แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทุกคนก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ เราสร้างสติดูกาย มันก็เหมือนกัน มีสติดูกาย มันก็ต้องเห็นความหลง มันตรงกันข้าม ความรู้สึกตัวกับความหลงมันตรงกันข้าม ความรู้สึกตัวเนี่ยสร้างให้เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาสติ เหมือนกับเครื่องตรวจสอบสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม เช่น เครื่องตรวจวัตถุระเบิด จะซ่อนอยู่ที่ไหนก็ต้องรู้ ในกระเป๋า ในที่ไหนก็ต้องรู้ มันเป็นเครื่องโดยตรง เครื่องตรวจวัตถุระเบิด เครื่องตรวจวัตถุที่มีพิษมีภัย ไม่มีตรงไหนปิดบังอำพรางได้ เหมือนกับสมัยหนึ่ง ผมไปประเทศสิงค์โปร์ ผมมีมีดตัดเล็บเล่มเล็ก ๆ อยู่ในกล่องเข็มเย็บผ้าที่คุณยูกิซื้อให้นานแล้วสิบกว่าปี มีเข็ม มีด้าย มีที่ตัดเล็ก ๆ เท่ากับเส้นหญ้าเลยก็ว่าได้ เค้าก็ตรวจ ตรวจแล้วผมก็ไม่รู้ มันลืมไปว่ามันมีมีด เค้าก็ทำมือดีดปั๊บ ๆ อย่างนี้ ๆ ผมก็บอกว่าไม่มี ๆ เขาก็เอาอันนั้นไปตรวจ เอาอันนี้ไปตรวจ เขาเหลืออันเดียว คือกล่องเข็มเย็บผ้า เขาเลยให้เราแกะดู แกะดูก็เห็นมีดตัดเล็บเล็ก ๆ อ๋อ! เขาก็หัวเราะ เราก็หัวเราะ เนี่ยมันขนาดนั้นน้อ เครื่องตรวจ มันอยู่ในที่ไหนมันก็เห็น ตรวจสอบจนเห็น มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้
การเจริญสตินี้ มันโดยตรง ถ้าจะให้เป็นเส้นทางเข้าสู่การตรัสรู้ มันก็เห็นโดยตรง เห็นความหลง เห็นความทุกข์ โดยเฉพาะความทุกข์เนี่ยโชว์ โชว์มาก โชว์กว่าอย่างอื่นถ้าได้ตรวจสอบ ถ้ายังไม่ได้ตรวจสอบอันอื่นจะโชว์ ความรัก ความชัง ความวิตกกังวล โดยเฉพาะความหลงโชว์ไม่ค่อยจะรู้จัก ถ้ามีสตินี่ ความหลง ความทุกข์นี่โชว์ออกหน้าออกตา เป็นการที่จะทำให้เกิดการเข้าถึงวิธีการที่จะได้เห็นอริยสัจสี่นะ เห็นอริยสัจสี่ แล้วคำถามที่ว่ามันเกิดสมาธิตรงไหน มันเกิดปัญญาตรงไหน อันนั้นแม้นตอบก็ตอบไม่ถูกดอก ผู้ปฏิบัติจะต้องเข้าไปเห็นเอง เคยพูดอยู่เสมอว่ามันไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ มันเป็นสัจธรรมจริง ๆ มันเป็นแต่คำตอบ คำถามอาจจะไม่มี สมาธิตรงไหน ปัญญาอย่างไร ทำลายความโลภ ความโกรธ หลง อย่างไร แม้จะตอบก็ตอบไม่ถูก
ถ้าผู้ที่เจริญสติโดยตรงนะ ตรงไหนมันเป็นความหลง ตรงไหนมันเป็นความรู้ เขาจะรู้จักดำเนินไปเอง ก้าวไปเอง หลงทีไรเขาก็รู้ เพราะความรู้มันมีอยู่แล้ว ความรู้สึกตัวเราสร้างขึ้นมาแล้ว เหมือนมีวัตถุตรวจแล้ว เวลาใดที่มันหลงก็รู้ขึ้นมา การที่เขาใส่ใจที่จะให้เกิดความรู้สึกตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะการเจริญสติตามหลักของสติปัฏฐาน กายบรรพ สัมปชัญญบรรพ จิตบรรพ คือการเคลื่อนไหวของกายของจิต การเคลื่อนไหวของกายของจิต มันก็เป็นหน้าที่ของความรู้สึกตัว แม้มันเคลื่อนไหวโดยเราไม่รู้ มันก็จะต้องรู้ แล้วนี่เราใส่ใจที่จะต้องรู้อยู่เสมอ มันก็ยิ่งรู้เข้าไป การใส่ใจที่จะรู้สึกตัว การใส่ใจที่จะรู้สึกตัวนี้ นี่แหละคือตัวสมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
สัมมาสมาธิเริ่มต้นตรงนี้ ไม่ใช่สมาธินั่งหลับตา นั่งสงบ ไม่ทำอะไร อันนั้นมันไม่ใช่ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ มันเกิดสมถะ อันนั้นจะเป็นสมถะ สมถะนี่มันก็เป็นรูปเป็นแบบ อยู่ในกรอบอยู่ในถ้ำอยู่ในที่ทับที่กดเอาไว้ ข่มเอาไว้ใส่กรอบเอาไว้ใส่กล่องเอาไว้ นั่นมันเป็นสมถะ ใส่กล่องเอาไว้ กดเอาไว้ ปิดเอาไว้ แต่ว่าสัมมาสมาธินี่ไม่ต้องไปใส่กล่องแบบนั้น มันใส่ใจที่จะรู้อยู่เสมอเอาของจริงมารู้ เอาของไม่จริงมารู้ เอาของผิดมารู้ เอาของถูกมารู้ เอาของที่เป็นทุกข์มารู้ เอาของที่ไม่เป็นทุกข์มารู้ สมาธิ สมาธิเท่าเนี้ย อะไรก็ตามมันจะเป็นสมาธิ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ มันจะรู้ มันจะเห็น ของจริงมันก็เป็นของจริง ของไม่จริงก็เป็นของไม่จริง ไม่มีอะไรหลอกสมาธิได้ เช่น ความหลงมันหลอกความรู้ไม่ได้ เพราะมันมีสมาธิ มันทำเป็นแล้ว หลงทีไรก็รู้ นี่สัมมาสมาธิ มันทุกข์ทีไรก็รู้นี่สัมมาสมาธิ อะไรที่มันจะเป็นยังไง มันสมาธิ มันเจ็บมันปวด มันร้อนมันหนาว มันหิว มันอะไรก็ตาม
แม้จะเดินอยู่ มันเหน็ดมันเหนื่อยก็รู้สึก มันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ ใส่ใจที่จะรู้ ใส่ใจที่จะรู้อยู่เสมอ ระหว่างความรู้สึกตัว กับการใส่ใจที่จะเป็นสมาธิมันอันเดียวกัน ปราศจากกันไม่ได้ ความรู้สึกตัวกับสมาธิ กับปัญญากับศีล เนี่ยมันเป็นอันเดียวกัน เหมือนกับเราเปิดกล่องปิดกล่องมันอันเดียวกัน หรือเหมือนกับเรากินข้าว ที่เรียกว่ากินข้าว ที่จริงมันไม่ใช่กินข้าวอย่างเดียว มาพร้อมกันทั้งกับทั้งผักทั้งอะไรต่าง ๆ คำว่ากินเนี่ย มันไม่ใช่การขบการเคี้ยวอะไรที่มันแยก มันย่อย มันแยะ อยู่ตรงนั้นแล้ว มันอิ่มและก็สำเร็จในความอิ่ม อิ่มก็อิ่มจริง ๆ ความอิ่มก็ไม่ต้องไปถามใคร มันอิ่มเอาเองเพราะเขาก็รู้จักเขาอิ่มเอง เวลาเขาหิวเขาก็รู้จักเขาหิว เขาก็รู้จักกิน
นี่การเจริญสติที่เป็นสติดูกายดูจิตเนี่ย มันเป็นของดุ้น ๆ ทันที แล้วมันก็ใช้ได้ เวลามันหลงมันก็ใช้ได้ มันเกิดความรู้สึกตัว มันใช้ได้จริง ๆ ความรู้สึกตัว สติมันก็ใช้ได้จริง ๆ สมาธิมันก็ใช้ได้จริง ๆ ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ เขาจะไม่เห็นความหลง ไม่เห็นความทุกข์ ไม่เห็นความรู้ ไม่เห็นความอะไรต่าง ๆ เพราะมันใส่ใจอยู่ เหมือนเราใส่ใจอ่านหนังสือ มันก็อ่านหนังสือรู้ความหมายของหนังสือ ทำตามปฏิบัติตาม เวลาขับรถป้ายจราจรเราอ่าน เราก็รู้ เราก็ปฏิบัติตาม ตามันอ่าน ตามันเห็น มันก็อ่าน ขณะที่อ่านมันก็ใส่ใจอ่าน ก็เป็นสติ เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เอาตัวรอดได้ สมาธิแบบนี้เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่นั่งหลับตาอยู่ที่เดียว ปิดห้อง ปิดประตูอยู่ในถ้ำ อันนั้นไม่ใช่สัมมาสมาธิ มันทำให้ฝึกสมถะ เล่นอยู่ในสมถะ สงบอยู่เช่นนั้น ผู้ที่ไม่ค่อยมีงานมีการก็ทำแบบนั้นได้ ถ้าจะให้พวกเราไปอยู่อย่างนั้นก็ได้ ไปนั่งสงบอยู่ในถ้ำในเขา เอ้า! ปฏิบัติแล้วรู้ธรรมแล้ว ไปปลีกตัวปลีกวิเวก ไปอยู่คนหนึ่งคนเดียวมันก็ได้ ผมเคยพูดให้ใครหนอฟังจำไม่ได้ ถ้าจะหาความสุขแบบนั้นน่ะ ไม่มีใครมีความสุขเท่ากับหลวงพ่อ ถ้าจะหาแบบนั้นน่ะ ไม่มีใครมีความสุขเท่ากับเรา ถ้าจะเอาแบบนั้น ไม่เอาการเอางาน ไม่เป็นสัมมาสติ ไม่เป็นสัมมาสมาธิ ไม่เอาการเอางาน
สัมมาสมาธินี่มันเอาการเอางาน ทำหน้าที่ให้ถูกให้ต้อง ให้เกิดความชอบ สิ่งไหนที่ไม่ชอบทำให้เกิดความชอบ สัมมาสมาธิ สัมมาสติ ปัญญาทั้งนั้น ไม่ชอบด้วยตนเอง ไม่ชอบกับคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่น หลายอย่างที่ทำให้เกิดความชอบ เกิดสัมมาสมาธิ เกิดสัมมาสติ เกี่ยวกับอะไรก็ตามทำให้เกิดความเป็นธรรม สิ่งที่ไม่เป็นธรรม เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็เกิดความเป็นธรรม เกี่ยวกับอะไรก็ได้ มันจึงไม่ไปนั่งอยู่ในถ้ำในเหว อยู่ในถ้ำในกุฏิป่าในดงพงไพรที่ไหน มันต้องมาช่วยกัน มาช่วยกัน ช่วยเราช่วยคนอื่นไปในตัวเสร็จ ถ้าจะว่าแล้วมันมีความจำเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ หรือปัญญา หรือศีล สมาธิ หรือปัญญามีความจำเป็น ใช้ให้มาก ๆ ใช้กับเรา ใช้กับคนอื่น สัมมาสติ สัมมาสมาธิ หรือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาวุธ เป็นวัตถุอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้กับหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างได้ ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ดูแลต้นไม้ ต้นไหนที่มันเหี่ยว ต้นไหนที่ควรที่จะช่วย มันโก่งมันเอนก็เอาหลักไปปัก เอาเชือกไปผูก มันช่วยอย่างนี้ มันไม่ทิ้ง มองตัวน้อยก็เห็น ขอร้องให้เราช่วยเหลือ มันเกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ มันช่วย เห็นผู้เห็นคนก็ช่วย คิดจะช่วย เขามาหาเราก็ยิ่งดี ถ้าเขาไม่มาเราจะต้องเดินไป
ตอนวัดป่าสุคะโตไม่มีใครมานะ ผมก็ไม่อยู่หรอกที่นี่ อยู่ไม่ได้จริง ๆ จะอยู่ทำไม ก็ต้องไปหาสอนคน ไปหาช่วยคน ไปหาบอกคน อยู่ไม่ได้แน่นอนถ้าไม่มีใครมา จึงเป็นสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันโดยตรง แล้วมันก็ใช้ได้ เมื่อมันหลงรู้สึกตัวมันใช้ได้ เหมือนเรามีข้าวมีอาหารเก็บไว้ เวลามันหิวมันก็กิน เวลามันหนาวมันก็ห่มผ้า เวลามันร้อนมันก็อาบน้ำ มันปวดหนักปวดเบามันก็ไปทำให้หมดทุกข์หมดเรื่องหมดราว
สตินี้ครอบคลุมชีวิต สติถ้าพูดอันเดียวคือสติ ถ้าจะว่าอะไรมันก็อยู่ตรงนี้ทั้งหมด สติ ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ทั้งสัมปชัญญะ ความอดทน ทั้งเมตตา ทั้งให้อภัย ทั้งอะไรต่าง ๆ ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา อันเดียว ตั้งต้นจากอันเดียวก็ไปได้ เหมือนเราเปิดประตูก็ไปได้หลายอย่าง ถ้าปิดประตูก็ออกไม่ได้ นั้นการเปิดตัวเองเนี่ย คือการมาเจริญสติมาดูกายมาดูจิต ถ้าใครไม่เห็นกายไม่เห็นจิต ไม่เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง แสดงว่ายังไม่เปิด ยังปิดอยู่ ถูกกัก ถูกขัง ถูกซ้อม ถูกเก็บ ถูกปวด ถูกทุบ คนที่มีทุกข์คือกักขังตัวเอง คนที่มีความโกรธคือกักขังตัวเอง คนที่มีความโลภความหลงคือกักขังตัวเอง คนที่มีความวิตกกังวลเศร้าหมองคือคนกักขังตัวเอง มันจะต้องเป็นอย่างนั้นคนกักขังตัวเอง อะไรมาก็ถูกทั้งนั้นแหละ มันขังไว้ ถ้าปล่อยแล้วไม่มี มันก็ไม่มีอะไรที่จะถูก เพราะความรู้สึกตัวเหมือนการปล่อย ไขกุญแจแก้โซ่หลุดออกไป แล้วก็เห็น เห็นอะไรก็หลบได้ หลีกได้ เห็นโทษ เห็นพิษ เห็นภัย หลบได้ ไม่ใช่เขามัดมือชก คนไม่รู้สึกตัวเหมือนกับถูกมัดมือชก เอามือไขว้หลังแล้วก็ชกหน้าเอา ชกหน้าเอา เจ็บปวดร้องไห้หัวเราะ เศร้าโศกเหมือนคนถูกจำจองเอาไว้
ถ้าเรามีความรู้สึกตัวนี่ รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง มันหลงเราก็รู้เนี่ย มันทุกข์เราก็รู้เนี่ย มันโกรธเราก็รู้เนี่ย มันร้อนมันหนาว มันปวด มันเมื่อย มันเป็นอะไรเราก็รู้ ช่วยทั้งตัวเองได้ ช่วยทั้งคนอื่นก็ได้ ช่วยสิ่งอื่นวัตถุอื่นก็ได้ นั่นแหละสัมมาสมาธิ ทำอะไรที่เป็นความชอบ เกิดขึ้น ความชอบไม่ใช่เกิดอยู่ในท่านั่งสงบ ความชอบจะต้องแสดงออกทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีปากก็ต้องพูด มีตาก็ต้องดู มีหูก็ต้องฟัง มีกายก็ต้องรู้จักช่วยจักเหลือ ทำหนักให้เป็นเบา ทำยากให้เป็นง่าย ด้วยมือ ด้วยแรง ด้วยกำลังของเรา ไปบอกไปสอน ช่างพูดช่างจา ช่างบอกช่างสอน ต้องแสดงเอา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้มันเกิดผล หมดทุกข์ หมดยาก
เราสอนให้คนเจริญสติ เราก็ทำให้เขาดู มายกมือสร้างจังหวะเดินจงกรมให้เขาดู ให้เขาทำตาม เราเป็นครู ครูจะต้องแสดง ถ้าไปนั่งหลับหูหลับตาให้เขาดู ไม่ทำอะไรนั่งปิดตาอยู่เป็นวันเป็นเดือน ปิดประตูเอาไว้ ปิดประตูแล้วยังไม่พอยังปิดตาเข้าไปอีก ปิดตาแล้วยังไม่พอต้องหลับเข้าไปภายในลึก ๆ ไม่รู้อะไร มันจะพัฒนาประเทศชาติได้ยังไง ต้องออกมา ต้องลุกขึ้น พากันนั่งยกมือสร้างจังหวะ พากันเดินจงกรม พากันไปปรุงอาหาร พากันทำความสะอาด พากันดูแลวัตถุสิ่งของ พากันดูแลกายใจ พากันดูแลคนอื่นด้วย
เมื่อวานคุณหมอประเทืองก็ทำความสะอาด เห็นตักน้ำล้างศาลาหอไตรคนเดียว อ้าว! เอาแล้ว เอาแล้ว คุณหมอประเทืองเอาแล้ว หลวงพ่อก็เดินผ่านไปเฉย หลวงพ่อจะต้องไปดูต้นไม้ ว่าจะไปช่วย อาจารย์สมชายหลวงพ่อสมชายปลูกมะพร้าว พอไปดูแล้วไม่เห็น ถือกล่องนมไป ถือถุงนมไป ครูเอาให้ เอาถุงนมไปฝากอาจารย์สมชายหลวงพ่อสมชาย พาไปดูป่า พาเด็กไปปลูกป่า รีบกลับมา ได้กล่องนมไปดูอาจารย์สมชายหลวงพ่อสมชายปลูกป่า ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่ต้นมะพร้าวปลูกรอบสระ ๑๐๐ ต้นปลูก ไม่ทราบว่าคุณหมอไปช่วยด้วย ใครไปช่วยด้วย ปลูกคนเดียวได้ตั้งร้อยต้น โอ้! เป็นประวัติศาสตร์เลย ผมชวน ก็ว่าวันนี้เราปลูกต้นมะพร้าวซักร้อยต้น รอบคูสระ ปลูกแบบไหน ปลูกแบบนั้นแบบนี้ พอบอกกันแล้ว ติดเด็ก ติดอยู่กับเด็ก เดินกลับไปกลับมา กลับไปกลับมา เลยไม่ได้เลย พอเดินผ่านมาศาลาเห็นคุณหมอประเทืองล้างหอไตรอยู่ โอ้! นี่ต้องดูแลอย่างนี้ เป็นสัมมาสติ
สัมมาสมาธิ ถ้าเห็นความสกปรกแล้วเลยไป สัมมาสมาธิไม่เกิด มันก็หมักหมมอยู่ตรงนั้น สัมมาสมาธิต้องเป็นงานเป็นการ ช่วยสิ่งไม่ดีให้เกิดความดี ช่วยสิ่งไม่ชอบให้เกิดความชอบขึ้นมา อะไรที่มันทำได้ปฏิบัติได้เราทำได้ มันสกปรกทำให้มันสะอาด แล้วก็ทำให้เกิดความสะอาด แล้วก็สะอาดได้เนี่ย สัมมาสมาธิทั้งนั้น สัมมาสติทั้งนั้น สัมมาหรือปัญญาทั้งนั้นแหละ มันครอบคลุมทุกอย่าง ครบวงจร ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธินี้ก็ครบวงจร เป็นพลัง อ่านหนังสือก็รู้เรื่อง เอาสิ่งเอาของเก็บกุญแจเปิดประตูเปิดหน้าต่างรู้เรื่องรู้ราว สัมมาสมาธิ
ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิมันเป็นสัมมาสติ ในอริยมรรค สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สุดยอดเลยทีเดียว มรรคมีองค์ ๘ สัมมาสมาธินี้สุดยอดแล้ว ทำอะไรสำเร็จนี่ เพิ่นไม่ต้องกลัวดอก มันก็ไปข้างหน้าเรา เดินไปข้างหน้ามันก็ต้องไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหน้า มันต้องไปข้างหน้า เราไม่ได้ถอยหลัง คนหลงต่างหากคือคนถอยหลัง คนรู้สึกตัวคือก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหน้า ผ่านอะไรผ่านความหลง ผ่านอะไรทุกอย่างที่มันขวางหน้า ถ้ารู้สึกตัวผ่านความหลง ผ่านความง่วง ผ่านความวิตกกังวล ผ่านไปตะพึดตะพือ เก่งเข้าไป เก่งเข้าไป ผ่านความโลภ ความโกรธ ความหลง ผ่านทุกข์ตลอดที่สุด ที่สุดของชีวิต ถึงจุดหมายปลายทาง สำเร็จจนไม่มีอะไรทำ มันไปข้างหน้า ถ้าเป็นการเดินทางสุดแผ่นดิน แต่ว่าแผ่นดินมันไม่สุด โลกมันเป็นวงกลม เราไปข้างหน้ามันก็กลับขึ้นมาเหมือนเดิมมันกลม เหมือนมดแดงไต่ขอบกระด้ง มันก็ไปทางเดิม ไปทางเดิม เวลานั่งเครื่องบินไปทางทิศตะวันออกมันก็มาทางเดิม มันก็มาแบบนี้ มันก็วนอยู่อย่างนี้ อย่างสหรัฐอเมริกานี่ เราชี้ไปทางไหนมันไม่ถูก ชี้ไปข้างหน้า มันไม่ได้ตรงมันโค้งลงมา ถ้าเราชี้มันถูกมันก็ตรง ตรงที่เรานั่งอยู่นี่ ใต้ก้นเรานิ
เพราะฉะนั้นคนที่เจริญสติ ผู้ที่เจริญสติมันก็ไปข้างหน้า มันก็เอาอะไรไว้หลัง ไว้หลัง ของที่ผ่านหน้าผ่านตาของที่เอาไว้ข้างหลังเพราะมันเห็นแล้ว ถ้าของที่อยู่ข้างหลังได้เพราะมันเห็นแล้ว เห็นที่มันอยู่ข้างหน้าเอามาไว้ข้างหลังบ่อย ๆ มันก็เกิดสัมมาสติ เกิดสัมมาสมาธิ เกิดปัญญาอยู่ตรงนั้นไปพร้อม ๆ กันแล้ว ไปพร้อม ๆ กันแล้ว ของที่อยู่ข้างหลังก็ต้องเห็น เห็นแล้วมันจึงเอาไว้หลัง เห็นอยู่บ่อย ๆ มันก็เกิดปัญญา เห็นกายมันก็เกิดปัญญาเรื่องกาย จนเห็นว่ากายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เห็นเวทนามันเจ็บมันปวดต้องเห็น เราเดินไปข้างหน้ามันก็ต้องเห็น ไม่เห็นก็เห็น มันทำให้เห็น ไม่มีอะไรที่จะมุดไม่ให้เราเห็น เรื่องของกายของใจ จะออกมาให้เราเห็น แสดงให้เราเห็น จนหมดเปลือก มันก็มีปัญญา มันก็มีสติ มันก็มีสมาธิ มันก็มีปัญญา ตรงนั้นแหละ ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็จับลุยไปเลย ลุยแหลกไปเลย เหมือนคราดเหมือนไถ ลุยพลิกแผ่นดินไปเลย เป็นปุ๋ยเป็นผงไปเลย เรียบไปเลย หายไปเลย เหมือนกับแถวศาลาหอไตร แถวนี้แต่ก่อนเป็นป่าพงเป็นหญ้าคา เอารถแทรกเตอร์ลุยไปเลย แหลกไปเลย แทบจะไม่มีหญ้าคาป่าพง ก็มีต้นยางขึ้นมาแทน
หมุนลุยไป แหลก ธรรมจักร จักรแห่งธรรม คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา แหลกไปเลย อะไรที่ไม่มีประโยชน์แหลกไปเลย เกิดประโยชน์ เกิดประโยชน์ เกิดมรรคเกิดผล ใช้ได้แล้วบัดหนิชีวิตของเรา ใช้ได้ เป็นมรรคเป็นผล เป็นมรรคเป็นผล อยู่เช่นนั้น เหมือนคนมีอาหาร หิวก็กินมัน หิวก็กินมัน หิวก็กิน มันก็ไม่ตาย แล้วคนโกรธ ถ้ามันโกรธ ไม่รู้จักเปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ มันก็ตายอยู่ในความโกรธ ถ้ามันทุกข์ไม่รู้จักเปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความไม่ทุกข์ก็ตายอยู่ในความทุกข์ ถ้ามันหลงไม่เปลี่ยนความหลงให้เป็นความไม่หลงก็ตายอยู่ในความหลง มันเกิดมันดับมันตายอยู่
เหมือนกับหลุมฝังศพแห่งภพแห่งชาติ อะไรก็ตายอยู่ตรงนั้น ตายอยู่ตรงนั้น ไม่ตายคือไม่ตายอย่างนี้ มันหลงไม่หลง มันทุกข์ไม่ทุกข์คือไม่ตาย มันโกรธไม่โกรธ มันเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับกายเกี่ยวกับใจนี้ ไม่จนซักอย่างเลยนะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในอริยมรรค ไม่ใช่นั่งหลับตาไม่รู้อะไร ไม่ใช่แบบนั้น แล้วเขาก็ขึ้นหน้าขึ้นตา ถ้าปฏิบัติธรรมอยากให้มันสงบ อ้าว! หลับตาลงไป อ้าว! บริกรรมลงไป รู้ลงไปบริกรรมลงไป พุทโธ ยุบหนอ พองหนอ ลงไป ๆ บางทีก็สงบ บางทีก็ตัวแข็งได้ กลั้นหายใจซักหน่อย พอมันตาม มันตามรู้ไม่หายใจแล้ว กรึ๊บเข้าไปเลย ตัวแข็งเข้าไป ปฏิเสธอะไรทั้งหมดแล้วบัดนี้ ไม่รู้อะไร ออกมาหน้าซีดไปเลย เสียศูนย์ไปเลยก็มี อ่อนแอไปเลย ปวกเปียกไปเลย อินทรีย์อ่อนแอ ไม่สู้ ไม่สู้ เหมือนกับต้นไม้อยู่ในร่มเอาไปปลูกกลางแดด เหี่ยวตายไปเลย เราหัดต้นไม้ ต้นไม้ละอ่อนเอาไว้ในร่มซักหน่อย แล้วก็ค่อยเอาออกไปกลางแดดรำรี้รำไรซะหน่อยแสงแดด พอจะปลูกอีกก็เอาไปไว้กลางแดดจริง ๆ แล้วก็รดน้ำให้มันตั้งตัว แล้วมันก็แข็งแกร่ง หรือต้นไม้กลางแดด ก็หัดเอาเข้าในร่ม ในแดดรำไร ๆ กลับเข้ามา กลับเข้ามา เอามาไว้ในร่ม อยู่ในร่มไม่มีแสงแดดมันก็ปรับเข้ามา มันก็อยู่ได้จนเอาไว้ในห้อง ในบ้านในเรือนได้ เราหัดมัน
เราหัดชีวิตของเราเนี่ย หัดให้มันรู้ มันรู้ มันรู้ มันก็หัดได้ มันอ่อนแอก็เกิดความเข้มแข็ง มันไม่รู้เกิดความรู้ขึ้นมา เกิดประสบการณ์ เกิดบทเรียน เป็นสติ เป็นสมาธิ เป็นปัญญา มันก็ได้ปัญญา ได้สติ ได้สมาธิจากความเป็นจริง เนี่ย! เรารู้สึกตัวเคลื่อนไหวไปมานี่ มันเคลื่อนไหวไปมานี่เรารู้สึกตัวเนี่ย เรารู้สึกตัวเราไม่ได้เคลื่อนไหวฟรี ๆ เรารู้สึกตัว เรารู้สึกตัวเนี่ย มันฟรีเมื่อไหร่ เคลื่อนทีไรก็รู้เมื่อนั้น เอาประโยชน์จากการเคลื่อนการไหว ถ้าไปนั่งอยู่มันจะได้อะไร มันก็ได้นั่ง ได้ความคิด ได้การปรุงแต่ง ได้ไม่รู้อะไร ไม่ประสบการณ์ ไม่มีบทเรียนจากอะไร นี่เราสร้างขึ้นมา มันก็ได้บทเรียนจากการยกมือ รู้สึกตัว อ้าว! มันปวดมันเมื่อยก็รู้สึกตัวเวลามันปวดมันเมื่อย ได้ความรู้สึกตัว
เวลาสุขเวลาทุกข์ได้ความรู้สึกตัว เวลามันหลงได้ความรู้สึกตัว เวลามันอะไรต่าง ๆ อันที่มันเกิดกับกายกับใจ มันเป็นปัญญาทั้งหมดเลยบัดนี้ แต่ก่อนมีปัญหาบัดนี้มันกลายเป็นปัญญา อย่างนี้นะ นี่ปฏิบัติธรรมการเจริญสติปัฏฐาน ไปทางนี้ รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ ทำได้อย่างนี้ หลุดพ้นไปได้แบบนี้ ถ้าไม่เห็น มันไม่มีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้ สิ่งที่มันจะพ้นได้มันต้องเกิดการเห็น พ้นกาย กายสักว่ากายแล้วบัดนี้ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เราไม่เห็นสมัยก่อน เป็นกู ความทุกข์ที่เกิดจากกูอยู่กับกายนี่ โอ้ย! มากมาย เป็นได้หลายอย่างเป็นกิเลสตัณหา กู กู อย่างนั้น เอากายเป็นเครื่องวัด เอากายเป็นเครื่องบงการ เอาจิตเอาใจเป็นเครื่องบงการ เอาเวทนาเป็นเครื่องบงการ เอาอารมณ์เป็นเครื่องบงการ สั่งการ เราเป็นขี้ข้าของกาย เราเป็นขี้ข้าของเวทนา เราเป็นขี้ข้าของความคิด เราเป็นขี้ข้าของอารมณ์ต่าง ๆ บัดนี้อิสระแล้วจากกาย จากเวทนา จากจิต จากธรรม มีแต่สติ รู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัวอย่างนี้