แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แล้วเราก็คงจะมาสู่ที่นี่ด้วยเรื่องศึกษาของจริงในชีวิตเรา แต่ถ้ามาวิธีอื่นเรื่องอื่น คงไม่มีใครมาที่นี่หรอก เพราะว่าที่นี่มันก็ไม่มีอะไร มีแต่ป่าดงพงไพร หลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกับที่อื่น และก็ที่จะศึกษาชีวิตที่จะให้ได้พบเห็นของจริงก็คือเรื่องของกรรมฐาน เรื่องของกรรมฐานก็เป็นเรื่องของการกระทำ การกระทำก็เป็นการกระทำในตัวเราเอง ไม่ใช่ทำแบบงานโยธา ไม่เหมือนกับการศึกษาว่าใช้มันสมอง ใช้วัตถุอันอื่นมาประกอบ เอากาย เอาใจ เอาสติ มาดูมาทำกับมือของเรา มันหลงก็เห็นความหลงด้วยมือของเรา ด้วยการลูบคลำความหลงดู ถ้าจะเป็นความรู้สึกก็ลูบคลำความรู้สึกดู เหมือนกับเด็กน้อยไม่รู้จักไฟ พอเห็นไฟก็คลานเข้าไปหา แต่ไม่รู้ว่ามันร้อนหรือมันเย็น แม่ พ่อก็ดึงเอาไว้ไม่ให้ไปจับไฟ แต่ก็ยังคลานเข้าไปอยู่ แต่เมื่อเด็กน้อยนั้นได้จับไฟดู เขาก็จะรู้ว่ามันร้อน เขาก็จะไม่เอา อันนั้นเรียกว่าได้สัมผัส สัมผัสดู ชีวิตของเราแต่ก่อนเรายังไม่ศึกษาไม่สัมผัสกับความเท็จ ความจริง ก็จะไม่พบไม่เห็น แม้เห็นก็เห็นด้วยความคิดและก็เห็น เช่น เห็นทุกข์ก็ยังมีทุกข์ สุขก็ยังมีสุข หลงก็ยังมีหลง แสดงว่าไม่ได้เห็นไม่ได้ทำกับมือ วิธีที่ปฏิบัตินี่เป็นวิธีที่สัมผัส สัมผัสกับความรู้สึกตัว ไม่ต้องไปเกี่ยวกับความคิดเห็น เหตุผลอันใด เอาความรู้สึกตัวมาต่อกับกายกับจิตใจให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกตัวโดยตรง จนรู้รสชาติของความรู้สึกตัว มันเป็นอย่างนี้อย่างนี้
เช่นเรายกมือสร้างจังหวะ เรายกมือเคลื่อนไหวไปมานี้ ก็คือความรู้สึกตัว เคลื่อนครั้งที่หนึ่งก็รู้สึกตัวตลอดถึง 14 รูปแบบ 14 อิริยาบถ 14 บรรพะ แม้จะเป็นบรรพะต่างกัน ยกไปยกมาก็คือความรู้สึกตัว แต่ว่ามันมีจังหวะเพื่อให้ลำดับลำนำ ไม่ใช่รู้ก่อน รู้หลัง การรู้สึกตัวที่เป็นการสัมผัสคือสัมผัสตรงๆ เป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจุบัน ตั้งไว้เป็นปัจจุบัน หัดให้มันเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันนี้ต้องมีที่ตั้ง ต้องมีการลำดับลำนำ ได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว 14 ครั้ง รอบอีก 2 รอบ 3 รอบ 4 รอบ หลงไปก็รู้สึกตัว รู้สึกตัว ได้สัมผัสไม่ใช่ไปคิดด้วยเหตุด้วยผล ให้รู้สึกตัวจริงๆ อย่าไปเอาเหตุเอาผลมาแยกมาแยะ ทำใหม่ๆ บางทีมันคิดแล่นไปทางอื่น แต่ก่อนนี้ทำอะไรมันเอาความชอบ เอาความไม่ชอบ เอาความขยัน เอาความขี้เกียจ เอาความผิด เอาความถูก เอาความสุข เอาความทุกข์ เอาความสะดวก เอาความยาก เอาความง่ายไปเกี่ยวข้อง บัดนี้ไม่ต้องเอาสิ่งเหล่านั้นมาเกี่ยวข้อง มีความรู้สึกตัวโดยตรง มีความรู้สึกตัวโดยตรง มันสะดวกก็ความรู้สึกตัว มันไม่สะดวกก็ความรู้สึกตัว มันผิดก็ความรู้สึกตัว มันถูกก็ความรู้สึกตัว มันจะมีความคิดเห็นว่าชอบ ไม่ชอบ ก็คือความรู้สึกตัว พอกว่าที่จะผ่านไปถึงความรู้สึกตัวนี่ มันก็ทำให้หลงพอสมควร แต่ความหลงนั่นแหละมันเป็นเหตุ ทำให้เราเข้าถึงความรู้สึกตัว มันจึงจะต่างกับอย่างอื่น เช่นเวลาเดินจงกรม บางทีไปจัดสรรจัดการกับสิ่งอื่นจนไม่รู้สึกตัวก็มีเหมือนกัน พอเอาจริงๆ ก้าวไปรู้ ก้าวไปรู้ อ้อ มันคือตัวรู้ตัวนี้ ก้าวไปเพื่อให้เกิดความรู้ จึงจะเป็นการเดินจงกรมที่ถูกต้อง
ยกมือเคลื่อนไหวให้เกิดความรู้สึกตัว จึงจะเป็นการสร้างสติจริงๆ อ้อ มันคือตัวนี้ ตัวนี้ ก็จับให้มันถูกอย่างนี้ วิธีการเจริญสติ อย่าผิวๆ เผินๆ แต่ว่าไม่ใช่เพ่ง ไม่ใช่จ้อง ความรู้สึกตัวไม่ได้เพ่ง ไม่ได้จ้อง ความรู้สึกตัวเป็นของที่เบาๆ เป็นของที่เรียบๆ เป็นของที่สะดวกๆ สะดวกแบบความรู้สึกตัวไม่ใช่สะดวกแบบความคิดเห็น สะดวกแบบความคิดเห็น ไม่สะดวกแบบความคิดเห็น มันเป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าสัมผัสกับความรู้สึกตัว อ้อ ความรู้สึกตัวนี้คือความรู้สึกตัวก็เข้าถึงความรู้สึกตัวจริงๆ เหตุที่จะทำให้เข้าถึงความรู้สึกตัว เพราะมันมีอะไรหลายๆอย่าง วัดดู เปรียบดู มันจึงเป็นเหตุให้เห็นความรู้สึกตัวชัดเจนต่างกับอันอื่น สิ่งอื่นที่ปกป้อง ห่มไว้ พอเราได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว เวลาเดินจงกรม ก้าวไปรู้สึกตัว ก้าวไปรู้สึกตัว มันเป็นเบาๆ ความรู้สึกตัวมันก็จบ อ้อ มันถึงเท่านี้ มันถึงเท่านี้ มันมีเท่านี้ อ้อ เราจะต้องตามตรงนี้ลองดู จะต้องสร้างตรงนี้ลองดู ก้าวไปที่หนึ่งก็รู้สึกตัวได้สำเร็จ แต่ละก้าวสำเร็จด้วยความรู้สึกตัว หรือยกมือสร้างจังหวะ อิริยาบถแต่ละอิริยาบถรู้สึกตัว อ้อ มันสำเร็จ มันสำเร็จ การใช้รูปแบบมันสำเร็จเข้าถึงความรู้สึกตัว เข้าถึงความรู้สึกตัว และเวลาใดที่มันหลงไม่ใช่ความรู้สึกตัว มันก็สำเร็จกลับมาหาความรู้สึกตัวได้สำเร็จ ได้สำเร็จ เป็นประโยชน์ ความหลงก็เป็นประโยชน์ทำให้เกิดความรู้สึกตัว อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวเป็นฐานทำให้เกิดความรู้สึกตัวได้ทั้งนั้น พอได้หลักของความรู้สึกตัวเป็นการกระทำด้วยมือด้วยการกระทำของเราก็มั่นใจ มั่นใจ มันจะเป็นอะไรก็ไม่กลัวแล้วบัดนี้ เพราะว่าเรามาสร้างความรู้สึกตัว มันจะหลงก็ไม่กลัว มันจะสุข มันจะทุกข์ก็ไม่กลัว มันจะง่วงเหงาหาวนอนก็ไม่กลัว มันจะคิดลังเล สงสัย ฟุ้งซ่านก็ไม่กลัว เพราะเราจับหลักตัวนี้ได้แล้ว คือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวนี้
เพราะความรู้สึกตัวนี้คล้ายๆ กับว่ามันเป็นทาง มันเปิดทาง มันเหยียบเหมือนกับเราเดินไปเหยียบดินมันมั่นใจ ไม่เหมือนเหยียบอากาศ เหยียบขวาก เหยียบหนาม มันหนักแน่นดี ทำอะไรมันมั่นใจ มั่นใจในการกระทำ การกระทำตรงนี้แหละจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำให้เป็นการเข้าให้ถึงชีวิตของเราทั้งหมด เอามาทำ เอามาประกอบให้เกิดความรู้สึกตัว โดยเฉพาะรูปแบบของวิชากรรมฐานตามบรรพะต่างๆ สำเร็จจริงๆก็มีเท่านี้จริงๆชีวิตเรา เพื่อการนี้โดยตรงเพื่อความรู้สึกตัว เพื่อความรู้สึกตัว ไม่ได้เพื่ออย่างอื่น อย่างอื่นก็เพื่อการนี้ พอหลงก็เกิดความรู้สึกตัว อะไรก็ตามมันคือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวเป็นตัวเฉลยเพราะมันเป็นธรรมที่สุด สัมผัสแล้ว สัมผัสแล้ว ถ้าสัมผัสกับสิ่งที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวมันก็เปลี่ยนไปเอง มันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตัวไปเอง เหมือนเด็กน้อยจับไฟและก็วางไปเองถ้าไม่จับก็ไม่ถูกไฟ ธรรมดาจับสิ่งจับของอันไหนที่มันสัมผัสได้มันก็สัมผัส อันไหนที่มันสัมผัสไม่ได้มันก็ไม่สัมผัส เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติ ถ้าจะเปรียบความรู้สึกตัวเหมือนเด็กที่ยังเกิดใหม่ๆ กำลังหายใจละเอียด กำลังปรับลมหายใจละเอียด ลมหายใจที่ละเอียด ถ้าหายใจไม่เป็นมันก็จะร้องไห้ไป เวลามันหายใจไม่เป็นอาจจะร้องไห้ไป สังเกตดู ถ้ามันหายใจเป็น มันหายใจละเอียด มันหายใจถูกต้อง สำเร็จ มันค่อย ๆหายใจไป ค่อยๆหายใจไป มันก็ได้ชีวิตขึ้นมา ความรู้สึกตัวมันก็ให้ชีวิตเรา มันไม่เป็นอะไร มันพอดีๆ เกี่ยวข้องกับสิ่งใดในความรู้สึกตัว เกี่ยวข้องกับสิ่งใดในความรู้สึกตัว ความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ เห็นกายก็เห็นกายจริงๆ กายที่มันแสดงออกอะไร ก็รู้จริงๆ รู้เท่ารู้ทันโดยเฉพาะวิธีกรรมฐาน บรรพะที่เราสร้าง ๑๔ จังหวะ มันก็เหมาะเจาะเหมาะสม เหมาะสมที่จะเอามาผลิตความรู้สึกตัวไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ มีขึ้นเรื่อยๆ ชำนิชำนาญขึ้นเรื่อยๆ เพราะความรู้สึกตัวกับกายมันก็เป็นของจริง ความรู้สึกตัวที่เกิดกับจิตมันก็เป็นของจริง อยู่บนฐานของความจริง อยู่บนฐานของความเท็จ แม้กายมันจะมีความเท็จเมื่อจิตใจมันจะเกิดความเท็จอะไร ที่มันปรุงๆแต่งๆ มันก็รู้สึกตัว มันก็เปลี่ยนได้ เอากายมาสร้างความรู้สึกตัวได้สำเร็จ เอาจิตใจมาสร้างความรู้สึกตัวได้สำเร็จ มันหลงก็ทำความรู้สึกตัวได้สำเร็จ แม้แต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเป็นฐานของความรู้สึกตัวได้สำเร็จ และก็ไม่เอาความหลงและก็ได้ช่องได้ฐาน สัมผัสกับกายกับความรู้สึกตัวจริง ๆ มันก็ไปเห็น เห็นความเท็จของจริง ของกาย ของจิต เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม เห็นเป็นรูปธรรม เห็นเป็นนามธรรม มันก็ย่อลงมา ย่อจากสิ่งหลาย ๆอย่างที่มันเกิดขึ้น
เมื่อสมัยเราทำใหม่ ๆ ความลังเลสงสัย ความง่วงเหงาหาวนอน ความคิดฟุ้งซ่าน พยาบาท ราคะ ที่มันเกิดขึ้นเรียกว่าตัวว่าตน พอดูไป ดูไป อ้อ มันเป็นรูป มันเป็นนาม รูปมันเป็นอย่างนี้ นามมันเป็นอย่างนี้ มันรู้อะไรได้ มันคิดอะไรได้เรียกว่านาม เพราะมันมีรูป เอารูปไปทำให้เกี่ยวข้องกับนาม เอานามไปทำให้เกี่ยวข้องกับรูป รูปกับนามบางทีนี่ แต่ก่อนเรายังไม่รู้ มันเบียดเบียนกัน มันไม่เป็นธรรมต่อกัน ปัญหาเกิดขึ้นกับรูปก็เป็นปัญหาเกิดขึ้นกับนาม ปัญหาเกิดขึ้นกับนามก็เป็นปัญหาเกิดขึ้นกับรูป แต่ก่อน พอเรามาเห็นเข้าจริงๆ อ้อ มันเป็นกองรูปกองนามที่มันเกี่ยวข้องด้วยกัน มีสติ มีสติเข้าไปเห็น อาการที่เป็นของรูป อาการที่เป็นของนาม ธรรมชาติที่เป็นกองของรูป ธรรมชาติที่เป็นกองของนาม เป็นระเบียบ กองรูปกองนามเป็นระเบียบเป็นธรรมต่อกัน สนับสนุนให้เกิดประโยชน์ ทำดีได้สำเร็จ ละความชั่วได้สำเร็จ เพราะมันมีรูปมีนาม แต่ก่อนนี้ทำชั่วได้สำเร็จเพราะมันมีรูปมีนาม เป็นทุกข์ได้สำเร็จเพราะมันมีรูปมีนาม ความโกรธก็ได้สำเร็จเพราะมันมีรูปมีนาม ตอนนี้ละความโกรธได้สำเร็จเพราะมันเป็นรูปเป็นนาม ละความทุกข์ได้สำเร็จเพราะมันเป็นรูปเป็นนาม และก็กลับ ปฏิบัติก็คือ ปรับ เปลี่ยน มันเปลี่ยนและมั่นใจ เข้าถึงความเท็จ ความจริง เห็นความเท็จก็ไม่ต้องไปถามใคร เห็นความจริงก็ไม่ต้องไปถามใคร ความเท็จความจริงมันบอก เกิดขึ้นกับรูปเกิดขึ้นกับนาม ความไม่เที่ยงความเป็นทุกข์ เกิดขึ้นกับรูปกับนาม ความไม่ใช่ตัวตนเกิดขึ้นกับรูปกับนาม ความจริงก็คือความไม่จริง ความจริงเป็นของไม่จริง เช่น ความโกรธมันก็มีอยู่จริงแต่ว่ามันไม่จริง แต่ก่อนเราก็ไปเอาจริงกับของไม่จริง เวลามันโกรธก็แสดงถึงความโกรธเต็มที่ ทั้งๆที่มันไม่จริงเราก็ไปถือว่าเป็นของจริง ความทุกข์ทั้งๆที่มันไม่จริงก็ไปถือว่าเป็นของจริง ของเท็จเอาไปเป็นของจริง ของจริงเอาเป็นของไม่จริง เห็นความไม่โกรธ ความรู้สึกตัวเป็นของจริงไม่ใส่ใจ เอาทิ้งไปไหนก็ไม่รู้ หรือว่ามันไม่มี มันไม่มีเอาไว้ มันไม่ได้สะสมเอาไว้ เหมือนเราไม่มีทรัพย์ไม่มีเงินมีทอง ก็อาศัยความยาก ความลำบาก ความหิว ความร้อน ความหนาว สั่งงานสั่งการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนเกิดโจร เกิดขโมย เกิดการข่มขืน ก็เพิ่มความหลงเข้าไปเรื่อยๆ บัดนี้มันเพิ่มความรู้เข้าไปเรื่อยๆ เห็นของเท็จของจริงที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามตามความเป็นจริง เมื่อเห็นอย่างนี้ก็เกิดพลังแห่งขบวนการยุติธรรมเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา ศีลก็ช่วยให้เกิดความหนักแน่น มั่นคง สำรวมลงเอง ผู้มีสติสัมปชัญญะก็เกิดการสำรวมอายตนะลงไปเอง แม้แต่ได้ยินทางหู ได้กลิ่นทางจมูก ได้สัมผัสกับรสกับลิ้น ได้สัมผัสกับกายกับจิตใจที่คิดอารมณ์ปรุงแต่ง ถ้าคนมีสติก็สำรวมมันฝึกไปหลายๆทาง รอบๆไปได้หลายอย่าง
ความรู้สึกตัวมันรอบ มาทางไหนก็รอบไปแล้ว เหมือนแมงมุมที่มันขึงใยเอาไว้ อะไรมาสัมผัสทางไหนมันรอบรู้มันก็ไปเกี่ยวข้องแล้วมันก็มาอยู่ตรงกลาง ตรงกลางใยของมัน ส่วนกลางที่จะต้องรอบรู้ ความรู้สึกตัวนี้มันก็เกิดการสำรวมอายตนะลงเอง มั่นคง ไม่หวั่นไหวเพราะตา เพราะหู เพราะรูป เพราะรส เพราะกลิ่น เพราะเสียง แต่ตา หู จมูก รูป รส กลิ่น เสียง สร้างให้เป็นฐานความมั่นคง เพราะมันสนับสนุนให้เกิดความมั่นคง ก็หนักแน่นเป็นศีลขึ้นมา ศีลก็ช่วยเรา ช่วย หลายพลังงานที่เกิดเข้ามาร่วมกัน เกิดขบวนการยุติธรรมต่อกาย ต่อจิตได้เกิดความเป็นธรรมต่อกาย ต่อจิต ต่อชีวิตเรา สมาธิก็หนักแน่น ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน มีน้ำหนัก สติมีน้ำหนักเหมือนมีดมีน้ำหนัก มีคม ตัดความหลงก็ขาดไปเลย ตัดความโกรธก็ขาดไปเลย สมาธิไม่หยาบ ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่หยาบ ฉันอดไม่ได้ ฉันอดไม่ได้ ฉันทนไม่ได้ ไม่มี เป็นความง่าย ละความชั่วเป็นความง่าย ทำลายความโกรธ ความโลภ ความหลงเป็นความง่าย เป็นกีฬา เป็นศิลปะ เหมือนมีจอบไปดายหญ้าออกจากต้นไม้ที่เราปลูกเอาไว้ ออกจากไร่มัน ไร่อ้อยที่เราปลูกเอาไว้ และก็เป็นของที่ทำให้เกิดประโยชน์ การทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประโยชน์ ให้เบา ให้บางลงเป็นประโยชน์ต่อรูป ต่อนาม แต่ก่อนรูปนามเอามาผลิตความโลภ ความโกรธ ความหลง พอมีสติแล้วดายออก ต้องให้ศีล ให้สมาธิ ให้ปัญญางอกงามขึ้นไปเรื่อยๆ เกิดอานิสงส์ทันตาล่วงพ้นภาวะเก่าๆ ล่วงพ้นภาวะเก่าๆ ไม่มีอะไรที่จะถึงอกถึงใจเท่ากับละความชั่ว ทำความดี ทำจิตบริสุทธิ์ ได้ทำความหลงเป็นความรู้ ถึงใจ ได้ทำความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ เป็นภาวะที่ถึงจิตถึงใจ ได้ทำความโกรธให้เป็นความไม่โกรธ ถึงอกถึงใจ ไม่เหมือนสมัยก่อน
สมัยก่อนเมื่อโกรธก็ว่าไปตามความโกรธ สะใจดี ได้ด่ากัน ได้สะใจดี เวลาใดที่มันเป็นทุกข์ก็ขมขื่น บูดบึ้ง ก็ถึงใจได้แสดงถึงความโกรธ ได้แสดงถึงความทุกข์ ถ้าจะว่าแล้วเขาก็เป็นความบันเทิงเพราะว่าบันเทิงนี่ เขาพอใจ บันเทิงในความโกรธ พอใจที่จะอยู่กับความโกรธ พอใจที่อยู่กับความทุกข์ พอใจที่อยู่กับความสุข ถ้าจะว่าแล้วการสัมผัสกับความสุข ความทุกข์ เหมือนกับความบันเทิงที่ทำให้คนหลง ผู้มีสติมันไม่ไปเกี่ยวกับความบันเทิงอย่างนั้น มันสงบ พระพุทธเจ้ายังตรัสกับนางราคะ นางตัณหา นางอรดี ที่เราเห็นภาพตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ มีนางราคะ นางตัณหา นางอรดี มาฟ้อนรำต่อหน้า เปลือยกาย แสดงอะไรต่างๆ ทำให้เกิดการบันเทิง ยินดี แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสภาษิตออกไปว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบเป็นไม่มี ความรู้สึกตัว ความไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นการตัดความบันเทิง เป็นชีวิตล้วนๆ ไม่แบ่ง เมื่อเห็นรูป เห็นนาม มันจับเอามาตบมาแต่ง อะไรที่มันไม่เป็นธรรมแต่งให้เป็นธรรมทั้งหมด เปลี่ยนทั้งหมดเลย แล้วก็เป็นรูปจริงๆ รูปที่เราอาศัยได้จริงๆ นามก็อาศัยได้จริงๆ เอารูปมาทำความดีก็ทำดีได้สำเร็จ เกิดเป็นศีลอยู่ที่รูป เกิดเป็นสมาธิอยู่ที่รูป เกิดเป็นปัญญาอยู่ที่รูป เกิดเป็นศีลอยู่ที่นาม เกิดเป็นสมาธิอยู่ที่นาม เกิดเป็นปัญญาอยู่ที่นามธรรม เอามาทำความดีได้สำเร็จ ก็มั่นใจ มั่นใจ อ้อ มั่นใจแล้ว ชีวิตทั้งหมดในโลกคือการกระทำที่เอารูป เอานามมาทำดี มาละความชั่ว มั่นใจไป จะเป็นบุญเป็นบาปเป็นอะไรก็ตาม มันอยู่กับการกระทำเรา แต่ก่อนมันมากเหลือเกินชีวิตเราถูกแบ่ง ถูกปันไปหลายอย่าง จับต้นสายปลายเหตุไม่ถูก พอมาเห็นรูปเห็นนามแล้ว มันทำอะไรได้สำเร็จ รูป นามก็ตามไปเฉลย จนถึงมรรคถึงผลนั่นแหละ มรรคผลก็เกิดขึ้นกับรูปกับนามนี้ ถ้าไม่มีรูปมีนาม มรรคผลไม่เกิด เป็นความหลงที่รูป ทำความหลงให้หมดไป มันเป็นผล อะไรที่เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ มันคุ้ยมันเขี่ยออก เพราะมันไม่เป็นธรรมต่อรูป ไม่เป็นธรรมต่อนาม มันคุ้ยเขี่ยออก เหมือนกับเราเคี้ยวอาหารที่ไปถูกก้าง ถูกกระดูก มันคุ้ยเขี่ยออก มันไม่กลืน มัน ธัมมวิจยะ มันหลายอย่างที่แรงสนับสนุน มันได้ความสมบูรณ์ สมบูรณ์แบบ ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบที่จะทำให้ไม่มีปัญหา สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหามีหลายอย่างสมบูรณ์แบบ พลังที่จะสร้างคุณธรรมหลายอย่าง มีความอดทน มีสติ มีความเพียร มีความเมตตา มีสัจจะ มีศีล มีสมาธิ ปัญญาหลายอย่าง พลังสร้างให้เกิดความยุติธรรมต่อรูป ต่อนามมากจริงๆ
แต่ก่อนเราไม่มี ไม่มี สมัยก่อน มีแต่พลังแห่งการสร้างรูป สร้างนามให้เกิดปัญหา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง อารมณ์ต่าง ๆ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ความยินดี ความยินร้าย มันไปเสียทางโน้น สมัยก่อนไหลไปทางโน้น พอมาตั้งหลักได้มันก็ไหลมาทางนี้กัน อุดมสมบูรณ์ ชีวิตก็เกิดความอุดมสมบูรณ์ในศีลในธรรมขึ้นมา นี่วิธีปฏิบัติธรรม วิชากรรมฐาน มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นการสัมผัสที่ถึงอกถึงใจ ทำความดีได้สำเร็จ ละความชั่วได้สำเร็จ ชีวิตมันก็สำเร็จแล้ว แล้วไปทำอะไรมันก็จะสำเร็จ เหมาะแก่การงานแล้วบัดนี้ เหมาะแก่การงาน แก่หน้าที่ ใช้อะไรก็ใช้ถูก พอเหมาะพอสม แล้วก็ไม่มีอะไรที่กระตือรือร้นที่จะมาบอกความจริงต่อผู้ต่อคน ชีวิต ขอใช้ชีวิตในโลกทางนี้ มันก็ไปทางนี้หล่ะ ถ้าได้พูดความจริง ถ้าได้พาทำ ถ้าได้บอก ถ้าได้แสดงออก ก็ขวนขวายมาบอก มาสอน มาอะไรต่างๆเกิดขึ้นมา ไปทางนี้หล่ะ แต่ก่อนมันไปเข้ารกเข้าพง ยินดี ยินร้าย พอใจ เสียใจ สุขๆ ทุกข์ๆ ทำไมเราจึงจะไปอยู่กับโลกแบบนั้น โลกแบบนั้นมันทับถม มันปกปิด พอมารู้เรื่องกรรมฐานล่วงพ้นภาวะเก่า ข้ามล่วงไปแบบนี้ มันก็กระตือรือร้นที่จะมีกำลัง มีศรัทธา เต็มด้วยความเมตตากรุณา แต่ก่อนอาจจะรักแต่พ่อ แต่แม่ แต่พี่ แต่น้อง แต่บุตร ภรรยา สามีของตน รักข้าวรักของ ของตน พอมันเกิดอย่างนี้ขึ้นมามันก็รัก แม้กระทั่งเม็ดหิน เม็ดทราย รักความเป็นธรรม รักทุกชีวิต อย่างพระพุทธเจ้า มหากรุณาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ ผู้ที่มาเห็นรูปเห็นนามนี้ เกิดอาการอย่างนี้ เพราะว่ามันพ้นทุกข์ พ้นยาก มันพ้นปัญหาต่างๆ ออกมาได้ มันหลุดออกมาได้ และก็เห็นเราที่เป็นยังไงก็เห็นคนอื่นเป็นอย่างนั้น มันก็มีสูตรอันเดียว มันก็มีเท่านี้ มันมีสูตรเรื่องเดียวเท่านี้ มันไม่มีอย่างอื่น มันก็สมบูรณ์ ชีวิต จะเป็นคนชาติใด ภาษาใด มันก็คือเรื่องเดียว จึงกระตือรือร้นที่จะขวนขวาย ขนส่ง ให้ปัญหาต่างๆ ออกจากรูป จากนาม ออกจากกาย จากจิต ของผู้ ของคน เป็นการรีบด่วนสักหน่อยหนึ่ง เป็นการรีบด่วน ถึงอย่างนั้นก็ยังทำไม่ทัน ทั้งๆที่ทำอยู่ก็ยังทำไม่ทัน เมื่อได้ช่วยหลายๆอย่าง ชีวิตก็เลยรีบด่วน รีบขวนขวาย รีบช่วยกันไป
ทิศทางของเราที่มาปฏิบัติธรรมก็คิดเหมือนๆกัน คิดเหมือนๆทุกชีวิตนั่นแหละ เพราะเรามีรูป มีนามเหมือนกัน แล้วก็เคยหลง แล้วก็เคยรู้ แล้วก็เคยสุข แล้วก็เคยทุกข์ เราเคยรัก เคยชัง พอมาสร้างความรู้สึกตัวนี้ อันนั้นจะมาแบ่ง เอามาแซงหน้าแซงหลัง นั่นแหละ มันจะมีประสบการณ์ นั่นแหละมันจะมีบทเรียน การปฏิบัติธรรมมันมีข้อเปรียบเทียบกันอยู่ มันไม่เหมือนกับไม่ได้สัมผัส เหมือนเราตกเบ็ดที่ไม่มีเหยื่อ การตกเบ็ดไม่มีเหยื่อ ไม่ใช่ลอยๆอยู่ในน้ำ มันไม่ใช่ มันมีของที่จะมาสัมผัสอยู่ เช่นความหลงมันก็หลง ความรู้มันก็รู้ พอทำลงไปมันเป็นการเป็นงาน การงานที่เราทำมันก็เบาบางไป สร้างความรู้ มันก็มีความรู้จริงๆ มีกาย เอามาสัมผัสกับความรู้ ก็สัมผัสได้จริงๆ ไม่ได้หลอกลวงใคร ให้มาทำ ลองดู มีความรู้สึกตัวจริงไหมเห็นความหลงที่เกิดขึ้นกับกายกับใจมีไหม ความหลงที่เกิดขึ้นกับตา กับหู จมูก รูป รส กลิ่น เสียง มีไหม แล้วเมื่อหลงอะไรก็ตามมาเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตัวได้ไหม ต่อเมื่อเปลี่ยนได้ ก็พยายามเปลี่ยนไป เพียรตรงนี้ แต่มันจะหลงแล้วหลงอีก ก็เพียรรู้แล้วรู้อีก มันจะทุกข์แล้วทุกข์อีกก็เพียรรู้สึกตัวร่ำไป ถ้ามีความเพียร ถ้ามีความเพียรตรงนี้มันก็พ้นได้ พ้นจากความหลงนาๆหลายอย่าง คนจะล่วงทุกข์ไปได้เพราะความเพียร จะล่วงความโกรธ ความโลภ ความหลงไปได้ก็เพราะความเพียรวิริเยนะ ทุกขะมัจ เจติ จะล่วงพ้นความทุกข์ ความยากลำบากไปได้ เพราะความเพียร ความเพียรคือการเจริญสตินี้ไปก่อน ถ้ามันล่วงตรงนี้ไปได้อันอื่นก็ค่อยล่วงไปหละ เป็นการเริ่มต้นซะ ก็ไปได้จริงๆนะ ถ้าจะไปทำงานทำการ ก็ทำการทำงานชอบ ที่เกิดจากรูปจากนามที่พ้นปัญหา แล้วก็เกิดการงานชอบขึ้นมา นี่คือจุดมุ่งหมายที่เรามาที่นี่ ผมเองก็ประสงค์อย่างนี้ พวกเราก็ประสงค์อย่างนี้ ให้มาศึกษาของจริง แล้วก็สิ่งเหล่านี้ไม่มีใครช่วยเราได้ เราก็เป็นกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรนี้พาถึงมรรคถึงผลนะ แต่ว่าถ้าใครช่วยเราไม่ถึงมรรคถึงผล
ถ้าเป็นเพียงกัลยาณมิตรนี่พาให้ถึงมรรคถึงผล กัลยาณมิตรก็คือนี่แหละมาสร้างสติด้วยกันนี่แหละ มาบอกมาพูดด้วยกันและก็เห็นอันเดียวกัน เพื่อนเรานั่งอยู่กุฏิหลังโน้นเขาก็คงง่วงเหมือนเรา เพื่อนเรานอนอยู่ตรงโน้นก็อาจจะคิดกลัวเหมือนเรา อาจจะคิดทุกข์เหมือนเรา เหมือนกันสำหรับผู้ปฏิบัติ โอ้ หลวงพ่อเทียนอยู่กุฏิหลังนู้น โอ้ หลวงพ่อเทียนเป็นครูของเราหนอ หลวงพ่อเทียนคงเห็นเรื่องนี้ล่ะหนอ หลวงพ่อเทียนคงผ่านเรื่องนี้ไปได้หนอ เขามีกำลังใจ ครูบาอาจารย์ที่นี่อีกเคยบอกเคยสอนเรา โอ้ ท่านก็คงเห็นและมาบอกเรา โอ้ ก็จริงเหมือนท่านบอก เวลาใดมันหลงก็รู้สึกตัวซะ ท่านก็บอก โอ้ ท่านก็รู้เรื่องนี้หนอ มองไปหลายๆอย่าง ทางแม่ครัว โอ้ เขาก็ทำอาหารให้เรากินหนอ โอ้ ญาติโยมเขากำลังจะใส่บาตรให้เราหนอ ไปบิณฑบาต โปรดญาติ โปรดโยม บางทีเขายังไม่ได้คิดที่จะใส่บาตรพอเห็นเราไปก็คิดถึง พระบิณฑบาต ก็คิดถึงก้อนข้าว เอาข้าวมาใส่บาตร โอ้ เขาก็ได้โอกาส ถ้าเขาไม่เห็นเรา เขาก็ไม่ได้โอกาส โอ้ มันดีหนอ ไม่ใช่เราไปขอทานเขา เราเดินไป บิณฑบาตไม่สวมรองเท้า เราก็หัดเราดีหนอ แต่ก่อนนี้เราเท้าอ่อน บอบบาง พอเดินทีแรก ก็บางรูปบางองค์น้ำตาร่วงนะ พอเดินไป เดินมาก็เดินได้ เราก็ฝึกไป ฝนตกเปียกลงมาบ้างไม่เป็นไร หนาวบ้าง ร้อนบ้างเลยได้สัมผัสความยาก ก็ได้สัมผัสกับความสะดวกสบาย เราก็ลุยได้ทั้งสองอย่าง การลุยได้ทั้งสองอย่างมันเป็นความเข้มแข็ง มันเป็นบทเรียน เป็นประสบการณ์ นี่คือ กัลยาณมิตร ไปบิณฑบาตก็ไม่ใช่เราคนเดียวเพื่อนก็เดินตามหลังเราไป เดินออกหน้าเราไป เราก็เจ็บเท้าเหมือนกัน เพื่อนก็เจ็บเท้าเหมือนกัน เห็นเพื่อนเดินหยอกๆแหยกๆ โอ้ เราก็เดินหยอกๆแหยกๆ เกิดสนุก หัวเราะไป ไม่ใช่เราทุกข์คนเดียวหนอ นี่กัลยาณมิตร กัลยาณมิตรนี่มันพาถึงมรรคถึงผล เหมือนสมัยครั้งพระพุทธเจ้า มีเหล่าพระสาวกทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน ขวนขวาย อุ่นอกอุ่นใจ เวลาขบเวลาฉันก็ได้ฉันเหมือน ๆกันอาหารวางไว้บนถ้วยบนชาม ลักษณะการฉันมีบาตรมีช้อนไปตักเอา ตักเอาอะไรที่พอที่เลือกสำหรับสุขภาพร่างกายเรา หลวงพ่อก็เลยสัตตาหะมา มาขอฉันข้าวต้มสักสองสามวันเนาะ