แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฟังธรรมต่อ เรามีการมีงาน เรามีหน้าที่ ไม่ใช่เรามาเล่นๆ ชีวิตของเรานี่ประมาทไม่ได้ ถ้าประมาทก็เป็นทางไปสู่ความตายตายจากความดี ถ้าไม่ประมาทก็จะพ้นตายไปสู่จุดหมายปลายทางในชีวิต คนตายคือคนไม่มีชีวิต คนมีชีวิตก็คือคนไม่ตาย ปราศจากมรรคจากผล มันก็ตายไม่มีชีวิต มรรคผลคือชีวิต เหมือนการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีสติเดินอยู่บนเส้นทางของกายของใจ อย่าช้า อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายผ่านให้ได้ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับใจผ่านให้ได้ มันหลงผ่านไป มันสุขมันทุกข์ผ่านไป อะไรที่มันเกิดขึ้นผ่านไปให้มีสติ ผ่านความหลง ผ่านความทุกข์ ผ่านความโกรธ ผ่านความวิตกกังวลเศร้าหมองให้ได้ ให้ชำนาญ เหมือนกับเราเดินทางไปไร่ไปนา ถ้าคนชำนาญเดินทางไปไร่ไปนาของตนเองหรือขับรถไปทำงาน ก็พอนั่งรถก็ถึงแล้วถึงที่ทำงานแล้ว มันมีความสามารถหรือพอเดินก็ถึงแล้วถึงไร่นาแล้ว การเดินไม่มีความหมายถึงจุดหมายปลายทางเป็นที่ตั้ง มันก็ธรรมดาการเดินทางก็มีขรุขระบ้างไม่มีปัญหา ชนะคือจุดหมาย ความตายไม่มีค่าอะไร ความยากไม่มีค่า ความง่ายไม่มีค่า ถึงมีค่า อย่าไปให้ปัญหาเป็นปัญหา ให้ปัญหาเป็นปัญญาเป็นทางผ่าน ให้มันชำนาญ ชำนาญในเส้นทาง ชีวิตเรามีทางเดินเช่นเดียวกัน ไปที่เดียวกัน ถึงที่เดียวกัน เดินคนเดียว ผ่านเอาเอง เราหลงคนอื่นเขาไม่หลง เราโกรธคนอื่นเขาไม่โกรธ เราทุกข์คนอื่นเขาไม่ทุกข์ อย่าคิดว่าคนทั้งหลายเหมือนเราหมด ต้องเปรียบเทียบเอาอย่างพระพุทธเจ้า พระสาวก แล้วก็มาประกอบกับชีวิตของตนเอง ทำให้เหมือนพระศาสดาพระสาวกครูอาจารย์ของเรา มันก็ชำนาญนะ มันมีทางผ่านจริงๆ เดินอยู่บนรูปบนนาม บนกายบนใจนี่ ผ่านของเท็จของจริง เห็นหลักเห็นฐาน เห็นเส้นเห็นทาง แม้มันจะมีหลุมก็เหมือนกันหมด มีอะไรที่เราเคยผ่านข้ามไปเหมือนกันหมด หลงก็เหมือนกัน หลงชั่วโมงนี้กับหลงชั่วโมงหน้าเหมือนกัน โกรธชั่วโมงนี้กับโกรธชั่วโมงข้างหน้าเหมือนกัน ถ้าไม่ข้ามชั่วโมงนี้ก็ไม่มีข้ามชั่วโมงข้างหน้า ข้ามเรื่องเก่าบ่อยๆ ข้ามเรื่องเก่าบ่อยๆ มันต้องชำนาญแน่นอน ง่าย ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ง่ายหล่ะ ยาก ผ่านความง่วงก็ยาก ผ่านความคิดก็ยาก ถ้าเราหัดผ่านหัดข้ามมันก็ง่าย
เคยเดินไปภูหลงสมัยสามสิบกว่าปี ไม่มีทาง ต้องข้ามขอนไม้ ไปตรงไหนมีแต่ควันไร่ท่อนไม้ท่อนใหญ่ต้องข้ามเรื่อย ข้ามทีแรกก็อาจจะปวดเมื่อย บางทีถ้าขอนไม้มันโค้งนิดหน่อย มันไต่ขอนไป เกิดนิมิตเหมือนกระแสหนะ ภูหลงจุ้งกุ้งอยู่โน้นหนะ ข้ามขอนไป ลงขอนข้ามขอนนั้น ข้ามไปข้ามมา ง่าย ข้ามทีแรกก็ปวดขา พอข้ามไปข้ามไป มันชินเหมือนกัน แล้วเราเดินทางชั่วโมงแรกสองชั่วโมงอาจจะเหนื่อย วันหนึ่งอาจจะเหนื่อย สองวันอาจจะเหนื่อย สี่วันห้าวันไม่เหนื่อย เคยเดินทางไกล เหมือนจากเมืองเลยถึงเชียงใหม่ ใช้เวลาเดือนหนึ่งถึงเชียงใหม่ เดินขึ้นดอยสุเทพ ๗ กม.ไม่รู้จักเหนื่อยเพราะเราเดินทางมาเดือนหนึ่งแล้ว พอเดินขึ้นดอยสุเทพนิดหน่อย ผ่านคนไม่รู้ว่ากี่คน เขาเดินทาง พอเราเดินไปขึ้นไป คนอื่นก็นั่งแคบแหมบอยู่ เอ๊ะ!เราไม่นั่ง นั่งไม่ลง เพราะเราไม่มีความรู้สึกเช่นนั้น แล้วก็ผ่านเขาไปเรื่อยๆ เห็นคนญี่ปุ่นนอนทับเป้อยู่ข้างหลัง หายใจแงบๆ เราก็เอ๊ะ!มันเป็นอะไรจะตายรึไง ก็เลยยืนอยู่เป็นเพื่อนไม่นั่งหรอกนะ เดินกลับไปกลับมาไม่พูดกันพูดไม่รู้เรื่อง แล้วก็ลืมตาดูเราแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ เออ!ยังไม่ตาย ก็เลยยืนอยู่เป็นเพื่อนถ้ามันเป็นไรจะช่วยมัน มันหนุ่มกว่าเรา ไปมาๆแล้วก็ลุกขึ้น ลุกขึ้นมันลุกไม่ขึ้นเป้มันใหญ่ ดันขึ้นแล้วก็ไปยกเป้ช่วย มันหยุด เอ๊ะ!มันยังไงหว่า มันก็ลุกขึ้นครั้งที่สอง มันก็ไม่ขึ้น แล้วจะไปช่วยอีก มันก็ไม่พอใจ เอ๊ะ!แสดงว่ามันไม่ให้เราช่วย มันช่วยมันเอง เราก็ยืนอยู่ มันลุกไปลุกมาลุกได้ พอลุกได้ก็โบกมือไปเลย มันยกนิ้วมันไม่ต้องช่วย ช่วยตัวเองดีกว่า เนี่ยคนญี่ปุ่น ก็เดินขึ้นไป มันไปพักอีกเราไม่พัก ไปเรื่อยไป ตอนนี้มันพักอยู่มันโบกมือเราก็โบกมือ ไปก่อนนะ นั่นหล่ะมันก็ชำนาญนะ เดินขึ้นเขาศรีปาทะคนที่มีกำลังก็เดินไปก่อนเรา เราก็เดินไปสบายๆ เดินไปเดินขึ้นไปเรื่อยๆไป กับคุณหมู กับคุณดนัย คุณบุญทวีรอกัน เราอายุมากกว่าเขา เขาอายุน้อยกว่าเรา เราก็เดินขึ้นไป ถ้าเราจะไปเหมือนพระหนุ่มขึ้น อาจารย์สมหมาย วรเทพ ก็ได้ แต่ว่าสองคนนี้ต้องขอเป็นเพื่อนเขาสักหน่อยได้แค่ไหนก็เอา เอาให้สุดความสามารถ เราขึ้นไปเราก็ไปนั่ง เขาเดินหน้าแล้วมองข้างหลัง โน้นอยู่นั้นต๊อกแต๊กๆ เราขึ้นไปนั่ง หัวเราะเขานะ เดี๋ยวๆพอเขาขึ้นไปเขานั่ง พอเขานั่งแล้ว พอหายเหนื่อยบ้างแล้วก็เดินขึ้นไป ไปรอเขาอีก มาขึ้นมา ผลที่สุดพอขึ้นไป พ้นแล้วพวกเดินไปถึงก่อนลงมาแล้ว ลงมา ยังมองเห็นอยู่เนี่ยเห็นยอดเนี่ย เดินขึ้นไปอีก เอาเพื่อนที่ลงมาขึ้นไปอีก เดินขึ้นไปดูอีก บางทีก็ช่วยกันบาง ถ้าใครเคยขึ้นศรีปาทะแล้ว เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กชำนาญ
การปฏิบัติกรรมฐานก็เหมือนกัน ทางก็หลงง่ายนิดเดียวลัดนิ้วมือ ผ่านความทุกข์ลัดนิ้วมือ ผ่านความโกรธลัดนิ้วมือ ผ่านทุกครั้ง ง่ายนิดเดียว เหมือนพลิกมือหงายมือ กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ง่าย มีหลักมีฐาน หลงอันหนึ่งรู้อันหนึ่ง นี่มันหลง หลงคือรูป เรื่องของรูปมีมาก แสดงให้เราเห็นหมด เรื่องของนามมีมากแสดงออกมาให้เราเห็นหมด ทำไมเราจะไม่รู้ แสดงแล้วแสดงอีก หนังเรื่องเก่า ไม่มีค่าสำหรับผู้ที่ดูหนังเรื่องเก่า ดูแสดงไปก่อนมันก็ได้ บางทีมันเล่นกลกับเรา มารยาสาไถย รู้เล่ห์รู้กลมัน เข้าข้างตัว นั้นยิ่งฉลาด มันก็ชำนาญผ่านโน้นผ่านนี้ไป เหมือนกับเดินทางนั้นแหล่ะ ปฏิบัติธรรมถึงก็ถึงเหมือนกัน ทำไมจะไม่ถึงเหมือนเราหิวข้าว กินข้าว กินข้าว กินข้าวอิ่มแล้ว ความอิ่มเป็นเรื่องของส่วนตัว ถามคนอื่นก็ไม่ได้ ฉันอิ่มหรือยัง ไม่ต้องถาม คนกินข้าวหิวข้าว คนอิ่มข้าวไม่ต้องหิว มันก็ต่างกัน คำว่าถึง คำว่าเสร็จ คำว่าอิ่ม ก็อันเดียวกัน แล้วก็ชำนาญ ไปกลับ ไปกลับ ไปกลับ โอ้!จะหลงมันก็ไม่หลงหล่ะบัดนี้ มันไปที่นี่ ทำเล่นๆ ก็ไปสู่ที่นี่ ไม่ได้ตั้งใจ แป๊บเดียวไปแล้ว ง่ายแสนง่ายแล้ว แล้วไอ้สิ่งที่หลงนี่ ทำให้เราได้เป็นเครื่องมืออุปกรณ์อย่างดี ผ่านรูปผ่านนาม อาการของรูปอาการของนามแสดงให้เราเห็นหมด ทำไมจะไม่เห็น มันไม่ปิดบังอำพราง มันแสดงออกมาแบบโง่ๆ เห็นหมด แล้วเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์ เห็นความไม่ใช่ตัวตนของการแสดงออกมา อะไรที่มันเกิดกับรูปนามไม่เที่ยงทั้งนั้นที่มันเกิดขึ้น เป็นกิเลสก็ไม่เที่ยง ตัณหาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง ความโกรธ ความโลภ ความหลง อะไรๆก็ไม่เที่ยงเลย ชื่อว่ารูป ชื่อว่าไตรลักษณ์ ชื่อว่าความไม่เที่ยง มันก็ไม่เที่ยงอยู่เสมอไป ง่ายๆ แต่คนที่ไม่เคยผ่านก็ยากจัง สิ่งใดไม่เที่ยงเกิดขึ้น กายเป็นทุกข์ ร้องไห้เสียใจอกหัก นี่เราไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ มันก็เห็นแจ้งเหลือเกินความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ก็เห็น ความไม่ใช่ตัวตนก็เห็นเกลี้ยงเกลาไปเลย สามไตรเนี่ย บอกทิศบอกทางของเรา เฉลยช่วยเรา ช่วยเราได้เยอะ พอเห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม อะไรมองก็ว่าไม่เที่ยง มันแสดงออกเราเห็นแต่เรื่องเดียว เป็นตัวเฉลยช่วยเราได้คล่องตัว
เหมือนเครื่องมือการเดินทาง เหมือนเราเดินทางไปต่างประเทศ มีพาสปอร์ต มีวีซ่าถูกต้อง มีรูปของเราเป็นหลักฐาน มีลายลักษณ์อักษรตรงกัน พาสปอร์ต หนังสือสุทธิ วีซ่า เหมือนเดินไปเกิดเหมือนกันหมด มีหลักฐานอ้างได้ ไม่มีอะไรขวางเราได้ เราถูกต้องหมดทุกอย่าง แล้วคนที่ขวางเราถือว่าผิด ความหลงจะให้เราหลงมันก็ผิดนะ ความทุกข์จะให้เราทุกข์ก็ผิดนะ มีสิทธิที่ไม่ทุกข์ไม่หลงนะ ใครเห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ เห็นปรมัตถ์ สัจจะ ความเท็จความจริง ชัดลงไปอีก อะไรเป็นสมมุติ จริงแบบสมมุติจริงแบบไหน จริงแบบปรมัตถ์จริงแบบไหน นี่ก็เห็นหมด ชำนาญในสมมุติ ชำนาญในบัญญัติ ในโลกนี้เต็มไปด้วยสมมุติเต็มไปด้วยบัญญัติมากมาย เป็นดงเป็นประตู ประตูที่เราจ้องผ่าน ไม่ใช่ประตูมันเปิดไม่ได้มันเปิดได้จึงจะเรียกว่าประตู เปิดได้ ผ่านได้ บางทีไม่ต้องเปิด มันเปิดให้เราเลย เหมือนประตู ประตูอะไร ประตูรีโมทหรอ พอเราไปมันเปิดให้เราเลย เหมือนสนามบินเหมือนที่สำนักงานอะไรต่างๆ พอเราเดินไปมันก็เปิดให้เรา เราเดินผ่านไปก็ปิดให้เรา เราก็ผ่านได้จริงๆ ให้ความสะดวก สมมุติให้ความสะดวกเพื่อให้เราเห็น บัญญัติทำให้เราสะดวกเพื่อให้เราได้ผ่าน ปรมัตถ์สัจจะทำให้เราถึง สมมุติทำให้เราถึงปรมัตถ์ ถ้าไม่มีสมมุติไม่ถึงปรมัตถ์ ความเท็จมันบอก จึงมีความจริง มีความเท็จเปรียบเทียบความจริง เรียกว่าสมมุติเรียกว่าปรมัตถ์ มันบอก นี่ก็ได้หลักฐานแบบนี้ กรรมฐานไม่ใช่ ไม่ใช่มโนภาพ ไม่ใช่จิตนาการ มันเป็นการสัมผัสกับชีวิตชีวาของเราจริงๆว่ามันคืออะไร มันเป็นอะไร มันทำไม่ได้ มันจะหลงไม่ได้ มันจะสุขจะทุกข์ไม่ได้ มันก็เรื่องเหลวไหลก็ว่าได้ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ปรมัตถ์เหนือทุกอย่าง ไม่เห็นรูปเห็นนาม เห็นขันธ์ห้ามันโชว์ โชว์ประตูสุดท้ายเลย รูปมันเป็นยังไง เหมือนพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสาวก ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ เสยยะถีทัง ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ รูปูปาทานักขันโธ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งการยึดมั่นถือรูปเราหรือ อะไรที่มันโชว์ไปตลอด เพราะมันมีรูป มีนาม มีขันธ์ห้า ธาตุสี่ มันก็แสดงตามภาษาของมันนะขันธ์ห้าหนะ แต่ถ้าไม่ละเอียดมันก็มีรสชาติทำให้เราข้องติด
มันเป็นธรรมชาติที่สุดของขันธ์ห้า เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่ใช่ขันธ์อุปาทาน ขันธ์อันนี้เป็นขันธ์อาศัย ไม่ใช่ขันธ์ที่จะต้องให้เราแบกเราถือ การแบกถือคือ สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ มันแบกเอา เหมือนกับแบกเรือ ขันธ์นี่ ขันธ์ห้าเหมือนเรือขี่ข้ามฟาก ขึ้นฝั่งแล้วก็ต้องจอดไว้นั้น ไม่ใช่เอาไป ไม่ใช่แบกขึ้นไป เลยเห็นในขันธ์ห้า ไปเห็นในขันธ์ห้าตามความเป็นจริงอย่างละเอียดถี่ถ้วน มันชวนให้เราดู โอ้!นี้ขันธ์ นี้คือขันธ์ธรรมชาติล้วนๆ เป็นขันธ์อาศัย เวลาเราทิ้ง มันก็ไม่มีขยะเหมือนขยะอันอื่น ตัวมันก็ไม่มี แต่มันแสดงมีรูปมีนามมีขันธ์ห้าแสดงตามความเท็จความจริงของมัน มันก็ไม่มีอะไรที่ไม่ให้แสดงมันเป็นเรื่องอย่างนั้น รูปมันก็เป็นรูป เสียงก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป รสก็เป็นรูป ความคิดความนึกก็เป็นรูป มันเป็นอย่างนั้นรูปนาม มันเป็นขันธ์ห้าอย่างนั้น แต่มันมีอะไรที่มันไม่ใช่ อุปาทานไปยึดว่าเราสักหน่อยเลย เห็นเขาแสดงในขันธ์ห้า ดูเขาแสดงออกมา โง่ๆ ไม่ฉลาดอะไร แต่ถ้าเรามีวิปัสสนารู้แจ้งทะลุทะลวงก็ได้เห็นเรื่องเท็จเรื่องจริงของขันธ์ห้า เล่นอยู่อย่างสนุกสนาน ตอนอื่นไม่ได้เล่น ผ่านแล้วผ่านไป เหมือนเราข้ามคูข้ามคลองข้ามท่อนไม้ข้ามไปแล้ว แต่ว่าขันธ์ห้า มันเป็นเรื่องเล่นๆ แต่มันก็ทำให้เราหลงมันได้ ให้เราดูมัน มันก็ยังมีอยู่ เห็น เห็นไปเห็นมา เห็นไปเห็นมา แยกกันซะ ขันธ์ห้าแยกกันเลย เหมือนคนห้าคนหยุด หยุดทำงาน แต่ก่อนร่วมหันหน้าใส่กัน เหมือนคนดายหญ้า เหมือนพระเณรดายหญ้าหันหน้าใส่กัน คนนั้นก็ต้นหนึ่ง คนนี้ก็ต้นหนึ่ง จับจอบ ต่างคนต่างทำงานคนห้าคน ต่างคนต่างทำงาน คนนั้นก็ขยัน รูปก็ขยัน เวทนาก็ขยัน สัญญาก็ขยัน สังขารก็ขยัน วิญญาณก็ขยัน ทำหน้าที่ของเขา เพื่อเขาจะอยู่ได้ ทำไปทำมาคนห้าคนทำไปทำมา แต่เราเป็นผู้ดู ค่อยๆ ดูนั้นหล่ะ ดูมันทำ พอดูมันทำ ขันธ์ห้ามันทำงานรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอาไปเอามามันหันหลังให้กัน หันหลังให้กัน เดินไปคนละทาง อ้าว!มันเป็นอย่างนี้อีกแล้ว มันหยุดเฉยๆ นะ หยุด ไม่ทำ ไม่ทำต่อ วางจอบ วางเสียม วางจอบ วางเครื่องมือทำงาน การลดของขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีรสมีชาติจืดไปเลย นี่อุปาทานขันธ์ห้า ห้าตัวย่อมีเท่านี้ สาวกทั้งหลายก็รู้เรื่องนี้ มันผ่านจริงๆ ไม่ใช่มโนภาพ ไม่ใช่ครุ่นคิด วิปัสสนึก จินตญาณ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นการทำด้วยมือ ผ่านด้วยการกระทำ ผ่านด้วยวิปัสสนาญาณ ผ่านด้วยกรรมฐาน อันนี้มันช่วยกันไม่ได้ เหมือนเราเดินทางนี้ ใครก็เดิน เอาใครเอาเรา แต่ต้องไปด้วยกัน เวลาเราผ่านตรงไหน เห็นร่องรอย เห็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า โอย พระพุทธองค์ไปตรงนี้ เหมือนกับเราสวดธรรมปะหัง พระพุทธเจ้าก็อยู่เฉพาะหน้านั้นแล้ว
ถ้าเราทำถูก เฉพาะหน้าเรา ผ่านไปตรงไหนก็ผ่านเหมือนกันไป ศรัทธาก้าวหน้า อัศจรรย์พระธรรม อัศจรรย์พระพุทธเจ้า อัศจรรย์ธรรมะ อัศจรรย์หมู่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ารู้เรื่องนี้เป็นส่วนมาก รู้เรื่องนี้เป็นส่วนมาก โอ้อัศจรรย์ อัศจรรย์ โอ้ชีวิตนี่มันเป็นอย่างนี้ นี่มันทางนี้ ถึงจุดหมายปลายทางได้ แต่อย่าทิ้ง อย่าทิ้งงานทิ้งการ ให้ลำดับลำนำอยู่ในการเดิน แล้วมีสติก็เหมือนกับเดิน ถ้าเห็นก็เรียกเดินข้ามไปแล้ว ถ้าเป็นเรียกว่าหยุดแล้ว เห็นอะไรเห็นมันหลง ข้ามหลงเป็นภาวะที่รู้ ถ้าหลงเป็นรู้ข้ามไปแล้วผ่านไปแล้ว ถ้าทุกข์ก็เป็น รู้ผ่านไปแล้ว อะไรที่มันเกิดขึ้นกับรูปกับนาม ผ่าน ผ่านคือ รู้นั่นหละ ให้เรารู้ ความหลงไม่ใช่ทำให้เราหลง ความทุกข์ไม่ใช่ทำให้เราทุกข์ ให้เรารู้ ให้เราข้ามไป ให้เราเห็น มันทำได้ ไม่หลงก็ได้ ไม่ทุกข์ก็ได้ เมื่อมีหลงไม่หลงก็ได้ เมื่อมีทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ เมื่อมีโกรธไม่โกรธก็ได้ เนี่ยข้ามไปผ่านไปทางมันอยู่ตรงนี้ อย่าเสียเวลาน้อยนิดเดียวก็ไม่เอาแล้ว ง่ายๆ ยิ่งผ่านทุกข์นี่ โอ้ย!สนุกดี สมน้ำหน้ามัน อันที่ว่าทุกข์ผ่านได้นี่ โอ้ย!ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรขยันไปกว่าการข้ามทุกข์ ขอให้มันทุกข์มาเท่าไหร่ก็จะข้ามมันหนะ เป็นกีฬาไปเลย เป็นศิลปะไปเลย นี่คือศรัทธา คือความเพียร ศรัทธาในตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว มันไม่หวั่นไหวแล้วไง มันหันหน้าใส่ หันหน้าใส่เหมือนเรือวิ่งทะเลแล้วมีเรดาร์ แล้วมีเรดาร์ส่องไปข้างหน้า มีคลื่นอยู่ตรงไหน เจอคลื่นแล้วก็รู้จัก เหมือนเครื่องบินก็บินขึ้นน่านฟ้า บางทีเขาบอกเราอีกสิบนาทีจะมีคลื่นข้างหน้าให้ผู้โดยสารทุกคนรัดเข็มขัดปรับที่นั่งให้ตรงของวางไว้ใต้โต๊ะใต้ม้านั่ง ต่อไปก็มีจริงๆ ตึมตั้มๆ เรือที่วิ่งทะเลก็เหมือนกัน ถ้าคลื่นมาทางนี้เราก็ไม่เอาข้างสู้ หันหน้ามาสู้มัน สู้คลื่น คลื่นมันมาไปเนี่ย ถ้าคลื่นมันซัดข้างมันก็ข้ามได้ถ้าเรือเล็ก ถ้าคลื่นมาข้างหน้า หันหน้าสู้ ความหลงหันหน้าสู้ ความทุกข์หันหน้าสู้ ไม่ใช่หันข้างใส่ ข้างไม่มีกำลัง ที่เข้าข้างพอใจไม่พอใจเป็นข้าง ไม่ใช่ตรงหน้า ปฏิบัติตรงคือมันตรงๆ หลงกับรูปตรงกัน ถ้าหลงเป็นหลงมีรสชาติก็ข้างเรา พลิกคว่ำง่ายเป็นผู้หลงไปเลย ข้างมันก็ข้างๆ อย่างนี้ เหมือนเราจะข้ามอะไรเอาข้างๆกระโดดข้ามไม่ได้ ต้องหน้ากระโดดข้าม ข้ามขอนไม้ต้องเอาข้างขึ้นนะ บางทีถ้าขอนใหญ่เอาข้างขาก้าวขึ้นไป ถ้าขอนเล็กข้ามไปเลย ๆ บางลักษณะก็ต่างกัน อันนี้คือปฏิบัติตรง ศรัทธาในตถาคตของผู้ใดตั้งมั่นอย่างดีไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว เคยนั่งเรือจากหาดใหญ่ไปเกาะสาหร่าย โยมนิมนต์ไปทำบุญ เราไม่เคยนั่งเรือข้ามคลื่นขนาดนั้นมองทะเลขาวเพียบเลยนะ คลื่นมันใหญ่ลมพัดฝนตก เราก็หันหน้าสู้ หันหน้าเรือสู้คลื่น เกาะสาหร่ายมันอยู่ตรงนี้ แต่เขาหันหน้าเรือไปทางนี้สู้คลื่น ตึม ๆๆๆ เรือกระทบคลื่นทีไรนะ เรือมันลำไม่ใหญ่นะ น้ำมันกระเด็นใส่พวกเราอยู่ข้างหลังเปียกหมดเหมือนฝนสาด
ปั้ง!น้ำกระเด็นขึ้น ลมพัดแรงปลิวใส่พวกเราไม่มีหลังคา ตึม ๆๆๆ เรามีหมอนลมอันหนึ่ง ชีน้อย เราก็เป่าลมไว รู้จักหมอนลมไหม เอามากอดไว้ ถ้าเรือมันลมจะเอาใส่หมอนนี่ เอาบาตรเอาอะไรใส่ ทำไว้ดีๆ แล้วก็รูดซิป ใส่ย่ามแล้วก็รูดซิปไว้ กอดหมอนไว้จีวรเปียกหมดแล้ว ดูเด็กน้อยนั่งอยู่โน้นหน่ะมันยังหยอกล้อกัน เรายังคิดว่า เอ๊ะ!ถ้าเรือล่มใครจะช่วยเด็กหนอ ดูเขาเขายังไม่คิดอะไรเลย เขาเป็นคนทะเล เราเป็นคนบ้านโคกอีสาน ยังจะคิดจะช่วยเด็กอยู่ เด็กน้อยยังหัวเราะอยู่เปียกยังคุยกันเล่นอยู่ แล้วเด็กทำไงใครจะช่วยไหมหว่า เรายังคิดจะช่วยเด็ก ถ้าเรือล่มเราจะช่วยเด็กก่อน จะให้มันเอาหมอนนี่กอดเอา แต่ที่ไหนเขาไม่ได้คิดอะไร พอผ่านคลื่นไปก็หันหน้าใส่เกาะ เปียกหมดในคืนนั้น เจ้าบ้านเจ้าของบ้านเขามาเอาผ้าไป เอาพัดลมเป่า เราไม่มีผ้าเปลี่ยน พัดลมเป่าจีวร ไปเป่าพัดลมเป่าๆ แห้งตอนเช้าเลยนุ่งได้ห่มทำพิธีทำบุญบ้านเขา นี่ก็คือชาวทะเลบ้านโคกบ้านป่า คนที่ชำนาญเดินเรือเขาก็มั่นใจ เขามั่นใจเขาหยอดหลุม เหมือนรถคนบ้านป่าคนบ้านโคกเดินทางขับรถเดินทางด้วย.....เขาหยอดหลุมเป็น ถ้าคนกรุงเทพหยอดหลุมไม่เป็นนะ ใช่ไหม ขับรถปั้ง ๆ ไป ถ้าคนบ้านนอกเขาหยอดหลุม หยอดระหว่างคันเร่งระหว่างคลัชใส่หลุม เหมือนเราไสรถน้ำเวลา(บรร)ทุกน้ำ เวลามันลงหลุมก็พลักไปหน่อย ถ้ามันลงหลุมพอมันขึ้นเอาแรงๆ หน่อย อย่าให้มันกระดุกกระดิกน้ำมันเฟียด น้ำมันกระเพื่อมออกหมดเลย ดันไป ดันไป พอมันปั๊บน้ำมันออกหมดเลย บางที(บรร)ทุกน้ำบางคนไสรถไม่เป็น น้ำมันออกหมดเลย คนโบราณเขาไม่มีเครื่องถังเหมือนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นมันชำนาญแน่นอนกรรมฐาน วิปัสสนายอดเยี่ยมที่สุดเลย เดินทางคิดของเราถึงจุดหมายปลายทาง ผ่านความหลงได้ง่าย ผ่านความทุกข์ได้ง่าย ผ่านความโกรธได้ง่าย ผ่านกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องเป็นของเรา เรื่องทุกข์ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือไม่ทุกข์ เรื่องหลงไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราคือไม่หลง ให้มันถึงปลายทางอยู่ตรงนั้น ความตายไม่มีค่า ถ้าหลงมันต้องไม่หลงคือจุดหมายปลายทาง มันทุกข์มันต้องไม่ทุกข์คือจุดหมายปลาย ความโกรธต้องไม่โกรธคือจุดหมายปลาย นั่นแหละจุดหมายปลายทาง มันเป็นทางผ่านจริงๆ ผ่านอันนี้มันจึงไปถึงอันโน้น ผ่านความหิวจึงไปถึงความอิ่ม ถ้าเราไม่เคยหิวก็ไม่รู้จักอิ่ม อิ่มเป็นยังไง เพราะมันหิว หิวพาให้เราอิ่ม ถ้าไม่หิว มันมีความอิ่ม มีความเจ็บมันจึงมีความไม่เจ็บ มีความแก่จึงมีความไม่แก่ มีความตายจึงมีความไม่ตาย มีไหม เมื่อวานพ่อแป๊ะพูดว่า พ่อใหญ่หนู แม่สุดอ่ะป่วย พ่อใหญ่หนูมีชาติ ชรา มรณะ มีความเกิด ความแก่ กับความตายเท่านั้นหล่ะ ความเจ็บไม่มี พ่อใหญ่หนูป่วย เจ็บตรงไหนไม่มีตรงที่เจ็บเลย นอนสบาย ไม่เห็นแสดงความเจ็บเลย นอนสบาย เอ้อดี มีแต่ความเกิด ความแก่ ความตายน้อนี้น้อ ความเจ็บไม่มีเลยน้อ ไม่ได้ตายเพราะความเจ็บ ตายเพราะความตาย ตายเพราะความแก่มีเหมือนกันนะ แต่บางคนตายเพราะความเจ็บนะ มันต้องมีแน่นอนเหล่านี้ ทำยังไงพวกเราจึงจะพ้นจากมันได้ ก็วิปัสสนานี่แหละ พาทำอย่างนี้แหละ ไม่มีวิธีใดเดินไปทางเดียวนี่แหละ ผ่านความหลง มีสติ เห็นกาย เอากายนี้แหละทำ เอาใจนี้แหละทำ เอาสตินี้แหละดู ไปอย่างนี้ ได้ยินบ่ยายเพียร สมาทานศีลกัน