แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สิ่งที่เราทำ เป็นสิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราได้ยิน เป็นสิ่งที่เราได้เห็น ได้พบเห็น ศึกษาของจริง นำมามีสติ กำหนดกายเคลื่อนไหว แล้วก็มีสติ เห็นกาย กายเราก็มี สติก็มี อย่าไปเห็นอันอื่น อย่าเป็นการคิดเห็น ให้เป็นการพบเห็น ของจริง เห็นกาย เห็นแล้วเห็นอีก ร้อยครั้งพันหน รู้ รู้เห็น พบเห็น นี่ เคลื่อนไหวอยู่นี่ คือกาย ตัวเห็น ตัวรู้ เป็นความรู้สึกเป็นนามธรรม ที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่นี่ มันเป็นรูปธรรม มันมีอันเคลื่อนไหว มีการที่รู้สึกเคลื่อนไหว ดูไปดูมา เห็นกาย เป็นรูป รู้สึกโน่นรู้สึกนี่ เป็นนามธรรม มีแต่รูปกับนาม
อย่าเอากายที่มันเคลื่อนไหว เป็นดุ้นเป็นก้อนนี้ มาเป็นสุขมาเป็นทุกข์ มาผิดมาถูก ผิดถูกเป็นเรื่องของรูปของนาม เราก็รู้เข้าไป บางทีรูปมันแสดงถึงเป็นสุขเป็นทุกข์ด้วย สุขทุกข์ อันนั้นเป็นชื่อของธรรมะ เรียกว่า “เวทนา” ก็เห็น เวทนามันเป็นสุขเป็นทุกข์ เกิดกับรูปเกิดกับนาม มันก็มีได้ อันสุขทุกข์ อันที่เกิดกับรูปกับนาม ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นสักแต่ว่าเวทนา อย่าเอาสุขเอาทุกข์ที่เกิดกับรูป กับนามมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้าเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ มันก็เนิ่นช้า ให้เห็นเข้าไป
สุขทุกข์ไม่ใช่การไปหา มันเกิดขึ้นมาเอง เราก็เห็นมัน อย่าทักท้วงไป เวทนาหรือว่าสุขทุกข์นี่ ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่าเป็นผู้สุข อย่าเป็นผู้ทุกข์ ไปกับรูป ไปกับนาม บางทีนามมันก็เคลื่อนไหวได้หลายอย่าง นั่งอยู่นี่คือรูป อันที่หมกมุ่นครุ่นคิดไปทางอื่น เป็นนามธรรม ที่มันหมกมุ่นครุ่นคิดไป ไหลไปนั่น ให้เห็นมัน เป็นจิต ภาษาเรียกง่าย ๆ ว่า “จิต” มันก็ต้องคิดโน่นคิดนี่ อยู่นิ่งไม่เป็น เหมือนกับลิง อย่าไปเอาความคิดเช่นนั้นว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ว่าตัวว่าตน ให้เห็นเป็นสักแต่ว่า เป็นจิตที่มันคิด
อันความคิด อยู่นิ่งไม่เป็น มันเป็นอาการของจิต ที่มันเป็นเช่นนั้น นั่นก็สักว่าจิต อย่าเอาความคิดโน่นคิดนี่ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นผิดเป็นถูก ให้เห็นเป็นสักว่าคิด เป็นสักว่าจิต ไม่ใช่ตัวใช่ตน ถ้ามันคิดสิ่งใดก็เป็นไปกับมัน มันก็ไม่ได้ศึกษา เป็นดุ้นเป็นก้อน ถ้าเป็นสักว่าจิต มันก็คิดเป็น บางทีเราไปเป็นตัวเป็นตนอยู่กับความคิดเช่นนั้น เสียเวลา เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นพอใจไม่พอใจ กับความคิดนั่น มันไม่ใช่ มันข้องแวะ มันกักขังเรา เสียเวลาไปกับความผิดความถูก เสียเวลาไปกับความสุขความทุกข์ ที่เกิดจากจิตใจของเรา เป็นนามธรรม มันก็สักแต่ว่าจิต เท่านั้นเอง อย่าไปเชื่อจนทำตามมัน
คิดสิ่งใดก็เชื่อว่าตัวว่าตน มีตนอยู่ในความคิด เป็นภพเป็นภูมิ เป็นภพเป็นชาติ ภพภูมิที่เกิดจากความคิดนี่มีมาก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์นรกได้ ถ้าใครคิดเช่นใดบ่อย ๆ เป็นจริตนิสัย ก็เป็นไปตามความคิดนั้น เป็นจริตไป ต่างคนต่างชีวิตไป เกิดความชอบ ความไม่ชอบ ต่างกันไป เกิดสมมติบัญญัติต่างกันไป เกิดความยึดมั่นถือมั่นแตกต่างกันไป เพราะเอาความคิดมาเป็นตัวเป็นตน มีอวิชชาปิดบังไว้ไม่ให้เห็น
วิธีการศึกษาภาวนากรรมฐานนี้ มีสติ ก็ไม่ด่วนรับ ไม่ด่วนปฏิเสธ เราก็ดู บางทีก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา ในความคิดนั้น เป็นความสุข เป็นความทุกข์ เป็นความสงบ เป็นความฟุ้งซ่าน เกิดความง่วงเหงาหาวนอน กิเลสตัณหาได้ กามราคะ ปฏิฆะ มานะ ทิฐิ พยาบาท ปองร้าย นั่งอยู่นี่เกิดขึ้นมา เกิดพยาบาทก็มี มันฉายออกมา ... ใจร้ายใจดี เป็นอารมณ์ ร่วมจิต เป็นธรรม ถ้าเป็นฝ่ายเศร้าหมองก็เป็นอธรรม ถ้าเป็นฝ่ายรู้แจ้ง อะไรไปต่าง ๆ ก็เป็นธรรมะ
เวลาเราปฏิบัตินี่ ก็อย่าไปหลง ไปหลงในความสงบ พอใจในความสงบ ไปหลงในความไม่สงบ ไม่พอใจในความไม่สงบ บางทีก็ง่วงเหงาหาวนอน ลังเลสงสัย หาคำตอบจากความคิด ผลที่สุดก็กลายเป็นจินตาญาณ อันนั้นดี อันนี้ไม่ดี คิดผิด คิดถูก ให้ตัวเอง เข้าสู่บัญญัติ แปลว่าอันอื่น คนอื่น สิ่งอื่นด้วย นั่นก็เป็นจินตาญาณ กว้างไกลไป ไม่ลัด ไม่ตรง ไม่เข้ามาหาความรู้สึก ไม่เห็น เป็นไปกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดจากธรรม เกิดจากอารมณ์ เกิดจากกาย เวทนา จิต ไปซะ เรียกว่า “ธรรมสักว่าธรรม” ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ตัดออกไป รู้ตัด รู้ตัด รู้ลัด ๆ เข้าไป ด่วน ๆ ซักหน่อย
อย่าหา มันไม่ได้หา มันเห็น ปฏิบัติธรรมนี่มันเห็น มันพบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น คิดเห็นมันเป็นเรื่องไกล ไม่จริง พบเห็นเป็นเรื่องใกล้ ๆ ต่อหน้าต่อตา จ๊ะเอ๋กัน จ๊ะเอ๋ความหลง ความรู้เป็นเจ้าเรือน จ๊ะเอ๋ความสุข ความทุกข์ ความรู้สึกตัวเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน อะไรต่าง ๆ ที่มันต่อหน้าต่อตา มีเห็นความหลงมันก็ดี เพราะมันจ๊ะเอ๋กัน เห็นความผิด เห็นความถูก เห็นความสุข เห็นความทุกข์ มีแต่เห็นแล้วบัดนี้ สะดวกดี ถ้าเป็น ไม่ค่อยสะดวก เสียเวลา เนิ่นช้า เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก มันก็เนิ่นช้าไป
บางทีอาจจะพอกพูน ได้มิจฉาทิฐิไป เราเป็นผู้ผิด เราเป็นผู้ถูก คนนั้นถูก คนนี้ไม่ถูก บัญญัติไป เกิดมิจฉาทิฐิ มองกันในแง่ร้าย แง่ดี ถ้าความไม่ดีก็ปฏิเสธ ถ้าความดีก็พอใจ เป็นอารมณ์บวกลบ ความพอใจ ความไม่พอใจ สุดโต่งไปคนละทิศละทาง อารมณ์แบบนั้นมันไม่คงที่ ของอย่างเดียวพอใจ ของอย่างเดียวไม่พอใจ คนคนเดียวพอใจ คนคนเดียวกันไม่พอใจ บัญญัติเอาสารพัดอย่าง สมมติบัญญัติ ท่วมถมจิตใจของเรา ไม่เห็นปรมัตถสัจจะตามความเป็นจริง ความหลงเป็นสมมติบัญญัติ ความโกรธเป็นสมมติบัญญัติ ความรักความชังเป็นสมมติบัญญัติ ความรู้สึกตัวเป็นปรมัตถสัจจะ
“เห็น” เป็นสัจจะ “เป็น” เป็นสมมติ เป็นผู้ผิดเป็นผู้ถูก เป็นสมมติบัญญัติ เป็นผู้สุขเป็นผู้ทุกข์เป็นสมมติบัญญัติ เห็นมันผิดเห็นมันถูกเป็นปรมัตถสัจจะ สัมผัสดูมันต่างกัน เห็นมันหลงเป็นปรมัตถ์ เป็นผู้หลงเป็นสมมติ อยู่ในโลกแห่งความสมมติบัญญัติ ก็เอาแต่ของผิด ๆ ถูก ๆ ไม่เห็นผิดเห็นถูก ไม่ได้แก่นแท้ แก่นแท้เป็นปรมัตถสัจจะ
เหมือนไม้แก่นที่เราเอามาทำบ้าน ทำเรือน ทนทาน ของนอก ของกระพี้ สุข ๆ ทุกข์ ๆ ของนอก เป็นกระพี้ ไม่จริงจังอะไร ไม่มีใครได้ความสุขจริง ๆ ไม่มีใครได้ความทุกข์จริง ๆ ผิดพลาดไปในความผิด ผิดพลาดไปในความถูก ทำตามความผิด ทำตามความถูก ทำตามความรัก ทำตามความชัง มันก็ไม่จริง ที่เราเรียกว่า สุข มันอยู่ที่ใด ที่จริงมันไม่เป็นอะไร สุขอาจจะสมมติเอา ทุกข์อาจจะสมมติเอา ถ้า “เห็น” เป็นปรมัตถ์ เห็นสุข เห็นปรมัตถ์ เห็นทุกข์ สุขทุกข์มันเป็นธรรมารมณ์ เป็นสังขาร
“ปุญญาภิสังขาร” สังขารคือความสุข “อปุญญาภิสังขาร” สังขารคือความทุกข์ มันเปลี่ยนแปลง อันที่ว่าสุขว่าทุกข์ มันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ตัวใช่ตน
เหมือนบุญกับบาป บุญเป็นสังขาร บาปก็เป็นสังขาร มันเปลี่ยนได้ อย่าหลงความสุข อย่าหลงความทุกข์ ความดีใจความเสียใจ อย่าไปหลง ให้เห็น ให้เห็น ถ้าเห็นแล้วก็เก่ง ปลอดภัย จึงมา ให้มันชำนิชำนาญ มารู้สึกตัวเนี่ย อย่าไปเห็นอันอื่นนะ เห็นนิมิต เห็นสี เห็นแสง เห็นพระพุทธเจ้าเดินมา เห็นสวรรค์ เห็นนิพพาน เห็นเทวดา เห็นพระอินทร์ พระพรหม เป็นนิมิต เป็นรูป เป็นสีต่าง ๆ อันนั้นเป็นนิมิต ไม่ใช่ของจริง บางทีก็มีสำนักสอนเรื่องนี้กันเยอะ
สมัยหนึ่งหลวงตาไปเดินธุดงค์ ปี 2512 ไปสวดมนต์อยู่ที่วัดอุโมงค์ ช่วงเดือนเมษา เดือนนี้แหละ ฝนตกอย่างหนัก นั่งอยู่ในศาลา ฝนตก ต้นไม้ก็หักลงมา กำลังนั่งสงบกันอยู่ เจ้าคุณพิมลธรรม ... เป็นประธานใหญ่ วิปัสสนาจารย์ทั่วประเทศไปเป็นพัน ๆ รูป พอต้นไม้หักลง พระกำลังทำสมาธิอยู่ พอถึงเวลา อาจารย์ก็บอกให้ออกจากสมาธิ ก็ถามว่า ใครมีความรู้สึกยังไง หนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา มีพระรูปหนึ่งพูดขึ้นว่า ผมเห็นตัวหนึ่ง ตัวเขียว ๆ นั่งอยู่กิ่งไม้ พอดีกิ่งไม้เลยหักลงมา มันเป็นอะไร ตัวเขียว ๆ เป็นพระอินทร์แล้ว (หัวเราะ) ถ้าตัวแดง ๆ เป็นเทวดา พระกรรมฐาน ถ้าตัวเขียวน่ะเป็นพระอินทร์ ถ้ามีสีแดง ๆ น่ะเป็นเทวดา ถ้านั่นเรียกว่า แก้ไปตามนิมิต เขาก็เห็นพระพรหม พระอินทร์คือตัวเขียว ๆ เห็นเทวดาคือตัวสีแดง ๆ เหมือนกับเขียนภาพ ในเรื่องต่าง ๆ ถ้าพระอินทร์ก็สีเขียวสักหน่อย ใหญ่กว่าเทวดา อันนั้นแก้ไปตามนิมิต
ถ้าเห็นเป็นปรมัตถ์ มันเป็นนิมิตเฉย ๆ พระอินทร์ไม่ใช่รูปสีเขียว พระอินทร์คือความเป็นใหญ่ เทวดา หมายถึง มีความละอายต่อบาปกรรม ไม่กล้าคิดความชั่ว ไม่กล้าพูดชั่ว ไม่กล้าทำชั่ว คนอื่นไม่เห็นก็อาย อายความคิด อันนี้เป็นเทวดา พระอินทร์คือเป็นใหญ่ ใหญ่จนไม่เป็นอะไร มีความเป็นใหญ่ มีเอตทัคคะหนึ่งเดียว จิตไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นคุณธรรม ไม่ใช่เป็นรูปสีแดงสีเขียว เป็นคุณธรรมเกิดขึ้นกับพวกเรานี่เอง ถ้าใครมีความละอายต่อบาปกรรม ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่มีทางตกนรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสูรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉานเลย
ถ้าใครมีความเป็นใหญ่ มั่นใจ มั่นใจ มั่นใจ ไม่เป็นอะไรกับอะไร เขานินทาก็ไม่เป็นไร เราใหญ่แล้ว เขาสรรเสริญก็ไม่เป็นไร เรารู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว เป็นใหญ่ พระพรหมก็พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ทำสิ่งใด ประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตลอดเวลา ความเป็นพรหม มีความเป็นคุณธรรม ไม่ใช่สี่หน้า เราเห็นพระพรหมมี 4 หน้า ถ้า 4 หน้าจริง ๆ น่ะ จะนอนยังไง นอนทางไหนก็ทับจมูกตัวเอง หายใจไม่ได้ (หัวเราะ)
คือความเป็นใหญ่ ในความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น มันเป็นคุณธรรม มันก็เห็นตั้งแต่เนี่ย ไม่เป็นอะไร เห็นกายสักว่ากาย เห็นเวทนาสักว่าเวทนา เห็นจิตสักว่าจิต เห็นธรรมสักว่าธรรม มันก็ใหญ่ไปแล้ว แยกไปแล้ว จนในที่สุด เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่เป็นผู้แก่ ผู้เจ็บ ผู้ตาย พิจารณาเนือง ๆ เห็นแล้ว เห็นแล้ว เกิดวิราคะ เบื่อหน่ายการเป็น เบื่อหน่ายความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ความพอใจ ความไม่พอใจ มันทำให้ไม่ปกติ
อยู่เนี่ย อยู่กับความรู้สึกตัวเนี่ย เป็นสภาวธรรม มันเข้าถึงได้ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่คิดไปข้างหน้า มันก็เห็นอยู่แล้ว ความทุกข์ก็เห็นอยู่แล้ว ความสุขก็เห็นอยู่แล้ว เห็นสุขเวทนา เห็นทุกข์เวทนา เจ็บปวดก็เห็นอยู่แล้ว อันนี้ก็ มันก็เห็นอยู่แล้ว อย่าไปหลงตรงนี้ เราเห็นของที่เราเห็น ไม่ใช่ของที่เราหลง ของที่เราไม่เคยเห็น ของที่เราเป็น มันก็หลงเรื่อยไป เป็นสุขก็หลงในความสุข เป็นทุกข์ก็หลงในความทุกข์ ถ้าเห็นสุข ถ้าเห็นทุกข์ มันก็ไม่หลงแล้ว เห็นรูปเห็นนาม เห็นรูปมันทุกข์ เห็นนามมันทุกข์ คนผู้เห็นทุกข์มันจะมีทุกข์ยังไง เหมือนคนที่เห็นงู มันก็ไม่ให้งูกัด
เมื่อมันเห็น ก็หลุดพ้น ถ้าไม่เห็น ก็ไม่หลุดพ้นหรอก เห็นรูปทุกข์ บางทีเราเป็นผู้ทุกข์ ไม่รู้จักช่วยตัวเอง เห็นทุกข์ มันก็ช่วยได้ อะไรที่เป็นความทุกข์เกิดกับรูป มันก็ไม่ทำ ไม่คิด ไม่สัมผัส มันก็ให้รูปปลอดภัย เช่น สูบบุหรี่ รูปมันเป็นทุกข์ กินหมาก รูปมันเป็นทุกข์ โกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง นามมันเป็นทุกข์ มันเป็นโรค รักษาได้โรคแบบเนี้ย หายเลย หายเลย ความสุขความทุกข์แบบเนี้ย อันสภาวะทุกข์ตามธรรมชาติ มันเป็นปัญญา ไม่ใช่เอามาเป็นปัญหา
การหายใจเข้า หายใจออก การยืน เดิน นั่ง นอน การกิน การถ่าย อันนั้นเป็นสภาวะทุกข์ตามธรรมชาติ ไม่ใช่เอามาเป็นทุกข์ มันเป็นสภาวะทุกข์ตามธรรมชาติ ขอบคุณมัน มันร้อนเป็น ขอบคุณ มันหนาวเป็น ขอบคุณ มันหิวเป็น ขอบคุณ ธรรมชาติ มันปวดหนักปวดเบา มันเป็นธรรมชาติ บางทีมีอะไรก็เอามาเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ มันเป็นปัญญาได้
นี่เรามาศึกษาพระสูตรเนี่ย เป็นสูตรชีวิต สูตรหลุดพ้น สูตรรื้อถอน สูตรอันนี้เป็นสูตรชีวิตของเรา เหมือนกันหมด ไม่ใช่เรียนสูตร ไม่ใช่เราได้เรียนสูตรต่าง ๆ มา อันนั้นเป็นสูตรวิชาการ มันก็ใช้ได้ เช่น แพทย์ พยาบาล การเกษตร การคณิต ศาสตร์อะไรต่างๆ ก็อ่านออกเขียนได้ ทำเป็น แต่ว่า อันโกรธโลภหลงเนี่ย ไม่ได้แตะต้อง มีความรู้อยู่ มันสูตรนี้ มันรื้อตรงนี้ไป มันมีสูตรอื่นด้วย ก็ยิ่งดีใหญ่ มันเป็นสูตรหลัก เราจึงไม่ควรที่จะปฏิเสธเรื่องชีวิตของเรา เรื่องกาย เรื่องใจ เรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องการกระทำ ปฏิเสธตัวเองไม่ได้
เราจะดีขนาดไหน ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้ ก็ไปไม่รอด ยังเป็นบาปอกุศล เป็นทุกข์ จะเหาะเหินเดินฟ้า ก็อย่าไปอัศจรรย์ ถ้ายังมีโลภ โกรธ หลงอยู่ มีเงินมีทองก็ช่วยไม่ได้ หลวงตาไปพูดเมื่อวานนี้ ที่ท่ามะไฟหวาน ตอนเช้า ถ้าจะพูดถึงเศรษฐกิจน่ะ ใครจะรวยเท่าหลวงตาวัดป่าสุคะโต อีก 30 ปีข้างหน้า หลวงตาปลูกต้นไม้ไว้ในวัดนี้ เป็นแสน ๆ ต้น 30 ปีข้างหน้าจะได้ต้นละ 10,000 บาท ถ้าแสนต้นจะได้เงินกี่หมื่น (หัวเราะ) หา! จะมีใครรวยเท่าเราล่ะ
ชาวบ้าน ทำไร่มันไร่อ้อย ประสาอะไร หลวงตาคุยอวดน่ะ ประสาอะไร ก็ญาติโยมทำไร่มันไร่อ้อย จะมา อีก 30 ปีข้างหน้าเนี่ย มาคิดผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นดูซิ อะไร ๆ มัน ต้นไม้ที่นี่ดูซิ ต้นยางต้นอะไร ต้นโยงต้นยาง ต้นตะเคียนทอง ต้นมะค่าโมง ต้นมะฮอกกานี ทุกวันนี้ก็ ที่ปลูกไว้ บางต้นก็เกือบจะถึง 10,000 บาทแล้ว อย่างมะฮอกกานีที่หน้าทิศเหนือโรงทานน่ะ สูงใหญ่แล้ว ได้แล้วซัก 5,000 บาท (หัวเราะ) เอาอันนั้นมาอ้างกันเลย ไปยึดมั่นว่าเราจนเรารวย มันก็รวยได้ แต่ว่ารวยเนี่ย หัวใจของเรา ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเนี่ย
ถ้าเงินต้นไม้เนี่ย แสนต้น ได้แสนหมื่น อย่างน้อยต้นไม้ที่เนี่ย ต้องมี หลวงตาปลูกไว้ ไม่ต่ำกว่าแสน สองแสนต้น ไปคิดต่ำ ๆ ไว้ เพียง 4 – 5 ปีนี่ 4 ปีนี่ แถวนี้ สูงแล้ว 4 ปีนี่ก็เท่าต้นนี้แล้ว บางต้นปลูกไว้ ภูเขาทอง 20 กว่าปี ตัดทำเสาบ้านได้แล้ว ไม้ประดู่ ไม้แดง ขายต้นละ 5,000 บาทเลย เรามอบให้แผ่นดิน ไม่ใช่ของเรา
สิ่งใดที่เกิดจากการกระทำของเรา มันไม่ใช่ของเรา เราภูมิใจตรงนี้ เป็นของแผ่นดิน เป็นของโลก อย่างนี้ก็มีแต่รอยมือเราทำนี่ เราก็มอบให้เป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่ของเรา ให้เหมือนญาติเหมือนโยม ญาติโยมแบ่งให้ลูกให้หลานได้ อันนี้ ไม่มีส่วนแบ่ง เสื่อสาด หมอนมุ้ง แบ่งปันไม่ได้ กุฏิ ศาลา ยกให้ใครไม่ได้ เป็นสมบัติของหลวง เราก็ภูมิใจ ชีวิตนักบวชก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เราได้อันนั้น เราได้อันนี้ ไม่ใช่เลย มันก็ภูมิอกภูมิใจ นอนตาย อยู่โรงพยาบาล เราก็มองชีวิตของเรา นี่เราก็ไม่ทำบาปทำกรรมอะไรมา ทำแต่ความดีมา สบ๊าย สบาย สบายเลย ไม่สะดุ้งเรื่องใด มันเป็นบุญ มันคือความอิ่มใจ สุขใจ ไม่มีสะดุ้ง ไม่มีกระทบกระเทือนเลย
จึงมาชำระร่างซะ ชีวิตของเราเนี่ย มันมีจริง ๆ ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง มี วิธีล้างบาป มาปฏิบัติธรรมเนี่ย เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เรามีกรรมเป็นของของตน เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นอะไรต่าง ๆ ที่เราสวดน่ะ
เราทำดีวันนี้ มีสติ มันก็ละความชั่วแล้ว มีสติก็ทำความดี มีสติจิตบริสุทธิ์ มันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไป มันใกล้ ๆ มันง่าย ๆ มันเหมือนการทำบุญ มันเป็นการทำบุญ มันเป็นการละบาป เราเอาการวิชากรรมฐานเนี่ย มาเป็นพวงเลย อย่างน้อยเราก็ต้อง ตั้งต้นชีวิตให้ได้ อาศรมพรหมจารี อาศรมคฤหัสถ์ อาศรมวานปรัสถ์ อาศรมสัณยาสี พวกเราอายุ 70 – 80 ปี 60 ปี เป็นอาศรมสัณยาสี
อาศรมสัณยาสี ช่วงนี้ เราก็ใช้อานิสงส์ที่เราใช้มา ตั้งแต่ 20 ปี 40 ปี 60 ปี “พรหมจารี” เป็นหนุ่มเป็นสาว บริสุทธิ์ผุดผ่อง ตั้งต้นมาดี “คฤหัสถ์” ทำมาหากิน มีครอบมีครัว ขยันหมั่นเพียร เก็บหอมรอมริบ “วานปรัสถ์” มีลูกมีหลาน เป็นตัวอย่างให้ลูกให้หลาน ลูกดี หลานดี เมื่ออาศรมแก่เฒ่ามา เขาก็ดูแลเรา วันที่ 9 เนี่ย หลวงตาจะไปเทศน์ที่โรงเรียนชุมชน อำเภอ... ข้าราชการเกษียณ ประมาณ 100 คน พวกเกษียณทั้งหลาย พวกครูทั้งหลาย อาจารย์ทั้งหลาย ในอำเภอ... จะมารวมกัน
อาศรม “สัณยาสี” ไม่ลำบาก เริ่มต้นมาดี มีลูกมีหลาน มีเงินเดือน ไม่ลำบาก ถ้าเราตั้งต้นดี ถ้าเราตั้งต้นไม่ดีก็ลำบาก เนี่ย เรามาตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่ม หลวงตานี่อยู่อาศรมสัณยาสีแล้ว สบาย นอนอยู่ก็ได้ แม่ชีเขาไม่อยากให้ทำอะไร พระก็ไม่อยากให้ทำอะไร ก็สอนกันเอง พระสอนกันเอง เดี๋ยวนี้บวชเณร ๑๐๐ กว่ารูป ไม่ลำบากอะไรเลย มีแต่ถามว่าเป็นยังไง โอ๊ย! ดี มีปัญหาอะไรไหม ไม่มีปัญหาเลย พระเณรรุ่นนี้สบายมาก เราไม่ได้ไปพูดซักคำ พระ ๆ ทำกันเอง เราจับจอบไปขุดอะไรนิดหน่อย อาจารย์โน้สก็เอาจอบไปซ่อนไว้ ไม่อยากให้ทำ ให้สบายได้ไหม สัณยาสีบุคคลละเวลานี้ ไปไหนก็ไม่ค่อยจะได้ พวกเราก็เป็นห่วง ถ้าอยู่ในอาศรมสัณยาสี ดูที่ใดก็มีแต่รอยความคิด หรือรอยมือของเรา พอนั่งอย่างนี้ก็มีรอยมือของเราเอง รอยความคิดของเราเอง ขณะนี้ก็ไม่มีอะไรเศร้าหมอง
อย่าทำความชั่วเลย ทำแต่ความดี มันมีจริง ๆ บุญเนี่ย บาปก็มีจริง ๆ สวรรค์นิพพานมีจริง ๆ ชีวิตเราต้องเข้าถึง อย่าต้องเพ้อฝัน คิดกลัว กลัวจะตาย กลัวจะเจ็บ กลัวจะแก่ ไม่ใช่เลย ประสาอะไรเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องเล็กน้อย ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย มีแต่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง สนุก หลวงตาไปป่วยอยู่โรงพยาบาล หมอเขาบอกเรียกว่า หนัก เป็นพยาบาล จัดลูกศิษย์มาดูแลเราอย่างดีเลย หลวงพ่อ หนูเอาลูกศิษย์อย่างดี มาดูแลหลวงตา ผู้ชายนะ เออ! ก็มีคนช่วยเนอะ ป่วยไข้มา หมอดี ไปเจอหมอก็ดี ไปเจอหมอดี ไปเจอยาดี เพื่อนดี ญาติโยมที่วัดสุคะโต พระสงฆ์ สามเณร แม่ชี ไม่ได้ไปดู แต่ว่า อยู่ในหัวใจของเรา
เราไม่ได้มาทำวัตรสวดมนต์ 2 ปี 3 ปี พระท่านก็สอนกัน เราก็ภูมิใจ ปฏิบัติก็อยู่กัน พระก็สอนกันอยู่ ยังงี้เราตายไปก็ไม่เป็นไร ไม่ตาย ความดีอย่างนี้ สุคะโตเนี่ย แม้หลวงตาตายไป ก็ไม่สูญเสีย ยังพากันทำ อย่างน้อยก็ ญาติโยมก็พอปฏิบัติกันอยู่ เพราะเราทำดีเอง จะให้ใครเป็นผู้ช่วยเรา เราช่วยตัวเอง นี่คือของจริง อย่าประมาท มันมีบุญมีบาป ชีวิตของคนเนี่ย ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน ทำดีก็ดีได้ ทำชั่วก็ชั่วได้