่ว่าเวลาสะพานมันเกยกับสิมน้ำ เวลาทำสังฆกรรมต้องชักสะพานออก ไม่ให้มันต่อกันกับแผ่นดิน ชักสะพานออก คนที่มาทีหลังก็มาไม่ได้ เพราะเราชักสะพานออก มันไม่ต่อกัน แล้วทำสังฆกรรม อุปสมบทกรรม ปาฏิโมกข์ รับกฐิน ปาริวาส อัพภานกรรมทั้งหลายได้ เพราะมันชักออก ชักสะพานออก มันไม่ต่อกัน มดแมลงงูอะไรต่อไปไม่ได้แล้ว ชักสะพานออก เวลาจะใช้ก็ดึงสะพานไป อันนี้ก็เหมือนกัน สติมันชักสะพานออก แต่เรื่องของกายจะใช้เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ได้ เรื่องของเวทนาเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ได้ มอบให้เวทนามันไป มันชักสะพานออก เรื่องของความคิดก็ชักสะพานออก จะเอาจิตมาเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ได้ แต่ก่อนนี้กายมาเป็นสุขเป็นทุกข์ จิตใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ได้ใช้มันแล้วบัดนี้ ใช้ให้มันทำความดีสำเร็จประโยชน์จริงๆ เห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตที่มันคิดเนี่ย ก็เห็นจริงๆ ทุกคนมี มีดุ้นๆ ก้อนๆ อยู่เนี่ย เรียกว่าด่านหน้านี่ต้องเจอ ด่านหน้าเหมือนเราเดินทางจากจังหวัดชัยภูมิ ไปไหนมันจะต้องมีด่าน ด่านตรวจด่านกักของเขาตามระเบียบของเขา ไปชัยภูมิตรงด่านชัยภูมิก็ต้องตรวจ ผ่านโคราชโคราชต้องตรวจ ผ่านสระบุรี สระบุรีต้องตรวจ อยุธยาต้องตรวจ ถึงกรุงเทพฯ เขาก็ตรวจ มันมีสี่ด่านถ้าเราจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เราก็ผ่านได้ๆ เราชอบมันเป็นตัวชอบ กักเราไม่อยู่แล้ว
สติมันสร้างสัมมาทิฐิเกิดความชอบ ได้รับความชอบ ได้รับความเป็นธรรมในชีวิต มันก็ผ่านได้ๆๆ รุดหน้า เอาไว้หลัง เอากายไว้หลัง เอาเวทนาไว้หลัง เอาจิตไว้หลัง อันนี้เห็นธรรม เห็นธรรม ธรรมคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ความง่วงเหงาหาวนอน ความอะไรต่างๆ เป็นกุศลก็มีเป็นอกุศลก็มีนะธรรมนี่ พอดีมันมีความรู้ก็ไปติดความรู้ พอมีความสุขก็ไปติดความสุขอีก มีความทุกข์ก็ไปติดความทุกข์อีก ไม่ได้
คำว่าธรรมเนี่ย บางทีไปติดรู้ติดดี ก็ไปทุกข์เพราะความดีก็มีนะ ไม่ได้สักแต่ว่า โอ้ธรรมก็สักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คนทำดีบางทีติดดี เป็นทุกข์เพราะทำดี ทำชั่วก็เป็นทุกข์อยู่แล้ว แต่ทำดีก็เป็นทุกข์ไปอีก คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ก็มี พอทำความดีคนอื่นเป็นคนชั่วทำให้เราเป็นทุกข์ก็มี เราไม่ได้ทำชั่วเขามาว่าเราทำชั่วเราก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความดี โอ้ธรรม ธรรมที่เป็นอกุศล เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เห็น ธรรมที่เป็นกุศลต่อความสงบ มีความรู้ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พื้นฐาน ธรรมสักแต่ว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่ใช่ไปเอาอะไร ไปเอาสุขก็ไม่ใช่ ไปเอาทุกข์ก็ไม่ใช่ ไม่ต้องเอาแล้วบัดนี้ สักแต่ว่า แปลว่าธรรม ด่านสุดท้าย ปล่อยแล้วบัดนี้ ปล่อยตัวแล้วบัดนี้ ชีวิตหลุดกรอบ ชีวิตหลุดพ้น สี่ด่าน ทำให้พ้นเบา ล่วงเข้าไปอีก เกิดญาณทัศนะ มันสนับสนุน มันชำนิชำนาญ สว่าง ปัญญาก็สนับสนุนให้เกิดปัญญา ความรู้แจ้งก็สนับสนุนให้เกิดความรู้แจ้ง เป็นเครือข่าย เหมือนเราเดินทาง การก้าวไปๆ เขาสนับสนุนให้เราไม่ถอยหลัง เช่นหลวงพ่อเคยขึ้นเขาศรีปาทะ กับคุณหมูนี่แหละหลายคน เขาศรีปาทะนี่ มองไม่เห็นยอดเขานะ เมฆคลุมเอาไว้ ขึ้นเดินขึ้นไปหลายชั่วโมงก็ไม่เห็นยอดเขาเลย ขึ้นไปๆๆ เหนื่อยโอ๊ยเหนื่อย เราก็บอกเพื่อนเดินทางว่าเราถึงทุกก้าวๆ ยังไม่ถึงยอดเขา แต่เราเดินแต่ละก้าวเราก็ถึงทุกก้าว เดินไปๆ มันก็รุดหน้า พอมันสูงขึ้น ค่อนไปแล้ว ขึ้นไปแล้ว มันก็เอียงไป มันถอยไม่ได้ ขึ้นไปสูงขึ้นไปอีก มันก็ดูดขึ้นไป เบาแล้วบัดนี้ พอขึ้นสูงที่สุดเบา ไม่หนักเหมือนขึ้นใหม่ๆ พอขึ้นไปถึงที่ชันต้องหิ้วตัวขึ้นไป จับราวบันไดขึ้นไป มันก็ดูดเข้าไป เบาเข้าไป ถึงปั๊บจุดหมายปลายทาง ยอด ไปนั่งหอบก้อนเมฆ ไปสัมผัสกับก้อนเมฆอยู่บนยอดเขาศรีปาทะได้ ขึ้นไป มันสนับสนุน การเดินทางของชีวิตจิตใจของเรา ความถูก สัมมาทิฐิ ความชอบ มันสนับสนุน ให้เกิดความชอบเรื่อยไป เห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรม เหมือนทางที่มันเอียงมันลาดให้เรา สนับสนุน กายก็สนับสนุนให้เรา เวทนาก็สนับสนุน จิตก็สนับสนุน ธรรมก็สนับสนุน ให้เราก้าวหน้าพัฒนาวัฒนะ ดีขึ้นไป ไปเห็นรูปเห็นนามแล้วบัดนี่ เห็นรูปเห็นนาม กลับมาลอกอีกบัดเนี่ย มาเห็นกองรูปธรรม กองนามธรรม
มาเห็นกองรูปกองนาม แต่ก่อนมันเป็นกายเป็นเวทนาเป็นจิตเป็นธรรม มันสรุปลงมาแล้วบัดนี่ อันสี่อย่างนี่รวมลง คือรูปคือนาม รูปธรรมนามธรรมๆ สรุปแล้วบัดนี่ สรุปน้อยๆ ลงมา เอ้าแต่ก่อนเรียกว่ากาย เรียกว่าเวทนา เรียกว่าจิต เรียกว่าธรรม พอมาเห็นรูปเห็นนามแล้วมันเรียกเป็นอาการแล้ว เวทนาไม่ต้องไปเรียกว่าเวทนา เรียกเป็นอาการ แต่ก่อนความร้อนความหนาว ความหิวความปวดความเมื่อย มันก็เรียกตามอาการ บัดนี้เรียกเป็นอาการ ความร้อนก็เป็นอาการของรูป ความหนาวก็เป็นอาการของรูป ความหิวก็เป็นอาการของรูป ความปวดความเมื่อยเป็นอาการของรูป เรียกคนละแบบ แต่ก่อนเรียกว่ากายเรียกว่าเวทนา เรียกร้อนเรียกหนาวเรียกหิวเรียกเจ็บเรียกปวด เยอะแยะไปหมดเลย บัดนี้เรียกเป็นอาการ รูปมันก็ต้องมีอาการ อาการนี่มันเรียกอาการแล้วไม่พอ มันจะถลุงอย่างรุนแรง อ้าวเห็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูป เอ้าไปเรียกกันความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวใช่ตน เสร็จเลยบัดนี้ สิ้นเชื้อไปเลยๆ ถ้าได้เห็นเป็นไตรลักษณ์ก็สิ้นเชื้อ ก็ไม่เหลือ ไม่มีเชื้อเลย อันสุขอันทุกข์ที่เป็นร้อนเป็นหนาว ตกอยู่ในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน สิ้นเชื้อไปเลย หมดเชื้อ แนวไปเลย อันเห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกาย ตกอยู่ในความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน หมดเชื้อไปเลย เห็นนามเกิดสิ่งที่เกิดขึ้นกับนามเป็นอาการ เห็นความโลภความโกรธความหลง เห็นความรักความชัง ความยินดีความยินร้าย พอเห็นก็ตกอยู่ในไตรลักษณ์เหมือนกัน ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน สิ้นเชื้อไปเลย
เอาอีกรอบหนึ่ง เหมือนกับเราซักผ้าน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งบางทีมันซักไม่ออก มี หลวงพ่อเคยเป็น ไม่ได้ซักผ้าหลายวัน ไปวัดโมกข์ขอนแก่นๆ พระวัดโมกข์ซักให้ เอาแช่แฟ้บน้ำแรกไม่มีฟอง สกปรก(...) เจ้าอาวาสวัดโมกข์ โอ้ยหลวงตาทำไมเป็นจังซี่หนอหลวงตา ท่านด่าท่านบ่นท่านซักให้ อ้าวถ้าซักก็ต้องซักอย่ามาบ่น ถ้าไม่ซักก็เอามาเราจะซักเอง ทั้งหัวเราะทั้งบ่น ซักน้ำหนึ่งมันยังไม่มีแฟ้บเลย ดำปื๋อ เอาอีกแฟ้บที่น้ำสองค่อยมีฟองขึ้นมา มันจึงออก แม่นบ่แม่ออก เวลาผ้าสกปรกหลายๆ ซักทีเดียวบ่ได้เด้น้อ ซักหลายๆ เทีย อันนี้ก็เหมือนกันนะ ซักตัวเองเอาสมน้ำหน้ามันออกไป ซักทีแรกด่านแรกเห็นสี่ด่าน เห็นกายเวทนาจิตธรรมนึกว่ามันสะอาด ไปเห็นรูปเห็นนามตัวเองแล้ว เห็นอาการที่เกิดกับรูปกับนามเป็นไตรลักษณ์ ตกอยู่ในความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน โอ๊ยหมดจดเลยบัดนี่ หมดจดเลย ถ้าเป็นน้ำหนักก็เบาๆ โยมอันนี้ไม่ใช่เล่านิทานนะ ไม่ใช่เล่านิยายนะ เป็นสัจธรรมนะนี่ ไม่ใช่ฟังแล้วไปจำเอา นี่แหละทางมันไปแบบนี้การปฏิบัติธรรมนี่ การปฏิบัติธรรมมันต้องไปแบบนี้ ถลุงไปแบบนี้ย่อยไปแบบนี้ หลุดออกไปแล้วนี้ พ้นไปอย่างนี้ พ้นอย่างนี้จริงๆ ไม่มีอะไร ถ้ารู้อย่างนี้อะไรมันจะตั้งอยู่ได้ ไม่มีแล้ว ไม่มีที่ให้เกาะไม่มีที่ให้ตั้ง ถ้ามาตั้งก็ตั้งอยู่ในความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ความไม่ใช่ตัวตน อาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม เห็นกระแสๆ นี่แหละท่านเรียกว่าวิปัสสนา มาถึงตรงนี้เรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาญาณด้วย ญาณจริงๆ ขนส่งๆ เหมือนรถวิ่งทางเดี่ยววิ่งเอาวิ่งเอา สะดวกไม่ติด จราจรไม่ติด แต่ก่อนจราจรติดขัด จราจรชีวิตห่วงหน้าห่วงหลังเป็นปลิโพธ เป็นปลิโพธถูกๆ ผิดๆ ยังไง ความผิดไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน ความถูกไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หน ความสุขความทุกข์ ผิดๆ ถูกๆ สุขๆ ทุกข์ๆ เป็นจราจรชีวิตของเรา พอมาถึงตรงนี้แล้ว ผ่านทางด่วน ฟรีเวย์
ในบ้านเราไม่เคยมีทางฟรีเวย์ มีแต่ไฮเวย์ใช่ไหมคุณหมู แต่ถ้าสหรัฐอเมริกานี่มีฟรีเวย์นะ พาร์คเวย์ ฟรีเวย์พาร์คเวย์ ไฮเวย์ อันดับที่สาม ฟรีเวย์นี่ไม่มีไฟเขียวไฟแดงทั่วประเทศจากตะวันตกถึงตะวันออก ฟรีเวย์ ไม่มีไฟเขียวไฟแดง วิ่งได้ตลอด แล้วก็รถนั่งก็เฉพาะรถนั่ง รถบรรทุกก็ไปแต่รถบรรทุก ไม่ปนกันเหมือนบ้านเรา บ้านเรานี่ไฮเวย์รถสิบล้อก็วิ่งทางเดียวกัน รถเก๋งก็วิ่งทางเดียวกัน มอเตอร์ไซค์ตุ๊กๆ ก็วิ่งทางเดียวกัน แต่ว่าฟรีเวย์ของเขานี่ วิ่งคนละทางไม่เห็นกันหรอก รถบรรทุกสิบล้อก็ไปเส้นหนึ่ง รถนั่งก็ไปเส้นหนึ่ง รถโดยสารก็ไปเส้นหนึ่ง เรียกว่าฟรีเวย์ สะดวกมาก หลวงพ่อเคยไปอยู่สหรัฐ นั่งเครื่องบินจากตะวันตกไปตะวันออกเนี่ย แปดชั่วโมงนะในประเทศนี่ ดูมันขนาดไหน นั่งเครื่องบินจากตะวันตกไปตะวันออก แปดชั่วโมง มันยาวมันกว้างขนาดไหน ห้าสิบประเทศจึงจะเท่าประเทศเขาประเทศเดียว ห้าสิบประเทศไทยเนี่ยถึงจะเท่าสหรัฐประเทศเดียว จะนั่งเครื่องบินจากประเทศไทยนี่ จากดอนเมืองไปลงบอมเบย์เนี่ย สี่ชั่วโมง อินเดียนะ นั่งจากดอนเมืองไปลงบอมเบย์ประเทศอินเดีย สี่ชั่วโมง แล้ววิ่งกลับมาอีก สี่ชั่วโมงครบหมด ตั้งแต่ไปถึงอินเดียก็นึกว่าไกลแล้ว ถ้านับประเทศนี่ เอาเอเชียทั้งหมดนี่ อาจจะตั้งแต่ไหนหลายประเทศถึงจะเท่ากับประเทศเขา อันนี้พูดไป นี่ มันด่วน พอมาผ่านด่านเห็นกายเห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรม ไปเห็นรูปธรรมนามธรรม เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูป เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับนามนี่ มันด่วนที่สุดแล้วบัดนี่ มันเพียรไปไหลไปได้กระแสแล้ว วิปัสสนาแล้วบัดนี่ ไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสกับอารมณ์ของวิปัสสนา มารู้แจ้งเรื่องนี้จริงๆ ความนี้มันไม่ใช่ความรู้นะ มันพบเห็น เห็นต่อหน้าต่อตา มันพบเห็นเข้าไปอย่างนี้ มันเห็นแจ้งอย่างนี้ เรียกว่าวิปัสสนารู้แจ้ง ล่วงข้ามภาวะเก่า พ้นภาวะเก่า ของเก่าหมดไป นี่เรียกว่าปฏิบัติที่เราทำกันอยู่นี่มัน ไปอย่างนี้ ศึกษาชีวิตเรา รู้จักบุญ รู้จักบาป รู้บุญทำบุญเป็น รู้บาปละบาปได้แล้วบัดนี สัมผัส
ถ้าเป็นสวรรค์ก็เปิดประตูสวรรค์ ถ้าเป็นนรกก็ปิดประตูนรกได้ด้วยมือด้วยการกระทำของเรา มั่นใจกับมัน โอ้ มารู้จักหลวงปู่เทียน โอ้หลวงปู่เทียน เกิดมาไม่มีใครสอนอย่างนี้ สอนให้สร้างสติไม่เคยมีใครสอน มีแต่สอนให้นั่งหลับตาสงบนิ่ง มาเห็นหลวงพ่อเทียนสอนให้เรายกมือเคลื่อนไหวไปมา โอ้หลวงพ่อเทียนสอนให้เรารู้สึกตัวหนอนี่ สอนให้เรารู้จักรูปรู้จักนาม มาเห็นหลวงพ่อเทียนโอ้ หลวงพ่อของจิตวิญญาณ ผู้ให้กำเนิดในเรื่องนี้ เห็นศีลเห็นบุญเห็นบาป เห็นศาสนา ศาสนาคือตัวเราที่ไม่ต้องทุกข์ ศาสนาคือชีวิตเราไม่ต้องทุกข์ พุทธศาสนาคือตัวปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้ง พุทธะนี่รู้แจ้ง แจ้งจริงๆ เหมือนกลางวัน ในกายในใจนี้หลอกเราไม่ได้ แต่ก่อนมันหลอกเรา กายมันหลอกเรา ใจมันหลอกเรา บัดนี้รู้แจ้ง แต่ก่อนความโลภความโกรธความหลง กิเลสตัณหาราคะ มันหลอกเรา เราเสียเวลาเพราะสิ่งเหล่านั้น บัดนี้โอ้ มาเห็นมัน เราเสียเปรียบ เสียเปรียบความโกรธ เคยบ่แม่ออก เคยเสียเปรียบความโกรธมันบ่ โกรธให้ลูกตีลูก เคยตีลูกบ่ เสียเปรียบความโกรธ เคยเคียด(โกรธ)ให้ผัวให้เมียบ่ พ่อทายก เคยเคียดให้เมียบ่ บางเทียเอิ้น(เรียก)เมียเป็นหมา เอิ้นผัวเป็นหมา (หัวเราะ) โอ้ย เสียเปรียบความโกรธ โอ้ย หลวงพ่อกำลัง เห็นตัวเองเห็นชัดเห็นแจ้งจริงๆ นะ เนี้ยหลวงพ่อเทียนสอนเรา
จากนี้ไม่เสียเปรียบมันแล้ว มันแท้ๆ แล้วตัวนี้ สมน้ำหน้ามันจริงๆ สมน้ำหน้าความโลภความโกรธความหลง สมน้ำหน้าความหลง เหมือนกับเรากางมุ้งนอนในมุ้ง ฟังเสียงยุงที่มันบินอยู่ข้างนอก เยาะเย้ยมัน มุ้งมันก็กันยุงได้ ยุงมันอยู่ข้างนอก เราก็นอนอยู่ข้างใน หรือว่าเรานั่งห่มผ้าห่มนวม คลุมศีรษะ สร้างจังหวะ เอามือสร้างจังหวะอยู่ในผ้าห่ม แต่ก่อนอยู่เมืองเลยนี่ ศูนย์ ลบสี่ ศูนย์ ลบหก ศูนย์ ลบสิบ นั่งสร้างจังหวะในผ้าห่ม พอเราเอามือเด่ออกมาข้างนอก เย็นเจี๊ยบเหมือนกับถูกไฟ เยาะเย้ยความหนาวเราอยู่ในผ้าห่ม อันนี้ก็เหมือนกันๆ เห็นอย่างนี้ เห็นต่อหน้าต่อตา โอ้ศาสนาคือคนเราคนที่ไม่มีทุกข์ ศาสนาคือตัวรู้เรื่องคน คนไม่ต้องทุกข์ คนมีสติมีปัญญา คนมีบุญ คนละความชั่ว คนทำความดี คนทำจิตให้บริสุทธิ์นี่คือตัวศาสนา พุทธศาสนาคือตัวปัญญา มารู้แจ้งๆ รู้แจ้งเรื่องกายเรื่องจิต เรื่องบุญเรื่องบาป สมมุติบัญญัติ วัตถุอาการต่างๆ เห็นอย่างเดียวมันบุกไปเลย ทะลุๆ ไปเลย ความรู้มันทะลุไปเลย ไม่ต้องทำอะไร ถึงคราวมันก็ไปของมันเอง จบอารมณ์เบื้องต้นของวิชากรรมฐาน มันเป็นอย่างนี้