แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เวลานี้ขณะนี้พวกเรามาปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการเจริญสติ สติก็ไปตั้งไว้ที่กายเป็นเบื้องต้น แต่มันก็ไปตั้งไว้ที่จิตด้วย ทำอย่างเดียวมันควบคุมหลายอย่างเพราะว่ากายจิตที่เป็นส่วนใหญ่ๆ เป็นกองใหญ่ๆ มันก็คุมได้ แต่การฝึกหัดเบื้องต้นนี้เราเอากายเป็นนิมิต เอากายเป็นที่ตั้ง ก็จะเกิดการพบเห็น การศึกษาตามหลักของปฏิบัติจะต้องเกิดการพบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น พบเห็นกายจนเห็นกายเป็นสูตร ว่ากายก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นคำตอบออกมาจากความรู้สึกตัวภายใน ไปเห็นแล้วจึงตอบจึงพูดออกมาจึงแสดงออกมาว่ากายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เห็นแจ้งจนชี้ลงไป สติเป็นการพบเห็นเข้าไปบอกเข้าไปพูด ไม่ใช่คำพูด เห็นความรู้สึกภายในมันเป็นสูตร จนรื้อถอนตนที่มีอยู่ในกาย มีแต่เห็นเรื่องของกาย เป็นการเห็นไม่ได้เข้าไปเป็น เช่น พระอริยบุคคลชั้นต้น รื้อถอนกายเรียกว่าสักกายทิฏฐิ ไม่มีตนอยู่ในกาย มีแต่เห็นเป็นอาการต่างๆ รื้อถอนตนออกไปเสียได้ เรียกว่าสักกายทิฏฐิ ไม่มีตนอยู่ในกาย เห็นความร้อน ความหนาว ความหิว ความปวดเป็นอาการเห็น เห็นมันร้อน เห็นมันหนาว เห็นมันปวด เห็นมันหิว ไม่เอามาเป็นสุขไม่เอามาเป็นทุกข์ในเรื่องของกาย ไม่เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับกาย เห็นเป็นปัญญา เป็นปัญญาแล้ว ภาวะที่เคยสุขเคยทุกข์เรื่องของกายเอามาเป็นปัญญา เป็นปัญญา พ้นออกจากกายได้ เกี่ยวข้องกับกายถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วมันก็มีสูตร มันร้อนก็อาบน้ำ มันหนาวก็ห่มผ้า ไม่ใช่เป็นตน เป็นปัญญาที่เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง หิวก็กินข้าว ปวดเมื่อยก็พักผ่อน ในรูปกองกายกองรูปเห็นในความเป็นจริง เห็นในความไม่เที่ยง เห็นในความไม่ใช่ตัวตนที่เป็นกองรูป เรียกว่าสูตรของมันเป็นอย่างนั้น ไปเห็นเข้าจริงๆ ตอบได้จริงๆ ตอบครั้งเดียวจบไปตลอดชาติ เห็นครั้งเดียวจบไปตลอดชาติ
มันก็มีเรื่องเดียวเรื่องของกายเรื่องของรูป กายานุปัสสนา เป็นการศึกษาที่ไปพบเห็น เป็นสูตร เป็นด่าน กักเราไม่ได้แล้วเรื่องของกาย เรื่องของเวทนาก็เหมือนกัน เวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับรูป ส่วนเวทนามันเป็นเหตุเมื่อมันทุกข์ก็ไปถึงจิตถึงใจทำให้ใจทุกข์ ทุกข์กายเราก็ทุกข์ใจ ทุกข์ใจเราก็ทุกข์กาย สุขกายเราก็สุขใจ สุขใจเราก็สุขกาย ความสุขความทุกข์มันเหมือนหน้ามือหลังมือ มันเป็นสังขารทั้งสองอย่างที่เกิดจากรูปจากนามไม่ใช่เกิดจากปัญญา มันก็ผิวๆ เผินๆ อันสุขอันทุกข์ที่เกิดขึ้นกับจิตกับใจกับรูปกับกายที่เป็นสุขแบบปรุงๆ แต่งๆ เป็นสังขาร เป็นเวทนา บางทีเราไปหลง บางทีก็หลงในเวทนาจนไปซื้อเอาเวทนา ไปขโมยไปลัก ไปบังคับไปข่มขืนเอาสุขกับเวทนา เวลามันทุกข์ก็ปฏิเสธ ผลักหน้าผลักหลัง หนี ร้องห่มร้องไห้ เสียอกเสียใจ ดีอกดีใจ ของอย่างเดียวเป็นสุข ของอย่างเดียวเป็นทุกข์ ของอย่างเดียวรัก ของอย่างเดียวชัง ของอย่างเดียวชอบ ของอย่างเดียวไม่ชอบ ในลักษณะของเวทนา เป็นสุขเป็นทุกข์ เราเห็น เห็นแจ้งนะจนตอบออกไปได้เลย เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ด่านนี้ก็กักเราไม่อยู่แล้ว กักเราไม่อยู่ เห็นแจ้งในเวทนา เวทนาที่เกิดกับรูปกับนาม เป็นปัญญาแล้ว ไม่ใช่เวทนาที่มันเป็นอุปาทานไปยึดติด เวทนาที่เกิดปัญญาข้ามล่วงได้ ตลอดถึงจิตที่มันคิดขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นความคิด แต่ก่อนเคยมีตัวตนอยู่ในความคิด ถ้าคิดขึ้นมาก็หอบหิ้วไปได้ คิดสุขก็สุข คิดทุกข์ก็ทุกข์ คิดรักก็รัก คิดหลงก็หลง คิดโกรธก็โกรธ ก็หลงไปกับความคิดในลักษณะความคิด ความคิดที่เกิดขึ้นกับจิต ความคิดที่เกิดขึ้นกับจิต มันก็คิดได้ตะพึดตะพือ มันไหล มันไหลอยู่เหมือนกับไมค์ที่หลวงพ่อถืออยู่นี่ พอมีอะไรสัมผัสมันก็ไปมันก็เก็บเอา มันมีภาวะที่เก็บ มันมีคลื่นเมื่อมีกระทบกับไฟกลายเป็นเสียง จิตก็เหมือนกัน มีอะไรมาสัมผัสก็ไป เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิดก็คิดไปต่าง ๆ นานา ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์มันก็คิดไป ไม่ใช่ตัวใช่ตนอยู่ตรงนั้น เห็น เห็นจิตที่มันคิดที่มันปรุงๆแต่งๆ ไป ตัวหลงพาให้เกิดความคิดเป็นปี่เป็นขลุ่ยเข้าไป พอมาเห็นเข้า ปัดโธ่! แต่ก่อนเราไม่เคยเห็นความคิดตัวเอง นึกว่าตัวว่าตนไปทั้งหมด สิ่งไหนที่เกิดจากความคิดถือว่าตน คิดขึ้นมาแล้วก็เป็นไปต่างๆ ตามอาการที่มันเกิดขึ้นกับจิต เห็นแล้วก็เป็นปัญญา เอาความคิด เห็นความคิดที่เกิดขึ้นกับจิตมันก็เป็นปัญญาจนตอบได้ว่า จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันกักไม่ได้แล้วบัดนี้ ผ่าน ถ้าจะเป็นด่านมันกัก มันขวางมันกั้นทำให้สยบทำให้อยู่ ผู้ที่เจริญสตินี่ถือว่าผ่านได้เหมือนด่านที่มันกักเราเดินทางไปโน่นไปนี่ เราผ่านได้ เรามีความถูกต้อง เราชอบธรรม โดยเฉพาะความรู้สึกตัวเนี่ย มันทำให้เกิดการผ่านได้อย่างสะดวกสบาย ตลอดจนไปเห็นสิ่งที่ครอบงำจิต เห็นความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย ความคิดฟุ้งซ่านพยาบาทอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ขวางกั้นเป็นภูเขาลูกแรก ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมหนีไม่พ้น เช่น ความง่วงเหงาหาวนอน ความคิดพวกนี้ พระพุทธเจ้าก็เดินไปทางนี้แหละ ถ้าใครเห็นความง่วง ความลังเลสงสัย เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้นในเวลาเราเจริญสติ ทำให้เราหลงไปแสดงว่าเราเดินไปทางเดียวเส้นเดียวกับพระพุทธเจ้า จนพระพุทธเจ้าเลยตรัสว่าเป็นภูเขาลูกแรกที่ขวางจิตไม่ให้บรรลุคุณงามความดี ไม่ให้สติงอกงาม ความง่วงเหงาหาวนอน เราก็รู้สึกตัว อาจจะเปลี่ยนความง่วงเป็นความรู้สึกตัวเป็นปัญญา ปัดโธ่! เห็นความง่วงมันเกิดขึ้นมา เห็นความลังเลสงสัย เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้นในเวลาเราเจริญสติ จะต้องเห็นเป็นลักษณะแบบนี้แหละการปฏิบัติธรรม มันเป็นสิ่งที่ผ่านหน้าผ่านตา เหมือนตาที่เรามองไปข้างหน้า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา มันก็เกิดการเห็น มันก็เห็น แต่เห็นบางอย่างเราก็ไม่ไปสยบเราก็ไม่ไปข้องอยู่ เหมือนเราเดินทางเห็นสองข้างทาง เห็นตรงหน้าตรงตา เห็นขวากเห็นหนาม เราก็ข้ามไป เห็นหลุมเห็นบ่อเราก็ข้ามไป
การเกิดสิ่งไหนที่ไม่ใช่สติมันขวางเราก็ผ่านไป รู้สึกตัว เห็นแล้วเห็นอีก เห็นสิ่งเก่า ๆ เห็นแล้วเห็นอีก เห็นของเก่าเห็นแล้วเห็นอีกมันก็พัฒนา ไม่ใช่ว่ามันจะหลง ตรงที่มันเห็น เห็นเรื่องเก่า ๆ เห็นมือที่มันเคลื่อนไหวไปมา เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นความคิด เห็นสิ่งที่มันครอบงำจิตใจเป็นความสุขเป็นความทุกข์บ้าง เรียกว่าธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ธรรมก็คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับจิต เป็นกุศล เป็นอกุศล กุศลก็คือความหลงในความสุข หลงในความรู้ หลงในความคิดเหตุผลต่างๆ อกุศลก็หลงในความทุกข์ หลงในความโง่หลงงมงายไปก็มี ตัดสินใจไปตามความโกรธ ตัดสินใจไปตามความทุกข์ ตัดสินใจไปตามความโลภความหลงไป ไม่หลงก็พยายามสร้างให้มันหลง หาเรื่องที่จะให้มันหลง เช่น ความโกรธเกิดจากความหลงก็พยายามปลุกให้มันหลงอยู่เรื่อย ทำไม ทำไม ย้ำคิดเรื่องเก่าให้มันหลงก็กลายเป็นความหลงที่ไปเปรอะไปเปื้อนเอา ติดไป บัดนี้เรามีสติมันไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนมันหลงก็เห็นความหลง เห็นความหลงบ่อยๆ การเห็นสิ่งเก่าบ่อยๆ ที่มันไม่ใช่เป็นเรื่องการกระทำของเรา ก็เกิดปัญญาตรงนั้นด้วย จนเห็น เช่นเห็นกายที่มันเคลื่อนมันไหวอยู่นี้ เห็นไปเห็นมา ดูไปดูมา เห็นลักษณะที่มันเคลื่อนไหวเป็น เดินเป็น คิดเป็น สุขเป็น ทุกข์เป็น ร้อนเป็น หนาวเป็น มันอยู่ด้วยกัน มันก็เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม พอเห็นเป็นรูปเห็นเป็นนาม มันก็สรุปให้เป็นกองรูปเป็นกองนาม แต่ก่อนเราเรียกว่าเวทนา เรียกว่าสุข เรียกว่าทุกข์ ทุกข์กายทุกข์จิต สุขกายสุขจิตใจ ร้อน ๆ หนาว ๆ หิว ปวดเมื่อย พอมาเห็นเป็นกองรูปกองนามก็เห็นเป็นอาการ เห็นเป็นอาการของกองรูป เห็นเป็นอาการของกองนาม ไม่ใช่มีตัวมีตนอยู่ตรงนั้น สรุปให้เลย ความร้อนความหนาวความหิวความปวดความเมื่อยเป็นอาการของรูป ถ้ารูปมันไม่มีอาการมันก็เป็นอันตราย ก็กลายเป็นปัญญา เอามาเป็นปัญญา ไม่ใช่เอาเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของกาย ไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องของจิต กายก็คือกองรูป ความรู้สึกคิดนึกต่าง ๆ เป็นกองนาม ความหลงความโกรธความรักความชังความวิตกกังวลเศร้าหมองมันเป็นอาการของนาม เป็นอาการของจิตใจ จิตใจมันก็ต้องมีอาการเช่นนั้น อาการที่มันเกิดขึ้นกับรูป อาการที่มันเกิดขึ้นกับนาม มีมากมายหลายอย่าง เราก็สรุปว่าเป็นอาการ ไม่มีตัวมีตนอยู่ตรงนั้น แต่ก่อนก็หมดเนื้อหมดตัวอยู่กับอาการต่าง ๆ ถ้าหลงก็กูหลง ถ้าสุขก็กูสุข กูทุกข์ กูร้อน กูหนาว กูโกรธ กูรัก กูชัง ทำตามอาการเพราะถูกหลอก ถูกความโกรธหลอก ถูกความโลภหลอก ถูกความหลงหลอก ถูกความรักความชังถูกการปรุงๆแต่งๆ หลอก บัดนี้พอมาเห็นอาการก็หยุด เป็นปัญญา เป็นปัญญา เกี่ยวข้องกับรูปเกี่ยวข้องกับนามเป็น อาการที่มันเกิดขึ้นกับรูป ถ้ามันไม่มีอาการมันก็อันตราย ก็ถือว่าเป็นปัญญา ขอบคุณเขาที่เขาร้อนเขาหนาว ขอบคุณเขาที่เขาปวดเขาเมื่อย ขอบคุณเขาที่เขารู้จักหิว ในกองรูปกองนามก็เป็นเช่นนั้น มันตกอยู่ในสภาพไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน ตัวของมันก็ไม่ใช่ตัวของมัน มันก็เป็นไปตามอาการที่มันเกิดขึ้น แล้วเราผู้มีสติผู้มีปัญญาก็เข้าไปเกี่ยวข้องกลายมาเป็นปัญญา สิ่งต่าง ๆ ที่เคยสุขเคยทุกข์มาเป็นปัญญา พบเห็นเข้า รู้แจ้ง รู้แจ้งในกองรูปกองนาม ก็ดูแลรักษารูปดูแลรักษานามถูกต้อง แต่ก่อนรูปนามพาให้ทำชั่ว พาให้ทำผิดศีลผิดธรรม เสียเวล่ำเวลา เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนคนอื่น เป็นทุกข์เพราะกองรูปกองนาม เป็นสุขเพราะกองรูปกองนาม บางทีเราก็หลง หลงเอามาเป็นสุข หลงเอามาเป็นทุกข์ หาความสุขความทุกข์จากกองรูปกองนาม ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ปัญญา ความสุขมันไม่ใช่อยู่ในลักษณะแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามเห็นแจ้งเป็นปัญญา รักษาเอารูปเอานามมาทำความดี เอารูปเอานามมาละความชั่ว เอารูปเอานามไปทำความดี ความดีที่อาศัยรูปอาศัยนามนี้ทำดีได้เยอะ ทำดีได้มาก ไม่เสียเวลาที่จะเอารูปเอานามไปทำชั่ว เคยสูบบุหรี่ เคยกินเหล้า เคยโกรธ เคยโลภ เคยหลง เคยวิตกกังวล หมดไป หมดไปแล้วบัดนี้ เหลือแต่รูปที่เอามาทำความดีได้สำเร็จ เอารูปมาละความชั่วได้สำเร็จ เอานามมาทำความดีได้สำเร็จ เอานามมาละความชั่วได้สำเร็จ ก็กลายเป็นประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน มันไปทางนี้นะการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปเห็นนิมิตเห็นสีเห็นแสงเห็นความสงบที่มันไปอยู่ ที่มันทับเอาไว้ ไม่ใช่แบบนั้น สงบแบบศิลาทับหญ้า อันนั้นไม่ใช่ พอออกจากความสงบหญ้ามันก็เกิดมาอีก
การปฏิบัติธรรมมันเป็นการเห็นแจ้ง เป็นการเห็นแจ้ง เราก็เห็นตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นความคิด เห็นสิ่งเหล่านี้แหละ มันเกิดขึ้นทีไรก็เห็น เห็นแจ้ง เห็นแล้วเอาไว้ทีหลัง เอาไว้ข้างหลัง เอาไว้ข้างหลังเรื่อยๆไป ความหลงก็เกิดขึ้นก็รู้แล้ว พอว่ารู้แล้วมันก็จบไปแล้ว อะไรที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม กับจิตใจเรา ตัวสติเป็นตัวเฉลยไปเรื่อยๆไป ได้หลักฐานของรูปของนาม รูปนามมันบอก มันบอก มันคืออะไร มันเปิดตัว กองรูปมันก็เปิดตัวให้รู้ให้เห็น เห็นหมด เห็นครบ เห็นถ้วน ไม่มีตรงไหนปิดบังอำพราง กองนามก็เปิดตัวให้เราได้รู้ได้เห็น ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์อย่างไร แต่ก่อนเราเคยเป็นสุขเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เมื่อสิ่งที่ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เกิดขึ้น ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ ความไม่ใช่ตัวตนก็พาให้เราเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ก็พาให้เราเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์สร้างความทุกข์ ความไม่เที่ยงก็สร้างความไม่เที่ยง กลัว ความไม่ใช่ตัวตนก็ไปเอามา บัดนี้มันเป็นปัญญา เห็นความไม่เที่ยงที่มันแสดงทีไรก็เป็นปัญญา รู้แล้ว เห็นความเป็นทุกข์ก็เป็นปัญญา เห็นความไม่ใช่ตัวตนก็เป็นปัญญา เขาก็แสดงอยู่เสมอ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน แต่ก่อนเราก็ถูกสิ่งเหล่านี้ครอบงำพอมาเห็นรูปเห็นนามตามความเป็นจริง ในความไม่เที่ยงมันก็จะแสดงอยู่ตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย ในความไม่ใช่ตัวตนมันก็แสดงตั้งแต่เกิดจนตาย ในความเป็นทุกข์มันก็ต้องแสดงอยู่เช่นนั้น ในกองรูปกองนาม แต่สิ่งที่มันพัฒนาได้คือสติคือปัญญาที่ไปเห็นเข้า เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เป็นธรรมดาแต่เป็นสิ่งที่นำให้ถึงมรรคผลนิพพาน ดังที่เราสวดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด การเห็นความไม่เที่ยงไม่ใช่เล็กน้อย ทำให้หลุดพ้น ทำให้ภพชาติตรงนี้ไม่หลงไม่เอามาเป็นตัวเป็นตนในความไม่เที่ยง ไม่เอามาเป็นทุกข์ ไม่วิตกกังวล เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด ความทุกข์แท้ ๆ ทำให้เกิดเป็นพุทธะ พุทธะเกิดอยู่บนความทุกข์ ความทุกข์ทำให้เกิดความไม่ทุกข์ เป็นพุทธะขึ้นมา ความหลงทำให้เกิดความไม่หลง เป็นพุทธะขึ้นมา ความไม่เที่ยงทำให้เห็นแจ้ง ทำให้เกิดเป็นพุทธะขึ้นมา พุทธะหมายถึงตัวปัญญา ไม่ใช่เกิดเป็นรูปเป็นตัวเป็นตน พุทธะจริง ๆ คือธรรมะที่เป็นตัวสติตัวปัญญา เช่น พระวักกลิ เห็นพระพุทธเจ้าศรัทธาต้องไปกราบไปไหว้จับนิ้วมือจับชายจีวร หลงในพระรูปของพระองค์ ไม่ใช่ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดไม่เห็นธรรมผู้นั้นไม่เห็นพระพุทธเจ้า เห็นธรรมก็คือธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบนรูปบนนาม เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เราก็ใช้กุศลคือความเฉลียวฉลาด ฉลาดออกจากทุกข์ ไม่ใช่ฉลาดเพื่อหลอกลวงตัวเองหลอกลวงคนอื่น ฉลาดออกจากทุกข์ เปลี่ยนความทุกข์ให้เป็นความไม่ทุกข์เป็น เรียกว่ากุศล เปลี่ยนความหลงให้เป็นความไม่หลงเรียกว่ากุศล เปลี่ยนความโกรธให้เป็นความไม่โกรธเรียกว่ากุศล เปลี่ยนความวิตกกังวลอะไรต่างๆที่มันเกิดเป็นอุปาทานที่มันยึดเอามานั่นละเป็นกุศลเป็นความฉลาด หรือพูดง่ายๆ คือ เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูก เป็นนักเปลี่ยนแปลงความร้ายเป็นความดี มาอย่างไรเปลี่ยนเป็นความฉลาด แล้วมันก็เปลี่ยนได้ พอเปลี่ยนได้เพราะเรารู้สึกตัว ไม่ใช่ไปยอมมัน เช่นแต่ก่อนเรายอมมัน มันหลงก็ไปกับความหลง มันโกรธก็ไปกับความโกรธ มันทุกข์ก็ไปกับความทุกข์ บัดนี้มันเปลี่ยน มันเกิดขึ้นมาเพื่อให้เราเปลี่ยน เพื่อให้มันเปลี่ยน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยน ปฏิบัติคือเปลี่ยนคือกลับ เปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เรารู้สึกตัว เรารู้สึกตัว ความรู้สึกตัวพาให้พัฒนา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นมรรค เป็นผล เป็นญาณ เป็นฌาน ถ้ารู้มากก็เป็นกำลังของความรู้ เหมือนสิ่งที่เผา ความรู้สึกตัวเหมือนสิ่งที่เผากิเลส เผาความโลภความโกรธความหลงไม่ให้เหลือ รู้สึกทีไรอะไรก็ตามถ้ารู้สึกตัว พลังแห่งความรู้สึกตัวกำจัดกิเลสธรรมทั้งหลายได้ เช่นเราก็ใช้ได้แล้วตั้งแต่เริ่มต้น พอมันหลงทีไรก็รู้สึกตัว ความหลงก็หายไป พอมันโกรธทีไรก็รู้สึกตัว ความโกรธก็จะหายไปหรือเบาบางลง
อย่างพระสกิทาคามีนี้ก็ไม่ใช่เรื่องอื่น คุณธรรมของพระสกิทาคามีก็ทำลายความโลภ ความโกรธความหลงเบาบางลงหรือหมดไป สำหรับพระโสดาบันทำลายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส 3 ข้อเท่านั้นเอง อะไรที่เกิดขึ้นกับกายไม่เอามาเป็นปัญหาอีก เรียกว่าสักกายทิฏฐิ ไม่มีตนอยู่ในกาย เรื่องของกายไม่มีตน เห็นแล้ว สักกายทิฏฐิไม่มีตนอยู่ในกายเรียกว่าพระโสดาบัน ไม่เอาทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกาย ไม่มีตนที่จะเอามาเป็นทุกข์อยู่ในกายในรูป นี่เป็นปัญญา วิจิกิจฉา ไม่สงสัยแล้วเรื่องกายเรื่องจิตใจ ไม่สงสัย ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่เป็นศีลพรตไม่ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่าเกิดเป็นปัญญา สีลัพพตปรามาสนี้จริงจังกับกายกับรูปกับนาม ไม่ใช่ เห็นเป็นปัญญา แต่ก่อนเราจริงกับกายกับจิต เราคิดสิ่งใดก็ตัดสินใจทำตามความคิด ถ้ากายมันเกิดอะไรขึ้นมาก็ตัดสินใจเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย พระโสดาบันทำลายลงได้ ส่วนพระอนาคามีเพิ่มไปอีก กามราคะ ปฏิฆะ ตลอดถึงทำลายความโลภความโกรธความหลงลงไป ความเป็นพระไม่ใช่เป็นรูปเป็นแบบ เป็นคุณธรรม ดังที่เราสวดว่า พระสงฆ์เกิดจากพระสัทธรรม มีการปฏิบัติดีเป็นต้น เกิดจากพระสัทธรรมคือความจริงในชีวิตจิตใจของเรา ความโกรธมันไม่จริง ความไม่โกรธเป็นเรื่องจริง ความทุกข์มันไม่จริง ความไม่ทุกข์เป็นเรื่องของจริง มีการปฏิบัติดีเกิดจากพระสัทธรรม เห็นความไม่จริง เห็นความเป็นจริง ความหลงมันไม่จริงสัมผัสดูแล้ว ความรู้สึกตัวความไม่หลงนี้มันเป็นจริง ความโกรธมันไม่จริง ไม่ต้องไปเสียเวลาเพราะความโกรธอีก ความไม่โกรธมันจริงกว่า เป็นธรรมกว่า พระสัทธรรม ใครเป็นผู้บอก เราต้องบอกตัวเรา เพราะเห็นกับหน้ากับตา ต่อหน้าต่อตา ทุกวันทุกเวลา เวลาเราปฏิบัติความหลงก็ผ่านหน้าผ่านตา ผ่านดวงตาภายใน คือสติสัมปชัญญะเป็นดวงตาภายใน เห็น เราว่ารู้แล้วก็ว่าได้ รู้แล้ว สิ่งไหนที่มันเกิดขึ้นที่ไม่ใช่สติ รู้แล้ว รู้แล้วว่าอย่างนี้ ไปแบบนี้ ไปทางนี้นะปฏิบัติธรรม มันเป็นทางอยู่ ความรู้สึกตัวเหมือนทาง ความหลงมันก็เข้ารกเข้าพงไป คนที่เดินอยู่บนความรู้สึกตัวเหมือนคนเดินบนเส้นทางที่โล่งที่เตียน แต่ถ้าคนที่ไม่เคยเดินทางอยู่บนความเตียนมันก็ไม่เห็นเพราะไม่เคยชิน เช่นเวลาใดเขาหลงเขาก็ไปกับความหลง ความหลงไม่ต่างเพราะไม่มีอะไรเปรียบเทียบ พวกเราที่เคยปฏิบัติเคยเจริญสติแล้ว มารู้สึกตัว รู้สึกตัวมา 1 วัน 2 วัน 3 วัน 5 วัน 7 วัน มันจะเห็นความหลงต่างกันกับความรู้สึกตัว คนละหมู่กัน แล้วไม่มีใครที่ไปเอาความหลงเพราะเขาเคยรู้สึกตัวแล้ว เหมือนเขาเดินทาง เวลาที่เข้าป่าเขาก็ไม่เอาเขาก็ต้องกลับมาเดินอยู่บนเส้นทาง แม้บางทีตาไม่เห็นแต่ต้องสัมผัสดูมันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนตาบอดคลำทางเขาก็รู้จักทางเพราะการสัมผัส การปฏิบัติธรรมมันเป็นทั้งการพบเห็นและการสัมผัส สัมผัสกับความหลง สัมผัสกับความรู้ สัมผัสกับความไม่ทุกข์ สัมผัสกับความทุกข์ เราก็เลือกเป็น ชีวิตนี้มันต้องเลือกได้ เลือกเป็น บุญวาสนามันเลือกได้ถ้าปฏิบัตินะ ไม่ใช่บุญวาสนาแข่งขันกันไม่ได้ มันได้อยู่ ถ้าเป็นการกระทำ วาสนา วาดก็คือทำเอา แต่งเอา เขียนเอา เลือกความรู้สึกตัว เลือกความไม่หลง เลือกความไม่โกรธ เลือกความไม่ทุกข์ เพราะผู้ที่เจริญสติเขาจะไม่เอา เวลาใดที่มันหลงขึ้นมาเขาจะไม่เอา เขาจะเลือกเป็นแล้วบัดนั้น เวลาใดที่มันโกรธเขาจะเลือกเป็น เวลาใดที่มันทุกข์เขาจะเลือกเป็น พ้นไป ล่วงข้ามไป ต่างเก่า พ้นภาวะเดิม เรียกว่าวิปัสสนา เรืองปัญญาสู่มรรคสู่ผล
มรรคผลก็ไปแบบนี้ ไม่ใช่ตายแล้วจึงจะต้องไป ได้มรรคได้ผลตั้งแต่หนุ่มๆ น้อยๆ เช่น พระโสดาบัน พระอริยบุคคลสมัยครั้งพระพุทธเจ้าเป็นฆราวาสญาติโยมมีมาก ยังไม่ได้บวช บรรลุธรรมแล้วจึงมาบวช ๗๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างปัญจวัคคีย์บรรลุธรรมแล้วจึงค่อยบวช ยสกุลบุตรบรรลุธรรมแล้วจึงได้บวช หลายๆ รูปที่บรรลุธรรมแล้วจึงบวชทีหลัง เป็นพระจากการบวชทีหลัง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 2 ลักษณะ การบวชสมัยพระพุทธเจ้า ถ้าใครได้บรรลุธรรมแล้วมาบวช พระองค์ก็ตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติธรรมนั่นเถิด” เรียกว่าผู้บรรลุธรรมแล้วมาขอบวช สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมมาขอบวช พระพุทธเจ้าบอกว่า “เธอจะเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเราตรัสดีแล้ว เธอจงเป็นผู้ประพฤติธรรมให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด” มีไม่มาก แต่ว่าเธอจงประพฤติธรรมนั่นเถิดมีมากกว่า เพราะฉะนั้นการบรรลุธรรมอาจจะไม่ต้องใช้เพศ สมัยพระพุทธเจ้า เอาการปฏิบัติ พวกเราก็สอนกันตรง ๆ เข้าไปแบบนี้ ไม่ใช่มีพิธีรีตองอันใด อาจจะมีพิธีสวดมนต์ไหว้พระพอให้เราได้สาธยายธรรมให้ตัวเองฟัง การสวดมนต์ไหว้พระสาธยายธรรมให้ตัวเองฟัง ใส่ใจที่จะว่าบทตอนไปต่างๆ ทำให้เกิดสมาธิได้ การหายใจเข้าหายใจออกรู้สึกตัวทำให้ฟอกอากาศฟอกปอด เป่าปอด ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ๓๐ นาที เป็นการเป่าปอดเหมือนกับหม้อกรอง เป็นการฟอกปอดให้มันสะอาด เช่น น้ำตกเขาเป็นปอด ที่ฟอกน้ำที่เสียให้มันดี เวลาน้ำตกอากาศมันผ่านเข้าไปมันฟอกมันเป่า เราทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็เหมือนกับการเป่าปอด มันก็เกิดอานิสงค์ โดยเฉพาะเราทำวัตรสวดมนต์นี้เทียนเราก็ไม่จุด ธูปเราก็ไม่จุด ไม่ให้มีคาร์บอน ไม่ให้มีควันอะไรเกิดขึ้น อากาศบริสุทธิ์ เราก็สนุกสูดลมเข้าปล่อยลมออก ที่เราสูดบางบทมันยาวๆ จนสุดลมหายใจ ดีมาก พยายามให้มันยาวๆ ออกไปจนหมด จนหมดเสียงนั่นแหละ สูดลมเข้า ปล่อยลมออก การสวดมนต์ไหว้พระเป็นส่วนหนึ่งที่ให้เป็นส่วนประกอบ ไม่ใช่ให้เรามาเอาดีตรงนี้ เราเอาสิ่งที่มันจะถูกจริงๆ ชนกันจริงๆ จ๊ะเอ๋กันจริงๆ จ๊ะเอ๋กับความหลง มันจะเกิดขึ้นทางไหนจ๊ะเอ๋ตะพึดตะพือ พบกัน หน้าต่อหน้า ตาต่อตา มีสติรู้สึกตัว มีสติรู้สึกตัว ต่อหน้าต่อตา ตาต่อตาฟันต่อฟัน ความเป็นจริงย่อมเป็นความเป็นจริง ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอ ถ้าเรามาสร้างความรู้สึกตัว สร้างความรู้สึกตัว รู้สึกตัวเอาไว้เป็นหลักเป็นแก่นเป็นฐานตั้งไว้ บ้านเรือนที่มีฐานตั้งไว้ ชีวิตเราก็มีฐานเป็นที่ตั้ง อย่าวางเลื่อนๆ ลอยๆ เหมือนเสาหลักปักขี้โคลน ไม่ได้ อะไรพัดไปก็เอนไป เสาหลักปักขี้โคลนลมพัดไปทางไหนก็เอนไปทางนั้น ความรักเกิดขึ้นก็ไปกับความรัก ความชังเกิดขึ้นก็ไปกับความชัง ความสุขเกิดขึ้นก็ไปกับความสุข ความทุกข์เกิดขึ้นก็ไปกับความทุกข์ ไม่ได้ ชีวิตเราไม่ใช่เป็นเช่นนั้น ต้องเป็นศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเพราะลม ผู้ประพฤติธรรมไม่หวั่นไหวเพราะนินทาสรรเสริญเพราะเรารู้มีฐานเป็นที่ตั้งจึงเหมาะแก่การทำงานทำการ เหมาะแก่การประกอบอาชีพ เหมาะแก่การเป็นผัวเป็นเมีย เหมาะแก่การเป็นพ่อเป็นลูก เหมาะแก่การเป็นเพื่อนเป็นมิตร เหมาะแก่ความเป็นครูอาจารย์ เหมาะแก่ความเป็นพระเป็นเจ้าเป็นสงฆ์ จึงเป็นความเหมาะสมของผู้ที่ถึงธรรมที่จะไปประกอบการงานอาชีพ ถ้าไม่มีฐานอย่างนี้แล้วก็หลุดง่าย ไม่มีตรึงไว้ให้แน่นก็หลุดพังลงไป เหมือนกับสร้างบ้านดีๆ แล้วเอาไฟเผาก็มอดลงไป ครึ่งบาปครึ่งบุญ ถ้าไม่ประพฤติธรรมแล้วมันครึ่งบาปครึ่งบุญ