แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ประสบการณ์ในการได้ยินได้ฟัง แล้วก็ประสบการณ์ในการปฏิบัติ ในการเจริญสติ ทำอะไรถ้าไม่มีประสบการณ์ มันก็ใหม่อยู่เสมอ ถ้าใหม่เนี่ย ก็รี ๆ ขวาง ๆ เหมือนกับเราหัดทำงานทำการ ถ้าเราหัดทำการทำงานใหม่ ๆ นี่ก็ ยุ่งเหยิงสับสน บางทีก็ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่สู้ ไม่เอางานเอาการ การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ให้ได้มีประสบการณ์ ประสบการณ์กับความหลง ประสบการณ์กับความยาก ความง่ายความผิด ความถูก ประสบการณ์กับอะไรต่าง ๆ มากมายสำหรับผู้ที่ทำงาน งานที่เราทำ กับสิ่งที่เราไม่ได้ทำ มันเกิดขึ้นมา ความขี้เกียจขี้คร้าน ความยุ่ง ๆ ยาก ๆ ความสับสนวุ่นวาย ความไม่มีศรัทธา ความท้อแท้ ความเบื่อหน่าย อะไรต่าง ๆ เกิดขึ้นสำหรับผู้ที่ทำงาน เราจึงเพียรพยายาม
โดยเฉพาะการเจริญสตินี้ มันอาจจะมีปัญหามากมายหลายอย่างกว่าการทำงานทำการอย่างอื่น มันต้องใช้ความนิ่มนวล ความพากเพียร ความอดทน ความศรัทธา วิริยะ อะไรหลาย ๆ อย่าง ไปพร้อม ๆ กัน บางทีเราเจริญสติ มันได้ความหลงมากกว่าความรู้สึกตัว แทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทำใหม่ ๆ เนี่ย แต่พยายามติดตามให้ดี ๆ อย่าทอดทิ้ง เอาประสบการณ์ตรงนั้นแหละ ประสบการณ์ตรงที่เราตั้งหลักไว้ ว่าจะเจริญสติ มีกิริยาที่จะต้องเจริญสติ
การยกมือเคลื่อนไหวไปมาตามรูปแบบของการเจริญสติ ที่หลวงปู่เทียนท่านสอน ตามหลักที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ กายบรรพะ สัมปชัญญะบรรพะ จิตบรรพะ ที่เอาบรรพะต่าง ๆ มาสร้างความรู้สึกตัว ให้มันเป็นหลัก มีหลักตั้งไว้ที่หลักให้มันดี ๆ รูปแบบนิมิตที่เราตั้งไว้ สำคัญมาก ๆ อย่าคิดใจเลื่อน ใจลอย จับงานจับการ รูปแบบก็ต้องมี กิริยาก็ต้องมี กรรมก็ต้องมี การกระทำก็ต้องต่อเนื่อง บางทีมันก็ปวดก็เมื่อย บางทีมันก็เลือนราง ทำอะไรที่ไม่เห็นทันหูทันตาทันอกทันใจ การที่ทำอะไรที่ไม่เห็นเป็นชิ้นเป็นอันนั่นแหละมันดี การเจริญสติ บางทีเราจะไปคิดว่า ให้มันเกิดอันโน้นอันนี้ขึ้นมา ไม่เหมือนกับเราขุดดิน ปั้นคันนาปลูกข้าว ไถนามันก็เสร็จไปเป็นวัน ๆ ไป เป็นรูปเป็นร่างไปเรื่อย ๆ ไป แต่มันก็เสร็จไปเหมือนกัน
ความรู้สึกตัวอยู่กับกาย กายมันก็ไปติดกับความรู้สึกตัว มันเป็นนามธรรมไม่เป็นวัตถุธรรมที่เรามองเห็นได้ มันเป็นนามธรรมที่มันไปจุ่มไปติดเอา กายไปติดเอากับความรู้สึกตัว อิริยาบถต่าง ๆ ไปติดกับความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็ไปอยู่กับอิริยาบถต่าง ๆ ถ้ามันติดแล้วความรู้สึกตัวไปติดกับอิริยาบถ อิริยาบถก็เพื่อความรู้สึกตัวนั่นแหละ มันจะง่าย ต่อไปมันจะง่าย จะยากสำหรับทำใหม่ ๆ แล้วมันก็ฝึกตนเองไปในตัวเสร็จขณะเดียวกัน กิริยาที่เราทำ ความรู้สึกตัวที่เราเจตนา ความเพียรที่เราพยายามทำต่อเนื่อง มีความตั้งใจมั่น ใส่ใจที่จะรู้สึกตัว เวลาใดที่มันไม่รู้สึกตัวมันหลงไป เพียรพยายามที่จะเปลี่ยนความหลงให้เป็นความรู้สึกตัว มันก็จะเป็นงานเป็นการไป ต่อไปเมื่อมันเป็นทาง มันก็ไปเอง ทำใหม่ ๆ มันก็บุกเบิก มันก็บุกเบิก เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เนี่ย เจตนาสร้างความรู้เนี่ย มันบุกเบิก เวลาใดที่มันคิดไป รู้สึกตัวน่ะ บุกเบิก ความหลงก็มีหลายอย่าง ความง่วงเหงาหาวนอน ที่ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกตัว ก็บุกเบิกไปให้เกิดความรู้สึกตัว มันเป็นตรงนี้แล้ว ต่อไปมันก็เปลี่ยนไปเอง เวลาหลงความรู้สึกตัวก็มาทันที อะไรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็จะเกิดขึ้นขณะเดียวกัน ถ้าเป็นแล้วก็สะดวก
แต่ถ้าสิ่งที่เราจะต้องใส่ใจ ที่จะต้องดูให้มันเห็นชัดเจน ไปจับหลักจับแหล่งได้ดี ๆ มันก็มีอยู่แล้ว มีกาย มีความรู้สึก ที่สร้างสติ มันเป็นรูปเป็นนามอย่างไร กายที่มันเคลื่อน มันไหว มันรู้สึกอะไรได้กับการเคลื่อนไหว มันหลงก็ได้ มันผิดก็ได้ มันถูกก็ได้ มันสุขก็ได้ มันทุกข์ก็ได้ มันเบื่อหน่าย มันขี้เกียจ ขี้คร้าน อะไรก็ได้ มันคืออะไร นั่งสร้างสติอยู่นี่ อ้าว! มันหลงคิดไปทางโน้น มันคืออะไร กายที่สร้างอยู่นี่ มันรู้สึกตัวได้ มันคืออะไร ความหลงก็หลงแล้วหลงอีก ความรู้ก็รู้แล้วรู้อีก มันเป็นกาย รู้อะไรได้ มันเป็นรูปเป็นนามอย่างไร ให้เห็นเป็นรูปเป็นนาม อย่าข้าม ล่วงไปหลาย ๆ อย่าง
ให้เห็นเป็นรูปเป็นนาม ไม่ใช่คิดเห็น พยายามที่จะดูลงไป มันผิดก็ดูลงไป มันถูกก็ดูลงไป มันเป็นอะไรก็ตามดูลงไป ดูลงไป การดูลงไป ดูลงไป มันสร้างมรรค สร้างผล ภาวะที่ดูลงไป มันหลงก็ดูลงไป มันรู้ก็ดูลงไป มันผิดก็ดูลงไป มันถูกก็ดูมันลงไป ให้มันเห็น คาหนังคาเขา พอมันคิดไป อ้าว! มันรู้ลงไป อ้าว! มันคิดได้รึเนี่ย ความคิดมาจากไหน การเคลื่อนไหวอยู่นี่มันคืออะไร มันเป็นอย่างไร ก็คิดไปโน่น มันคืออะไร นั่งสร้างจังหวะอยู่นี่มันคืออะไร แต่ว่าไม่ใช่คิด เห็นทั้งสองอย่างพร้อม ๆ กัน ให้เห็นเป็นรูปธรรม ให้เห็นเป็นนามธรรม ถ้าได้หลักตรงนี้แล้วเนี่ย อะไรก็ง่ายไปเลย เหมือนกับคนมีเครื่องมือในการทำงาน คนมีเครื่องมือในการประกอบอาชีพต่าง ๆ อาศัยเครื่องมือทำให้เกิดความสำเร็จ เช่น เราจะปลูกต้นไม้ ก็ต้องมีเครื่องมือ มีจอบ มีเสียม มีต้นไม้ที่ปลูก มีสายยาง มีน้ำที่จะรดได้ ต้นไม้ก็งอกก็งาม อาศัยเครื่องมือ
การปฏิบัติธรรม ก็ต้องได้เครื่องมือ เครื่องทำงาน ได้หลัก เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม รูปธรรมนามธรรมเป็นหลัก ที่จะบอกความผิด ความถูก ความสุข ความทุกข์ มันบอกความผิด ความถูก มันบอกความสุข ความทุกข์ มันคือรูปธรรม คือนามธรรม เราก็มีสติ เห็นขณะที่มันผิด เห็นขณะที่มันถูก รูปนามมันแสดง มันสุข มันทุกข์ รูปนามมันแสดง ไม่ใช่ชีวิตจริง เพราะมันต้องแสดง เพราะเราไม่เคยเห็น เราก็แสดงแบบป่าเถื่อนมาตลอด รูปนามมันแสดงแบบเถื่อน ๆ ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันตั้งอยู่บนรูป บนนาม ความรัก ความชัง ความยุ่ง ความยาก ความหมกมุ่น ลังเลสงสัย อะไรก็ตามมันเกิดมาจากรูปธรรม นามธรรม แล้วเขาก็เคยชินมาทางนั้น พอเรามาเห็นแล้ว ก็จะเห็นการแสดงที่มันป่าเถื่อน ความเถื่อนอยู่บนรูปบนนาม เมื่อเห็นความเถื่อนอยู่บนรูปบนนาม มันก็จะเกิดความชอบอยู่บนรูปบนนาม เพราะสติสัมปชัญญะเนี่ย เข้าไปเห็นเสียแล้ว เหมือนเราทำงานทำการ เห็นช่องว่างเห็นช่องโหว่ เห็นความผิด เห็นความถูก มีการกระทำตรงที่มันผิด มีการกระทำตรงที่มันถูก ไม่ให้ความผิดมันเกิดขึ้นลอย ๆ ไม่ให้ความถูกมันเกิดขึ้นลอย ๆ มีการกระทำด้วย เมื่อได้หลักฐาน คือเห็นรูป เห็นนาม ตามความเป็นจริง มันก็จะใช้รูปใช้นามถูกต้อง เมื่อเรายังไม่เห็นเนี่ย มันก็จะผิดเพี้ยนไป เช่น เวลาใดที่มันคิดก็ไปกับความคิด เวลาใดที่มันหลงก็ไปกับความหลง เวลาใดที่มันทุกข์ก็ไปกับความทุกข์ ทุกข์มันเกิดจากรูปจากนาม เรานึกว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเราด้วย เราก็ยึดเอาด้วย การทำความเพียร บางทีความขี้เกียจพาให้เราเลิกละประกอบความเพียร ความขยันมันพาให้เราปรารภความเพียร มีแต่คำสั่งให้หยุด มีแต่คำสั่งให้ทำ มันตั้งอยู่บนรูปบนนาม ถ้าเรามาเห็นแล้ว เวลาเรานั่งอยู่มันคิดจะลุก เราก็เห็นว่ามันเป็นรูปธรรม มันเป็นนามธรรม เราก็รู้ของเราเอง เราก็จะลุกของเรา เราก็จะนั่งของเรา เวลาใดมันผิดมันถูก เวลาใดมันสุขมันทุกข์ ก็จะเห็นเป็นรูปเป็นนาม ไม่ใช่เรา เวลาใดที่มันโกรธ มันวิตกกังวล มันเกิดปัญหาต่าง ๆ ความลังเลสงสัย ความหมกมุ่นครุ่นคิด ความเครียดอะไรต่าง ๆ มันเป็นรูปธรรม มันเป็นนามธรรม เราก็จะได้เห็นมัน เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น เป็นอาการต่าง ๆ ที่มันเกิดกับรูปกับนาม เราก็จะต้องรู้ แจ้งตรงนี้ได้ เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
เคยพูดหลายครั้งหลายหนว่า “มันเป็นอาการ ของรูป ของนาม ทั้งหมด” ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความคิดฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ความยุ่ง ความยาก ความปรุง ๆ แต่ง ๆ มันเป็นอาการของรูปของนาม ไม่ใช่ความจริง พอเรามาเห็นหลักแล้ว มันเป็นอาการของเขา อาการที่มันแสดงออก มันก็เป็นความจริง อาจจะถือว่าเป็นการบรรลุธรรมได้ เห็นอาการของรูปของนาม ตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงมันเป็นอาการ เช่น ความโกรธมันเป็นอาการ จริงแบบอาการ ไม่ใช่จริงแบบปรมัตถ์ จริงแบบสมมติ ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม มันจริงแบบสมมติบัญญัติ ไม่ใช่เป็นปรมัตถ์สัจจะ ความหลงไม่ใช่สัจธรรม ความไม่หลงเป็นสัจธรรม มาพร้อมกัน ถ้าได้รูปได้นาม มันแก้ของมันไปเอง หนามยอกเอาหนามบ่งไปเอง มันแก้ในตัวมัน เนื้อในมันเอง มีเนื้ออยู่ในกับตัว เหมือนคนทำงานทำการที่มีสติปัญญา ให้คนมาทำงานให้ แล้วก็เนื้ออยู่ในน้ำนั้น เนื้อมันในมัน งานที่เขาทำ เขาก็ใช้ของเขาเอง เช่น ธ.ก.ส. เขามีเงินฌาปนกิจ เขาก็เอาเงินฌาปนกิจ เก็บเงินจากสมาชิก ธ.ก.ส. ไปให้คนที่เสียชีวิต เอาไปเอามา มันก็คือเนื้อมันในมัน ไม่เอามาจากไหน เงินที่เก็บจากสมาชิก ก็เอาไปให้สมาชิกคนที่ตายไป บางคนเสียเป็นหมื่นเป็นแสน หลายปี ศพหนึ่งก็หลายบาท เสียไปแล้ว เสียไปแล้ว บางทีสมาชิก ธ.ก.ส. ล้มตายไป ปีละหลาย ๆ คน ก็เสียไปหลายพัน เป็นพัน ถ้า 40 – 50 ปี ตัวเองยังไม่ตาย เป็นแสนเหมือนกัน เมื่อเราตายไป เราก็นึกว่าเราได้เงิน ธ.ก.ส. ที่แท้ก็เราเสียไปเท่าไหร่ ๆ เอาเงินของเราเอง เนื้อมันในมัน
การปฏิบัติธรรมนี้ก็เนื้อมันในมัน ความหลงมันก็เกิดความรู้ ความทุกข์ก็เกิดความรู้ ความสุขก็เกิดความรู้ อะไรต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับใจ เป็นอาการต่าง ๆ มันเป็นเนื้อเป็นน้ำอยู่ในตัว เรียกว่าบรรลุธรรมก็ได้ เห็นความโกรธนั่นล่ะเป็นการบรรลุธรรม เห็นความทุกข์นั่นล่ะเป็นการบรรลุธรรม เห็นอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม เป็นความร้อน ความหนาว ความปวด เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องเห็นจริง ๆ เมื่อมันเห็นจริง ๆ มันก็ได้หลัก ความไม่เจ็บ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย มันก็มีอยู่ในรูปในนาม ความเกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็มีอยู่ในรูปในนาม ไปแล้วบัดนี้ หลุดออกไปแล้ว หลุดพ้นก็หลุดพ้นตรงนี้ หลุดพ้นจากรูปจากนาม
ถ้าฝึกดี ๆ ภาวะที่เป็นนามธรรม ที่เป็นตัวปัญญา เข้าไปเห็นแจ้ง อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนกองรูปกองนาม มรรคผลก็อยู่ตรงนี้ ที่สุดแห่งทุกข์ก็อยู่ตรงนี้ สติสัมปชัญญะ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ข้ามล่วงตรงนี้ เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาได้ ก็เพราะเห็นกองรูปกองนาม ไม่ใช่ศีลแบบสมาทาน เป็นศีลที่ถลุงแล้ว เป็นสมาธิที่ถลุงแล้ว เป็นปัญญาที่รอบรู้ในเรื่องนี้แล้ว แล้วมันก็มีอยู่ทุกคน ยกมือสร้างจังหวะ เคลื่อนไหวไปมา รู้ได้ ผิดได้ ถูกได้ ทุกข์ได้ มันก็คือรูป คือนาม ไม่มีอะไรที่จะแสดงได้มากมายเท่ากับกองรูปกองนาม ถ้าเราไม่เห็น ก็เรื่องเดียวฉายไม่จบไม่สิ้น ความหลงก็หลงจนตาย ความโกรธก็โกรธจนตาย ความทุกข์ก็ทุกข์จนตาย ตายไปกับความหลง ตายไปกับความทุกข์ ตายไปกับความเจ็บความแก่ เราไม่รู้ความเป็นจริง แน่นอนที่สุด ปฏิเสธไม่ได้พวกเรา ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ ก็ตาย แก่ เจ็บ เกิด แน่นอน ถ้ารู้เรื่องนี้ก็จบกันเสียที เมื่อเป็นคนป่วย เป็นโรคมะเร็งเมื่อวาน ก็อย่าไปควบคุมกองรูป บางทีรูปมันควบคุมอะไรไม่ได้ อย่ามีตัวมีตนอยู่ตรงนั้น
ถ้าเราฝึกแล้ว มันก็ภาวะที่เป็นตัวรู้ ตัวเห็นแจ้ง ตามความเป็นจริง ตัวเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ปัญญา อาจจะไม่ใช่นาม แต่ปัญญามันก็ทำให้เกลี้ยงเกลาในกองรูปกองนาม เรียกว่า “ปัญญารอบ” เป็นความรอบรู้ ในกองรูป กองนาม แล้วก็ภาวะที่เป็นปัญญาเนี่ย มันเป็นนามธรรม นามธรรมที่เป็นปัญญา มันไม่มีอะไรที่มาครอบงำได้ ปัญญาที่เกิดขึ้นบนกองรูปกองนาม มันที่สุดแล้ว ที่สุดแล้ว ที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ปัญญาที่เกิดบนกองรูปกองนาม ไม่เหมือนปัญญาที่เกิดอยู่กับการศึกษาตามสูตรสำเร็จ ไม่ใช่ที่สุด เช่น วิชาการต่าง ๆ จบจากการศึกษาสาขาศาสตร์ต่าง ๆ อันนั้นไม่ใช่ที่สุด เป็นปัญญาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญานอกกองรูปกองนาม แล้วก็มีเพื่ออย่างนี้จริง ๆ ชีวิตของเรา ไม่เพื่ออันอื่น เพื่อที่สุดแห่งกองรูปกองนาม ไม่ต้องมีปัญหาเพราะกองรูปกองนาม
แต่ถ้าเราไม่ศึกษา จะเป็นปัญหา เพราะกองรูปกองนาม เช่น เราไปโกรธ เรารัก เราผิด เราพลาด เราวิตกกังวล ทำงานทำการมีปัญหา กับเพื่อนร่วมงานมีปัญหา กับอะไรต่าง ๆ มากมาย มันตั้งอยู่บนกองรูปกองนามทั้งนั้น ไม่ใช่ตั้งอยู่ที่ไหน เราก็เกี่ยวข้องกับอะไรก็ตาม มันมาทางกองรูปธรรม กองนามธรรม กองรูปกองนาม มันรับรู้ได้หลายอย่าง ถ้าเราไม่ได้หลักตรงนี้แล้วก็ ฟรีเลยล่ะชีวิตของเรา เอาไปกินฟรี ๆ ความหลงเอาไปกินฟรี ความโกรธ ความทุกข์เอาไปกินฟรี เราก็หมดพลังงานฟรี ๆ จึงมาดู มาศึกษา มาได้หลักได้แหล่ง
ถ้าจะเรียกว่าโลก ก็ดูดเราไปใช้หมดแล้ว โรคมันอาศัยอยู่บนกองรูปกองนาม เพื่อให้เกิดโลก รูปโรคทั้งหลาย โลกแห่งกิเลสตัณหา โรคแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย มันก็ดูดเอาบนรูปโรคนามโรคตรงนี้ พอเรามาเห็นแล้ว เออ! รักษาโรคตรงนี้หาย เป็นความทุกข์อะไรต่าง ๆ อยู่บนโรคแห่งกองรูปกองนามจะไม่มี มีแต่โลกที่มันเป็นปัญญา ได้หลักตรงนี้นะ การปฏิบัติธรรม ( !!ไม่แน่ใจว่า ส่วนไหนเป็น โลก หรือ โรค)
อย่าให้เตลิดเปิดเปิง ดูใกล้ ๆ ดูใกล้ ๆ รู้สึกกายมันเคลื่อนไหวก็เห็นมันอยู่นี่แหละ อ้าว! มันคิดก็เห็นมัน มันไม่คิดก็รู้มันไป มันไม่มีเสียหาย ปฏิบัติธรรม ถ้าจะว่าแล้ว แล้งไม่เสีย ท่วมไม่เสีย มันหลงก็รู้จะว่ายังไง มันไม่หลงก็รู้ มันสุขก็รู้ มันทุกข์ก็รู้ แล้งไม่เสีย ท่วมไม่เสีย ถ้าจะเห็นให้คม ๆ สักหน่อย ก็เห็นเป็นรูปเป็นนาม ตามันคมเข้าไป
ถ้าเห็นเป็นรูปเป็นนาม อ้าว! ไม่ต้องเรียกว่ารูป ไม่ต้องเรียกว่าเวทนา ไม่ต้องเรียกว่าสัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ทั้งห้าก็จบลงที่กองรูปกองนาม ที่สุดแห่งกองทุกข์ก็จบลงบนกองรูปกองนาม รื้อถอนขันธ์ 5 ลงเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นอาการของรูป เป็นอาการของนาม ให้เรียกว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นายช่างที่สร้างกองรูปกองนามหมดสภาพแล้ว นายช่างที่สร้างขันธ์ทั้งห้าหมดสภาพแล้ว เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม อุปาทานที่เคยเป็นของกองรูปกองนามหมดสภาพแล้ว เจ้าของขันธ์ ๕ คืออุปาทานหมดสิทธิ์แล้ว มีสติสัมปชัญญะเป็นผู้ครองกองรูปกองนาม เจ้าอุปาทานไม่มีสิทธิ์ มันก็เท่านี้ปฏิบัติธรรม ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงสาวกทั้งหลายเช่นนี้ สาวกทั้งหลายก็รู้เรื่องนี้เป็นส่วนมาก ถ้าเห็นเป็นรูปเป็นนาม
อย่าเตลิดเปิดเปิง อย่าไปคิดตามที่เรียนรู้ ไปคิดตามที่จำเอามา ไปคิดตามที่รู้เอามา เอาเหตุเอาผลอยู่บนความคิด เอาเหตุเอาผลที่ความจำที่เคยจำมา เอาเหตุเอาผลเปรียบเทียบกับครูอาจารย์ต่าง ๆ เอาไปเอามาเป็นครูของเราเอง เห็นของเราเอง มันหลงเราก็เห็นของเราเอง มันไม่หลงก็เห็นของเราเอง มันเป็นสุขเป็นทุกข์มันเกิดตัวใครตัวมัน ความหลงแต่ละคนมันหลงต่างภาวะ ต่างแบบ ต่างเรื่อง ความสุขความทุกข์ก็ต่าง เรานี่แหละจะเป็นตัวที่จัดเจนเรื่องนี้นะ มีสติลงไป มีสติลงไป แต่ว่าต้องสร้างสติ ถ้าไม่สร้าง ไปคิดเอา จำเอา ไม่ใช่
สติ มันจะมีตอนที่มันประกอบ เกิดได้จากการประกอบ เกิดได้จากความผิด ความหลง ความสุข ความทุกข์ สติมันเกิดอยู่บนกองรูปทั้งหลาย รูปโลก นามโลก ความสุข ความทุกข์ ความวิตกกังวล ความง่วงเหงาหาวนอน ความลังเลสงสัย อะไรต่าง ๆ สติมันเกิด มันงอกงามอยู่ตรงนี้ด้วย มันหลง เกิดความรู้ มันงอกงามอยู่บนความหลง มันทุกข์ มันเกิดความรู้สึกตัว มันงอกงามอยู่บนความทุกข์ เหมือนปุ๋ยที่ทำให้ต้นไม้ต้นข้าวงอกงาม ของสกปรกทำให้งอกงาม เหมือนปุ๋ยทั้งหลายมันสกปรก มันติดเนื้อติดตัวเราก็เป็นด่างเป็นคันเป็นอะไรไป แต่ว่าสติมันจะเกิดอยู่บนความหลง ปัญหาต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม เช่น ความโกรธ เห็นความโกรธก็เป็นสติแล้ว เป็นปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขารก็เป็นปัญญา ที่นี้ชีวิตเราก็เพื่อการนี้โดยตรง มีกายกับมือสร้างจังหวะ พอมันหลงเกิดขึ้นมาเราก็ได้ความรู้จากความหลง ได้ความรู้จากกองรูปกองนาม จนเกลี้ยงเกลาที่สุด ไม่มีอะไรจะทำ ที่อยู่บนกองรูปกองนาม สมมติบัญญัติ ปรมัตถ์สัจจะ กุศล อกุศล
เหมือนหลวงปู่เทียนว่า กายก็ตาม วาจาก็ตาม ใจก็ตาม ที่เป็นกุศล อกุศล ทางกายอกุศล ทางวาจาอกุศล ทางจิตอกุศล กุศลทางกาย กุศลทางวาจา กุศลทางจิต จับหลักตรงนี้ไป ใช้รูปใช้นามเป็นกุศลทางกาย ทางวาจา ทางจิต นี่คือตัวปฏิบัติจริง ๆ อย่าชะเง้อชะง้า อย่าพะว้าพะวง ตั้งหลัก จับหลัก ติดตาม อย่าหยุด ๆ หย่อน ๆ ดูไม่ดีจะถูกหลอก เหตุผลก็เป็นความหลอกอันหนึ่งเหมือนกัน คิดไปโน่น คิดไปนี่ คิดทำโน่น คิดทำนี่ อย่างโน้น อย่างนี้ เหตุผล เหตุผลมันจะหลอก ปฏิบัติธรรมการเจริญสติ มันจะเห็นตัวนี้เข้าไปอีก มันคิดอันนั้นว่าถูก อันนี้ว่าถูก มันคิดไป ที่แท้มันดับเบิ้ลผิดไปแล้ว ดับเบิ้ลผิดไปแล้ว พอมันคิดอะไรก็รู้สึกตัว โอ้! เวลานี้เรากำลังเจริญสติ เวลานี้เรากำลังเจริญสติรู้สึกตัว พอมันคิดไปโน่นคิดไป ก็รู้สึกตัวซะ มาปฏิบัติ มาประกอบ พลิกมือ คว่ำมือ หงายมือนี่ มันจะเกิดทัน ถ้ามันหลอกแล้วหลอกอีก มันก็หลอก ความหลอกได้ดิบได้ดีต่อไปเรื่อย ให้หลอกได้เท่ากับตัวเราหลอกตัวเรา ต้องพยายามรู้สึกตัว รู้สึกตัว เห็นภาวะที่มันหลอก ผิดมันเกิดขึ้นกับกองรูปกองนามเนี่ย โอ้! มันลึกซึ้งมากนะ หลอกอะไรก็ไม่เท่ากับความคิด ที่มันเกิดจากความคิด ที่มันหลอกตัวเราได้ดีที่สุด ก็บำเพ็ญทางจิต พอมันเกิดอะไรที่มันผิดมันถูกจากความคิด ก็ระวังให้ดี ๆ ต้องรู้สึกตัวไว้ก่อน เดี๋ยวมันจะมาใช้กาย ใช้วาจา ใช้จิตไปอีก ตัวหลอกมันเกิดขึ้นกับจิต มันก็ใช้จิตให้ทำ ตัวหลอกมันเกิดขึ้นกับกาย มันก็ใช้กายให้ทำ สำเร็จ มันสั่งให้จิตทำ มันสั่งให้กายทำ มันสั่งให้วาจาแสดงเป็นคำพูดออกไป เราจึงรู้สึกตัว รู้สึกตัว รู้สึกตัว อย่าเพิ่งไปเอาเหตุเอาผลจากความผิดความถูกที่เกิดขึ้นจากความคิด หาคำตอบที่เกิดจากความคิด บางอย่างคำตอบที่ได้จากความคิด มันไม่จริงเสมอไป แต่ถ้าเป็นปรมัตถ์สภาวธรรม มันต้องพบเห็นเข้า ในตัวมันนั่นแหละ รู้สึกตัว พยายามกลับมารู้สึกตัว ถ้าจะบอกตัวเองเวลานี้เรามาสร้างสติ อะไรที่มันไม่ใช่ความรู้สึกตัวอยู่บนรูปบนนาม เราก็ไม่เกี่ยวข้อง เอามาสร้างเป็นตัวรู้สึกตัว มันจะแสดงออกทางกายก็รู้สึกตัว มันแสดงออกทางจิตใจก็รู้สึกตัว มันแสดงออกทางรูป ทางรส ทางตา ทางหู ก็รู้สึกตัวไว้ก่อน รู้สึกตัวไว้ก่อน ให้มันมีหลักตรงนี้ จับหลักตรงนี้ให้มันได้ การปฏิบัติธรรม
นี่ก็การพูดทุกวันนี้ ผมนึกว่าผมพูดแบบสอบอารมณ์ ถ้าเราฟังดี ๆ ไม่ต้องไปสอบอารมณ์ ทุกวันนี้มันเจริญแล้ว สมัยที่หลวงปู่เทียนสอน คนไม่ค่อยได้ศึกษา ไม่ได้ยินได้ฟัง ไม่ค่อยได้ศึกษาอะไร ก็ต้องสอบอารมณ์ แต่ว่าผมพูดทุกวันนี้ เป็นการสอบอารมณ์ไปในตัว เอาไปประกอบเลยนะ ถ้าไปสอบอารมณ์ก็พูดเหมือนพูดตอนเช้าตอนเย็นนี่แหละ แต่ว่ามันต่างวาระกันเฉย ๆ มันทันที มันก็ดี ทำให้นักปฏิบัติได้ตั้งต้น ได้อบอุ่นนะ ถ้าพูดถึงตัวปฏิบัติจริง ๆ นี่ พอแล้ว บางคน แต่ว่าเวลาไปสอบอารมณ์เป็นเพื่อน มันอบอุ่น ความอบอุ่นทำให้ไม่ชะเง้อชะง้านะ