แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การฟังธรรมก็คือการฟังเรื่องของชีวิตจิตใจของเรา ให้ได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังเอาไว้ แล้วก็เวลาปฏิบัติเมื่อสิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมา แล้วก็เกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ก็บอกว่ารู้แล้ว การฟังกับการกระทำ มันไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เรารู้ เค้าเรียกว่า รู้เห็น สิ่งที่เราได้พบเห็น กับมือกับหูกับตา เราเรียกว่า พบเห็น พบเห็นสติ รู้เห็นสติ ใช้สติ มีสติ แล้วก็สร้างสติ แล้วก็สร้างได้ ใช้ได้ ทุกโอกาส ทุกกรณี ความรู้สึกตัวเนี้ย ไม่มีอะไรที่จะใช้คล่องแคล่ว ชำนิชำนาญเท่ากับการใช้สติ ไม่มีกาลไม่มีเวลา ติดตัว ติดสอยห้อยตามเราอยู่ตลอด เราใช้อย่างอื่นยังเป็นครั้งเป็นคราว การใช้สตินี่ เป็นช่องเป็นทาง ตรงไหนที่มัน มืดก็เกิดแสงสว่าง ตรงไหนที่มันปิดมันก็เปิด ตรงไหนที่มันหลงมันก็รู้ สารพัดประโยชน์ เราจึงต้องสร้างให้มี ทำให้มี ทำให้เป็น ให้ได้รู้ได้เห็นได้พบเห็นสิ่งต่างๆ
ถ้าได้เห็นแล้วก็ล่ะ รู้แล้วเห็นแล้วเป็นปัญญา อัญญาสิ พบแล้วเห็นแล้วรู้แล้ว มันก็ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีเรื่องงอกงามขึ้นมาหรอก เรื่องกายเรื่องใจเรา มันมีแต่เรื่องเดียว เรื่องของกายก็มีเรื่องเดียว เรื่องของจิตก็มีเรื่องเดียว มันเรียนจบง่ายๆ ไม่จบยากเหมือนการศึกษาทางโลก ทางวิทยาศาสตร์ ให้มันก็เกิดขึ้นเรื่อยไป โรคภัยไข้เจ็บ แล้วนี่ก็ไข้มาลาเรีย เกิดขึ้นมาเองแล้ว หนักกว่าเก่า อันตรายกว่าเก่า แต่ว่า กายใจของเราไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีรูปโรคตามโรค โรคของรูป รู้หมด โรคของนามก็รู้หมด รูปของโรค โรคของรูป รู้ตั้งแต่วันปฏิบัติวันที่หนึ่ง วันที่สอง พอนู้น มีสติก็เห็นแล้ว เห็นรูปเห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิตเห็นธรรม ที่เป็นกุศล อกุศล ธรรมที่เป็นกุศล อกุศลเรียกว่าโรคก็ได้ โรคของนาม โรคของรูป ก็มีเยอะแยะ หลายอย่างที่เราหลง เราสุขเราทุกข์ ก็โรค ของรูป เราสุขเราทุกข์ ก็โรคของนาม
บัดนี้มันเป็นปัญญา มันเป็นการก้าวล่วงจากโรค หมดโรค รู้โรคอย่างแจ่มแจ้ง พอมีสติก็เห็นกาย กายมันเป็นรูป เมื่อมันเป็นรูป เราก็เป็นรูปทุกข์ รูปโรค รูปสมมติ บัญญัติที่เกิดอยู่กับรูป มันเป็นช่องเป็นทางไป บัญญัติ มันติด ติดบัญญัติ บัญญัติเรื่องรูป เรื่องกาย ว่ากูว่าตน ถ้าไปหลงว่ากูว่าตนก็เรียกว่าโรค ที่มันเกิดขึ้นกับรูป รักษาไม่หาย ถ้าเห็นเป็นกาย สักว่ากาย เรียกว่ารักษาโรค ที่มันเกิดกับรูปหายไป ถ้ากูเป็นสุข กูเป็นทุกข์ กูร้อนกูหนาว กูหิวกูเจ็บกูปวด กูสุขกูทุกข์ มันเกี่ยวกับรูปเรียกว่าคนมีโรค ดูดีๆ โรคแบบนี้ ไม่มีใครรักษาได้นอกจากสติสัมปชัญญะ ที่เราสร้างขึ้นมา พอเห็นกายเห็นเป็นกาย สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ก็เรียกว่ารักษาโรคหายไปแล้ว โรคของกาย อะไรที่เป็นเรื่องของกายเนี้ย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่ว่ารักษาโรคมันหายไป โรคมันหายไป มันก็รื้อถอน ไปเรื่อยๆ
เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นกับกาย ที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ก็รักษาหาย เวทนาที่มันสุขมันทุกข์ ที่มันร้อนมันหนาวมันหิว มันเป็นสุขเป็นทุกข์ที่มันเกิดจากเวทนาก็รักษาหาย เวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
เวทนามันติดอะไรมา ติดเหล้าติดบุหรี่ ติดรูป ติดรส ติดกลิ่น ติดเสียง ติด โผสสัมผัส ติดอารมณ์ มันติดเหมือนกัน รูปเนี้ยมันก็ติด มันเคยติดอะไร เราใช้ไม่เป็น มันติดมันก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันเข้าในเลือดในเส้นต่างๆ เช่น บุหรี่มันเป็นนิโคติน นิโคตินมันเข้าในเลือด ในเส้นในระบบประสาท มันหิว เวลามันหิว มันแห้ง นิโคตินมันแห้งมันก็เลยหิว พอหิวก็นึกว่าเราอยาก ที่แท้มันนิโคติน ไม่ใช่ตน นิโคตินนี่มันแสดงออกมา ทำให้เกิดการหิว แล้วก็แสดงถึงจิตใจ แสดงถึงอารมณ์ แสดงถึงความยึดมั่นถือมั่น แสดงถึงการกระทำ แสดงถึงกรรมเป็นกิเลสเป็นวิบากเป็นวงจร สืบไปก็สูบจนติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก บางคนมีโรคก็ต้องเป็นอย่างนั้น คนที่ไม่มีโรค ก็เพราะไม่สูบเพราะไม่ติดเพราะไม่อยาก เพราะไม่อยากก็ไม่สูบ เพราะไม่สูบก็ไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยากแล้ว โรคมันหาย อันนี้มันรักษาหายแล้ว พ้นจากโรค เรื่องของจิตที่มันคิด ที่มันคิด จิตที่มันคิด มันมีแต่คิดนั่นแหล่ะจิตหน่ะ เก่งกว่าเค้าออกหน้าออกตา เป็นทวารของจิตเป็นการเคลื่อนไหวของจิต ที่มันคิด
ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจกับความคิดที่ตั้งใจดูดีๆ ถ้าดูไม่ดีจะดูไม่ออกมันอยู่ด้วยกัน เหมือนน้ำกับน้ำขุ่น ความขุ่นมันก็อยู่ในน้ำ ความสกปรกมันก็อยู่ในน้ำ ความสะอาดมันก็อยู่ในน้ำ แต่เราเอาน้ำที่สกปรกมาทำให้มันสะอาด แล้วมันก็ทำได้ มันก็ทำได้ ความสกปรกก็แยกออกไปส่วนหนึ่ง ความสะอาดก็เกิดอยู่ในน้ำ จิตที่มันคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ต่อไปเอามา แต่ก่อนมันก็เป็นภาระ ต่อไปต่อมาเมื่อเราทำไป เราทำไปมันก็เกิดปัญญา มันก็เกิดปัญญา สิ่งที่มันมีปัญหานั่นแหล่ะมันก็เกิดปัญญา เมื่อเราศึกษามันเปลี่ยน พอมีสติรู้เห็น ตัวรู้สึกตัว ตัวรู้สึกตัว ตัวรู้สึกตัวไปเห็นเงื่อนไข ของรูป ของนาม ของกายของจิต ที่มันแสดง ที่มันเป็นต่อ การสืบต่อ เป็นปัจจยาการ ต่างๆ เป็นภพเป็นชาติเป็นวงจรของเขา
พอเราเห็นเราก็รู้แจ้ง เห็นจิตที่มันคิด มันชื่อว่าความคิดเนี้ย ไม่มีปัญหา รักษาโรคอันนี้ได้ ถ้าบางคนไม่รู้ว่าความคิดก็มีปัญหา ก่อให้เกิดกิเลสตัณหาความโลภโกรธหลงไปได้ ความทุกข์ความรักความชัง ความอะไรต่างๆ เกิดจากความคิดที่มันลักคิด สิ่งที่มันลักคิด มันเกิดจากความหลง สิ่งที่มันหลงเพราะไม่มีสติ มันก็แค่นี้ เราจะไปตีโพยตีพายกับใครไปเอาสุขเอาทุกข์ต้นสายปลายเหตุ ไปหยุดปลายเหตุเหมือนเอาไม้ไปแหย่หมา หมามันก็กัดปลายไม้ที่เราแหย่ มันไม่รู้ว่าเราเนี้ยเป็นคนแหย่ มันเอาไม้ เรานี่จับไม้ไปแหย่มัน หมาก็โกรธ กัดปลายไม้โน้นมัน มันไม่ได้มองเรา มันมองปลายไม้ที่เราเอาไม้ไปแหย่มัน มันก็ไปเอาปลายเหตุ มันเอาปลายเหตุ คนไม่มีสติเหมือนหมา ถูกไม้แหย่ ไม่รู้จัก คนมีสติก็ โอ้ ที่มันหลงคิดไปเพราะไม่มีความรู้สึกตัว
ทำไมเราไม่มีความรู้สึกตัวเพราะเราไม่สร้าง เราจึงมาสร้างตรงนี้ มานะ พอมันหลงไปกลับมารู้สึกตัว พอมันหลงไปในความคิดกลับมารู้สึกตัว พอมันหลงไปในทางตา ทางหู กลับมามีความรู้สึกตัว พอมันหลงไปในทางจิตกลับมารู้สึกตัว ก็มันก็แค่นี้เอง ไม่ต้องไปเรียกร้องใคร เอาปัญหาไปไว้ที่อื่น กลับมาดูตน มามองตน แล้วจะแก้ปัญหาก็มาสร้างสติ ไม่ได้ไปแก้เพราะลูบๆ คลำๆ ไม่ได้ไปแก้เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือ เหมือนกับอย่างอื่น กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว มันสะดวก มันสะดวก บางทีปัญหาก็มาในเวลามันเงียบๆ บางทีปัญหามันก็มาเวลาวุ่นวาย ปัญหามันเกิดในเวลาเงียบๆ หยุดการหยุดงานเวลาหลับเวลานอน ก็เอาปัญหามาคิด ทำให้เป็นสุขทำให้เป็นทุกข์เวลานอน ความสุขความทุกข์ในเวลานอนมันเล่นงาน มันได้โอกาส เหมือนเชื้อโรค พอมันมีโอกาสก็กำเริบ เวลาจะนอนก็หาเรื่องมาคิดไม่มีสติ ไหลไปกับความคิด ไหลไปกับความคิด จนฝันจนกลายเป็นอารมณ์
นอนไม่หลับก็คิดว่าตัวเองนอนไม่หลับ การนอนไม่หลับไม่เป็นไร ที่ที่มันเป็นพิษเป็นภัยเพราะว่าความคิดเข้าไปเกี่ยวข้องว่าตัวเรานอนไม่หลับ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องบานปลายไป ก็มาคิดว่านอนไม่หลับ มันก็เกิดปัญหาตามไปหลายอย่าง วิตกกังวล เศร้าหมองเกิดโรคภัยไข้เจ็บ พอรู้สึกตัว พอรู้สึกตัวเวลาใดที่มันคิดไป เวลานอนเวลาใดที่มันคิด มันได้โอกาส สนุกเห็นชัดๆ เวลานอน เห็นมันลักคิดเนี้ย เห็นชัดกว่าเวลาอื่น เวลาเราสร้างสติมันไม่เห็นชัดเพราะเราสู้ ลืมตาอยู่ เวลาเรานอน เราไม่ เหมือนกับเราไม่ลืมตา มันมาลับๆ ลี้ๆ มา แต่เห็น เห็นเวลาที่มันลับลี้หน่ะ มันเห็นจังๆ เหมือนจับคาหนังคาเขา อันตาต่อตามันก็ยังไม่ลึกซึ้ง แต่ถ้ามันเห็นเวลามันลับเนี้ย เหมือนกะเราเห็นโจรเห็นขโมยที่มันจะมาเอาของเรา เห็นกับหูกับตา จับคาหนังคาเขาเนี้ย มันลึกซึ้งกว่า เวลาเรา (??? นาที13.19) จะเจริญสติ เวลาหลับเวลานอนมันคิดขึ้นมา ก็รู้เนี้ย โอ้ มันดีมากนะ อาจจะได้บรรลุธรรมตอนนั้นก็ได้ อย่าประมาท อย่าทำเล่นๆ เวลานอนหรือตื่นขึ้น ดึกดื่น ตื่นขึ้นดึกดื่นก็จะหลุดออกไปคิดไปเลย รู้ซะ หายใจเข้าหายใจออกเวลาตื่นหลับตื่นนอนใหม่ มันชัดเจนรู้สึกตัว แล้วความคิดมันจะออกหน้าออกตา พอตื่นขึ้นมามันแล่นไปก่อน เราก็รู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัว นอนเล่นๆ หายใจเข้าหายใจออก รู้สึกตัว หน่ะ ยืนเดินนั่งนอนรู้สึกตัว เวลานอนแหมยิ่งดีใหญ่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งดีนะ
การเจริญสติเนี้ย เวลาที่ยังไม่เป็นอะไรเนี้ยมันก็ หลายเรื่องหลายราว หลายเรื่องหลายอย่าง แบ่งปันให้กับการทำงาน ให้กับผู้กับคน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันจะสนุก การปฏิบัติธรรม จะได้เห็น ชัดเจน อาการที่มันแสดง มันเกิดแก่เจ็บตาย เป็นการแสดง เราก็เหนือตรงนั้นแหล่ะ เหนือเกิดเหนือแก่เหนือเจ็บเหนือตายไปเรื่อยๆ เหมือนขี่คอมัน คนเขาวิ่ง เราขี่คอคนที่วิ่ง ความแก่มันวิ่งไป เราก็ขี่คอบนความแก่ ความเจ็บมันวิ่งไปเราก็ขี่คอบนความเจ็บ ความตายมันวิ่งไปเราก็ขี่คอบนความตาย ไม่เหน็ดเหนื่อยอะไร แต่ถ้าเราวิ่งไปกับเขา ความแก่ก็วิ่งไปกับเขา วิ่งไปกับเขา ความเจ็บมันวิ่งไป เราก็วิ่งไปกับเขา ก็เหนื่อย ความตายมันวิ่งไป แล้วเราวิ่งไปกับเขา มันก็เหนื่อย วิธีเจริญสติมันเป็นวิธีที่อยู่กับความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ที่ชำนาญกว่าอย่างอื่น ชำนาญอยู่ในธรรมชาติในอาการ ที่มันเกิดขึ้นกับกาย กับรูป ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติได้อารมณ์ของกรรมฐาน เหมือนคนมีวิชาความรู้ ไปทำอะไร วิชาเป็นช่างไฟฟ้า เค้าก็เล่นกับไฟฟ้า ถ้าเป็นช่างอะไรเค้าก็เล่นกับเหล่านั้นได้ เราเป็นนายช่าง เค้าปลูกเรือนเราเป็นนายช่างรื้อเรือน มันง่ายกว่าปลูก ไปปลูกมันยาก แต่รื้อเนี้ยมันง่าย ง่ายกว่าเพราะเรารื้อเป็น มันหลงก็รื้อออกเป็นความรู้แล้ว แล้ว มันโกรธก็รู้สึกตัว รื้อแล้ว ความโกรธ รื้อออกแล้ว ความทุกข์ก็รู้สึกตัว ความทุกข์ก็รื้อออกแล้ว ความหลงรู้สึกตัว ความหลงก็รื้อออกแล้ว แป๊บเดียว แป๊บเดียว ลัดนิ้วมือ ลัดนิ้วมือ เนี้ยนะ
ปฏิบัติธรรมอย่าเนิ่นช้า ให้กระฉับกระเฉงซักหน่อย มันจึงจะทันการทันงาน เหมือนไฟถูกขาเราก็ปัดออกทันที ยังไม่ได้ไหม้ อย่าไปถามใครใครทำไฟตกใส่ขาเรา ทำไมจึงทำตกใส่ขาเรา มัวแต่ไปถามหาคนที่ทำไฟตกใส่ขา มันก็ไหม้หนังไหม้ขาเราเป็นแผล ถ้าไม่รักษายาก ความโกรธความทุกข์ความรักความชัง มันจะไปติดเอากับกายกับใจ กายกับใจมันก็ติดเป็นนะ มันจะรักษายาก พออะไรที่มันเกิดขึ้นก็รู้สึกตัวนะ เรียกว่าปฏิบัติ ปฏิบัติก็รู้สึกตัว มีงานมีการอยู่ มันมีหลงก็รู้เนี้ย มันหลงอะไรก็รู้เนี้ย ตัวรู้อันเดียวเป็นกุญแจดอกเอก เปิดเผยความหลงแบบไหนก็ได้ ความรู้อย่างเดียวใช้ได้หมด ความหลงในทางตา เอาความรู้สึกตัวอันเดียวหน่ะ ความหลงในทางหู ก็เอารู้สึกตัวอย่างเดียว ความหลงในทางจมูกรูปรสกลิ่นเสียง รู้สึกตัวอย่างเดียว รื้อได้หมด เปิดได้หมด แก้ได้หมด เปลี่ยนได้หมด นี่ การปฏิบัติธรรม มันสร้างให้เกิดความสะดวกกับการใช้ชีวิตของเรา เป็นการสะดวก ชีวิตที่สะดวก ผู้มีสติ เป็นชีวิตที่สะดวก เหมือนกับเปิดทาง ไปทางไหนมันเปิดทางไม่ตัน ผู้มีสติเป็นผู้ที่พบทางไม่มีตันในโลก
เรื่องของกายของใจมีทาง แต่คนไม่มีสติก็มืดมน ในเรื่องของกายของจิต มืดมนไม่รู้จักทางออก คนโกรธคือคนไม่พบทาง คนหลงคือคนไม่พบทาง คนทุกข์คือคนไม่พบทาง แค่นี้ก็ยังหลง หลงในความหลง หลงในความทุกข์ หลงในความโกรธ เป็นเรื่องที่จะไม่หลงมากๆ เนี้ย แต่คนส่วนมากก็ไปหลง เอ้อ มันเป็นเรื่องที่จะกระตือรือร้นจริงๆ เห็นคนหลงเห็นคนโกรธเนี้ย อุ้ย แค่นี้เอง อุ้ย แค่นี้เอง มันก็แค่นี้เองจริงๆ หน่ะ ไปหลงทำไม ไปทุกข์ทำไม หะ ไม่มีใครทำให้ตนเอง เขาก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราเอาเรื่องของเขามาหลงของเรา เขาด่าเราก็เป็นเรื่องของเขา เราเอาคำด่าเขามาหลง เขาว่าก็เรา เขาว่าก็เรา มาหลงกันเนี้ย มันไม่น่าจะหลง ไม่น่าจะหลง ไม่น่าจะหลงจริงๆ ไม่น่าจะทุกข์ไม่น่าจะโกรธ ความหลงความโกรธความทุกข์มันเล็กๆ น้อยๆ ถ้าจะพูดแล้วนะ เล็กน้อยจริงๆ ความหลงความโกรธความทุกข์ เล็กน้อย ไม่มีวิธีใด มีแต่ความรู้สึกตัว แค่นี้เอง ลัดนิ้วมือเดียว
ความรู้สึกตัวก็สามารถสร้างได้ ความรู้สึกตัวก็สามารถสร้างได้ แต่ถ้าเราไม่มีวิธีที่จะรู้เรื่องความหลงความโกรธความทุกข์เนี้ย อะไรมันก็มีปัญหา ถ้าไม่หลงตรงนี้ไม่มีปัญหา ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวเนี้ย ถ้าไม่หลง ชีวิตมันก็หยุด หยุดแล้ว หยุดแล้วบาดเนี่ย ไม่ไปไหนแล้ว ความหลงมันก็แล่นไป สิ้นเปลืองพลังงาน ความโกรธคือการแล่นไป ความทุกข์คือการแล่นไป ความไม่หลง ความไม่โกรธ ความไม่ทุกข์ก็หยุดแล้ว หยุดแล้ว หยุดแล้ว หยุดแล้ว หยุดแล้ว นี่ เราก็ได้อานิสงค์ ไม่มีการแบ่ง ชีวิตล้วนๆ ชีวิตพรหมจรรย์ มันก็เห็นกับหน้ากับตา เห็นกับมือเรานี่แหล่ะ ไม่ลับไม่ลี้ที่ไหนหรอก
ความหลงเกิดขึ้นผ่านหน้าผ่านตาอยู่เรื่อยๆ ว่าแต่เรามีสติ ถ้าไม่มีสติจะไม่เห็นนะ คนที่อยู่กับความหลงไม่เห็นความหลง คนที่อยู่กับความโกรธไม่เห็นความโกรธ คนที่อยู่กับความทุกข์ไม่เห็นความทุกข์ คนที่ดูคนที่มีสติมันจึงเห็น มันไม่ถูกต้องจริงๆ นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนไม่เห็นดิน หนอนไม่เห็น (คลูด) เค้าก็อยู่อย่างนั้นได้ ปลาก็อยู่ในน้ำไม่เห็นน้ำ หนอนอยู่ใน (คลูด) ก็ไม่เห็น (คลูด) เค้าก็อยู่ได้ ไส้เดือนอยู่ในดิน เค้าก็อยู่ในดินได้ เรามันต้องเป็นมนุษย์ มีสมองมีปัญญาพัฒนาชีวิตของเราไม่ต้องไปอยู่กับลักษณะแบบนั้น อยู่อิสรภาพ อิสรภาพของชีวิตคือมีสติ สติเป็นการไถ่ถอนเป็นการปลดปล่อย ไถ่ชีวิตเราออกมาสู่ความปกติ
ถ้าหลงละก็ถูกควบคุมจองจำ มัดมือชกเหมือนกับพูดก่อนๆ ความโกรธมัดมือชกก็ไม่ มีสติ ความหลงก็มัดมือชก ความทุกข์ก็มัดมือชก เจ็บปวด ถูกเค้าทุกทั้ง ถูกทุกมัดที่เค้าต่อยมา เจ็บปวด ถ้ารู้สึกตัวเนี้ย โอ้ย เค้าชกคนเดียว ไม่ถูก รู้สึกตัวเนี้ยเป็นความว่างจากอาการต่างๆ ว่างจากความโลภ โลภ ว่างจากความหลง ว่างจากทุกอย่าง คำว่าว่างจากโลก ออกหนีมาอยู่ ความว่าง ออกมาจากโลก โลกแห่งความหลง โลกแห่งความทุกข์ ออกมาอยู่ แล้วมันก็ไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะแสดง ไม่มีเวทีที่ให้เค้าแสดง ก็กายสักว่ากายแล้ว เห็นกายสักว่ากาย กายไม่ใช่เอาเป็นสุขไม่ใช่เอาเป็นทุกข์ เป็นปัญญาแล้ว เวทนาก็เห็นแล้ว ไม่มีที่แสดงให้
แต่ก่อนเค้าแสดงอยู่บนเวทนา ความหลงความทุกข์ความรักความชังความสุข เค้าแสดงอยู่บนเวทีของเวทนา โลกเค้าแสดงอยู่ เป็นเวทีของโลก กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี เป็นเวทีของโลก ที่เค้าแสดง วันนี้เราเห็นแล้ว ไม่มีแล้ว ว่างแล้ว เวทนาในชีวิตจิตใจเรา ว่างแล้ว ไม่มีที่ให้ใครแสดงได้อีก ที่เป็นสุขเป็นทุกข์ เนี้ย ศึกษาธรรมะต้องไปแบบเนี้ยนะ ไม่ใช่จะไปอวดไปอ้างใคร ไม่มีสิ่งที่อวดที่อ้าง ไม่มีอะไร ถ้าไปอ้างว่า ฉันเป็นกรรมฐาน ฉันเป็นพระธุดงค์ ฉันเป็นพระนักปฏิบัติ ฉันรู้ธรรมอันนู้น รู้ธรรมอันนี้ ไม่มี ปิดปาก ถ้าจะพูดกับตัวเองเป็นการปิดปาก ถ้าว่า กูรักกูชังเนี้ย ปิดแล้ว กูสุขกูทุกข์เนี้ย ปิดปากแล้ว เป็นการปิดปากพูดไม่เป็น จะมีแต่การบอกการสอนกันละนะ เหมือนกับอาจารย์ถามลูกศิษย์ คุณมาอยู่กับเรา คุณรู้อะไร ลูกศิษย์คนหนึ่ง ยืนขึ้น ปิดปาก ถามลูกศิษย์อีกหลายๆ คน คุณมาอยู่กับเรา คุณรู้อะไร รู้จักรูป รู้จักนาม รู้จักทุกข์ อ่ะ นั่งลง อาจารย์บอกนั่งลง ผลที่สุด คนที่ลุกขึ้นปิดปาก เป็นคนที่ถูกต้อง เพราะมันไม่มีอะไร มันไม่มีอะไรจริงๆ ชีวิตหน่ะ เนอะ ก็พูดอย่างนี้เนอะ รู้ไม่รู้ เข้าใจไม่เข้าใจก็ต้องฟังแบบนี้ไปก่อน อีกซักหน่อยจะไปเจอ ชนปั้วะเข้าไป ก็ โอ้ ปั๊ดโธ่ โอ้ ปฏิบัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน ถึงบางอ้อ โอ้ โอ้ ว่า อื้อเลยล่ะ มันหลง อื้อ มันสุขก็อื้อ มันทุกข์ก็ อื้อ ตัวอื้อ เนี้ยมันเป็นตัวเฉลย เห็นชัดๆ นะ