แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตอนนี้เวลานี้เรากำลังศึกษากำลังปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการเจริญสติ เอาสติมาตั้งไว้ที่กาย มาตั้งไว้ที่จิตใจ ก็จะขยายผลไปหลายอย่าง เห็นเวทนา เห็นความคิด เห็นธรรม มันเป็นผลกระทบไปหลายๆ อย่าง ต้นสายปลายเหตุอย่างน้อยเราก็ต้องเห็นอะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ โดยเฉพาะพวกคณะพยาบาลหมอทั้งหลายที่พากันมาเจริญสติเป็นคำรบวันที่หก ที่เจ็ดแล้ว อย่างน้อยเราก็เห็นความหลงที่เกิดขึ้นกับกาย เห็นความหลงที่เกิดขึ้นกับจิตใจ เห็นความทุกข์ เห็นอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตใจ จนได้พูดออกมาว่าความหลงมันเป็นอย่างนี้ๆ ความไม่หลงมันเป็นอย่างนี้ๆ ความทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ ความไม่ทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ เห็นแค่นี้แหละเห็นธรรม ถ้าเห็นแล้วก็พ้นแล้ว เพราะเรารู้จักธรรม เรารู้จักการมีสติ แม้นไม่มีเหตุมีผลอันใดสำหรับปฏิบัติธรรมเบื้องต้น รีบกลับมาสร้างสติเรื่อยไป
มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว ไปก่อน เดินไปก่อน ก้าวไปก่อน ถ้าสิ่งที่เราเห็นเรารู้เราสุขเราทุกข์มันจะอยู่ข้างหลัง มันไม่อยู่ข้างหน้าถ้าเรารู้สึกตัว เอาความหลงไว้หลังเอาความทุกข์ไว้หลัง มีความรู้สึกตัวก้าวไปข้างหน้า สิ่งไหนอยู่ข้างหลังมันก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าสิ่งไหนอยู่ข้างหน้ามันก็เป็นปัญหา เอาความหลงไว้หลัง เอาความทุกข์ไว้หลัง เอาความวิตกกังวลต่างๆ ไว้หลัง แล้วเราก็ตอบได้จริงๆ ความหลงมันเป็นอย่างนี้ๆ ความรู้มันเป็นอย่างนี้ๆ ความทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ ความไม่ทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ มันขณะเดียวกัน อะไรก็ตามถ้าว่ามันเป็นอย่างนี้ๆ นั่นล่ะเข้าสู่วิปัสสนา ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาภูมิ ได้กระแส กระแสแห่งมรรคผลนิพพานก็ค่อยๆ เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ว่าจะกระแสเป็นทาง เป็นสี เป็นเส้นไป ไม่ใช่อันนั้น กระแสหมายถึงมันเกิดขึ้นกับสติปัญญาของเรา เรามีสติ เราก็ได้กระแสแห่งความมีสติ เวลาใดมันหลงกระแสแห่งความรู้สึกตัวมันเป็นร่องรอย เช่น เราสร้างสติไปในกายในจิตใจ รอยของสติจะมีอยู่ในกายในใจเรา มันจะเห็นเหมือนเราเดินทางนั่นแหละ เดินทางก็ไม่เป็นทาง เวลาใดที่เราหลงเข้ารกเข้าพงมันก็ออกมาทาง เราเคยเดินทาง ทางมันก็บอก
การมีความรู้สึกตัวเนี่ยเป็นมรรคทางเดินของชีวิตจิตใจเรา เราได้เหยียบไปแล้วในกายในจิตใจของเรา เราได้สร้างไว้แล้ว มันมีทางแล้วเห็นแล้ว เราไม่เกิดอะไรก็คิดเห็น พบเห็น รู้เห็น แต่คิดเห็นมันยังอยู่ไกล แต่ภาคปฏิบัตินั้นพบเห็น เห็นความหลงกับเห็นความรู้มาพร้อมๆ กัน ก้าวออกจากความหลงไปสู่ความรู้ ก้าวไปทีนึงมันถูกความหลงยกขาออกไปสู่ความรู้ เหมือนเรายกขาไปเหยียบหนาม ถอยออกมาไปเหยียบอันอื่น ยกเท้าไปเหยียบขี้โคลน ขี้โคลนเหยียบครู่เดียวแล้วยกไปเหยียบที่อื่น มันเป็นอย่างนี้การเดินทางของจิตใจ การเดินทางของกายก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เอาตัวรอดมาถึงได้ทุกวันนี้ปลอดภัยได้เพราะการเดินทาง การเดินทางของชีวิตจิตใจไปสู่มรรคผลนิพพานก็เช่นเดียวกัน มันเหยียบไปถูกความหลงถอยกลับออกมา เหยียบบนความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็เป็นทางเป็นการสะดวก แล้วคนเคยเหยียบทางที่มันเคยเดินทาง มันไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉานที่มันเข้ารกเข้าพง ก็เพราะทางมันมี เราก็เดินไป มันได้เส้นได้ทาง
การปฏิบัติธรรมนั้นไม่มีใครที่ไปเอาความหลง ไม่มีใครที่จะไปเอาความทุกข์ ไม่มีใครที่จะไปเอาความโกรธ ไม่มีใครที่จะไปเอาความวิตกกังวลเศร้าหมอง มันไม่ใช่ทาง ไม่ถูกต้อง ไปหมก ไปมุ่น ไปหลง ไปหมกหมุ่นทำไม มาอยู่บนทางคือความรู้สึกตัว ความหลงมันไม่ใช่ทาง ความไม่หลงมันเป็นทาง ความทุกข์มันไม่ใช่ทาง ความไม่ทุกข์น่ะมันเป็นทาง มันตรงกันข้ามกัน อย่างนี้การปฏิบัติธรรม เรียกว่าพบทางเยอะแยะ ทางออกของจิตวิญญาณ ไม่จนเลย แล้วคนไม่มีการศึกษาไม่เคยเดินทางนี้ก็จนแล้ว จนอยู่ในความหลง วกวนอยู่ตรงนั้น ความหลงก็ลิขิตชีวิตของเราให้เป็นไปต่างๆ นานา จมอยู่ในความทุกข์ วกวนอยู่ในความทุกข์ข้ามวันข้ามคืน หมกหมุ่นอยู่ในความทุกข์ หมกหมุ่นอยู่ในความคิด หมกหมุ่นอยู่ในอะไรต่างๆ มากมาย ดง เรียกว่าจน ชีวิตที่จนตรอก ไปไหนก็ไม่ได้ ตกอยู่ในสภาพสิ่งแวดล้อมที่มันถูกผูกมัดรัดรึง เพราะฉะนั้นเราจึงมาปฏิบัติเนี่ยเป็นการปลดปล่อย
ปฏิบัติธรรมคือการปลดปล่อยชีวิตจิตใจของตนเองให้เป็นอิสระภาพ ความหลงมันผูกมัด ความไม่หลงมันเป็นอิสระ เป็นอิสระภาพ ความทุกข์มันผูกมัดรัดรึง มันจำจอง ความไม่ทุกข์น่ะมันอิสรภาพ สัมผัสดูเอาเท็จจริงยังไง เป็นปัจจัตตังของผู้ปฏิบัติ สร้างขึ้นมาประกอบขึ้นมา ทำให้มันมี เราก็มีสิทธิ มีสิทธิที่จะต้องเป็นอิสระ อิสรภาพ เป็นมิตรภาพของจิตวิญญาณไม่ถูกจับกุมคุมขัง ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการบังคับขับไส ปฏิบัติธรรมเนี่ยมันสะดวก มันคืนสู่เหย้าสู่ธรรมชาติ มันคืนสู่ธรรมชาติ ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่ ธรรมชาติของกายธรรมชาติของจิตใจมันยิ่งใหญ่ คืนสู่ธรรมชาติ ธรรมชาติของชีวิตจิตใจของเรามันปกติ กายปกติ ใจปกติ เป็นบ้านเป็นที่อยู่อาศัยไม่จน ถ้าเราไม่ปะโค่ ไม่ใช่เล็กน้อย
กลางคืนเวลานอนหาเรื่องมาคิด กายมันไปติดอะไรมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไปติดอะไรมา มันยังเป็นรสชาติในการติด มันเป็นรสชาติแห่งการติด ตามันก็ติดแล้วก็ฉายให้เราดู หูมันก็ติดมันก็มาฉายให้เราดู มันติดความไม่ดีเสียด้วยนะ ตานี่มันซุกซน เจ้าซุกซนติดกันไม่ดีเสียแล้ว เช่น เวลาใดที่คนผิดหู เวลาใดที่ได้ยินเขาว่า เขานินทาอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็เอามาคิด มันติด ทำไมจึงพูดอย่างนั้น ทำไมจึงทำอย่างนี้ ทำไมจึงเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันติด เอามาทำไม เอามาทำไม เอามาทำไม เอามาฟ้องตัวเอง เป็นโจทก์ของเรา เป็นจำเลย ตัวเองเป็นโจทก์ตัวเอง ตัวเราเป็นจำเลยตัวเอง ชีวิตที่มีแต่โจทก์ ถูกเป็นจำเลยตลอดชีวิตทั้งชาติ ความหลงก็เป็นโจทก์ เราก็รับเอาความหลงมาไว้ในกายในใจ ก็ถูกเป็นจำเลยของความหลง ความทุกข์ก็เป็นโจทก์อยู่บนชีวิตจิตใจ ก็เป็นจำเลยของความทุกข์ ไม่เป็นอิสระ
พอออกมาได้ โธ่… เหมือนอาจารย์พุทธทาสว่า “พ้นแล้วเว้ย พ้นแล้วเว้ย” พ้นแล้วจริงๆ หลุดพ้นมาได้จริงๆ ขนหัวลุก ขนหัวลุก เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว สมัยเป็นเด็กก็เล่นขี้โคลน พอเล่นขี้โคลนไปรู้จักสิ่งสกปรก คว้าโน้นคว้านี่ พอโตขึ้นมาแล้ว โห ไม่ได้ พอเห็นเด็กเล่นขี้โคลนก็ขนหัวลุก ไม่กล้าที่จะไปอยู่ในสภาพเช่นนั้น เพราะมันไม่ถูกต้องมันสกปรก ความหลงเป็นความสกปรก ความทุกข์เป็นความสกปรก ความโกรธเป็นความสกปรก ความปรุงๆ แต่งๆ เป็นความสกปรก แต่ว่าสังขารน่ะสกปรก วิสังขารสะอาด เราได้สวมเสื้อผ้าที่สะอาด มันก็ต่างกันกับสวมเสื้อผ้าที่สกปรก สัมผัสดูก็รู้จัก นั่งๆ นอนๆ ไม่สบาย ผู้ที่ได้รับความสะอาดแล้วเขาจะไม่เอาความสกปรก นิดหน่อยเขาก็ไม่เอา
ชีวิตจิตใจของเราเป็นเช่นนั้น ความสะอาดหมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง เรียกว่าชีวิตพรหมจรรย์ ที่สุดของศาสนาคือพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ แสดงออกทางกายก็เป็นกายสุจริต แสดงออกทางวาจาก็เป็นวาจาสุจริต แสดงออกทางจิตใจก็เป็นมโนสุจริต สุจริตคือชอบด้วยธรรม ชอบด้วยศีลด้วยธรรม ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนคนอื่น แล้วก็ชวนคนอื่นไม่ให้เขาเบียดเบียนเขา ไม่ให้เขาเบียดเบียนคนอื่นเรื่อยไป แจกของส่องตะเกียงไปเป็นชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตแบบนี้ จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม ต่อกันไป เป็นหมู่เป็นมิตรเป็นกัณยาณมิตร ช่วยกันไปอย่างเนี้ย แจกของส่องตะเกียง ช่วยใครไม่ได้ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
บางผู้บางคนแม้ทำให้ตนเดือดร้อนก็เป็นบาป เป็นบาป ทำให้ตนเองเป็นทุกข์ก็เป็นบาป ความโกรธก็ถือว่าเป็นบาปกับตัวเอง บาปหนักตกนรกด้วยเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าไปทำบาปไปลักขโมยนั่นตกนรก ถ้าไปตีเขาตกนรก ไม่ใช่นะ ความโกรธน่ะ ความทุกข์น่ะ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ก็ตกนรกเหมือนกัน ทำให้เบียดเบียนตนเป็นตกนรกเหมือนกัน นรกมันก็อยู่ที่กายจิตของเรา ไปคิดแต่เรื่องไม่ดีเนี่ย เขาก็เสวยแต่กรรมของเขาอยู่เช่นนั้นแล้ว เป็นนรก ร้อนจิตร้อนใจไม่เย็นไม่สร่างไม่ซา ถ้าจะปิดนรกก็ต้องปิดตรงรอยตรงนี้ ปิดนรกด้วยมือของเรา ด้วยการกระทำของเรา ผู้ที่เจริญสติเนี่ยถ้ามีสติจริงๆ นะ ปิดอบายภูมิได้เลย เปรต อสูรกาย สัตว์นรก เดรัจฉาน ปิดได้จริงๆ จะมีกี่เดือน กี่ปี กี่ภพ กี่ชาติ รับผิดชอบไม่ตกนรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสูรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ผู้ที่มีสตินะ ผู้ที่หลงเท่านั้นจึงไปสู่อบายภูมิ ปานนั้นนะปฏิบัติธรรม
บางทีจนพูดออกมากับชีวิต โธ่ โอ้ปัดโถ ยกมือไหว้ตัวเอง เป็นพระได้แล้วหนอ เนี่ยมันเป็นพระได้จริงๆ พระคือผู้ประเสริฐ ผู้ไม่เบียดเบียนใคร ผู้ไม่เบียดเบียนตัวเอง เป็นพระได้แล้วหนอ หากจะนุ่งกางเกง นุ่งเสื้อ ผ้าถุง เสื้อแขนสั้น เสื้อแขนยาว สีอะไรต่างๆ อาจจะเป็นพระในชีวิตจิตใจได้ ไม่ใช่ว่าโอ้ เป็นพระคือเป็นอันอื่น ไม่ใช่ พระนี่เกิดจากพระสัทธรรม พระสงฆ์เกิดจากพระสัทธรรม ดังที่เราสวดทำวัตรน่ะ สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต พระสงฆ์เกิดจากพระสัทธรรมมีการปฏิบัติดี เป็นต้น เกิดจากการปฏิบัติ เพราะว่าสงฆ์น่ะ สงฆ์ก็คือผู้ที่ทำลายความโลภ ความโกรธลงได้ เบาบางเลย ทำลายลงได้ เดี๋ยวก็หมดไป เอาอันนี้เป็นเครื่องวัด อย่าเอาเพศ อย่าเอาลัทธิ อย่าเอานิกายมาวัดกัน อย่าเอาชาติชั้นวรรณะมาวัดกัน วัดกันด้วยคุณธรรม วัดกันด้วยคุณธรรม จิตใจบริสุทธิ์แค่ไหนเพียงไร จิตใจของเราสะอาดหมดจดแค่ไหนเพียงไร นี่วัดกันด้วยใจ ไม่ใช่วัดกันด้วยรูปแบบ วัดกันด้วยจิตใจมีน้ำใจ กิริยามารยาทเรียบร้อยแก้ไขปรับปรุง คิดอะไรพูดอะไรทำอะไรมีเมตตากรุณานำหน้า ไม่ใช่เลือกที่รักมักที่ชัง
ชีวิตมิตรภาพราบเรียบเหมือนถนนมิตรภาพ ตรงไหนที่อัดแน่นก็อัดแน่น ตรงไหนที่ปล่อยก็ปล่อยออกไป ชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น หนักแน่น บางอย่างก็ปล่อยวาง เหมือนกับทาง มันตรงไหนมันมีทางที่น้ำไหลก็ปล่อยมันไป ทำสะพานวางท่อให้มันไหลไป ไม่ใช่จะเอาทั้งหมดชีวิตเรา เราอยู่กับโลกอะไรต่างๆ ความหยุดก็ทำให้ถึงมรรคถึงผล ความเย็นก็ถึงมรรคถึงผล มรรคผลเราได้หลายอย่างในชีวิตจิตใจของเราที่เราใช้ชีวิตจิตใจของเรา ไม่ใช่มรรคผลเป็นแต่เรื่องเดียว ความปล่อย ความวาง ความหยุด ความเย็น ความให้อภัย ความไม่เป็นอะไรเนี่ยเยอะแยะไปหมด ทางไปสู่มรรคสู่ผลเยอะแยะ ได้จากกายจากจิตใจของเรานะ อย่าให้มันเป็นโทษเป็นภัย เรามีกายเรามีจิต ใช้กายใช้จิตให้เป็นวัตถุอุปกรณ์ไปสู่มรรคสู่ผล ไปสู่สวรรค์นิพพาน อย่าใช้กายใช้จิตไปสู่อบายภูมิ มันก็เดือดร้อนตัวเราเอง เราจะทำให้เราเดือดร้อนหรือ ชีวิตเราเนี่ย ไปหลงทำไม ไปโกรธทำไม ไปทุกข์ทำไม จะหลงจนตาย จะโกรธจนตาย จะทุกข์จนตาย มันไม่ใช่ชีวิต ชีวิตแบบนั้นไม่ได้ชีวิตเลย ชีวิตของเรามันต้องหมดสิ่งเหล่านี้ไป เรียกว่านิรันดร ชีวิตนิรันดร
เท่านี้เองการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มากเรื่องจนเราทำไม่ได้ ธรรมะเนี่ยปฏิบัติได้ พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติได้ ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงตามสมควรแก่ปฏิบัติ เช่น เราเจริญสติ ทุกคนทำได้ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ลองเอามือวางไว้บนเข่า หลวงพ่อก็ไปสอนหลายๆ ประเทศ หลายลัทธิ เอามือวางไว้บนเข่า รู้สึกตัวไหม เขาก็บอกรู้สึกตัวได้ คุณถือศาสนาอะไร คุณถือศาสนาคริสต์ บางคนเขาก็บอกว่าผมเป็นอิสลาม เมื่อไม่นานมานี้ คนอิสลามมาที่นี่ เขาบอกว่าเขาเป็นอิสลาม บางคนก็บอกว่าพุทธ บอกว่าเอามือวางไว้บนเข่า แล้วนิ้วมือคุณอยู่ตรงไหน มือคุณอยู่ตรงไหน เขาบอกว่าอยู่บนเข่า อะไรที่รู้ว่ามืออยู่บนเข่า ความรู้สึกตัว สติสัมปชัญญะอันเดียว เป็นของจริงเป็นสัจธรรมเป็นสากล ธรรมที่เป็นสากลที่สุดความรู้สึกตัว ถ้าใครปฏิเสธความรู้สึกตัวก็แสดงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เพี้ยนไปแล้ว มีแต่ความหลงแค่นั้นไม่ได้ ต้องมีความรู้สึกตัว เป็นมรดก เป็นอริยทรัพย์ใช้จ่าย เพื่อใช้จ่ายในยามจำเป็น ถ้าไม่มีจริงๆ พอแก้ขัดแก้จนได้ก็ยังดี เหมือนเรามีเงินมีทองเล็กๆ น้อยๆ พอได้อยู่ได้กินก็ยังดี ดีกว่าที่จะจน เหมือนโบราณท่านว่ายามยากจนเอาดอกหญ้ามาแซมผมประดับเล็กๆ น้อยๆ
เวลาใดมันหลง รู้สึกตัว เวลาใดมันทุกข์ รู้สึกตัว แก้ไป ถ้ายังมีไม่มากนะ แต่ถ้ามันมีมากล่ะ โอ้ย มันหายไปเลย ความโกรธอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ความหลงอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ความทุกข์อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย เราก็พูดอยู่แต่นี่แหละ เพราะหลักตอมันอยู่ที่นี่ มันผูกเราอยู่ที่นี่ ถ้าเราไม่ไขกุญแจแก้โซ่ มันก็หลุดไม่ได้ ต้องหลุดไปจากความหลง ถ้าจะพ้นแล้ว หลงนี่แหละตัวหลงเนี่ยแหละสำคัญ เพราะหลงมันจึงโกรธ เพราะหลงมันจึงทุกข์ เพราะหลงมันจึงโลภ เพราะหลงมันเป็นอะไรได้ต่างๆ ไปทางต่ำๆ ถ้าไปทางต่ำก็ไปสู่ภูมิขั้นต่ำ ถ้ารู้ก็ไปทางสูงๆ คนคิดไปต่ำๆ มนุษย์คิดไปสูงๆ คนคิดไปต่ำๆ แล้วมันก็ง่ายนะคิดแบบต่ำๆ ถ้าสมมติว่าไปคิดแบบต่ำๆ ทำไมจึงพูดอย่างนั้น ทำไมจึงทำอย่างนี้ คิดไปต่ำๆ ถ้าคิดไปสูงๆ เออไม่เป็นไรๆ คิดไปสูงๆ ก็ทวนแล้ว ทวนกระแสของความต่ำ เหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ขังเอาไว้กักเอาไว้ทวนเอาไว้
การที่จะได้บรรลุธรรมต้องทวนสักหน่อยนะ เช่นพระพุทธเจ้าของเราสมัยที่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเสี่ยงถาด ถ้าเป็นภาษาคนธรรมดาก็เป็นถาด ไหลไปตามน้ำ ไหลทวนน้ำเป็นถาด ถ้าเป็นบุคลาธิษฐานหมายถึงถาดจริงๆ ลอยถาดแม่น้ำเนรัญชรา ถ้าเป็นธรรมาธิษฐานเอาธรรมเป็นที่ตั้ง หมายถึงจิตที่มันทวนกระแส พระองค์อาจจะคิดถึงพิมพานะ อาจจะคิดถึงราหุล อาจจะคิดถึงพระราชสมบัติพัสถานทรัพย์สินศฤงคาร อาจจะคิดถึงบริวารทั้งปวง ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ เวลาใดที่พระองค์คิดถึงน่ะ ก็กลับคืนมา ไม่ใช่เรามาคิดถึงพิมพา ราหุล เรามาแสวงหาโมกขธรรม กลับมาอยู่กับตัวเอง พระองค์อาจจะหายใจเข้าหายใจออก ในพระสูตรก็อาจจะบอกว่าการคู้แขนเข้า การเหยียดแขนออก การคู้แขนเข้า การเหยียดแขนออก การเดินไปข้างหน้า การถอยกลับมาข้างหลัง มีสติปัพพะต่างๆ เอามาเป็นการปลุกสติทางกายทางจิต กายปัพพะอย่างที่เราสร้างอยู่นี่ เป็นกายปัพพะ เป็นสัมปชัญญะปัพพะ เอาความรู้สึกตัวไปกับอริยาบทต่างๆ เรียกว่ากายปัพพะ สัมปชัญญะปัพพะ จิตปัพพะเอาความรู้สึกตัวเห็นความคิด อย่าให้มันคิดฟรีๆ มันคิดมันหลงทีใดรู้สึกตัวๆ เนี่ย เรียกว่าปัพพะต่างๆ เต็มไปหมดเลย เอามาปลูกสติ เอามาปลูกสติ
ชีวิตเราไม่ใช่ก้อนหิน ไม่ใช่หลักใช่ตอ ไปทำงานทำการ ผู้มีสติพร้อมที่จะทำงาน การงานชอบ เหมาะที่จะทำงานๆ ผู้มีสตินะ ผู้ไม่มีสติอาจจะไม่เหมาะ เพราะทำอะไรลงไปมักจะหลง ทำให้เกิดการเสียหาย ผู้มีสตินี่เหมาะแก่การงานที่สุดเลย ยิ่งพอเราเป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นแพทย์เนี่ย โอ๊ย ใส่ความรู้สึกตัวเข้าไปกับการใช้ชีวิต กับเพื่อนร่วมงาน กับอะไรต่างๆ รู้สึกตัวๆ เข้าไปเนี่ย เหมาะแก่การงาน ถ้าขาดสติก็กระทบกระเทือน เมื่อกระทบกระเทือนเราก็ขยายผลไปทางที่ไม่ดี ทำงานก็เป็นทุกข์ ทำงานมันต้องสนุก สนุกเพราะทำงานเบิกบานใจ ถ้าเราทำดี เมื่อวานเราก็ปลูกต้นไม้เนี่ย โอ้…ชื่นใจ อีกสิบปีมาดูต้นยางใหญ่โต โห… ผลงานของเรา ต้องมีอะไรที่วางไว้กับโลกกับแผ่นดินช่วยกัน หลายอย่างที่เราต้องช่วยกันในยามนี้เวลานี้ในโลก ปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์แก่โลก ประโยชน์แก่พระศาสนา
ทุกคนต้องเผยแพร่ศาสนา เอาไปอวดพ่อ ไปอวดแม่ อวดเพื่อนว่ามีสติ บางทีหลวงพ่อได้รับจดหมายจากประเทศอังกฤษ ลูกศิษย์คนหนึ่งเขาเคยมาอยู่ที่นี่ เป็นคนเชียงใหม่ ลำไยที่นี่เขาเอามาจากเชียงใหม่เอามาปลูก เขาเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาก็ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อังกฤษ เขาเลยได้แฟนที่นั่น แล้วได้ลูกสองคน เขาตามหาลูกเขา พอมันกลับบ้านแล้ว มันไปไหน มันไม่เห็น พ่อก็ตามไปดูไปเปิดห้องดู เห็นลูกชายนั่งสร้างจังหวะ ออกมา เมียของตัวเองก็ โอ้ มานั่งสร้างจังหวะอยู่แล้ว โอ๊ย ทั้งพ่อทั้งแม่ชื่นใจ เห็นลูก ชื่นใจ เป็นยาหอมสำหรับพ่อสำหรับแม่ อันนี้มันทำให้ชื่นใจได้นะ พ่อแม่อาจจะได้สวรรค์นิพพาน ลูกชายทำแบบนี้ เขาก็อวด เขียนจดหมายมาอวดเราว่า ฉันก็ได้สามีเป็นคนดี ฉันก็ได้ลูกเป็นคนดี มีความสุขได้สวรรค์นิพพานเพราะลูก ลูกจูงพ่อจูงแม่ขึ้นสวรรค์นิพพาน ไม่ใช่ลูกจูงพ่อจูงแม่ลงนรกหมกไหม้
เหมือนญาติหลวงพ่อนะ เป็นครูมีลูกสาวไปทำงานที่กรุงเทพฯ คิดถึงลูกสาว ขอพูดสักหน่อยนะ ชวนกันไปเยี่ยมลูกสาวที่กรุงเทพฯ ไปถึงตอนกลางคืนเห็นแต่บ้านเปล่าๆ ใส่กุญแจไว้ พ่อกับแม่ก็เข้าบ้านไม่ได้ นั่งไล่ยุงอยู่จนถึงเที่ยงคืน ลูกสาวขับรถกลับมาบ้านเอารถจอดบ้าน พ่อก็ถาม แม่ก็ถาม “มึงมาแต่ไสอีนาง” “หนูไปเต้นมา” “คำว่าเต้นคือไร” “หนูไปดีดไปเต้นมา ไปเต้นกับเพื่อน” พ่อแม่ก็เศร้าใจ “โอ้ย กูอุตส่าห์คิดถึงมึง มึงยังสนุกสนาน ไปเต้น ไปรำ ไปฟ้อน ไปรำ ไปสนุกสนานน้อ” ดูสิ พ่อแม่อุตส่าห์คิดถึง พอไปเห็นลูกบอกว่าไปเต้นมา โอ๊ย ก็คือไปเที่ยว ไปเล่นสนุกสนานแหละ เศร้า เศร้าใจ เพราะฉะนั้นแล้ว ต้องมีฝีมือเรื่องนี้บ้างนะพวกเรา มีบุญก็ทำให้เกิดบุญ บุญก็ไปต่อเอาบุญนะ คนดีก็ต้องมีคนดี คนไม่ดีก็ต้องมีคนไม่ดี เป็นเพื่อนเป็นมิตร บุญมันต่อเอาบุญ บาปมันต่อเอาบาป บุญคือความดี บาปคือความไม่ดี เรามาสร้างขึ้นมาให้มีในชีวิตจิตใจของเรา
ความรู้สึกตัวเนี่ยเป็นสิ่งประดับ เป็นการให้ข้อมูลกับชีวิตจิตใจของเรา เพิ่มไปเรื่อยๆ ใส่ใจ ใส่ความรู้สึกตัวไปกับการใช้ชีวิต เพิ่มความรู้สึกตัวไปกับการใช้ชีวิต อาจจะงอกงามอยู่บนงาน บรรลุธรรมอยู่ที่ทำงานทำการ หลายคนที่ไปบรรลุธรรมนอกรูปแบบ ไม่ใช่นั่งสร้างจังหวะ ไม่ใช่เดินจงกรม ไปเลี้ยงหมูก็เกิดเข้าใจธรรมะ ไปเก็บฝ้ายอยู่ในไร่ สมัยก่อนหลวงตาอยู่เมืองเลย ชาวบ้านทำไร่เป็นอาชีพ เวลาเก็บฝ้ายเขาก็เก็บฝ้ายเอามือไปเก็บฝ้ายมาใส่ผ้าถุง พอเอามือไปเก็บฝ้ายเขาก็รู้สึกตัว พอเอามือไปเก็บฝ้าย เขาบอกว่าเขาเข้าใจธรรมะตอนที่ไปเก็บฝ้าย ใส่ความรู้สึกเข้าไป ใส่ความรู้สึกเข้าไปก็มีเหมือนกัน บางคนก็อาบน้ำขณะที่ถูสบู่ มันมีได้ ปฏิบัติได้ หลายคนที่บรรลุธรรม เห็นใบไม้ร่วงก็บรรลุธรรม สมัยก่อนครั้งสมัยพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายเห็นใบไม้ร่วงก็ได้บรรลุธรรม เห็นท่อนซุงไหลมาตามน้ำก็บรรลุธรรม แม้แต่ได้ยินเสียงโสเภณีร้องไห้เจ็บปวดเพราะเป็นโรค ก็ได้บรรลุธรรมเหมือนกัน เป็นเช่นนั้นนะ เพราะฉะนั้นก็ต่อเอาไว้ๆๆ อย่าให้มันเสื่อมนะ
อย่าให้มันเสื่อม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าทุกข์มันเป็นอย่างนี้ ความไม่ทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ ความหลงมันเป็นอย่างนี้ๆ ความไม่หลงมันเป็นอย่างนี้ๆ เนี่ย มันจะสูง ถ้าพูดอย่างนี้ได้ เวลาใดมันหลง โอ้ หลงมันเป็นอย่างนี้ๆ ไม่ตามๆ ความหลง ความไม่หลงมันเป็นอย่างนี้ๆ กอบกู้ขึ้นมา ชีวิตที่ไม่เป็นอะไรกับอะไร เรียกว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เป็นพรหมจรรย์ เป็นพระ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ พระในใจไม่ใช่พระตามรูปแบบ พระสมมติสงฆ์เหมือนกับหมู่หลวงพ่อ เป็นพระอริยบุคคลผู้ที่ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ยกตนออกจากทุกข์เป็น เป็นพระน้อยๆ ก็นิพพานน้อยๆ เป็นพระชิมลอง นิพพานชิมลอง เย็นไปเรื่อยไป เย็นถึงที่สุดก็เย็นสนิท ไม่มีพิษมีภัยเท่าไหร่ อาจจะเย็นเพียงอุ่นๆ อยู่ก็ยังดีกว่าที่มันร้อน ให้มีไออุ่นก็ยังดีกว่าที่มันร้อนจริงๆ เย็นสนิทก็ โอ้ ที่สุดแห่งทุกข์ นั่นแหละคือจุดหมายปลายทางของชีวิตเรา ชีวิตเราต้องขนส่งตนเองให้พ้นภัยต่างๆ ศาสนาเนี่ยเป็นการขนส่งชีวิตของตนให้พ้นภัยพ้นปัญหาเนี่ย เรียกว่าศาสนา วันนี้ก็สมควรแก่เวลา จบลงปลงไว้แต่เพียงเท่านี้
ให้พรเนอะ ก็อำนวยอวยพรให้ทุกท่านที่ได้ตั้งใจมาดีแล้วปฏิบัติธรรม จงได้เป็นตบะเดชะค้ำจุนหนุนส่งชีวิตจิตใจของตนให้เข้าถึงคุณธรรมเบื้องสูงในศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกัน ทุกคนๆ นั้นเทอญ