แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงพ่อก็จะได้พูดธรรมะนั่นแหละ อย่างอื่นก็พูดกันน้อย บางครั้งก็อาจจะมี การสอนเรื่องระเบียบวินัย ความเป็นอยู่ร่วมกัน ให้ไปในทางทิศเดียวกัน สร้างความสงบแก่หมู่แก่คณะ ก็ควบคู่กันไป แต่ว่าตัวปฏิบัตินี่มันจะเริ่มต้นที่นี้ได้ อันอื่นก็ง่าย การปกครอง การสอนอันอื่นก็ไม่จำเป็น เพราะตัวปฏิบัติมันก็เป็นธรรมเป็นวินัยอยู่แล้ว เรามาสร้างความรู้สึกตัว เราก็ละความชั่ว เราก็ทำความดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการปฏิบัตินี่ เรามั่นใจจริงๆ นะ ใครก็ตาม ไม่มีสิ่งไหนที่จะมั่นใจเท่ากับการปฏิบัติธรรม เพราะมันทำได้ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าไปเอาอะไรไปได้อะไร มันทำได้ทุกชั่วโมงทุกนาที เวลาใดมันหลง เราก็รู้ได้ ความหลงก็หมดไป เป็นปัจจุบัน
ฐานของเราคือศรัทธา ความมั่นใจในตัวเอง เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมที่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมที่ทำให้เกิดเป็นพระสงฆ์ เหมือนก็เราก็ทำได้อยู่ เราสร้างความรู้สึกตัว มีความรู้สึกความระลึกได้ เราก็ทำ เป็นของที่เราทำได้ไม่ยาก เป็นได้ทันที ไม่ใช่รอหนึ่งวันสองวันนะ ไม่ใช่รอ มันเป็นไปได้ทุกชั่วโมงทุกนาที แต่ว่าฐานของเรานี่ต้องเสริมเอาไว้ ไม่มีสิ่งไหนที่จะมั่นใจเท่ากับการปฏิบัติธรรม ทำแล้วมันก็ดีจริงๆ ความรู้สึกตัวมันก็ไม่หลงจริงๆ เวลาใดมันหลง เรารู้สึกตัวความหลงก็หมดไปจริงๆ ไม่ว่าเอ้อเราไม่รู้อะไร มาปฏิบัติธรรมสองวันสามวันหนึ่งปีสองปีไม่รู้อะไร ไม่ใช่ มันไม่ใช่ไม่รู้ มันรู้อยู่ เราไม่รู้สิ่งที่เรารู้ มันรู้จริงๆ มันรู้สึกตัวอยู่จริงๆ เราก็สัมผัสได้จริงๆ
ความรู้สึกตัว มาอยู่กับกายเราก็มีกายมีความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวมาอยู่ที่จิตมันก็มีจิต มีความรู้สึกตัว ว่าแต่เราอย่าไปหารายละเอียด รู้ดุ้นๆ ก้อนๆ รู้ซื่อๆ อย่าไปหารายละเอียด หาคำตอบเอาเหตุเอาผล ไม่ใช่ ความรู้สึกตัวมันรู้ง่ายๆ รู้สั้นๆ ไม่ใช่รู้แล้วไปสมมติไปบัญญัติ ไม่ใช่ อันนี้ถูกไหม อันนี้ไม่ถูกนะ อันนี้ถูกนะ สติมันเป็นอย่างนี้นะ มันก็กลายเป็นสมมติบัญญัติไปแล้ว ความรู้สึกตัวมันเป็นปรมัตถ์สัจจะอยู่แล้ว ถ้าไปหารายละเอียดก็เป็นสมมติว่าผิดว่าถูกไปอีกล่ะ ว่าชอบว่าไม่ชอบ ว่าได้ว่าไม่ได้ มันเป็นสมมติไปแล้ว ความรู้สึกตัวมันรู้แล้วมันก็จบลงแค่นั้นแล้วนะ เป็นปรมัตถ์ทันที สัมผัสทันที ไม่ต้องไปถามใคร แล้วก็ฐานของเราศรัทธาของเรา ความเพียรของเรา ความมั่นใจในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มีครูบาอาจารย์สั่งสอน หลวงพ่อเทียนก็นั่งอยู่ตรงนี้พบกันทุกวันสอนกันทุกวัน ครูบาอาจารย์ก็อยู่ตรงนู้นกุฏิหลังนี้ บ้านกุฏิเราก็มี วัดวาอารามก็มี สัมผัสได้ คำบอกคำสอนเราก็ได้ยิน คำที่ท่านสอนเราก็เอามาทำ มือเราก็มี ขาเราก็มี มันเห็นต่อหน้าต่อตา ความหลงก็เห็นต่อหน้าต่อตา ความไม่หลงก็ทำได้ต่อหน้าต่อตา
มันจะผิดมันจะถูกมันจะสุขจะทุกข์ มันไม่ลับไม่ลี้การเจริญสตินี่ มันจึงเป็นความมั่นใจ ว่าแต่ฐานของเราน่ะศรัทธา ศรัทธาต้องไม่ถดถอย ศรัทธาต่อคำสอน ศรัทธาต่อความเพียร ศรัทธาต่อวัตรปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าพอมีศรัทธาก็ทำ พอหมดศรัทธาก็หยุด ไม่ใช่แบบนั้นนะ ศรัทธาจริงๆ นี้ เหมือนกับเรากระตือรือร้นรับผิดชอบ แม้นเรายังไม่รู้อะไร เราก็ทำได้อยู่ทุกวัน บางทีมีคนมาถามรู้อะไรหรือเปล่า เอ๊เราจะหาคำตอบอะไรเรารู้อะไรไหม หาคำตอบ เอ๊ยังไม่รู้อะไรนะ ก็ไปสมมติบัญญัติแบบนั้นว่าตัวเองไม่รู้เสียแล้ว ถ้ามีใครมาถาม เราก็เอ้อเคยก็สร้างอยู่นี่แหละ ก็รู้อยู่นี่แหละ มันก็หลงให้เห็นอยู่นี่แหละ มันก็รู้ให้เห็นอยู่นี่แหละ มันก็เป็นสุขเป็นทุกข์ให้เห็นอยู่นี่แหละ มันแสดงให้เราเห็นอยู่นี่แหละ เราก็รู้สึกตัวได้อยู่นี่ แล้วรู้อะไรอีกไหม รู้รูปรู้นามไหม รูปกับนามก็รู้อยู่นี่แหละ รูปนามก็อยู่ด้วยกัน มันพาทำ พาเคลื่อนพาไหวมันก็รู้สึกคิดนึกอยู่นี่แหละ มันก็เป็นรูปเป็นนามอยู่นี่แหละ
เราก็รู้แบบสรุปๆ ไปก่อน จะไปหารายละเอียดนะ กลัวมันจะผิด ตอบผิดรึ กลัวว่าจะตอบผิด กลัวว่าจะไม่ถูก หาคำมาตอบ สมมติขึ้นมา อ้าว ก็กลายเป็นสมมติบัญญัติไปแล้ว บางทีไปจำเอาคนอื่นมาพูด ไม่ได้ตอบจากประสบการณ์จากการกระทำของตัว มันก็ไม่ได้ของจริง ไม่ต้องกลัวใครปฏิบัติธรรม ใครจะมาถามก็ไม่ต้องกลัว ใครจะไม่ถามก็ไม่ต้องกลัว มันจะผิดก็ไม่ต้องกลัว มันจะถูกก็ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องไปอยากได้ให้มันถูก ไม่ต้องไปกลัวว่ามันจะผิด ไม่ใช่กลัวมันจะไม่ได้ ก็อยากให้มันได้ อย่าไปเป็นแบบนั้นมันเป็นสมมติบัญญัติ มีแต่สมมติบัญญัติที่ทำให้เราเตลิดเปิดเปิงออกไปจากปรมัตถ์สัจจะ การเจริญสตินี่มันใกล้ๆ เข้าถึงปรมัตถ์ทันที กายก็มีอยู่จริงสัมผัสได้จริง มันหลงก็มีอยู่จริง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ได้จริง นี่คือปรมัตถ์ ถ้ามันเกินนี้ไปก็เป็นสมมติ ว่าได้ว่าไม่ได้ ว่าผิดว่าถูก ว่าสุขว่าทุกข์ไป สุขทุกข์ที่ตนประสบพบเห็นอาจะกลายเป็นสมมติก็ได้ ถ้าเราเห็นเฉยๆ เห็นมันสุขเห็นมันทุกข์นี่แหละปรมัตถ์ ถ้ามันจริง ความสุขมันก็มี ความทุกข์มันก็มี เห็นจริงๆ เราก็รู้ รู้เห็น เฝ้าเห็น สัมผัสดูแล้วความหลงความรู้เป็นยังไง นี่หนาปฏิบัติธรรม มั่นใจจริงๆ แล้วก็มีศรัทธาจริงๆ ศรัทธาต่อการปฏิบัติ แล้วก็กายของเราก็ใช้ได้จริงๆ เรามาฝึกสติก็ฝึกได้จริงๆ จิตใจของเราก็ฝึกได้จริงๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นที่ไม่ใช่สติ เราก็เปลี่ยนเป็นสติสัมปชัญญะได้จริงๆ มันจะผิดเราก็ทำให้ถูกได้ มันจะทุกข์ก็ทำไม่ให้มันทุกข์ได้ ปฏิบัติธรรมเราก็ได้ทุกว้านทุกวัน
บางทีเราจะไปประเมินตัวเองไม่ได้นะ เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน วิตกกังวลกลายเป็นความวิตก กลัวจะไม่รู้อะไร กลัวจะอายเพื่อน กลัวเพื่อนมาถามจะตอบไม่ได้ กลัวจะเทศน์ไม่เป็น อยากเทศน์เป็น อยากสอนเป็น กลัวจะไม่รู้ไม่เข้าใจ กลัวจะไม่ได้ช่วยพุทธศาสนาช่วยศาสนา มันก็มีแต่เรื่องคิดไปต่างๆ นานา ก็เลยกลายเป็นปมด้อยไป ทำอะไรก็ด้วยความอยาก กังวล ตั้งไว้ผิดมันก็ผิดไป ก็เลยมา โอ้ เราไปสมมติบัญญัติเสียแล้ว ทำอยู่นี้ไม่เห็นตัวเองทำ ไปเอาผิดเอาไปถูก ผิดก็ผิดก่อนผิด ถูกก็ถูกก่อนถูก ได้ก็ได้ก่อนได้ ไม่ได้ก่อนก็ไม่ได้ก่อนไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นอจินไตยเฉยๆ มันเป็นความคิด มันเป็นสมมติบัญญัติ การปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปคิดอย่างนั้น
ขอบอกจริงๆ ว่ามันได้อยู่ทุกเวลา มันทำถูกอยู่ทุกเวลา มันผิดเราก็ทำถูก เห็นมันผิดถูกแล้ว เห็นมันถูกก็ถูกแล้ว เห็นมันทุกข์ก็ถูกแล้ว เห็นมันสุขก็ถูกแล้ว เห็นมันหลงก็ถูกแล้ว ว่าเห็นจริงๆ ความหลงนี่ ความไม่หลงก็เห็นจริงๆ นี่มันไปยากอะไร ก็ทำถูกทุกวัน ทำได้ทุกวัน เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ก็ทำได้อยู่นี่ ต่อหน้าต่อตาเราอยู่นี่ เปลี่ยนความง่วงเป็นความรู้ตื่นเบิกบาน ก็ทำได้ต่อหน้าต่อตาอยู่นี้ ไม่ใช่ว่าเวลาใดมันง่วง อ้าว ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เรื่องยากเสียแล้ว คนอื่นเขาไม่ง่วง ทำไมมันจะง่วง ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไร คิดไปต่างๆ นานาก็เข้าไปอยู่สมมติไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ เข้าถึงจิตถึงใจ เข้าถึงอะไรไปตะพึดตะพือไป
ความง่วงนิดหน่อย นิดหน่อยก็กลายเป็นอกุศลได้ ความง่วงก็เห็นเหมือนกันกับเห็นอันอื่น เห็นความง่วงเห็นความไม่ง่วง เป็นลักษณะเดียวกันคือความเห็น คือการเห็น ความสุขความทุกข์ก็ลักษณะเดียวกันคือการเห็น ไม่เห็นแปลกอะไร ความรู้ความไม่รู้ก็ลักษณะเดียวกัน คือการเห็น ไม่แปลกอะไร ระหว่างความรู้กับความไม่รู้ ระหว่างความผิดกับความถูก อันเดียวกันนะถ้าเราดูดี ๆ ถือว่าสบายที่สุดการปฏิบัติธรรมน่ะ ถ้าเจริญสติอย่างเราทำกันนี่ มันเป็นการโฉลกทุกเรื่องทุกราว ลงตัวทุกเรื่องทุกราว ไม่เศษไม่เหลือ ถ้าจะเป็นงานเป็นการก็ปิดบัญชีลงได้ทุกเรื่อง ถ้ารู้สึกตัวก็ปิดบัญชีทุกอย่าง จบลงด้วยความงดงาม ถ้าหลงก็รู้-จบลงแล้ว มันทุกข์ก็รู้-จบลงแล้ว มันผิดก็รู้-จบลงแล้ว งดงามอยู่ตรงนี้ การปฏิบัติธรรมมันทำให้เกิดความงามอย่างไม่กระทบกระเทือน บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่ใช่หน้าหิ้ว(นิ่ว)คิ้วขมวด พอรู้อะไรก็ยิ้มแปล้ พอไม่รู้อะไรก็ โอ๊ย ไม่ไหว แย่เลย แย่เลย ไม่ใช่แบบนั้น ความรู้สึกตัวไม่พาให้คิดแบบนั้น ไม่พาให้เป็นแบบนั้น
ความรู้สึกตัวพาให้งดงามลงตัว ลงตัวไม่กระทบกระเทือนกับอะไร ไม่กระทบกระเทือนกับกาย ไม่กระทบกระเทือนกับจิตใจ เหมือนแมลงผึ้งไปเอาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ไม่ทำให้ดอกไม้เกสรดอกไม้ช้ำแม้แต่น้อยเลย ผู้เจริญสติดูกายดูใจ ไม่ทำให้กายช้ำไม่ทำให้จิตใจช้ำ ทำกับความง่วง ทำกับความไม่ง่วงเหมือนๆ กัน ความรู้สึกตัวนี่ ทำกับความทุกข์ ทำความไม่ทุกข์ก็อันเดียวกันเหมือนกัน เรารู้สึกตัวนี่ทำให้เรียบลงเยอะ ความง่วงก็เป็นคลื่นซะ ความทุกข์ก็เป็นคลื่นซะ ความสุขก็เป็นคลื่นซะ เหมือนกับรถวิ่งคลื่นถนน ถ้ามันมีที่สูงมันก็ต้องมีที่ต่ำ ถ้ามีที่ต่ำมันก็ต้องมีที่สูง เป็นสุขเป็นทุกข์นี่ มันมีบวกมีลบก็เท่าๆ กัน ถ้ารู้สึกตัวก็เรียบลง เรียบลง เรียบลง ความรู้สึกตัวก็ให้เรียบลง รู้ตรงไหนก็เรียบตรงนั้น มันสุขก็รู้แล้ว มันทุกข์ก็รู้แล้ว ทำให้ความสุขความทุกข์มันเรียบลง มันหลงก็รู้แล้ว มันรู้ก็รู้แล้ว ทำให้ความรู้ความหลงเรียบลง ความง่วงมันตื่นก็รู้แล้ว ทำให้ความตื่นความง่วงเรียบลงใส่กัน ระหว่างสองอย่างซึ่งเป็นคู่กัน
แม้จะมีความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย ถ้ารู้สึกตัวก็ทำให้สิ่งเหล่านั้นเรียบลงเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมชาติเป็นอาการที่มันเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของเราจริงๆ เป็นอาการที่มันเกิดขึ้นของเขา และเขาก็จะเรียบ ปฏิบัติธรรมมันเป็นอย่างนี้ อย่าไปหาคำตอบ มันจะได้อันนั้นจะรู้อันนี้ คนที่เขาพูดอย่างนั้นเขาก็พูดไป เล็กๆ น้อยๆ ก็ยกเป็นเรื่องใหญ่นะ เอาจริงๆ แล้วมีแต่สติ มีแต่สติเท่านั้น มีแต่ความรู้สึกตัวเท่านั้น แม้จะเป็นฌานสมาบัติ เป็นมรรคเป็นผล มันมีแต่สติเท่านั้น พูดว่า โอ้มัน เอกพีชี โกลังโกละ มีสติแล้วแลอยู่ พูดไปให้มันสละสลวย พอเราไปเข้าถึงแล้ว โอ๊ย มันมีแต่ความรู้สึกตัว อยู่ไกลๆ เหมือนกับว่ามันมีอะไรที่วาดมโนภาพ เหมือนเราอยู่อำเภอเชียงค้อมองมาสุคะโตนี่ โอ้ ป่าเขียว เป็นลั่นเป็นหลั่น เป็นหลั่น โอ้ งาม พอมาแล้วก็เป็นอันนี่แหละ ก็ไม่เห็นมีอะไร มีแต่ดินมีแต่ป่า มีถนนหนทาง ที่สูงที่ต่ำ
เหมือนหลวงพ่อเขาพาไปเที่ยวที่สหรัฐอเมริกา คนเขาก็อยากให้ไปดูโน่น คนเขาก็อยากให้ไปดูนี่ เขาก็ถามเป็นอย่างไร ก็ตอบแบบเดียวกันว่ามันก็มีทางรถหนอ สองข้างทางก็มีบ้านคนเหมือนกัน มองไปข้างหน้าก็เป็นทางรถเหมือนกัน มองสองข้างก็เป็นบ้านคนมีป่าไม้ วิ่งรถมานี่ก็เหมือนกันหมดเลย ไม่เห็นมันแปลกตรงไหน ข้ามสะพานก็มีสะพาน ข้ามน้ำก็มีน้ำ ไม่เห็นแปลกตรงไหนนี่ เราก็โอ๊ยอย่างนั้น โอ๊ยอย่างนั้นอยู่นั้น ไปดูแก่งแคนยอนมรดกโลก มันก็เป็นอย่างนั้น มันก็เป็นที่สูงก็เป็นที่ต่ำ ไปเห็นพวกอินเดียแดง เขามาแสดงนุ่งผ้าด้วยเปลือกไม้ใบไม้มาแสดง เอาก้อนหินเอาก้อนมาตีป๋องแป๋ง ๆ เขาก็ฟ้อนรำสนุกสนาน เราก็ดู โอ๋ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เห็นมันแปลกตรงไหน นั่งรถก็นั่งรถเหมือนกัน อยู่บ้านเราก็นั่งรถ พอมองไปข้างหน้าก็เป็นถนนหนทางลาดยาง มีสี่แพร่งห้าแพร่ง ไฟแดงไฟเขียว รถวิ่งไปข้างหน้าก็ไปข้างหน้า รถวิ่งสวนทางก็วิ่งสวนทาง นั่งรถเป็นวันสองวันก็เป็นอย่างนั้น
ชีวิตเราจริงๆ เป็นก็เป็นอย่างนั้นนะ ไม่เห็นแปลกตรงไหน ความหลงความรู้ไม่แปลกตรงไหน ความสุขความทุกข์ไม่แปลกตรงไหน ไม่แปลกตรงไหน เรารู้สึกตัว เรารู้สึกตัว อันเดียว เวลานั่งรถวิ่งไปอย่างเดียว ไม่ใช่ไปสนใจไปตะพึดตะพือไป อะไรที่สบตานิดหน่อย ก็อ้าว สนใจแล้วนั่นไป ทั้งๆ ที่มันผ่านไปแล้ว ก็เอามาคิดเป็นสมมติต่อไปอีก ฉันชอบตรงนั้น ฉันไม่ชอบตรงนี้ ฉันรู้ตรงนั้น ตรงนี้ฉันไม่รู้ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป ความหลงก็ผ่านไปแล้ว หามันทำไม ความถูกความผิดมันก็ผ่านไปแล้ว มีแต่รู้สึกตัว มีแต่รู้สึกตัว มีแต่รู้สึกตัว อย่างนี้ปฏิบัติให้ทำอย่างนี้ ไม่มีใครไม่ได้ ไม่มีใครได้ มีแต่เห็นสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตใจเรา นอกจากกายจากใจเราก็มีเหมือนๆ กัน สัมผัสได้เหมือนกัน สุคะโตก็มีฝนตกมีแดดออก มีป่าไม้ มีลมพัด เสียงแมงน้ำฝนร้องจิ๊มแจ๊ม ๆ อีกสักหน่อยนี่อัดเทปนี่ไม่ได้เรื่องนะ จี้โป่มมันจะร้องลั่นไปหมดเลยตามพื้นดินนี่ เวลาอัดเทปเสียงจี้โป่มนี่ดังกว่าเสียงพูด บัดนี้ก็ยังมีแมงน้ำฝนดังจิ๊กๆ ก็เป็นอย่างนี้ ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ตามฤดูกาลของเขา แต่เดือนสามเดือนสี่ก็นกกางเขนร้องจ๋อยแจ๋วๆ เวลานี้นกกางเขนก็ไม่มีแล้ว ต่อไปก็นกแกนแวนออกมาร้องแจ๊ดๆ แจ๋ด ๆ แมงนี่ก็จะไม่มีแล้ว ก็เปลี่ยนกันไปตามเหตุตามปัจจัย
เราก็เห็นอย่างนี้แหละ โลกมันเป็นอย่างนี้ นอกจากตัวเราก็มีคนดีคนไม่ดี คนรู้คนไม่รู้เยอะแยะ มีคนเกิดคนแก่คนเจ็บคนตายเป็นอย่างนี้ เยอะแยะไปหมดเลย เราก็ดูไป ใครตายก็เหมือนกัน ใครเกิดก็เหมือนกัน ใครแก่ก็เหมือนกัน ใครเจ็บก็เหมือนกัน ถือว่าเกิดแก่เจ็บตาย อย่าไปสงสัยตรงนั้น ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ เราก็รู้แจ้งไปเลยนะ คนอื่นก็เหมือนเรา เราก็เหมือนคนอื่น เราก็รู้อยู่นี่แหละ รู้อยู่นี่แหละ รู้สึกตัว รู้สึกตัว ต้องเป็นอย่างนี้ปฏิบัติธรรม ความสำคัญคือมั่นใจจริงๆ มั่นใจ หลวงพ่อเทียนก็สอนเราจริงๆ เราสร้างสติ เราก็สร้างได้สติ หลวงพ่อเทียนบอกให้เราเอามือวางไว้บนเข่า เราก็วางมือไว้บนเข่า มือหลวงพ่อเทียนก็อยู่บนเข่า หลวงพ่อเทียนบอกให้เราตะแคงมือ เราก็ตะแคงมือเหมือนหลวงพ่อเทียน ดูมือหลวงพ่อเทียน กับมือเราก็เหมือนกัน หลวงพ่อเทียนยกขึ้นมา เราก็ยกเหมือนกัน หลวงพ่อเทียนวางลง เราก็วางลงเหมือนกัน
หลวงพ่อเทียนถามว่ารู้สึกไหม เราก็รู้บอกว่ารู้สึก หลวงพ่อเทียนก็ว่า “ให้ทำอย่างนั้นแหละ ให้มันรู้อย่างนั้นแหละ” “ทำเท่านี้หรือ ทำให้มันรู้เท่านี้หรือ” “เออ เท่านั้นแหละ” นี่ก็ทำได้อย่างนั้น ท่านก็มาถามเป็นยังไง ไม่เป็นอย่างไร ก็บอกว่า “มันไม่เป็นอย่างไร มีแต่รู้สึกตัว” “รู้อะไรไหม” “รู้สึกตัวนี่แหละหลวงพ่อ เคลื่อนไหวมือมันก็รู้” “คิดไหม” “คิด” “มันคิดแล้วทำไง” “ก็กลับมานี่แหละหลวงพ่อ” “เออๆ ทำเหมือนกันล่ะ” อ้าว เราก็ทำเหมือนหลวงพ่อสอน “อย่าเข้าไปในความคิดนะ” “ครับผม” “เห็นไหม รู้จักเวลามันคิดไหม” เห็น เห็นจริงๆ เห็นความคิดนี่ เห็นไหมพวกเรา เห็นความคิดที่มันคิดไปไหม หือ โยมเห็นบ่ คิดฮ้อดบ้านหนองเสือจั่กเทื่อแล้ว คิดไปถึงกรุงเทพฯ กี่ครั้งแล้วนะ คิดไปถึงคนรักกี่ครั้งแล้ว คิดไปถึงคนชังกี่ครั้งแล้ว คือคิดทั้งนั้น มันคิดนี่ ตัวคิดอันเดียว ทำไมจึงคิด มันหลง พอมันรู้สึกตัว ความคิดก็หมดไปแล้ว กลับมาได้จริงๆ มารู้สึกตัว มารู้สึกตัว
หลวงพ่อเทียนก็ถามอยู่นี่ เห็นรูปเห็นนามไหม ถ้าจะคิดเอามันก็ได้ ไม่อยากคิดหรอกหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่าให้มันเห็นเข้าไปนี่แหละ เออๆ อย่าไปคิด หลวงพ่อเทียนก็เอารูปมาให้ดู โอ๊ มันก็เป็นรูปนั่นน่ะ มันก็เป็นรูปอยู่แล้ว รูปคนหลวงพ่อไม่ใช่ มันเคลื่อนไหวเป็นไหมเนี่ย เคลื่อนไม่เป็น มือของคุณเคลื่อนไหว มันเคลื่อนไหวเป็น ทำไมเคลื่อนไหวเป็น เพราะมันมีกายมีจิต อันนั้นนั่นแหละ มันอยู่ด้วยกันนั่นแหละ (หัวเราะ) เป็นรูปเป็นนาม โอ้ ถ้าเราไปคิด โอ้ เคลื่อนไหวอยู่นี่คือรูปหนอ คิดที่มันรู้สึก มือนี่มันก็เป็นรูป มันรู้สึกเคลื่อนรู้จักไหว มันก็เป็นนามหนอ ก็ไม่อยากคิด เดี๋ยวจะหาว่าคิดรู้ จะเป็นจินตญาณนะ บางคนก็คิดเอา บางคนมาบอก มาบอกเลยนะ รูปมันเป็นจังได๋ล่ะนะ มันเป็นจังได๋ บางคนก็ไปทำแล้วน่ะ อย่าไปคิดแบบนั้น ทำไปอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ยังไงนี่ มือก็มีอยู่นี่ มันเคลื่อนไหวนี่
นี่รูปนี่นาม มันร้อนเป็น มันหนาวเป็น เอาก้อนหินมาวางตรงนี้ มันก็ร้อนไม่เป็น หนาวไม่เป็น มันทำดีไม่เป็น มันทำชั่วไม่เป็น ต้นเสาต้นนี้มันทำดีไม่เป็น ทำชั่วไม่เป็น เราเอามีดมาฟันมัน มันก็ไม่เป็น มันขาดมันก็ล้มลงไป มันก็ขาดนะ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีนาม มันไปด่าใครไม่เป็น มันไปทำชั่วไม่เป็น ผิดศีลผิดธรรมไม่เป็น แต่นี่มันเป็นรูปเป็นนาม มันทำบาปเป็น มันทำบุญเป็น มาพอเรามีสติรู้ล่ะ โอ้ เราไม่เคยสงสารรูปของเราเลย ไม่เคยสงสาร สงสารเวลามันเคลื่อนมันไหว โอ๊ย มันเป็นทุกข์หนอ ยืนเดินนั่งนอนหายใจเข้าอยู่นี่ โอ๊ มันเป็นก้อนทุกข์ก้อนหนึ่ง ต้องกะพริบตา ต้องหายใจ ต้องกิน ต้องถ่าย ต้องหลับ ต้องนอน โอ๊ย มันเป็นรูปน่าสงสารหนอ เรายังจะเอาความทุกข์ไปให้มันอีก ยังสูบบุหรี่ ยังกินเหล้า ยังโกรธยังรักยังชังเข้าไปอีก เป็นภาระต่อรูปอีก เวลาเขาทุกข์เขาก็ทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยกินไม่ได้นอนไม่หลับ
โอ๊ย มาเห็นรูปสงสารรูป โอ๊ย กระตือรือร้นช่วยรูปไป แต่ก่อนก็สูบบุหรี่ เลิกทันที โถ น้ำตาร่วงเลย สงสารรูป สามสิบปี ไม่เคยช่วยเหลือรูปเลย กระตือรือร้น โอ๊ย ช่วยรูป อะไรที่เป็นทุกข์ของรูปนี่เอาออก ๆ กระทบกระเทือนไปถึงความโกรธ ความโลภ ความหลง สงสารรูป สงสารรูปแล้วไม่พอ สงสารพ่อสงสารแม่ สงสารพี่น้อง พี่น้องเราไม่อยากให้เราเป็นทุกข์ พ่อแม่เราไม่อยากให้เราเป็นทุกข์ เราจะต้องไม่ทุกข์ เวลาเราโกรธ เราทุกข์สงสารพ่อแม่ สงสารรูป สงสารพี่น้อง สงสารทุกคน คนทุกคนไม่ต้องการให้เห็นใครเป็นทุกข์ ถ้าเห็นคนอื่นทุกข์ เห็นคนอื่นโกรธ เขาก็กระทบกระเทือนเขา เราก็ได้หลัก โอ๊ย เราก็ช่วยตัวเรา
ใช้รูปนี่ทำความดีได้สำเร็จ เอาไปช่วยกัน คนหนึ่งถือของมา เอารูปไปถือของช่วยกัน คนหนึ่งตำน้ำพริก คนหนึ่งเอาถ้วยมาใส่ คนหนึ่งซาวข้าวใส่หวด คนหนึ่งเอาน้ำใส่หม้อนึ่งไปตั้งไฟ มันก็ช่วยกันได้จริงๆ แทนที่เขาจะมาทำอันนั้นช่วยกันได้ พ่อแม่ทำงานไปช่วยพ่อช่วยแม่ หลวงปู่เทียนเย็บผ้าจีวร ไปเอาด้ายมาสอดเข็ม สอดผิดสอดถูก โอ๊ยๆ หลวงพ่อๆ ผมทำให้ พอสอดวับ โอ้ ตาดีเนาะ ก็ดี มันทำได้ นี่ก็ช่วยกันอย่างนี่ ของยากๆ กลายเป็นของง่ายขึ้นมา เออ มันช่วยกันได้จริงๆ รูปนี่นามมันก็คิดจะช่วยจริงๆ มันไม่เฉย ยิ่งตัวเองเฉยไม่ได้ เวลาใดที่มันทุกข์นี่กระตือรือร้นช่วย เวลาใดมันโกรธ โอ๊ย กระตือรือร้นช่วย ปัดโธ่ ปัดโถนั่น เหมือนกับไฟ ถูกปัดออก ปัดออก ปัดออก หลงไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ โกรธไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของเรา ไม่ต้องการให้รูปให้นามเป็นทุกข์ พอมันทุกข์นี่ โชว์ที่สุดเลย ไม่มีอะไรที่โชว์เท่ากับเป็นทุกข์ ทุกข์อยู่ตรงไหน มีสติอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น ถ้ารู้สึกตัวลงแล้วมันก็หายมันไป
มันเป็นอย่างนี้ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ว่าไปเหาะเหินเดินฟ้า เอาฤทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ก็ทำให้สำเร็จทำให้ความโกรธสำเร็จ ทำให้ความทุกข์สำเร็จ ทำให้ความหลงสำเร็จ กลายเป็นความรู้สึกตัว เปลี่ยนแปลงนะ มันก็เกิดอยู่กับเราน่ะ ไม่ใช่ไปเกิดอยู่กับคนอื่น ได้ยินบ่ แม่ออกบ้านหนองบักเขือ หลวงพ่อตั๋ว หลวงพ่อบอกน่ะ หา บอกยังซี้แหละ สอนอย่างนี้แหละ ปฏิบัติธรรมก็ทำอย่างนี้แหละ หลวงพ่อก็ไปเทศน์หาดใหญ่ ก็พูดอย่างนี้ ก็พูดเรื่องชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา พยาธิปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง อธิบายเรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตาย เพราะเป็นคนตายอยู่ตรงนั้นก็ไปพูด เราไม่ยอม
ผู้ที่ไม่ยอมเรื่องนี้คือพระสิทธัตถะ สมัยเป็นเจ้าฟ้าชาย ออกประพาสหัวเมือง เห็นคนแก่คนเจ็บคนตาย เห็นสมณะ รับผิดชอบเรื่องนี้ทันที จนพิสูจน์ จนได้คำตอบออกมา นี่ชีวิตของเรา งานของเรา ไม่ใช่ไปร้องไห้เพราะความแก่ ร้องไห้เพราะความเจ็บ ร้องไห้เพราะความตาย ไม่ใช่แบบนั้น เราจะต้องยิ้มตรงนั้นได้ด้วย ยิ้มได้ตรงนั้นด้วย แต่ก่อนเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์ เอาไปเอามามันไม่ใช่เรื่องทุกข์เลย เป็นปัญญา เป็นปัญญา
นี่หลวงพ่อก็ไม่ค่อยได้อยู่เป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมเท่าไร ก็อุ่นใจพวกเรา มีกัลยาณมิตรอย่างดี ช่วยกันโน่นนอนอยู่เต็นท์ปฏิบัติธรรม โอ๊ย ไม่เคยพบเคยเห็นที่จะช่วยกันถึงปานนี้ เนาะ ญาติโยมอุ่นใจหลวงพ่ออุ่นใจมาก ช่วยกันจริงๆ พวกเรา ขอให้ช่วยกัน ช่วยกัน อย่าทำอะไรที่มันเป็นการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน แม้แต่คำพูดความคิดความอ่าน ที่นี่เขาต้องการความสงบต้องการเจริญสติ อะไรที่ทำให้เกิดความวุ่นวายไม่ใช่การเกิดเจริญสติ หยุด ไม่ต้องไปทำ อยู่เฉยๆ ก็ยังได้ แต่ว่าอย่าไปสร้างให้เกิดปัญหา ถ้าใครมาที่ไม่ใช้ความสงบแล้วก็ สร้างความสงบกับคนนั้นได้ เช่น อาจจะมีมิตรมีเพื่อนมา นั่งสงบ จะรู้เราเป็นพระมีเพื่อนมาหา ก็นั่งให้เขาดู ไม่ใช่ไปนั่งหัวเข่าชนกัน พูดหยอกล้อตีอ้าปากหัวเราะอย่างนั้น เราเป็นสมณะ แสดงให้เขาก็จะเห็นแล้ว โอ้ นี่ แสดงว่าสงสารพ่อแม่ แสดงความเป็นพระ แสดงความเป็นสมณะ สงสารจริงๆ สงสารพ่อแม่ สงสารพี่น้อง รักลูกรักเมีย รักพ่อรักแม่ รักพี่รักน้อง อย่าทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ สิ่งไหนที่ทำให้ตนเองเป็นทุกข์อย่าทำ และทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ หยุด แค่นี้เองการปฏิบัติธรรม ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ พอหลวงพ่อพอ ก็คือทำ ก็คือเจริญสตินี่แหละ
-จบ-