แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน หลวงพ่อจะพูดให้ฟัง ท่านทั้งหลายก็ฟัง มีผู้ฟังมีผู้พูด ฟังแล้วนำไปทำ ไปประกอบไปสัมผัส ไม่ใช่ไปจำเอา การจำเนี่ยมันได้ของปลอม ธรรมะมันต้องเป็นการพบเห็น สัมผัสจากกาย จากจิต ไม่ใช่คิดเห็น เป็นการพบเห็น จึงเป็นปัจจัตตัง
คำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ยมันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะผู้ที่สัมผัส สัมผัสกับความรู้สึกตัว เอากายไปต่อ ไปจุ่มเอา ให้เกิดความรู้สึกตัว จิตใจก็รู้สึกตัว อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิต เพียรพยายามที่จะให้มันเกิดความรู้สึกตัว เพราะความรู้สึกตัวเป็นที่เกิดของศีล ของธรรม ของบุญ ของกุศล เหมือนกับแผ่นดิน เป็นที่เกิดของวัตถุ สิ่งของต่างๆ สัตว์สาราสิ่ง มันเป็นฐาน มันเป็นวัตถุอาการ ร่างกายใจของเราเนี่ย เอามาปลูกสติ แล้ววิธีที่เราปลูกสติให้มันเกิดให้มันมีนี่ ตามหลักเขาเรียกว่าภาวนา
ภาวนา ก็คือการขยัน ขยันรู้ ไม่ใช่ไปหลับหูหลับตา มานั่งอยู่เฉยๆ นั่งอยู่เฉยๆก็รู้ได้ เพราะว่ากายของเรา ใจของเรา สามารถที่จะกำหนดส่วนไหนก็ได้ ลมหายใจ พริบตา กลืนน้ำลาย สามารถที่จะรู้ได้ เราจึงขยันสร้างความรู้สึกตัว ให้มันมี ให้มันมาก ถ้ามันไม่มี มันก็จน จน จน จนอริยะทรัพย์ จึงโกรธ จึงโลภ จึงหลง จึงทุกข์ สมัยทุกวันนี้เขาพัฒนาแล้ว อย่ามัวแต่หลง แต่โกรธ แต่ทุกข์อยู่ มันล้าสมัยแล้ว เขาไปกันไกลแล้วทุกวันนี้ เขาข้ามล่วงไปแล้ว ถ้ายังอยู่ในความโลภ ความโกรธ ความหลง ความทุกข์ ความวิตกกังวล ความเศร้าหมอง ความยินดี ความยินร้ายอยู่ ล้าสมัยแล้วทุกวันนี้ เพราะว่าพุทธศาสนาคำสอนของพระพุทธเจ้านะ มันยกฐานะทางจิต ทางวิญญาณ ยิ่งพวกเราเป็นคุณครู เป็นอาจารย์ ยิ่งสำคัญ เหมือนกันกับพระสงฆ์
พวกเรามีอาชีพมีฐานะเหมือนกัน เป็นแบบฉบับ ต้องมาสร้างคุณธรรมอันนี้ให้มันเกิดขึ้นนะ ให้มันเกิด ให้มันมีขึ้นมา เพื่อจะเอาไปบอกไปสอนคนอื่น ให้เขามีคุณธรรม ให้เขาไม่เบียดเบียนเขา ให้เขาไม่เบียดเบียนคนอื่น ให้เขาไม่เบียดเบียนสิ่งอื่นวัตถุอื่น มันก็จึงจะเกิดความสงบร่มเย็น มันก็เกิดอยู่ที่กายที่ใจเราอยู่นี่แหละ กายใจของเรานี้มันไปไกล ถ้าเราไม่มีคุณธรรม ถ้าไม่มีความรู้สึกตัว ถ้ามันเป็นธาตุของความหลง เราใช้กายสร้างความหลง เราใช้จิตใช้ใจให้เกิดความหลง ความหลง มันก็มาอยู่กับกายกับใจของเรา โกรธ โลภ หลง มันเกิดอยู่กับกายกับจิตใจของเรา มันก็เป็นโทษเป็นภัย เกิดปัญหาจนไปสร้างตัวบทกฎหมาย สร้างรัฐธรรมนูญ เพื่อคุ้มครองป้องกัน หรือมิฉะนั้น สร้างคุก สร้างตาราง หรือสร้างกองทัพศาสตราอาวุธ เพื่อมาปราบมาปราม ไม่จำเป็น เพียงแต่เรามาสร้างคุณธรรมให้มันเกิด ให้มันมีขึ้นมา มีความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวที่มาอยู่กับกาย มันเป็นสมบัติ มันเป็นความถูกต้อง กายมันต้องมีความรู้สึกตัว ใจมันต้องมีความรู้สึกตัว ถ้าเราได้สัมผัสกับความรู้สึกตัวแล้ว สัก 1วัน 2 วัน 3 วัน 5 วัน 6 วัน 7 วัน ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงทรงสั่งสอนว่า ผู้ใดมีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวแล้ว 1วัน ถึง 7 วัน เกิดอานิสงส์ 2 ประการ อย่างกลาง 1 เดือน ถึง 7 เดือน เกิดอานิสงส์ 2 ประการ อย่างช้าที่สุด 1 ปี ถึง 7 ปี เกิดอานิสงส์ อานิสงส์ ๒ ประการคือ พันธะอริยบุคคล ตั้งแต่พระอริยบุคคลชั้นต้น ถึงเป็นพระอริยบุคคลที่สุดคือเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ เราต้องพิสูจน์กันแล้ว พุทธศาสนามีอยู่ในประเทศไทยของเรา น้อยคนที่จะมาพิสูจน์เรื่องนี้
วัดป่าสุคะโต จึงตั้งว่าเป็นสถาบัน สถาบันคือมาพิสูจน์เรื่องชีวิตของเรา ชีวิตของเรามันเป็นสถาบัน ไม่ควรที่จะให้มันหลง สถาบันให้เกิดความรู้สึกตัวไม่ต้องให้มันหลงมันล้มเหลว เช่น ชีวิตของเรามัวแต่ยินดียินร้ายไม่ใช่สถาบัน จิตใจที่โกรธไม่ใช่สถาบัน จิตใจที่ทุกข์ไม่ใช่สถาบัน สถาบันมันต้องมั่งคง โดยเฉพาะจิตใจของเราเนี่ย ถ้าจะพูดตามหลักสักหน่อยก็คือ หยุด เย็น นิ่ง ไม่ปรุง อย่างที่เราสวดเมื่อกี้เนี่ย สังขาร สังขารคือมันปรุง มันต้องเป็นวิสังขารคือไม่ปรุง ความร้อนมันต้องเย็น ความทุกข์มันต้องไม่ทุกข์ ความโกรธมันต้องไม่โกรธ ความหลงมันต้องไม่หลง มันต้องเป็นสถาบันแบบนี้ชีวิตเรา เราเป็นขี้ข้าของความโกรธ ความโลภ ความหลง เราเคยให้ความหลง ความโกรธ มานอนอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน บางทีให้ความทุกข์มานอนอยู่กับเรา แม้กระทั่งมันคิดก็คิดให้ตัวเองเจ็บปวด กัดตอดตัวเอง คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมาน้ำตาร่วงน้ำตาไหล คิดขึ้นมาแล้วโกรธ ความโกรธบังคับขับไสเรา ให้แตก ให้แยกกัน มันบังคับเรา เรารับใช้ความโกรธ ความโกรธมันร้าย มันก้าวร้าว มันดุร้าย แสดงออกในทางต่างๆ มันบังคับให้เราแตกร้าวสามัคคี ทั้งๆที่มันไม่มีอะไร มันไม่มีอะไรจริงๆนะ ถ้าเรามาศึกษาดูแล้ว มันไม่มีความโกรธ มันไม่มีจริงๆ ไม่มีตัวมีตน ความหลงก็ไม่มีจริงๆ ความทุกข์มันก็ไม่มี เราไปเอาน้ำเหลว ไปคว้าน้ำเหลว รับใช้มัน มันไม่มีจริงๆ มันตกอยู่ในความไม่เที่ยง ตกอยู่ในความไม่ใช่ตัวตน บางทีความโกรธก็ขึ้นจากใจของเรา ว่าเรานึกว่าเราโกรธ ไปเอาความโกรธว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นจิตใจของเรา ระวังนะถ้ากูได้โกรธเนี่ยไม่ใช่คนนี้นะ ถ้ากูได้โกรธแล้วตายกูก็ไม่ลืมนะ ถ้ากูได้โกรธมึงระวังตัวดีๆนะ โอ! มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆความโกรธ เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความทุกข์ เสียเปรียบความหลง หลวงพ่อเนี่ยขนหัวลุกเลย อายุ 30 ปี จึงมารู้เรื่องนี้ มาศึกษาเรื่องนี้นะ แต่ก่อนนี่โอ๊ย! ชีวิตเนี่ย พึ่งตัวเองก็ไม่ได้ มีจิตมีใจก็พึ่งไม่ได้ คุ้มร้ายคุ้มดี คุ้มร้ายคุ้มดี เราจึงมายกฐานะขึ้น มีจิตมันต้องพึ่งจิต มีกายต้องพึ่งกาย เอากายมาทำความดี เอาจิตมาทำความดี แล้วทำความดีได้จริงๆ ไปสร้างโลก สร้างโลกด้วยมือห้านิ้วสิบนิ้วของเรา สร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นมา มันก็เปลี่ยนได้นะ มันเลื่อนฐานะปฏิบัติธรรมเนี่ย มันเลื่อนฐานะจากความเป็นคน คนมันคือฟูๆ แฟบๆ คุ้มร้ายคุ้มดี คนน่ะมันคิดไปทางต่ำๆ ไหลไปทางต่ำๆ คนมันคิดไปทางต่ำ มนุษย์มันคิดไปทางสูง มันเลื่อนฐานะขึ้นมา เลื่อนฐานะของความเป็นคนมาเป็นมนุษย์ ผู้มีจิตใจสูง อย่าให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันถมทับได้ มีความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว มันเป็นทั้งศีล เราสร้างอยู่เนี่ย เป็นความรู้สึกตัว เราไปทำบาปอะไรไหม ไม่ได้ทำเลย มีความรู้สึกตัวมันรักษาศีลแล้ว ไม่ต้องไปสมาทานจากพระจากเจ้า ศีลสิกขา ไม่ใช่ศีลสมาทาน เป็นศีลสิกขา เป็นศีลถลุง มีความรู้สึกตัวมันก็ละความชั่วแล้ว มีความรู้สึกตัวมันก็ทำความดี มีความรู้สึกตัวจิตมันก็บริสุทธิ์แล้ว เนี่ย! เราไม่ไปด่าไปฆ่าใครเนี่ยมันทันทีเลย
การปฏิบัติธรรมของจิตมันต้องทันที ไม่ใช่รอนะ ใช้ได้ทันที มีความรู้สึกตัวก็ทันทีแล้ว ถ้ามันหลงมีความรู้สึกตัว ความหลงก็หมดไปทันที ถ้ามันทุกข์ มีความรู้สึกตัวความทุกข์ก็หมดไป แม้ไม่หมดก็น้อยลง น้อยลง ถ้ามีความรู้สึกตัว ขี่คอความทุกข์ ขี่คอความโกรธ ขี่คอความหลง ไปไม่กี่ก้าว ถ้ารู้สึกตัว รู้สึกตัว หายใจเข้า หายใจออกรู้สึกตัว สร้างความรู้สึกตัวเนี่ย ขี่คอความโกรธ ขี่คอความทุกข์ ขี่คอความหลง ไปไม่ได้ เพราะมันไม่จริง ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธจริงกว่า เป็นธรรมกว่า ความทุกข์มันไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริงกว่าเป็นธรรมกว่า ความหลงมันไม่จริง ความไม่หลงนี่จริงกว่าเป็นธรรมกว่า สัมผัสดูแล้ว ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปถามใครจริงๆนะ สัจธรรมต้องสัมผัส ไม่ใช่จำเอาไป จำไปโฆษณา ไม่ใช่ สัมผัสดูแล้ว ได้คำตอบ เข้าถึง เข้าถึง มี สัมผัสได้ ถ้าเป็นความปกติก็ปกติทันที สังขารคือมันปรุงไป วิสังขารคือหยุดทันที หยุดได้ทันที ชีวิตของเราเนี่ยมันเป็น มันเป็นสัตว์ประเสริฐจริงๆ มันสอนได้ ชีวิตจิตใจของเรา มันเป็นการสอนได้ หายโทษหายภัย เปลี่ยนความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เข้ามาแทน เต็มไปด้วยชีวิตจิตใจของเรา เป็นประโยชน์ต่อโลกไป เวลานี้พวกเราต้องมาช่วยกันแล้ว โลกอธรรมมันท้าทายพวกเรา มันท้าทายความโกรธ มันท้าทายความไม่โกรธ ความทุกข์มันท้าทายความไม่ทุกข์ ความหลงมันท้าทายความไม่หลง เราไม่ต้องไปยอมมัน มันท้าทาย ยิ่งความรุนแรง ความอิจฉาพยาบาท ความที่มันเดือดร้อน เช่น ความเห็น ทิฐิ มิจฉาทิฐิ มันท้าทายสัมมาทิฐิ อย่างภาคใต้เวลานี้นะ มันเดือดร้อนกัน นั่นล่ะ อธรรมมันท้าทายธรรม
เราต้องมาสร้างกัน มาประกอบ มาสัมผัส ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น พวกเราต้องมาดู มาหยุด ต่างคนต่างดูแลตัวเอง ปฏิบัติธรรมก็คือการดูแลตัวเอง ปฏิบัติธรรมก็คือการช่วยตัวเอง ปฏิบัติธรรมก็คือการอยู่กับตัวเอง ปฏิบัติธรรมคือการมารักตัวเอง สงสารตัวเอง ไม่ใช่ว่าไปทำอะไร มาดู เวลาใดที่มันคิดออกไป ก็กลับมาให้เป็น หลงไปกับความคิด กลับมาอยู่กับตัวเอง เวลาใดที่มันทุกข์ ก็กลับมาอยู่กับตัวเอง ให้สงสาร ถ้าไม่สงสารตัวเองเนี่ย มันจะสงสารคนอื่นได้ยาก ถ้าดูแลตัวเองไม่เป็นก็ดูแลคนอื่นได้ยาก ถ้าช่วยตัวเองไม่เป็นก็ช่วยคนอื่นได้ยาก ถ้าช่วยตัวเอง ดูแลตัวเอง รักตัวเอง อยู่กับตัวเองเป็น การที่ไปช่วย ไปบอก ไปสอนคนอื่นได้ง่ายกว่า เพราะเรามีหลัก เรามีหลักนะ เรามีหลัก
นั้นก็ถือว่าบรรยากาศวัดป่าสุคะโตโชคดีมากๆ ที่มีปัญญาชน ถือว่าปัญญาชน คณะคุณครู อาจารย์ โดยเฉพาะโรงเรียนสตรีเนี่ย เป็นคู่บ้านคู่เมืองของชัยภูมิของเรา ขอพึ่งพาอาศัยพวกเรามาช่วยกัน มาช่วยกันสร้างคุณภาพคุณธรรมขึ้นมา ให้มีเมตตา กรุณา มีสติสัมปชัญญะ มีศีล มีธรรมขึ้นมา แล้วสร้างได้จริงๆนะ ถ้าเรามีความรู้สึกตัวไปกับกายไปกับจิตใจแล้ว รู้สึกตัว รู้สึกตัว แล้วเมื่อสร้างความรู้สึกตัว มันก็จะมีอะไรที่ทำให้เกิดขึ้นมา ได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ ไม่ใช่ไม่มีงานมีการ มันมีงานมีการ เราได้หลักความรู้สึกตัว บางทีมันเกิดความหลงแทรกขึ้นมา แซงหน้า แซงหลัง เราก็เปลี่ยนอะไรทุกอย่าง กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว เพราะรูปแบบเนี่ย มันดีที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงทรงสั่งสอน กายานุปัสสนาเนี่ย มีสติเห็นกาย กายเราก็มี อยากรู้เมื่อไหร่ก็รู้ได้ทันที กระดิกนิ้วมือก็รู้ได้ทันที ความกระดิกความรู้สึกตัวเนี่ย หรือลมหายใจนี่แก้โกรธได้ ลมหายใจแก้ทุกข์ได้ ลมหายใจแก้โรคได้นะ เวลาปวดท้องนานๆแรงๆ ลองหายใจเข้าหายใจออกดูซิ ถ้าเพิ่มความรู้สึกตัวเข้าไป ถ้าเพิ่มความรู้สึกตัวเข้าไป มันก็ใช้ได้จริงๆ กายของเราเอามาสร้างความรู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวอยู่กาย มันก็เท่ากับเราฝึกจิตในตัว สอนจิตไปในตัว ถ้ารู้สึก รู้สึก รู้สึกตัวเนี่ย เวลาใดมันคิดขึ้นมา รู้สึกตัวเนี่ย กลับมารู้สึกตัว เป็นหลักเสียก่อน เวลานี้เราไม่ต้องมาใช้ความคิดเหตุผล ให้มันสมกับชื่อว่ากรรมฐาน
วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่เป็นการกระทำ เริ่มต้นจากการกระทำ การกระทำมันจะลิขิตไปเอง ไม่ต้องไปใช้เหตุใช้ผล ใช้ไอคิว ใช้ไอเดียอะไร ไม่ต้องหรอก ว่าแต่เรามีการกระทำ ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัว ความรู้สึกตัวนี่ ไม่เป็นหญิง ไม่เป็นชาย ไม่เป็นคนหนุ่มคนแก่ ไม่เป็นพระเป็นโยม เป็นสากล อยู่กับพระก็คือความรู้สึกตัว อยู่กับโยมก็คือความรู้สึกตัว อยู่กับพระพุทธเจ้าก็คือความรู้สึกตัว อยู่กับปุถุชนของเราก็คือความรู้สึกตัว เราหัดตรงนี้กัน เวลาบางทีมันเกิดความง่วงเหงาหาวนอน เราก็รู้สึกตัว มันจะเกิดอะไรขึ้นเยอะแยะเวลาเราสร้างความรู้สึกตัว เพราะว่ามันถูกกวนนะ แต่ก่อนนี้ชีวิตของเราใช้ไปตะเปะตะปะ พอเรามาใช้เป็นเรื่องเป็นราวมันก็สับสน ไม่เป็นไร เราจะได้บทเรียนจากมัน บางทีเกิดความง่วงขึ้นมา เราก็จะพยายามที่จะรู้สึกตัวโดยรูปแบบต่างๆ เวลามันง่วง อย่าไปนั่งหลับตาสู้กับความง่วง อาจจะมีเทคนิคต่างๆ มองท้องฟ้า มองทิศทาง มองยอดไม้ ทำความรู้สึกว่าเป็นกลางวันไม่ใช่กลางคืน ไม่ใช่เวลานอน เรากำหนดรู้สึกตัว ลอง ประสบการณ์กับความง่วงที่มันเกิดขึ้น เรียกว่า นิวรณ์ธรรม บางทีความคิดลังเลสงสัยเกิดขึ้น ก็อย่าหลงพลัดเข้าไปกับความคิด ให้มันหอบหิ้วเราไป
เราก็พยายามกลับมาอยู่หลักของเรา ฐานของเรา ที่ตั้งของเรา ให้มันมีที่ตั้ง ให้มันตั้งอยู่ได้นานๆ มันจะหลุดไปไหนก็กลับมา มันจะเก่งตอนที่เรากลับมานั่นแหละ ปฏิบัติธรรม มันเก่งตอนนั้นนะ ตอนที่กลับมา นั่งอยู่มันคิดไปก็กลับมา ไม่ใช่นั่งใจลอย นั่งหลับ นั่งนิ่งอะไร ไม่ใช่ แล้ววิธีที่เราฝึกนั้นเราฝึกจริงๆ ภาวนาจริงๆ เอาตาต่อตา กายต่อกายจริงๆ เห็นกับหูกับตา ทำกับมือกับตัวเราจริงๆ ไม่ใช่คิดดุ้นๆเดาๆ ไม่ใช่ปฏิเสธเรื่องใด กลับมารู้สึกตัว มันคิดก็รู้สึกตัว กลับมา มันหลงไปก็กลับมารู้ มันทุกข์ก็กลับมารู้ อะไรที่มันแสดงออกทางกายทางจิต กลับมารู้สึกตัวได้ทั้งนั้น ความรู้สึกตัวเป็นตัวเฉลยเรื่องของกายของจิต เฉลยได้หมดเลย เราหัดเท่านี้ก่อนนะ ไม่ใช่นั่งหลับตาไม่รู้อะไร มันง่าย ถ้าฝึกแบบสงบมันง่ายดี
หลวงพ่อเคยไปสอนที่ประเทศสิงคโปร์เนี่ย ก็มีคนรุ่นๆ พวกเรานี่ล่ะ เขาก็โวยวายกัน เขาบอกว่า หลวงพ่อมาสอนเนี่ย มันทุกข์ มันยาก ลำบาก ก็เขาปฏิบัติธรรมมันสบายดี นั่งหลับตามันสงบ ไม่ต้องไปเคลื่อนไหวส่วนใด นั่งขัดสมาธิเพชรสองชั้น มือขวาทับมือซ้ายวางบนตัก ตั้งกายให้ตรง มีสติหลับตาลงไป พุทโธ พุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ บริกรรมลงไป มันสงบ นิ่ง มันมีความสุข นี่หลวงพ่อมาสอนให้เคลื่อนให้ไหว มันปวดไหล่ ปวดหลัง ปวดเอว มาสอนให้เดินจงกรม มันยาก มันลำบาก เขาก็ว่า หลวงพ่อก็ถามว่า ความสงบ เวลาเราออกจากความสงบ มันเหมือนเดิม มันยังมีความโกรธ ความทุกข์ มีความหลงอยู่ เราปฏิบัติมากี่ ปี 10 ปี 20 ปี ยังโกรธ ยังโลภ ยังหลง ยังทุกข์
ความสงบมันเป็นความขี้เกียจขี้คร้านของชีวิตจิตใจของเรา ทุกคนไม่อยากทำอะไร อยากนั่งอยู่เฉยๆ ปฏิบัติธรรมต้องภาวนา ต้องมาขยันรู้ ความรู้ต้องขยัน ไม่ใช่ไปหลับตานั่งอยู่ เหมือนคนจะหาทรัพย์ต้องเป็นคนขยัน คนขยันย่อมหาทรัพย์ได้ คนเกียจคร้านไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นลองพิสูจน์ดูซิใช่มั้ย บางทีเราเวลาออกจากความสงบ ก็เหมือนเดิม จิตใจไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ประสบการณ์ ไม่ได้บทเรียนเลย เขาจึงมายอมรับ มาสัมผัส ใช่ปฏิบัติมา 10 ปี 20 ปี เวลาออกจากความสงบก็ยังเหมือนเดิมอยู่ เขามีความโลภ ความโกรธ ความหลง ฟูๆ แฟบๆ บางคนอ่อนแอไปเลย ปฏิเสธ หนีโลกไปเลย เบื่อโลกไปหาอยู่ในความสงบ ไปซื้อบ้าน ไปปลูกบ้านอยู่ต่างประเทศอยู่ บางทีเพื่อนหลวงพ่อที่มาอยู่เนี่ย มีฐานะดีไปซื้อบ้านอยู่ต่างประเทศ ไปปลูกบ้านอยู่ บางทีมันทิ้งงานทิ้งการ ลาออกจากงานจากการไปอยู่ในความสงบ บ้านเราก็มี ไปเช่าอุทยานสวนป่าอยู่เป็นกลุ่ม เป็นกลุ่ม ไปอยู่ในความสงบ ไม่ต้องทำอย่างนั้น ไปสู้ ไปบอกคน ไปสอนลูกศิษย์ลูกหา ไปช่วยชาติ แต่หนีผู้หนีคน ทุกวันนี้นะ ประเทศชาติของเรามันจะไปไม่รอดแล้ว
วันนั้นหลวงพ่อไปพูดที่เจ้าพ่อพญาแล ไม่ได้พูดอะไรเพราะว่าต้องรีบไปกรุงเทพฯนะ เดี๋ยวนี้ประเทศไทยเราเอาไม้ซุงไปแลกเอาหัวเผือกหัวมัน ไปแลกเอาอะไรต่างๆ จนหมดไปแล้ว ธรรมชาติในบ้านในเมืองเราฉิบหายวายวอดไปหมดแล้ว เราจึงมาช่วยกัน ถ้าไปดูต่างประเทศเขาน่ะ สิ่งแวดล้อมเขาเป็นเจ้าของประเทศ อย่างสหรัฐอาจจะไม่ใช่บุชนะ อาจจะเป็นสิ่งแวดล้อมในประเทศ บุคคลต่างๆ องค์กรต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เวลาเขาต้องการตรงไหนเอาไว้ให้ประชาชน ตรงบึง หนอง ในบึง ในที่ต่างๆ เขาจัดเอาไว้ให้รัฐบาลไปสร้างให้ไว้ ไม่ให้ผู้มีครองอยู่แล้วไปขอคืนมา เอาไว้ให้ประชาชน เอาไว้ให้คน ให้เป็นสมบัติของโลก อย่างประเทศไทยเราเนี่ย รังนกนางแอ่น คนญี่ปุ่นมาสัมปทานเอา คนไทยไปเอามากิน ยิงตายไปเลย สิ่งเหล่านี้มันเป็นสมบัติของมนุษยชาติ สามารถที่ใช้ได้ แต่นี่เมืองไทยของเรา อาจจะเป็นของใครไปแล้วก็ได้ เราจึงมาช่วยกัน หลวงพ่อเคยไปมาหลายประเทศแล้ว สิ่งแวดล้อมต่างๆเขาดีมากเลยนะ ต่างประเทศสหรัฐเนี่ย เขาจะถือว่าประเทศอารยะ อารยประชาธิปไตย ประเทศที่ไม่ตาย สมบัติพัสถานมากมาย สิ่งแวดล้อมเขาเป็นเจ้าของประเทศ ดูแลรักษา ถ้าเรามีคุณธรรมเกิดขึ้นมามันจะกระพือไป เกิดความรักขึ้นมา
พระพุทธเจ้าของเราเป็นยอดนักรักนะ รักเม็ดหิน เม็ดดิน เม็ดทราย รักสัตว์สาราสิ่ง รักต้นไม้ จะไปดุไปด่าไปทะเลาะวิวาทกันไม่เป็น ท่านไม่ทำ มีแต่ความเมตตา กรุณา สงสาร พูดสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา ทำสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา คิดสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในทุกสรรพสิ่ง มาสร้างคุณธรรมอันนี้ให้เกิดขึ้นมา ไม่ต้องมีใครสั่ง ไม่ต้องมีใครบังคับ เป็นหน้าที่ของพวกเรา ยิ่งพวกเรานี่ มีงานมีการ มีลูกศิษย์ลูกหา ยิ่งต่อหน้าต่อตาของเรา เป็นครอบเป็นครัว เป็นผัว เป็นเมีย เป็นลูก มีหลาน มีเพื่อน มีมิตรไปช่วยกัน ให้เกิดความสงบร่มเย็น อย่าไปทะเลาะวิวาทกัน ไปช่วยกันให้เกิดความอุ่นอกอุ่นใจ ไปช่วยกัน ให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วก็ช่วยได้จริงๆ ด้วยกายของเรา ด้วยใจของเรา ด้วยการกระทำของเรา หาทรัพย์สมบัติเอาไปช่วย ไปพึ่งพาอาศัย ได้เก่งๆ แล้วประเทศไหนๆ ก็ไม่เหมือนเมืองไทยเรา แม้เราจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม วัฒนธรรมของเรายังดี คนไทยเรานี่เพราะฉะนั้นเราชอบคนไทยมาก ศาสนาพุทธเนี่ย กับคนไทยเนี่ย เหมือนกับเป็นเลือดเป็นเนื้อ เป็นเลือดไปเลย แต่เรามาเพิ่มตรงนี้เข้าไป ไม่ยาก นิดเดียว ไม่ต้องไปลงทุนลงแทน พวกเรามีทุนอยู่แล้ว ทุนของเรามีอะไร มีคนไทยเป็นทุนแล้ว ในคุณธรรมนั้น ศรัทธา มีศาสนา มีการกระทำลงไป มีสติลงไป เสริมไม่มาก เพิ่มความรู้สึกตัวเข้าไป ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ขอให้เรามาให้ได้ทิศได้ทาง มาสร้างมาประกอบ เคยทำ เคยพลิกมือ เคยยกมือ เคยรู้สึกตัว เวลาใดที่มันโกรธกลับมารู้สึกตัว เวลาใดที่มันทุกข์กลับมารู้สึกตัว เวลาใดที่มันหลงกลับมารู้สึกตัว นี่หลักของเรานะ อย่าพึ่งไปพูด ไปดุไปด่า เวลาใดโกรธรู้สึกตัวเอาไว้ เวลาใดมันทุกข์รู้สึกตัวเอาไว้ อย่าให้ความทุกข์มันใหญ่มันโต สร้างหาเหยื่อ หาแนวร่วม ให้เกิดความทุกข์ความโกรธมากขึ้น กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว
การรู้สึกตัวเป็นตัวเฉลย ความโกรธเป็นสังขาร ความรู้สึกตัวเป็นวิสังขาร ความทุกข์เป็นสังขาร ความรู้สึกตัวเป็นวิสังขาร วิสังขารเนี่ยไม่ใช่เล็กน้อย เป็นนิพพาน เราได้กระแสแห่งนิพพาน ความรู้สึกตัวเป็นกระแสแห่งพระนิพพาน เริ่มต้นก็คือความรู้สึกตัว ท่ามกลางก็คือความรู้สึกตัว ที่สุดก็คือความรู้สึกตัว แม้แต่พระอรหันต์ก็คือผู้มีความรู้สึกตัว มีสติเป็นหน้ารอบ เหมือนพระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัย นั่น พระอรหันต์เป็นผู้มีสติ เป็นวินัย ไม่ใช่เดินเหินบนอากาศ ตาทิพย์ หูทิพย์ อันนั้นไม่ใช่ ตาทิพย์ก็คือตาภายในของเรา เห็นอารมณ์ที่มันจะแทรกเข้ามา ตาทิพย์นี่หมายถึงความรู้สึกของเรา เห็นอารมณ์ เห็นอาการ ที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม อาการที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ตาทิพย์เนี่ย ความโกรธเป็นอาการ ความทุกข์เป็นอาการ ความเจ็บปวดเป็นอาการ ความร้อน ความหนาวเป็นอาการ ความหิวเป็นอาการ ที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อาการที่มันเกิดอย่างนี้ตกอยู่ในความไม่เที่ยง ตกอยู่ในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรไปยึดไปถือ ยึดถือไม่ได้จริงๆ มันจะหลอก ความโกรธเป็นอาการ ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่าให้มันหลอก เมื่อมันเป็นอาการ มันก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ควรไปยึดไปถือ สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็ไม่ควรไปยึดไปถือ สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรไปยึดไปถือ เราเฉลยเลย เราถลุงเลย ย่อยออกไปเลย เหลือแต่ความรู้สึกตัว เหลือแต่ความรู้สึกตัว เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตน ที่เป็นอาการ ที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจของเรา รู้เท่านี้ก็พอแล้ว ไปสู่มรรคสู่ผลได้
ผู้ใดเจริญอยู่ในไตรลักษณ์คือความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจของเรา เอียงไปไหลไป สู่มรรคสู่ผล เหมือนน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ถึงทะเล ทุกหยด อย่างน้ำลำปะทาวของเรา ก็ไหลถึงทะเลมหาสมุทร เพราะมันเป็นอะไร คนผู้เจริญในสติ เห็นไตรลักษณ์ เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เอียงไปไหลไป สู่มรรคสู่ผล เจริญอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ มรรคผลก็คือไม่ ไม่มีปัญหา จบแล้ว หยุดแล้ว เย็นแล้ว นิ่งแล้ว ไม่มีอะไร เรื่องของจิตของใจเป็นเรื่องที่พึ่งพาอาศัยได้ เรื่องของกายเป็นเรื่องกรรม เอากายเอาใจมาทำความดี แล้วทำความดีได้สำเร็จ เอามาเป็นที่พึ่งเรียกว่าความดีเป็นที่พึ่งได้ ความเย็นเป็นที่พึ่งได้ ความไม่ปรุงไม่แต่ง ความไม่เป็นอะไรเนี่ย มันมีกระแสอย่างนี้ การศึกษาการปฏิบัตินะ ไม่ใช่เราคะเนเอา ไปมอบให้ใครที่ไหน เป็นเรื่องของเรา
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นสาธารณะ แล้วความรู้สึกตัวเนี่ย มันเป็น มันเป็นของส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัว ถ้าเรามีความรู้สึกตัว เป็นส่วนรวม เป็นความสงบ เป็นความอบอุ่นในส่วนรวม เราจึงมาสร้างตัวนี้ขึ้นมา ถ้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ขอให้เรามาสร้างให้มันมี ให้มันมาก แต่มันก็มีโอกาสมีมากได้จริงๆ 14 จังหวะ พอดี พอดีเลย เรียกว่า บรรพ ภาษาบาลีเรียกว่า บรรพ ภาษาที่เราพูดกัน เข้าใจ เป็นภาษาบ้านเราเรียกว่าจังหวะ แต่ละจังหวะนี้ อาจจะเป็นวินาทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง วินาทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง วินาทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง แม้แต่หายใจเข้า หายใจออก วินาทีหนึ่งหายใจทีหนึ่งเข้า หายใจออกก็รู้ทีหนึ่ง รู้ทีหนึ่ง มันมีโอกาสที่จะมีมากได้ ภาวิตาพหุลีกตา ทำให้มากเจริญให้มาก เป็นมหารู้ ถ้ามันรู้มากๆ มันจะเกิดอะไรขึ้น ตรงนี้ไม่ใช่เหตุใช่ผล เป็นการกระทำ มาพิสูจน์กันลองดู ถ้ามันรู้สึกตัวมาก มาก มากๆ ไม่หลงไม่หลง หนึ่งวัน หนึ่งวัน สองวัน มันจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นแหละ เรียกว่ากรรมฐาน เรียกว่า เหตุผล ในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อริยสัจ 4 มีแต่เหตุกับผล มีแต่เหตุ หรือว่ามรรคผล มรรคผล การสร้างสติเป็นมรรค ถ้ามีสติเป็นผลทันทีเลย ทันทีเลย มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันมีมาก มีมาก
ถ้าเรามาถามเราดู มาดูตัวเรา ตั้งแต่วันเกิดมาถึงวันนี้ ความรู้สึกตัว กับความหลงอันไหนมันมากกว่ากัน อันไหนมันมากกว่ากัน ดูตัวเรา ถ้าเรามาดูเราแล้ว โอ้โฮ! ความหลงมันมีมากเหลือเกิน กระตือรือร้น ที่จะใช้ความรู้สึกตัว ปัดโธ่! เราอยู่กับความหลง ความหลงมันเกิดได้หลายอย่าง ทางตา ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง พอมารู้สึกตัว พอมาสร้างความรู้สึกตัวเนี่ย ขนหัวลุก มันหลุดมาได้ยังไงชีวิตของเรา มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไหน ขยันแล้วบัดนี้ เก็บเอาเก็บเอา บางคนกระหืดกระหอบไม่เคยมีอะไร มาเก็บเอาเก็บเอา
หลวงพ่อเทียนท่านสอน รู้หลวงพ่อเทียนตรงไหน ไม่เคยมีใครมาสอนให้มีความรู้สึกตัว หลวงพ่อเทียนบอกว่า พลิกมือขึ้นดู รู้ไหม ยกดูซิรู้ไหม รู้ ให้คนสร้างตัวนี้นะ ให้มันรู้สึกตัวนี่นะ โอ้ย! พอใจเลย ไม่ต้องไปคิดหาเหตุหาผลอะไร พลิกมือขึ้นรู้ ยกมือขึ้นรู้ เคลื่อนไหวมือรู้ โอ! ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว เราเดินลองดูก็รู้สึกตัว เดินลองดูก็รู้สึกตัว มารู้จักหลวงพ่อเทียนตอนนี้ พอใจเลยทีเดียว แต่ก่อนมีแต่บอกให้นั่งหลับตา สงบ เราก็สงบ แล้วบางทีก็เกิดนิมิตกลายเป็นหมอ สมัยก่อนน่ะ นั่งหลับตาสงบ รับเป็นหมอไสยศาสตร์ไปเลย มองเมฆ เหมือนปลิวบนใบหญ้านะสมัยก่อน มีคาถา (หัวเราะ) มีคาถาด้วย ไล่ผีด้วยสมัยก่อน มันเป็นไปทางนั้นไปทางนั้น กิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง ยังมีมาก แต่ว่ามันไปแบบนั้น โอ! พอมาเจอหลวงพ่อเทียน หลวงพ่อเทียนสอนให้รู้สึกตัว โอ! เราไม่เคยรู้ตัวนี้เลย พอมีความรู้สึกตัว เห็นอะไรต่างๆแล้วบัดนี้ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับใจ มันคิด เห็นความคิดตัวเอง แต่ก่อนไม่เคยเห็นความคิด ไม่เคยแก้ความคิดตัวเอง ปล่อยเลย คิดอะไรก็สาธารณะ คิดบ้าๆบอๆได้ทั้งนั้น บัดนี้พอมามีความรู้สึกตัว จัดสรรความคิดตรงนั้น หยุด เหมือนเรามีทีวี พอมันจัดรายการอะไรเราปิดได้ แต่ก่อนปิดไม่เป็นนะ ความคิดนี้ กลางคืนหาเรื่องมาคิด คิดจนนอนไม่หลับ มีไหม อาจารย์มีไหมบางที มันลักคิดใช่ไหม ไม่ได้ตั้งใจเลย ปิดเป็นไหมบัดนี้ ปิดเป็นไหม ปิดเป็นไหม ก็ต้องเป็นเนอะ ต้องเป็นแล้วบัดนี้ มันรายการไม่ดี มันออกมาจาก ถ้าจะว่าแล้วมันเป็นการฉายออกมา รายการที่มันแสดงมาเนี่ย นอนไม่หลับเพราะความคิดตัวเอง บางทีคิดขึ้นมาน้ำตาไหลมีไหม หลวงพ่อเนี่ยมีเหมือนกันนะ (หัวเราะ) คิดกัดตอดตัวเอง เดี๋ยวนี้ปิดได้แล้วบัดนี้ ต่อไปนี้ปิดเป็นแล้วบัดนี้ ปิดแล้ว ปิดแล้ว เป็นทุกข์เพราะความคิดตัวเอง หลงเพราะความคิดตัวเอง คิดขึ้นมา ลุกหนีไปเลย นอนอยู่กับลูกกับเมียดีๆ คิดขึ้นมา พอใจ ไม่พอใจ หยุดจริงๆเรื่องนี้ หยุดจริงๆ เรื่องของความคิด จะมาบังคับขับไสเราไม่ได้ เราต้องจัดการกับตัวเรา นี่คือปฏิบัติ ได้หลักจริงๆ นะนะนี่ ก็พูดให้ฟัง ไม่ได้ ไม่ได้สอนนะ บางอย่างก็สอน บางอย่างก็พูดให้ฟัง สิ่งที่พูดนี่สัมผัสได้ เพราะมันเป็นเรื่องของเรา พูดเรื่องกาย เรื่องจิตใจของเรา
หลวงพ่อก็ไปพุทธมณฑล ไปสอนธรรมะเหมือนกัน มีครูเหมือนกัน ประมาณ ๓๐ กว่าคน ก็จะจบวันที่ ๓๐ แล้วก็จะต่อไปอีกถึงวันที่ 5 มีอีกกลุ่มหนึ่ง เลยเอ้อก็เลยกลับมานี่ก่อน ที่นั่นก็มีเพื่อน มีพระช่วยกันอยู่ ก็อยากมาพบกับอาจารย์บ้านเรา หลวงพ่อก็เป็นคนชัยภูมิ เราก็เป็นคนชัยภูมิอยู่ด้วยกัน