แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน การฟังธรรมก็คือการฟังเรื่องของเรานี่แหละ เรื่องของเรามันก็เป็นสูตรอันเดียว เหมือนกับพูดกับทุกท่าน พูดกับทุกคน เพราะว่ามันเป็นสูตรอันเดียวถ้าพูดแล้วก็ถูกทุกท่าน โดยเฉพาะเวลานี้พวกเรามาเจริญสติ การเจริญสติมันก็มีสูตรตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า มีสติเห็นกาย เอากายมาสร้างสติ เอากายมาเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตสติ สติคือความรู้สึก ความระลึกได้ ให้กายให้สติมันติดกันเอามาอยู่ด้วยกัน แล้วก็ประกอบไม่ต้องไปใช้ความคิดให้มีการกระทำ ให้มีการเป็นกิริยาที่กระทำจริง ๆ อย่าไปคิด ได้ความรู้ได้เหตุได้ผล อันนั้นมันเป็นภาษาอันหนึ่ง ภาษาของโลก ใครก็รู้ ทุกคนนั่นแหละก็รู้ แต่ความคิดที่มีเหตุมีผล พวกเราก็มีแต่คนมีความรู้ รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก แต่ว่าการปฏิบัตินี่มันเป็นตัวกระทำลงไป เป็นกิริยาที่กระทำให้ถึงเนื้อถึงตัว เช่นมีกายก็ต้องมีสติ
การที่จะมีสติดูกายต้องมีส่วนประกอบตามหลักคำสอนว่า “กายานุปัสสนา” กายานุปัสสนา มีสติไปในกาย ไปในกายให้เห็นกาย มันเป็นตัวเห็น ตัวสัมผัส ไม่มีคำถาม ถ้าเห็นแล้วไม่มีคำถาม เช่นเราเอามือวางไว้บนเข่า เราก็เห็นว่ามือวางไว้บนเข่า รู้เห็น พบเห็น มันไม่ใช่คิดเห็น เหมือนกับความคิดการเรียนการสอนภาษาทางโลก มันเป็นการพบเห็นว่ามือของเราวางอยู่บนเข่า นี่ก็ไม่มีคำถามเป็นตัวพบเห็นเอา รู้สึก ยกมือ ตั้งมือ คว่ำมือ พลิกมือ เคลื่อนไหวไปมาให้รู้ รู้เห็น พบเห็น ให้มันคุ้นเคยมีสติไปในกาย เห็นกาย ทีแรกก็เห็นกาย ต่อไปก็เห็นกายในกาย อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย ถ้าเห็นกายเฉยๆ เอาตาดูๆ ถ้าเห็นกายในกายเป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะ บางคนก็บอก เขาก็พูดออกมาว่า “ใครก็เห็นกายเนี่ย ทำไมจะไม่เห็นทุกคนก็เห็นกาย อือ ถ้าไม่เห็นกายจะอยู่ได้ยังไงก็เห็นกาย” อันนั้นมันเป็นกาย กายเนื้อ ไม่ใช่กายในกาย กายในกายคือมันเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกายในกาย มันเป็นกายสองกาย ถ้ามันสุขมันทุกข์เรื่องของกายแสดงว่าไม่เห็นกาย เป็นตัวเป็นตนอยู่ในกาย ความร้อนความหนาวคือตนเป็นทุกข์เป็นสุข เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของกาย
แต่ว่าถ้ามีสติไม่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของกาย มันเห็นกายในกาย เห็นกายในกายจนตอบได้ว่ากายนี้สักว่ากายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ไม่ไปเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของกาย ไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของกาย เพราะมันเห็นว่ามันเป็นกาย สักว่ากาย เนี่ยสูตรของมัน มันเป็นอย่างนี้ สูตรของผู้เจริญสติ เห็นกายมันก็ได้คำตอบ มันเกิดการพบเห็นได้คำตอบ ไม่มีตัวมีตนในกาย เห็นเป็นกาย ว่ากายในกาย มันก็ได้ทาง สติได้ทางอยู่บนกาย ถ้าเรื่องของกายมีทางออก มีทางออกพบทางในกาย พบทางเห็นกายในกาย แต่ก่อนที่เรามีสุขมีทุกข์เพราะกาย เรื่องของกายเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์เยอะแยะ เอามาเป็นอะไรมากมาย
เรื่องของกายตั้งอยู่บนกายต่อไปถึงจิตนี่เรียกว่า กายในกายมีสติเห็น ไม่ใช่ความคิดนะ ไม่ใช่พูดให้คิด ว่าถ้ามีสติมันจะเห็นอย่างนี้ ให้ไปทางนี้ เห็นทางอยู่บน เห็นรอยเดินอยู่บนกาย เหมือนเราเดินอยู่บนแผ่นดิน เราเดินจงกรมในป่า ในที่ไหนถ้าเราเดินสองรอบสามรอบก็เห็นเป็นทาง เห็นเป็นทาง ต่างเก่าที่เรายังไม่เดิน มันเป็นทาง แล้วก็เดินคล่อง เดินง่าย ถ้าเดินไปจนเกลี้ยงจนเกลา จนสะอาด แม้แต่มดเดินผ่านมาทางที่เราเดิน ใบไม้ กิ่งไม้ ตกลงไปเราก็เห็น ๆ สมัยก่อนนี้เดินจงกรม ทางเดินจงกรมไม่ต้องจุดตะเกียง สมัยเป็นหนุ่มเพราะเห็นเป็นทาง อะไรมันขวางทางก็รู้ทันที เป็นไส้เดือน เป็นงู เป็นแมลงอะไรก็ตาม ใบหญ้าอะไรก็ตามที่มันหล่นลงมา เพราะเราเห็นมันไม่ใช่ทางอันนั้นเป็นอันใดอันหนึ่ง ถ้ามันเป็นงูเราก็หลบ ถ้าไม่ใช่งูเราก็ข้ามไปได้ นี่เห็น มีสติเห็นกายในกาย กายหลอกไม่ได้ เริ่มต้นได้คำตอบจากกาย ว่ากายสักว่ากายนะ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา
เมื่อก่อนนี้เราไม่ฝึกจิตของเรามักจะแล่นไปง่ายๆ ไปจุ่มไปติดเข้าอะไรจากกาย เป็นตัวเป็นตนตามกายเยอะแยะ หา!ไปติดมันไปแล่นไป มีสิทธิ์เรื่องของกายมันไปถึงจิต เรื่องของจิตไปถึงกาย ที่จะทำให้ต่อให้แล่นไปกว้างใหญ่ไพศาล เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอุปาทาน เป็นกิเลสตัณหา เป็นความชอบไม่ชอบ แล่นไปทางโน้น ไปซึมไปติดง่ายๆ เราจะมาหัดๆ ถ้ามันไม่แล่นไป มันเห็นมันเห็นมันไม่จุ่ม มันไม่ติด เหมือนใบบัวมันไม่ติดน้ำแม้มันอยู่ในน้ำ มันไม่ติดน้ำ คือใบออกรับฝนรับน้ำ แต่มันไม่ติดน้ำ คนมีสติมันก็ไม่ติดอารมณ์ ไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มันก็เห็นนะมันเห็นเป็นอย่างนี้ เห็นกายในกาย แล้วมันก็เห็นเวทนาที่มันโชว์ เวทนามันโชว์ มันโชว์ทำให้เราหลงตรงนั้นด้วย
เวทนาคือความสุขความทุกข์เพราะเจ็บเพราะปวดเพราะเมื่อย เพราะอะไรเยอะแยะเรื่องของกาย นั่นเรียกว่า “เวทนา” เวทนาคือมันเป็นสุขเป็นทุกข์พอกายนั่งนาน ๆ มันก็จะปวดจะเมื่อย มันโชว์ มันบอกเราว่านี่คือเวทนา มันปวดมันเมื่อยมันสุขมันทุกข์ มันอะไรเยอะแยะอยู่กับกายทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ มันโชว์ โชว์กายธรรมชาติธรรมดาไม่ได้มันโชว์เวทนาให้เราเห็น เราก็ไปเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา เวทนามันเป็นเวทนา มันเป็นเวทนาในเวทนา ถ้ามันเป็นเวทนาเฉยๆ เป็นเวทนาเฉยๆมันก็เป็นอาการ แต่ว่ามันเป็นเวทนาในเวทนา เราก็ไปเอาสุขเอาทุกข์ในเวทนา ไปเอาไหวเอาไม่ไหว เอายากเอาง่ายกับเวทนา เวทนาในเวทนามันไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ มันเป็นสักว่าเวทนา สักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาเหมือนๆกันกับกาย คำตอบเหมือนกัน ๆ มันก็แสดงเหมือนกัน เวทนาสักว่าเวทนาไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา เป็นอาการ เป็นธรรมชาติของเขาไม่มาเป็นยุ่งเป็นยากไม่มาเป็นผิดเป็นถูก ฉันทำไม่ได้ ฉันปวดหลัง ปวดเอว นั่งไม่ได้ เดินไม่ได้ เข่าไม่ดี จนยอม ถ้าเห็นเป็นเวทนา เวลาใดที่มันแสดงก็ตอบได้ ไม่แล่นออกไป ไม่ไปจุ่มเอาเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะมีสติ สติมันจะถอนตัวออกมา เหมือนช้างตกหล่มมันถอนออกมา มันไม่ไปจุ่มอยู่ในหล่ม เหมือนกับคนเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา
บางทีเวทนานี้ ทำให้เราติดเวทนา ทำให้เราชอบทำ ให้เราไม่ชอบ บางทีก็ไปชอบเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไปซื้อไปหามา ไปปล้นไปจี้เอาเพื่อได้เวทนา บางทีก็ปฏิเสธ มันไม่ใช่ เวทนาที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตก็ดี มันเป็นสุขเป็นทุกข์ พึงเห็นแจ้ง มันคือเวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา สติเฉลยไปอย่างนี้ ความรู้สึกความระลึกได้ ถ้ามีมากนะ ถ้ามีพลังของความรู้สึกความระลึกได้ มันจะข้ามล่วง เหมือนรถมีกำลังมันขึ้นเขามันมีคุณภาพ มันมีประสิทธิภาพ ชีวิตจิตใจของเราสร้างให้มันมีประสิทธิภาพ คือความรู้สึกความระลึกได้ มันเป็นประสิทธิภาพ มันมีความแกร่งแข็งแกร่ง มีความแข็งแกร่ง มีสมรรถนะ ความคล่องตัวดี ความรู้สึกความระลึกได้ ขนส่งไม่ให้ไปติดกับอะไร มีแต่ตัวรู้ ตัวรู้สึกตัวเรื่อยไป จิตมันก็โชว์ให้เราเห็นมันคิด มันแล่นไป ๆ แต่ว่าทำใหม่ๆอย่าไปคุมจิต ฝึกกายฝึกอันนี้ไปก่อน มีสติเห็นกายไปก่อน อย่าไปคุมจิต เมื่อเราฝึกกายมีสติไปในกายแล้ว เหมือนกับเราดัดไม้ที่มันคด เช่นเขาไปตัดไม้ไผ่ที่เอามา ทำให้มันตรงเขาก็ลนๆไฟเอาความร้อนลนๆไฟเมื่อไม้มันถูกความร้อนก็อ่อน เพียงดัดนิดเดียวมันก็ตรง ดัดแล้วดัดอีก ลนไฟแล้วลนไฟอีกดัดไปดัดมามันก็ตรง อยู่ ๆ จะไปดัดเลยไม่ได้ มันมีวิธีที่จะต้องดัดเหมือนกับเขาดัดเหล็กเหมือนกันเขาจะทำให้ร้อนทำให้แดง คนตีมีดตีเหล็กเขาก็ทำให้เหล็กมันอ่อนเผาไฟ
การปฏิบัติธรรม คือการเหมือนกับการตีเหล็กเผาไฟ ความรู้สึกความระลึกได้มันทำให้อะไรอ่อนไปหมดเลย มันดัดง่าย ชีวิตจิตใจของเรา ไม่ใช่ว่าเราจะไปอด ไปทน ไปบังคับ ไปอดเอา ความโกรธอดเอา ความโลภความหลงอดเอา ความทุกข์อดเอา ไม่ใช่ ไม่ได้ผลหรอก มันมีวิธีที่ทำให้มันหมดไปได้ มันมีวิธีที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นหมดไปได้ เริ่มต้นจาก มีสติเห็นกายค่อยๆกระทบกระเทือนไป เห็นจิตความคิด จิตที่มันคิด คิด ความคิดของจิตที่ไม่ได้ตั้งใจมันซุกซนมาก
แต่ก่อนเราอาจจะไม่เห็นความคิดของเราถี่ยิบเหมือนเรามีสติ พอมันมีสตินี่มันเห็น มันเห็น นิดหน่อยมันก็เห็น เหมือนน้ำที่มันนิ่งอะไรนิดหน่อยมันก็เห็น ปลาซิวปลาอีดปลาหมัดตัวเล็ก ๆ บ้อน! มันก็เห็นถ้าน้ำมันนิ่ง ถ้าน้ำมันไม่นิ่ง แม้แต่จระเข้ลอยอยู่มันก็ไม่เห็น อย่างคลื่นในทะเลถ้าน้ำมันนิ่งดูเห็นหมู่ปลา ปลาอะไรต่าง ๆ แล้วเขาก็มีเครื่องเรดาร์ที่ส่องหาๆ อาศัยเครื่องมือแบบนั้น การฝึกชีวิตจิตใจของเรานั้นก็เหมือนกัน มันสามารถที่จะมองเห็นได้ ถ้ามีสติสัมปชัญญะมันจะเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดปัญญาหยั่งรู้ได้เหมือนกัน เรื่องของกายนี่รู้หมด รู้ครบรู้ถ้วนอันนี้มันเป็นแบบนี้ ว่าแต่เราเจริญสติสร้างสติไปก่อนให้รู้สึกกายไปก่อน รู้เห็นกาย ดูกายก็เห็นจิต ดูคิดก็เห็นธรรม ดูปัญหาก็มีปัญญา ดูทุกข์ก็เห็นไม่ทุกข์ไปทันที เห็นจิตที่มันคิดไป รู้สึกตัวไม่ต้องไปยุ่งกับมันอย่าไปห้ามมัน บางทีเราไม่รู้ไปห้ามไม่อยากให้มันคิด อยากให้มันสงบบังคับลงไปหลับตาลงไปบริกรรมลงไปไม่เอา หัวเราะความคิดได้เลย เอ้ามันมาอิสระ เกิดขึ้นรู้สึกตัวกลับมาตั้งไว้ที่กายไม่แยแสกับมัน ความคิดมันจะแล่นไปทางไหน มันเก่งนะเวลาเราปฏิบัติเจริญสติปรากฏว่ามันแซงหน้าแซงหลัง
ความคิดเนี่ยอย่าไปกลัวมัน อย่าไปมีปัญหาเพราะความคิด คิดจิตก็สักว่าจิตไม่ใช่มีตนอยู่ในความคิด กูคิดกูไม่คิดกูสงบกูไม่สงบ อย่าไปให้มีความรู้สึกแบบนั้น มันจะคิดเราก็รู้สึกว่าดี ถ้ามันไม่คิดเราไม่เห็นจิตที่มันคิด มันแสดงให้เราเห็น ถ้ามันไม่แสดงให้เราเห็นเราก็ไม่รู้ หา ต้องให้เขาแสดงให้เขาเคลื่อนไหวถึงจะรู้ เหมือนกับเราไปหาปลา หานก หาสัตว์ที่มันอยู่ในป่าถ้ามันไม่แสดงเราไม่เห็นมันหรอก ลิงเนี่ยมันขึ้นต้นไม้ถ้ามันไม่แสดงเคลื่อนไหวเราไม่เห็นมัน มันไปนั่งอยู่ตรงไหน เช่นสมัยหนึ่งไปอยู่สวนโมกข์ไชยา เป็นค่าง ค่างเยอะสมัยก่อน เวลามันออกมาเล่นมันก็มาเล่น เวลามันไปนอนน่ะขึ้นไปต้นไม้ใกล้ๆกุฏิหายังไงก็ไม่เห็น มองหาไม่เห็นเลย ไม่ใช่ตัวเดียว ค่างตั้งหลายๆตัว ขึ้นไปต้นไม้ต้นเดียวมองไม่เห็น มันไม่เคลื่อนไม่ไหว พอมันเคลื่อนเมื่อไรเราจึงค่อยเห็นมันจึงรู้ว่า โอ้ มันอยู่ตรงนี้
ความคิดอะไรก็ตามที่มันแสดงกายก็ตาม จิตก็ตาม ที่เขาแสดงออกทำให้เรามีสติไม่ใช่เป็นปัญหา อย่าไปมองเป็นปัญหา นะ ความปวด ความเมื่อย ความร้อน ความหนาว ยุงกัด ความง่วงเหงาหาวนอน ความคิดลังเลสงสัย ไม่ใช่ปัญหา มันจะเป็นปัญญา เพราะมันแสดงให้เราเห็น หัวเราะไปเลยยิ้มไว้ ยิ้มรับไว้เลย โอ้มันคิดเนอะ หัวเราะความคิดตัวเอง บ้าเอ้ย นี่เรานั่งอยู่นี่มันคิดไปโน่นมันแล่นไปโน่น เพราะเห็นมันไม่ใช่ตัวความคิดเนี่ย มันเป็นจิตที่มันคิด มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มีสติเห็นเป็นคำตอบอันเดียวกันตั้งแต่เห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมก็เหมือนกัน ความง่วงเหงาหาวนอนอารมณ์ต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับจิต จิตมันก็เป็นอารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่จิต มันแสดงออกทางอารมณ์ อารมณ์มันไม่ใช่จิต จิตก็ไม่ใช่อารมณ์เป็นสักแต่ว่าจิต
บางทีเราไปเอาสุข เอาทุกข์เพราะจิตเหมือนกัน ไปเอาโกรธ เอาโลภ เอาหลง ไปเอารัก เอาชัง เพราะจิตมันหอบหิ้วเราไป ความคิดเนี่ย เราก็เลยถูกเป็นขี้ข้าของความคิด มันคิดโกรธก็โกรธ มันคิดรักก็รัก มันคิดชังก็ชัง มันคิดสุขก็สุข มันคิดทุกข์ก็ทุกข์ เกิดจากจิตเป็นสุขเป็นทุกข์ โอ้ถูกหลอกมานานตั้งสามสิบปี มันใหญ่ปานนั้นหรือพอมีสติ นี่ สติรู้สึกตัวทันที รู้สึกตัวทันที ไม่ถูกจิตหอบหิ้วไปง่ายๆ รู้สึกตัว รู้สึกตัว ไม่รู้ยังไงเราเคลื่อนไหวอยู่นี่ พลิกมือ เอามือเคาะหัวเข่าทันที พอมันคิดขึ้นมารู้สึกตัวกลับมา กลับมารู้สึกตัวๆ ปฏิบัติก็คือกลับมา กลับมาไหนกลับมารู้สึกตัว อะไรก็ตามที่มันจะแล่นไปไหนจากกายจากจิตจากรูป จากรส จากกลิ่น จากเสียง จากตา จากหู โอไม่เกี่ยว กลับมารู้สึกตัว มือเคลื่อนไหวมือเคาะหัวเข่า ปั๊บกลับมา ตั้งแล้วหว่า ตั้งที่ได้แล้วหว่า ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน กลับมาบ่อย ๆ ปฏิบัติคือกลับมา มันจะเก่งตอนกลับมานี่นะปฏิบัติธรรม ถ้าไม่รู้จักกลับมาไปกับมันเลยนี่ไม่เก่งยิ่งอ่อนแอไปเลย ยังไงๆก็กลับมา การกลับมารู้ๆ แล้ววิธีที่เราทำนี่มัน โอ้ยเป็นการศึกษาที่สมบูรณ์แบบ ของยากเป็นของง่าย ของหนักเป็นของเบา เพราะว่ามันกลับมาได้เก่งๆ มือก็มี พลิกมือเคลื่อนไหวมือเนี่ย กลับมาแจ๋วเลยนะ มันมีสิ่งที่ช่วยเราอยู่ เรียกว่า “วิธี รูปแบบ” พระพุทธเจ้าเรียกว่า บรรพะ สัมปชัญญบรรพะ กายบรรพะ บรรพะคือมันเคลื่อนมันไหว สามารถที่จะรู้ได้ ไม่ให้มันเคลื่อนไหวฟรีๆ เจตนาใส่ใจเพิ่มความรู้สึกเข้าไป เพิ่มความรู้สึกเข้าไป โอ้เรานะ มันมีเครื่องมือเครื่องทุ่นแรง แรงร่วมแนวร่วมของทำให้เกิดพลังเยอะแยะเลย
ความรู้สึกตัว เหมือนกับรถมีแรงหลายแรง อย่างเขามาขุดสระวัดป่าสุคะโต นะ รถสองร้อยกว่าแรง ขนหินขนดิน เหนียวๆดินหล่มๆดันขึ้นไป รถบางคันไม่ถึงสองร้อยกว่าแรงดันไม่ไหว ต้องใส่น้อย ๆ ใส่ดินน้อย ๆ ปีนปานนั้นก็ไม่ไหว ต้องเอาไปติดเอาแบคโฮ เอ้าผลักก้นเข้าไปดึงเข้าไป มันไม่มีแรง อันนี้การปฏิบัติธรรมของเรานะ อาศัยตัวเรา ไม่ต้องไปเรียกร้องใครมาช่วย “ฉันคิดช่วยฉันด้วยหลวงพ่อ” “ฉันโกรธช่วยฉันด้วย” “ ฉันทุกข์ช่วยฉันด้วย” ไม่มีเลยคำพูดแบบนี้ ความคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้ มันจะหลงเราก็ช่วยตัวเอง มันจะโกรธมันจะทุกข์เราก็ช่วยตัวเอง มีทางช่วยตัวเอง กลับมาๆ รู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัวเนี่ย เราทำได้นะได้ด้วยได้จริง ๆ กลับมารู้สึกตัว เป็นของที่ทำได้ทุกคน
พระธรรมเนี่ยปฏิบัติได้ อย่างที่เราสอน ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ปฏิบัติรู้ยิ่งเห็นจริงตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ผู้ใดมีสติผู้ใดไม่มีสติ น่ะ ก็อยู่กับเรามันอยู่กับเรา มันอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่เรื่องอ้อนวอน การปฏิบัติธรรมการบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องอ้อนวอน แม้แต่บุญกุศล มรรคผลนิพพานไม่ใช่เรื่องอ้อนวอนเด็ดขาด ถ้ามัวแต่ไปอ้อนวอนอยู่เนี่ยกี่ภพกี่ชาติก็ไม่ถึงมรรคถึงผล ต้องมีการกระทำ กรรมนี่มันจะจำแนกไปเอง กรรมจำแนกไป พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม สอนเรื่องกรรมคือการกระทำ ใครก็ช่วยเราไม่ได้
คำสอนที่เป็นสัจธรรมต้องสอนให้เราพึ่งตัวเรา ถ้าคำสอนอันใด สอนให้พึ่งคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า นี่เราจึงมาทำด้วยฝีมือของเรา เอากายของเรามีกายมาแล้ว มีครบแล้วเครื่องไม้เครื่องมือที่จะมาสร้างมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นกับชีวิตจิตใจของเรา มาทำ ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์หรอก หมู่หลวงพ่อหมู่พระสงฆ์เป็นแต่เพื่อน เป็นกัลยาณมิตรช่วยท่านไม่ได้ ท่านทุกข์เราก็ช่วยท่านไม่ได้ ท่านสุขเราก็ไม่มีผลกับท่านด้วย ทุกข์ก็ท่านเอง สุขก็ท่านเอง ตัวใครตัวมัน เราจะเป็นกัลยาณมิตรที่ดี กัลยาณมิตรนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ พาถึงมรรคถึงผลได้เหมือนกัน เนี่ยบอกอยู่นี่สอนอยู่นี่ ไม่ใช่ไม่ได้บอกได้สอน เราก็พาทำอยู่นี่ อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์วรเทพ อาจารย์อะไรต่าง ๆ อยู่นี่ช่วยกัน พระบางรูปมาตีฆ้องตีบอกเวลา ชวนกันมาปฏิบัติธรรม ทำให้ดูร่วมกันอยู่นี่ เนี่ยทำให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง นี่คือกัลยาณมิตร เราต้องทำเราต้องฝึกต้องหัด ความง่วงเหงาหาวนอนพวกนั้นน่ะ เขาเรียกว่าธรรม มันเป็นสิ่งที่มาครอบงำ ครอบงำชีวิตจิตใจเยอะแยะ เรามาเปิดมารื้อออก แต่ก่อนมันปิดเรามาเปิด แต่ก่อนมันคว่ำเรามาหงายขึ้นให้มันเห็น เปิดกายเห็นกาย สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เห็นเวทนาเปิดออกแล้ว เวทนานี่ โอ้ย แต่ก่อนเราเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา บัดนี้ มันไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เปิดออกแล้วหลอกไม่ได้ จิตก็เหมือนกัน สักว่าจิตไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา
แต่ก่อนไปหลงกับความคิดนี้มากมาย มันเป็นสายบังเหียน ทบเราทึ้งเรา อันเดียวเกิดสุขเกิดทุกข์ ชอบไม่ชอบ มันก็นั้นล่ะ ปล้อนปลิ้นหลอกลวงมดเท็จที่สุดนะจิตที่ยังไม่ฝึกเนี่ย คุ้มร้ายคุ้มดี ฟูๆแฟบๆ มีจิตก็พึ่งจิตไม่ได้ ไม่มั่นใจที่สุดคือจิต ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเกี่ยวกับจิตมันเป็นไม่ได้อย่างนั้น มันเป็นไม่ได้เด็ดขาด ออกมาดู ออกมาดู มามีสติ มาดู มาเห็นมัน มาเห็นมัน มันจะได้บรรลุธรรมตรงนี้ล่ะ ได้บรรลุธรรมตรงที่กาย ได้บรรลุธรรมที่ตรงเวทนา ได้บรรลุธรรมที่จิต ได้บรรลุธรรมที่ธรรม มันเป็นวัสดุมันเป็นที่เกิดสติปัญญา แต่ก่อนเราโง่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย แต่ก่อนเราโง่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา แต่ก่อนเราโง่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิด แต่ก่อนเราโง่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะธรรม บัดนี้เรามามีปัญญาเพราะกาย มีปัญญาเพราะเวทนา มีปัญญาเพราะจิต มีปัญญาเพราะธรรม เปลี่ยนมาเป็นปัญญา ปัญหามาเป็นปัญญา
ปัญญามันเกิดจากนี่นะ ความรอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่า “ปัญญา” ปัญญาไม่ใช่ไปท่องไปจำเอา จำไอ้โน่นได้เยอะ จำพระสูตรได้เยอะ พระไตรปิฎกแปดหมื่นสี่พันเรื่องจำได้หมด เหมือนพระโปฐิละ จำบ่ได้ล่ะ แล้วชื่อของพระนะ จำไม่ได้ อันนี้เป็นความจำ นะจำได้หมดในพระไตรปิฎก ข่มขู่คนอื่นไปที่ไหนยกหัวชูตัว ฉันรู้อันโน้นฉันรู้มาถามฉันสิมาถามฉัน ไปที่ไหนพระสงฆ์หลบหลีกไม่มีใครกล้าสอน โห!อาจารย์โปฐิละจำพระไตรปิฎกคำสอนของพระพุทธเจ้าจำได้แม่นที่สุดเลย ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เวลาไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดคำเดียว “ภิกษุใบลานเปล่ามาแล้วหรือ” โปฐิละก็พอกราบพระพุทธเจ้าจะกลับไป “โปฐิละใบลานเปล่ากลับไปแล้วหรือ” มีแต่พูดอย่างนั้น เอ๊ะเราทำไงพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเลย เราอุตส่าห์เรียนพระไตรปิฎก จำได้แม่นที่สุดเลยทำไมว่าเราเป็นภิกษุใบลานเปล่า อืม!ก็คิด ก็ไม่มีใครสรรเสริญ มีแต่คนกลัว ไปทางไหนมีแต่เพื่อนกลัว พระโปฐิละไปที่ไหนเพื่อนหลบหลีกไปเลย กลัวคนมีปัญญามาก สามารถจะครอบงำคนอื่น ก็เลยรู้ตัวเองว่า โอ้! ใครก็ไม่สรรเสริญเรา จะไปหาใครเป็นอาจารย์หนอ เรานี่เป็นอาจารย์ของคน อยากมีอาจารย์ อยากปฏิบัติธรรม นะ ก็ไปอยู่ในสำนัก ไปขอให้อาจารย์สอน อาจารย์ก็บอกไป เช่นมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก อาจารย์ไปหาองค์นี้ไหม เอานั้นแหละ ต่อไป ๆ ๆ อาจารย์นั่งอยู่เป็นแถวนี่ไม่สอนเลย บอกไปองค์ต่อ ๆ ๆ ไป ไปหาเณรองค์สุดท้ายเณรน้อย เอาล่ะมันลดทิฐิมานะลงแล้ว ไปหาเณรน้อย เณรน้อยสอนผมด้วยจะให้ปฏิบัติยังไง เณรน้อยก็พาลงไปสระโน่น สุคะโต ก็มีสระลึก แต่นี่ไม่ลึกหรอกน้ำยังไม่เต็มขุดใหม่จากหน้าดินลงไปตั้งสามเมตรนะ น้ำที่มีอยู่เนี่ยตั้งสามเมตร เณรน้อยก็บอกอาจารย์โปฐิละลงไปในน้ำ “อาจารย์ลงไปในน้ำโน่น” พาดสังฆาฏิอยู่เนี่ยทำวัตรอย่างนี้แหละ “เอาผ้าออกไหม” “ไม่เอาออกลงไปทั้งตัวเลย” อาจารย์โปฐิละก็ลงไปในน้ำ น้ำเพียงเอว “เอาไหมแค่นี้” “ไม่เอาลงไปอีก” น้ำเพียงหน้าอก “พอไหม” “ไม่พอลงไปอีก” น้ำเพียงคอ “พอไหมแค่นี้” “ไม่เอาลงไปอีก” น้ำเพียงปาก พูดไม่ได้ เณรน้อยก็บอก “ขึ้นมา” แสดงว่าโปฐิละลดทิฐิมานะยอมแล้ว จำพระไตรปิฎกได้เยอะ ก็ขึ้นมาทั้งผ้าทั้งเปียก เณรน้อยก็บอกว่า “มันมีจอมปลวกจอมหนึ่ง มันมีรูอยู่หกรู มีเหี้ยตัวหนึ่งเข้าไปในจอมปลวกนั่น จะอยากจะได้เหี้ยตัวนั้นจะทำยังไง” อาจารย์โปฐิละก็ตอบได้ทันที ก็ได้บรรลุธรรม ตอบยังไงโยมตอบได้ไหมเรา อืม นี้เรามาตอบแล้วนะ เยอะแยะเลยเรา มีลูกมีเมีย มีไร่มีของ มีความรัก ความชัง มีตามีหูจมูกลิ้นกายใจ เล่นงานไปตัวรู้เข้าไป รู้เข้าไป โอ้พอรู้สึกตัว มันก็ปิดเลยสำรวมเลย ตาหูจมูกลิ้นกายใจสำรวมลงมาสติอินทรีย์ ปิดเข้าไป รู้สึกตัวๆ ๆ ตาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ใช้ก็ไม่ได้แล่นไปไกล หูก็ไม่แล่นไปไกล กลับมารู้สึกตัว ๆ ๆ ๆ นี่โปฐิละขุดเหี้ยได้ แม้จอมปลวกมันจะมีตั้งหกรูสามารถที่จะออกได้ ก็ต้องสำรวม เพราะว่าสติอินทรีย์ ๆ แต่ก่อนตาหูจมูกลิ้นมันเป็นใหญ่ ตามันก็เป็นใหญ่ หูมันก็เป็นใหญ่ จมูกมันก็เป็นใหญ่ ลิ้นก็เป็นใหญ่ กายก็เป็นใหญ่ ใจก็เป็นใหญ่ บัดนี้มันมีสติเป็นใหญ่ รู้สึกตัว ๆ ๆ มาสร้างตัวนี้นะ อย่าเอาสมองอย่าไปใช้ความคิดเหตุผลอย่าไปเอาความชอบไม่ชอบ เอาทิ้งไว้ก่อน เอาการกระทำเสียก่อนๆ ตัวใครตัวมัน ทำยังไงจึงจะรู้สึกตัวต่อเนื่อง
คำว่าต่อเนื่องเป็นโซ่ไม่ใช่เหล็กเส้นนะ เป็นโซ่นะ เป็นเปลาะ เป็นเปลาะ รู้น่ะเหมือนเอามือเคาะ หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง เราพลิกมือเนี่ย รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ รู้ ไม่ใช่ทำให้สวยให้งามอ่อนช้อยไม่ใช่นะ ตัวรู้เป็นตัวเด่น ถ้าพลิกมือไม่รู้ไม่มีประโยชน์อะไร เดินจงกรมถ้าไม่รู้ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องกลับมารู้ให้ได้ ใส่ใจให้ได้ เพิ่มความรู้สึกตัว สัมผัสกับความรู้สึกตัวกับกาย ความรู้สึกตัวกับจิตกับใจ อะไรก็ตามใช้ความรู้สึกตัว ใช้ความรู้สึกตัว เรามาหัดตรงนี้ ถ้าไม่หัดมันไม่เป็นนะ ท่านจะเอาความรู้มา โอ้ยจำได้แล้วล่ะหลวงพ่อพูดเข้าใจแล้วๆ โอยได้ของปลอม มาจำเอาได้ของปลอม อย่างหลวงพ่อเทศน์เมื่อวานตอนเช้าไม่มีใครบันทึกเทปให้ได้ บางคนเสียดายๆ โอ้ยจะไปจำเอา ไม่ได้ๆ ต้องรู้สึกตัวๆ คำพูดที่หลวงพ่อพูดมันไม่ใช่ ของเรานี่ก็มีบันทึกไปแล้วเป็นคอมพิวเตอร์แล้ว เก็บไว้แล้ว โอ้หลวงพ่อบอกให้พลิกมือรู้สึกตัวๆ เราก็ทำเป็นไม่มีใครทำไม่เป็น สิบสี่จังหวะสิบสี่รู้ ทุกคนทำเป็น รู้ รู้ รู้ เนี่ยนะ ได้ยินบ่ หรือว่า มัวนั่งง่วงเหงาหาวนอนอยู่ หลวงพ่อก็พยายามพูดให้ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังให้ได้ยินได้ฟัง สิ่งไหนที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วก็ให้ได้เข้าใจในสิ่งนั้น แล้วไม่ให้ลังเลสงสัย ทำให้จิตเราผ่องใส เกิดสติปัญญา อาศัยการบอกการสอน พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ มีผู้บอกมีผู้พูดมีผู้ฟัง ฟังแล้วนำไปปฏิบัติ ทำให้มันเกิดอยู่กับเรา อันนี้นะตัวใครตัวมันนะ สร้างเอาๆ เราดูตัวเรา ถ้ามีสติไม่มีความลับในตัวเรา ถ้าขาดสติมีความลับ ไปหลบนอนหลบไหนก็ได้ บางทีอาจารย์ไม่เห็นไปหลบนอนไปสูบบุหรี่ไม่ได้นะ คนสูบบุหรี่ก็เป็นเรื่องของเรา อายตัวเรา รู้ตัวเรา ใครก็หลอกไม่ได้ แต่เราหลอกตัวเรา ยิ่งหลอกไม่ได้ ถ้าคนอื่นอาจจะหลอกได้ หลอกคนอื่นหลอกได้แต่หลอกตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกตัวแล้วมันเปิดเผยแล้ว ชีวิตเปิดเผยแล้ว ดูตัวเอง ละอายตัวเอง คิดก็ละอายแล้ว แต่ก่อนไม่ละอายแม้กระทั่งความคิด คิดอะไรก็ได้นะ บัดนี้มีสติแล้วแม้แต่ความคิดก็ละอาย โอ้ยขนหัวลุกเป็นอะไรที่มันคิดน่ะ บางคนน่ะ พอมายกมือสร้างจังหวะ โอ่!คิดถึงลูกสองคน “หลวงพ่อหนูมีลูกสองคน สามีของหนูเกิดอุบัติเหตุตายไป จะมาปฏิบัติอย่างนี้จะเลี้ยงลูกได้หรือนี่” นี่มันคิดไปเรื่อย มันไม่ใช่มาคิดเรื่องลูก โอ่! มาปฏิบัติมาคิดมันมีประโยชน์อะไร ลูกสองคนอยู่บ้านเรามาปฏิบัติ ถ้ารักลูกก็ต้องทำตัวให้มันดี รักผัวรักเมียก็ต้องทำตัวให้มันดี รักพ่อรักแม่ รักครูบาอาจารย์ รักมิตรรักเพื่อน ก็ต้องทำตัวให้มันดี ไม่ใช่รักด้วยความคิด ความคิดบางทีมันก็ใช้ไม่ได้ คิดถึงกันจนอาลัยอาวรณ์เจ็บปวดน้ำตาร่วงน้ำตาไหลไม่มีประโยชน์
ต้องทำตัวให้มันดี อย่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ เป็นคนมีความรู้สึกตัว มั่นใจ มั่นคงอย่างนี้ นี่คือความรัก พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรัก คือรักแบบนี้ ไม่เอากายเอาจิตไปทำความชั่วเด็ดขาด นี่สุดยอดเลยปฏิบัติธรรม เอาละนะตอนเช้าวันนี้ก็สมควรแก่เวลา พวกเราก็กราบพระพร้อมกัน