แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันสักหน่อยเนอะ ที่อยากบอกอยากสอน อยากมีส่วนร่วม อยากจะรับผิดชอบ ชีวิตของเรา มันมีสูตรที่ถูกที่ผิด สิ่งที่มันผิดมันมีอันถูก สิ่งใดมีปัญหาสิ่งนั้นมีวิธีแก้ไข เหมือนประเทศชาติมีรัฐธรรมนูญชี้ผิดชี้ถูกชี้ขาด ยอมรับในความเป็นธรรมก็อยู่กันได้ ชีวิตเรานี้ มันก็มีปัญหา สิ่งที่มีปัญหาไม่ใช่ระดับประเทศแก้ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่บัญญัติ แต่งตั้งขึ้น มันเป็นส่วนปัจเจกชนที่ตั้งต้นจากตัวเรา ก่อนที่เกิดปัญหากับสิ่งอื่นวัตถุอื่นมันต้องเกิดที่คนก่อน คนเราควรแก้ไข ถ้าไปถึงส่วนรวมถึงรัฐธรรมนูญแล้วมันก็ไม่ใช่ที่ เป็นสัจธรรมอันสมมุติบัญญัติ ยอมรับโดยสมมุติบัญญัติ เป็นส่วนของโลกไม่ใช่ส่วนของธรรม ส่วนของธรรมต้องเป็นปรมัติสัจจะ ไม่ใช่โลก
พุทธศาสนาเกิดขึ้นจากปัจเจกชนคือตั้งต้นจากตัวเองนี่ ทุกคนต้องรับผิดชอบ เมื่อทุกคนมีความรับผิดชอบไม่มีปัญหาในชีวิตแล้ว มันก็สงบไปเอง ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญไม่เกี่ยวกับสมมุติบัญญัติ เป็นจริงอยู่เช่นนั้นตลอดกาลนานคือธรรมะ ใครจะรู้ ใครจะไม่รู้ เป็นธรรมอยู่เช่นนั้น อันนี้ควรจะเป็นสิ่งที่เราได้สัมผัสจากชีวิตของเรา ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่นี่
วิธีที่จะเป็นใหญ่ในชีวิตเราคือ สติสัมปชัญญะเป็นใหญ่ ที่ขาดตกผิดได้ แต่ถ้ามันมีปัญหาอะไรก็ ก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเป็นใหญ่ อยู่กันไป ระหว่างกายระหว่างใจ เดี๋ยวนี้ระหว่างกายระหว่างใจเรา มันก็มีปัญหา มีวัตถุมีอาการที่มันเกิดขึ้นบ่อยๆ มีกายก็มีความไม่เที่ยง มีความเป็นทุกข์ มีความไม่ใช่ตัวตน ในใจก็มีความโกรธความโลภความหลง มีกิเลสตัณหาราคะ จะให้เกิดอยู่เช่นนั้นหรือ ไม่แก้ไข ไม่มีอะไรเป็นใหญ่ไปชี้ขาดทางนี้ มันก็ไม่มีค่าสำหรับชีวิตเรา แล้วมันก็มีผลกระทบต่อสิ่งอื่นวัตถุอื่นมากมาย และเวลานี้โลกร้อนเพิ่มขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นต่อโลกเป็นส่วนรวม เพราะคนคนเดียวเป็นคนที่ก่อเหตุขึ้นมา เรามาแก้ที่คนเนี่ย คือปฏิบัติธรรมนี่ ถ้าเวลาใดมันหลงก็ต้องมีความไม่หลงเข้าไปแก้ เวลาใดมันโกรธก็มีความไม่โกรธเป็นการแก้ เวลาใดมันทุกข์ก็มีความไม่ทุกข์เป็นการแก้ เวลาใดเกิดปัญหาขึ้นก็ต้องมีปัญญาเข้าไปแก้ไข เพราะได้หัดไปศึกษาไว้ ไม่จน ไม่ไปถึงอะไร เป็นภายนอก
เราจึงมีสิ่งที่ชี้ขาด ชี้ผิดชี้ถูก ไม่ใช่แก้ตลอดเวลา เหมือนแก้ได้ทีเดียวก็ปลดไปทั้งชาติ เช่น ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าเป็นสมมุติจะเป็นสัตว์ก็เป็นช้าง สำหรับเป็นสัตว์ที่ใหญ่ มันก็มีส่วนประกอบกัน ถ้าไฟมันไหม้ก็ต้องมีน้ำดับ อะไรที่มันเป็นศัตรูมีเครื่องปราบทั้งนั้น แม้โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดขึ้นก็มีวัคซีน ผู้ที่ค้นหาวัคซีนก็ไม่ยอมจน การแพทย์ศาสตร์ค้นอยู่ตลอดเวลา ศึกษาตลอดเวลา โรคขนาดไหนก็จะพยายามรักษา มีวัคซีนหามาให้ได้แก้ให้ได้ และเราก็อยู่ได้ รอดมาได้ วิธีเกิดวิธีเจ็บวิธีตายก็ต้องมี จนถึงที่สุดอันนั้นมันเป็นสิ่งยอมรับ ไม่ควรที่ไปยอมรับขนาดนั้นก็ได้ ก็ต้องหัด ถ้ามีแมลงก็มีนกอินทรีจับแมลงกินได้ อันปัญหาที่เกิดจากชีวิตเรานี้ มันมีสูตรอยู่ สูตรจนไม่มีปัญหา มีทั้งป้องกัน รักษา แก้ไข ป้องกันให้มันปลอดภัย การแก้ไขนี่มันอาจจะไม่ได้ผลเสมอไป ป้องกันดีกว่าแก้ไข จึงมาฝึกกรรมฐานเพื่อป้องกันปัญหาที่มันเกิดขึ้น มีแน่นอนอันความแก่ ความเจ็บ ความตายนี้ เราเคยเสียใจเพราะความเจ็บ เป็นทุกข์เพราะความเจ็บ แม้ในตัวเองก็เหมือนกัน คนอื่นก็เหมือนกัน มีเสียใจเพราะความเป็นทุกข์ ความตายก็มีเหมือนกัน เราเคยน้ำตาร่วงเพราะความตายของญาติพี่น้อง ของคนอื่นมามาก เคยสลดเคยเสียใจกระทบถึงใจเราด้วย แม้แต่คนอื่นทำให้เราเสียใจก็ยังมี ทำให้เราเป็นทุกข์ก็ยังมี จึงไม่ควรประมาท เป็นความทุกข์มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าอยู่ จะต้องยอมอยู่อย่างนี้ละ มันไม่ใช่ชีวิตที่ประเสริฐอะไร
เราจึงมาฝึกกรรมฐานกันเนี่ย ยามสงบเราฝึก ยามศึกเราก็ต้องรบ มันต้องมีแน่นอนศึกน่ะ มีภัยแน่นอนที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตเราเนี่ย แม้แต่หายใจเข้าหายใจออก แค่นี้ หายใจไม่เข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่ออกก็ตายแล้ว จะทำอย่างไร ชีวิตเหมือนน้ำค้างบนใบหญ้าพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ ไม่ควรประมาท เห็นน้ำค้างบนใบหญ้ามันเป็นเปียกๆ นิดหน่อย เดี๋ยวก็ระเหยได้ นิดหน่อย หายใจเข้าไม่ได้ก็ตาย หายใจออกไม่ได้ก็ตาย หมด หมดทาง แล้วเราจะทำยังไงเมื่อถึงคราวเช่นนั้นเกิดขึ้น มันเจ็บก็ต้องเจ็บแน่นอน จะยอมให้มันเป็นทุกข์อยู่เช่นนั้นหรือ ไม่ทุกข์ได้มั้ย เวลาเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นมา นี่มันสำคัญตรงนี้ จึงไม่ควรประมาท แสวงหา เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้แสวงหาอะไรแล้ว มาทำเลยทีเดียว เหมือนเรามีนาแปลงใหญ่ถึงฤดูก็ทำลงไปเลยนาเรา สามารถปลูกอะไรได้ ที่ของเราปลูกกินได้ เรามีศรัทธาเรามีกายมีใจ มีสติ เรามีศีลมีสมาธิมีปัญญา ประกอบกันขึ้นมา แม้มันมาก สิ่งใดที่มันมากไม่หมด ยิ่งใช้ยิ่งมาก โบราณท่านว่ารักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ ถ้าต่อมันยิ่งสั้นถ้าตัดมันยิ่งยาว อะไรมันยาวอะไรมันสั้น ถ้ารู้ความหลงก็สั้นลง ถ้าหลง ถ้าไม่รู้ ความหลงก็ยาวออกไป มันมีอยู่อย่างนั้น วันหนึ่งชั่วโมงหนึ่ง เราอยู่ในฐานะแบบไหน ได้เตรียมเรื่องนี้ไหม หลงมากหรือว่ารู้มาก มีอะไรเป็นประธานในชีวิตเราเนี่ย หรือปล่อยให้เถื่อนอยู่เช่นนี้ ชีวิตป่าเถื่อนนี่ ความหลงมาก็เอาความหลง ความโกรธมาก็เอาความโกรธ ความทุกข์มาเอาความทุกข์ กิเลสตัณหามาก็รับกิเลสตัณหาไป เถื่อนมากเช่นนี้ มันไม่ใช่ชีวิตนะ เป็นอะไรไปก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ชีวิตเลย
ชีวิตจริงๆ มันไม่ต้องเป็นอะไร เราได้ชีวิตคือไม่เป็นอะไร ได้ชีวิตเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นความโกรธโลภหลงเกลียดอะไร ไม่ใช่ชีวิตเลย เป็นสิ่งที่รับใช้ รับใช้ ภาระ เป็นภาระหนัก หนักมากชีวิตเรานะ แบกกันอยู่ ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก เสียงก็เป็นรูป รสก็เป็นรูป กลิ่นก็เป็นรูป ความคิดก็เป็นรูป เมื่อมีรูปเกิดขึ้น ก็มีเวทนา มีอาการเกิดขึ้น มีสัญญาเข้าไปบันทึกไว้ มีสังขารปรุงเรื่องนั้นอยู่บ่อยๆ มีวิญญาณก็ติดไปเลย มันติดไปเลย ติดอะไรมา พะรุงพะรัง ยึดอะไรมา ติดทุกข์ก็มี ติดโกรธก็มี ติดหลงก็มี ติดรักก็มี ติดอะไรสารพัดอย่าง มันติดมา เรียกว่าวิญญาณ ก็เลยเป็นดินพอกหางหมู ต้องทั้งชาติหนักอึ้งไปเลย ไม่เบา โดยเฉพาะความคิดนี่ อย่าถือว่ามันไม่ใช่ทุกข์นะ ทุกข์มันคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเนี่ย อันทุกข์ที่ละเอียดนั้นน่ะ เป็นทุกข์สมุทัยน่ะ เป็นทุกข์ในอริยสัจ 4 นะ อันคิดที่ไม่ได้ตั้งใจเนี่ย มันเกิดจากตัวนี้ก่อน ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความคิดแบบนี้ได้เท่ากับสติ ถ้าไม่มีสติเป็นหลักเป็นประธานละ จะไม่เจอความคิดแบบนี้ แล้วไปกับความคิดไปเลย พอเรามีสติเป็นประธานเป็นที่ตั้ง เหมือนเรามีตาลืม(ตา)ไว้ อะไรผ่านมาก็ต้องเห็น ถ้าเห็น แล้วก็ปลอดภัย สติเมื่อเรามีแล้วมันก็ต้องเห็น เห็นอะไรที่มันเกิดขึ้น หยาบ บาง ละเอียดขนาดไหน
คนเราส่วนมากไม่รู้นะ เป็นความสุขเพราะความคิดก็มี เป็นความทุกข์เพราะความคิดก็มี เป็นความรักความชังเพราะความคิด เป็นความพอใจความไม่พอใจเพราะความคิดก็มี ในความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจมันเป็นที่เกิด เป็นตัวสมุทัย เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ เป็นตัวรูป เป็นภพเป็นชาติอยู่ในความคิดนี่เท่าไหร่นับไม่ถ้วน คิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ตัวสติจะเป็นตัวที่ไปควบคุมกำเนิดสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าสมุทัย สังขาร สติจะเป็นวิสังขาร วิสังขารเปลี่ยน มันก็มีใหญ่แบบนี้ เหมือนนกอินทรีจับแมลง มันก็เลยเป็นใหญ่ ถ้าไม่หัดไว้ก็ไม่มีอะไรจะเป็นใหญ่ เถื่อนไปหมดเลย สำส่อนปนเปกันไปเขาเรียกว่าคน ปนปนไปเรียกว่าคน คนคือมันปน อะไรต่างๆ ปนกันลงไป มันเป็นการเกิดแก่เจ็บตายตลอดเวลาในภาวะเช่นนี้ แม้ในความคิดก็มีการเกิดการแก่การเจ็บการตาย
เราจึงมามีสติเห็น หัดไว้ ถ้ามีสติมันก็ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานมาก ได้พักผ่อนไม่ได้ปรุงอะไรเป็นควัน กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว ถ้ามีสติมันสงบควันไม่มีเปลว กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด เป็นเปลวของความคิดนั่นแหละ ที่มันเป็นต่อยอดไปในความภพชาติคือมันหลงคือคิด มันเห็นความคิดที่มันหลงในความคิดนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ หลงสิ่งหลงของหลงหน้าหลงตากันนี้มันเป็นธรรมดา หลงชื่อเสียงหลงอะไรต่างๆ ธรรมดา หลงในความคิดนี่ ไม่ค่อยจะรู้จักกัน อยู่ในความคิดนานเท่าไหร่ๆ บางทีคิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมากินข้าวไม่ลง คิดขึ้นมาแล้วน้ำตาไหล คิดขึ้นแล้วก็รัก คิดขึ้นแล้วก็เกลียดชัง หมดพลังงานกระทบกระเทือนต่อชีวิตส่วนรวมของเราทั้งหมดเลย
สติเท่านั้นที่จะรู้จักเรื่องนี้ เห็นมารยาสารไถยของความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ ตื่นเลย มันรุนแรงมากนะความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจนะ ถ้าเรามีสติแล้วไม่ใช่เรื่อง เรื่องไม่มีใครรู้นะ สัมผัสได้เจ็บปวดมากกว่าถูกอะไรต่างๆ อันนั้นมันผิวเผิน มันไม่กลบเกลื่อน อันความเกิดความ สมบัติที่เกิดจากความคิดนี่ มันมากกว่านั้นอีก ถ้าเรามาดูแล้ว เข็ดหลาบด้วย อันที่ไม่ได้ตั้งใจนะ แต่บางคนก็ด้านไปเลยไม่ค่อยรู้จักเรื่องนี้ เรียกว่าผู้ไม่มีสติ ปุถุชน ด้านในความคิดที่ไม่ตั้งใจนี่ ปุถุชนหรือเนยยะ ปทปรมะ บัวใต้น้ำบัวใต้ดิน เท่าไหร่จึงจะรู้ก็ไม่ทราบ ถ้าไม่ขวนขวาย มันหลงในเรื่องอื่นก็พอไหว หลงในความคิดนี้ไม่ค่อยจะใส่ใจ พอมันหลงในความคิดก็ไปกันใหญ่ ไปกันได้ละไป ผิดหลายทาง เป็นเปรตก็มี แม้แต่อสุรกายก็มี เป็นสัตว์นรกก็มีเป็นเดรัจฉานก็มี เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ยังเอามาคิด คิดในเรื่องเจ็บปวด คิดในเรื่องที่ผิดๆ เอามาคิดทีไรก็ทุกข์ทุกที อันนี้ก็เอามาคิดอยู่ไม่เข็ดหลาบ แต่ถ้ามีสติเห็นแล้วนี่ โฮ้ย เหมือนเรามาจ๊ะเอ๋เรื่องนี้กัน หมดท่าเลย ถ้าได้จ๊ะเอ๋แล้วหมดท่า ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจนี่ อันตั้งใจคิดนี่ไม่เป็นไร มันเป็นปัญญามันเป็นวิชชา การคิดที่ไม่ตั้งใจนั้นหละอวิชชา ไม่ใช่จบปริญญามา อวิชชาแท้ๆ น่ะ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจนะ การตั้งใจคิดนี่หละคือวิชชา วิชชาของพระพุทธเจ้าคือวิชชาแบบนี้ ที่เป็นพระพุทธเจ้าได้เพราะมีวิชชาแบบนี้ ไม่ใช่เรียน อันเรียนเรียนมามากแล้ว 7ศาสตร์ นอกจากศาสตร์ทั่วๆ ไปแล้ว ขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ นี่เก่งมากสิทธัตถะ แต่ไม่เก่งในเรื่องนี้ จึงมาฝึกเอาเท่านั้นเอง อาศัยกายอาศัยใจนี้ฝึก หาสิ่งแวดล้อมพอที่จะทำเรื่องนี้ได้ ก็เลยฝึกตามนี้ จึงได้ชื่อว่าวิชชาจรณสัมปัณโณ มีวิชชาและจรณะ พร้อมทั้งอรรถะ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
เราอยู่ที่ไหน เราจะหากันที่ไหน อ้อนวอนหรือ แล้วเวลาปฏิบัติมองแบบไหน ฤทธิปาฏิหารย์ จิตอย่างนั้นจิตอย่างนี้ จิตเข้าภวังค์ จิตเป็นอะไรต่างๆ เห็นโน่นเห็นนี่ ระลึกชาติ ตามเอาบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติ ชาติอะไรที่ไหน จะเท่ากับชาติที่เราแก้ได้เดี๋ยวนี้วันนี้ มันหลง เมื่อวานนี้ทุกข์ วันนี้มันไม่เหมือนเมื่อวานนี้ มันต่างเก่าอย่างนี้ จึงจะเรียกว่าวิปัสสนา บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติแบบนั้นก็เอาได้ใช้ได้ แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นสงบกิเลส มันก็ต่างกันตรงนี้ จะให้หลงเหมือนเมื่อก่อนมันหลงไม่ได้ เวลาใดความหลงเกิดขึ้น อุ้ย มันเปรอะเปื้อน ชาติแต่ก่อนมันไม่รู้จักความเปรอะเปื้อน เดี๋ยวนี้มันชาติ เดี๋ยวนี้มันชาติสะอาด มันไม่เอา ปัดทิ้งไป ซักออก มีสติ น้ำธรรมมงกุฎธรรม ซักออกสะอาด ซ่อมขึ้นมางามกว่าเก่า บริสุทธิ์ตรงที่มันสะอาด ตรงไหนสกปรกตรงนั้นสะอาด ชีวิตอย่างนี้ มันไม่ใช่เรื่องอื่น มันเป็นเรื่องพรหมจรรย์คือไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไรนี่ละ มีสติมันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปหาที่ไหนมันพร้อมแล้วชีวิตเรา เรามีทุนอยู่แล้วร้อยเปอร์เซนต์นะ ศรัทธาก็มีแล้ว ความเพียรก็มี เห็นเดินจงกรมแห่งหน กลางคืนก็ติดไฟเดินจงกรมจนสองสามทุ่ม น่าศรัทธา ถ้ามีความเพียรมีสติ มันก็เหมือนเรามีหวัง คนทำนาปลูกข้าวก็ต้องได้ข้าว คนปลูกทำไร่ปลูกมันก็ต้องได้มัน ปลูกอ้อยก็ต้องได้อ้อย เราปลูกสติมันต้องมีสติ มันไม่หนีไปไหน มันไม่หนีไปไหน เรามีศีลมีความสำรวม ก็มีความสำรวมเป็นตาไว้ในชีวิตเรา เป็นการหัด เป็นตา เป็นทางเป็นขีดเส้นทางไว้ เคยทำอย่างนี้ เวลาหลงมันรู้ เคยมาแล้วหลายครั้งแล้ว ร้อยรอบพันรอบ หลงทีใดรู้ที่นั่น เคยใช้ชีวิตแบบนี้ มันทุกข์ที่ใดรู้ที่นั่น มันโกรธที่ใดรู้ที่นั่น มันต้องมีแน่นอน งานการงานมันต้องมีแน่นอน ไม่ว่าง การฝึกกรรมฐานมันเป็นการทำงานที่เป็นกอบเป็นกำไม่ใช่ลมๆ แล้งๆ นะ มันเป็นงานเป็นการ พลิกมือขึ้นก็รู้ ยกมือขึ้นก็รู้ ความรู้มันก็ไม่ใช่รู้เฉยๆ มันละ มันละอะไรแล้ว มีความรู้ความหลงก็สั้นลงแล้วน้อยลงแล้ว ทำอย่างเดียว หนีไปเป็นพวงได้มาเป็นพวง ไม่เหมือนปลูกข้าว ปลูกข้าวบางทีเกิดโรค น้ำท่วม
เดี๋ยวนี้วันนี้มันจะท่วมที่ไหนก็ไม่รู้เนอะ ตกหนักเมื่อวานนะฝนน่ะ ดูสุคะโต ดูทางน้ำ ดูทางน้ำไม่มีทางท่วมแล้ว ชาตินี้สุคะโตเนอะ ท่วมมั้ย (หัวเราะ) มันไม่เหมือนชาติสี่ห้าปีก่อนนะ สี่ปีก่อนนะถ้าเป็นอย่างนี้นะ โรงอาหารน่ะโรงทานน่ะ ต้องช่วยกันแล้ว อพยพแล้ว กระสอบข้าวทิ้งไปเท่าไรละ ท่วมๆๆ ถ้าเป็นอย่างปีนี้ เมื่อวานนี้ เวลาหลวงตาไปเดินดูเวลาฝนตกหนักๆ เอ้ สังเกตดูแล้วจะรู้จักทิศทางน้ำมันเป็นยังไง ฝนตกขนาดนี้มันต้องมีอะไรที่ได้ศึกษา ก็เดินรอบๆ ไป ไปดูทางน้ำออก ไปดูทางน้ำมา เรามีระบบเปลี่ยนทิศทางน้ำ แต่ก่อนสี่ห้าปีก่อน เวลาฝนตกเราก็ใช้น้ำขุ่นๆ สูบน้ำขุ่นๆ มาใช้ อาบทีไรขี้หัวเต็มไปหมดเลย มีขี้ตา (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ใช้น้ำขุ่นเท่าไรแล้วตอนนี้ เพราะอะไร เพราะเราทำมัน วัตถุเราทำได้พัฒนาได้ แล้วมันเกี่ยวกับอะไรล่ะจึงทำได้ มันหลายอย่าง อันวัตถุที่มันมีปัญหาในชีวิตเรานี่มันไม่ยากปานนั้น ไม่เกี่ยวกับบุคลที่หนึ่งที่สองที่สาม หลงก็หลงเอง ถ้าคนอื่นทำให้เราหลงก็ช่างหัวมัน แต่เรามาหลงเอง เราก็มองตนเอาชนะตนเองอย่างนี้ ชาติเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนชาติสองสามปี สุคะโต มันเป็นชาติใหม่ เป็นชาติที่สะดวกพอสมควร ถ้าน้ำในสระมันขุ่น อาจารย์ตุ้มก็เจาะบาดาลไว้ลึกร้อยเมตร เตรียมพร้อม ซับเมิร์สอยู่ใต้ดินแล้วถังน้ำที่กรองน้ำก็ทำไว้เรียบร้อยพร้อมใช้แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ เกิดอะไรขึ้นมาใต้ดินร้อยเมตรสูบขึ้นมาปล่อยไปให้ใช้ได้ พร้อมอยู่แล้ว ปีนี้มันเป็นอย่างนี้ ปีกลายนี้เป็นอย่างนี้ ก็ดีไปเรื่อยๆ ไป สิ่งที่มันดีมันก็พึ่งได้ วัตถุสิ่งของ อาจารย์ทรงศิลป์จะต่อหอไตรอีกออกไปอีกสองห้องทางทิศตะวันออก ทิศเหนือออกไปอีกห้องนึง ทิศตะวันตกอีกห้องนึง คงพอใช้นะ หลวงพ่อเป็นคนปลูก พอรู้รถแมคโครเค้าขุดต้นไม้หลวงพ่อ คนอื่นจะไม่เสียดายนะ (หัวเราะ) คนที่ปลูกเสียดายนะ (หัวเราะ) ก็มาดูซิว่ามันเป็นยังไง ต้นยมหอม คิดว่าจะไว้อวดคน กำลังงาม รถแมคโครขุดออกก็ต้องทำใจ พัฒนามันเป็นอย่างนี้ อันหนึ่งฉิบหาย อันหนึ่งเกิดขึ้นแทน นี่มันเป็นอย่างนี้ มันก็ดี เราก็ทำให้มันดีมันใช้ได้นะ ต้นไม้ต้นใดที่ขุดออก หลวงตาเอาไปปลูกไว้ ต้นแดงว่านไปปลูกไว้ ปลูกไว้ได้ตั้งแต่ ยมหอมมันต้นใหญ่ ตัดเอาไปใช้ได้ประโยชน์เหมือนกัน กอไผ่อาจารย์ทรงศิลป์เอาไปปลูกไว้ตรงนั้น พอดี๊พอดีให้น้ำไหลลงตรงนั้น พอดีไปปลูกก็ดีกว่าเก่า เรียกว่าวัฒนะ ดีขึ้นสะดวกขึ้นกว่าเก่า เพราะเรามาใช้กันหลายคนที่นี่ เป็นสาธารณะส่วนรวม สมบัติของพวกเรา ทำอยู่ทำใช้บ้าง ไม่ใช่ลิงใช่ค่าง ลิงน่ะเวลาฝนตกมันหักกิ่งไม้ปก แล้วก็มาส่องดูตรงไหนมันว่างมันก็ขึ้นไปหากิ่งไม้ปก ไปถึงส่องไม่เห็นท้องฟ้า เวลาฝนตกมามันก็พรึบไปนั่งข้างบนนั่นหนา (หัวเราะ) อันนั้นเป็นลิงนะ เราก็ทำใช้ มีที่อยู่ เราเป็นสัตว์อ่อนแอ ไม่ใช่ไก่ไข่นก ไก่มันนอนอยู่ฝนตกก็ไม่กลัว แดดออกก็ไม่กลัว หนาวก็ไม่กลัว เรามันเป็นสัตว์มนุษย์มันอ่อนแอจึงช่วยกัน ป้องกัน นี่ยังคิดว่าบางคนอ่อนแอหนาวมาก ว่าจะไปเอาฟูกมาให้นอนอยู่ ยังคิดช่วยอยู่ อาจารย์วรวรรณหนาวมาก ว่าจะไปเอาฟูกมา ฟูกบ้านท่ามะไฟหวานมีมากนะใครต้องการบอกเรา ไม่มีใครใช้ฟูกที่นั่น มีแต่แจกชาวบ้าน เวลาไฟไหม้ตรงไหนน้ำท่วมตรงไหนเอาไปแจกเขา มีฟูกอยู่ใครหนาวไม่มีภูมิคุ้มกันก็ ว่าจะเอาฟูกมาให้นอนอยู่ ดูแลกันนะ แต่ดูแลเรื่องอื่นพอได้อยู่ ดูแลเรื่องที่อยู่อาศัยนี่ เดี๋ยวนี้อาจารย์ทรงศิลป์อาจารย์ตุ้มมีความรู้แล้วนะ แต่ดูแลเรื่องชีวิตจริงๆ มันดูแลไม่ได้ ต้องทำเอา เป็นกรรมของใครของมันนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ จึงมีวิชากรรมฐานมาอยู่กันอย่างนี้ ตอนเช้าตอนเย็นก็แสดงธรรม อาจารย์ไพศาลเป็นประธานที่นี่ หลวงตาก็เป็นเสริมนิดหน่อย อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์ทองขาล วัฒนชัย เป็นอาจารย์ประจำ หลวงพ่อกรม หลวงพ่อนี่ก็แอบๆ แฝงๆ นิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่จริงจังอะไร ขอใช้ชีวิตที่เป็นส่วนน้อยๆ กับหมู่กับเพื่อนกับตนเอง
เพราะฉะนั้นนี่วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ช่วยตัวใครตัวมัน มันหลงท่านก็เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเอง ท่านทุกข์ท่านก็เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์เอง ท่านโกรธท่านก็เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธเอง ถ้าท่านไม่เปลี่ยนมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดตาย เป็นวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิด เกิดในความหลงกี่ครั้งเกิดในความทุกข์กี่ครั้ง เกิดในความโกรธกี่ครั้งเกิดในความรักความเกลียดชังกี่ครั้งกี่ภพกี่ชาติ เป็นวัฏฏะสงสาร กว้างใหญ่ไพศาล ถ้าจะเปรียบเหมือนน้ำก็มุดแล้วโผล่ขึ้นมา มุดลงไปโผล่ขึ้นมา มุดลงไปโผล่ขึ้นมา ขึ้นฝั่งแล้วมันก็แล้วกันเท่านั้นเอง การขึ้นฝั่งก็หัดแหวกหัดว่าย เวลามันหลงไม่หลง ว่ายไปแล้ว เวลามันทุกข์ไม่ทุกข์ เวลามันโกรธไม่โกรธแหวกว่ายตรงนี้กัน ต่างคนต่างช่วยตัวเองไม่มีใครช่วยเราได้ พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกส่วนการกระทำเป็นหน้าที่ของเรา อย่างนี้ อาศัยการพูดเป็นข้อมูลเป็นส่วนประกอบ แต่การกระทำของเรานะ หน้าที่ของเราไปทำเอา ความหลงเป็นยังไงความรู้สึกตัวเป็นยังไง สัมผัสดู จึงมีวิชานี่ พลิกมือขึ้นรู้สึกไหม ยกมือขึ้นรู้สึกไหม ใครก็รู้กันทุกคน ให้มีความรู้อยู่นี้ อย่าไปเคี่ยวไปเข็ญ รู้เปล่าๆ รู้ซื่อๆ ความรู้มันซื่อๆ ไม่มีรสมีชาดมันจืดๆ อาหารจืดอาจจะดีกว่าอาหารที่เป็นรสจัดนะ ความรู้ซื่อๆ นี่เหมือนยารักษาโรคมะเร็ง ฮวานง็อกนี่จืดที่สุดเลย แต่มันรักษาโรคมะเร็งได้ ความรู้ซื่อๆ นี่มันรักษาโรคเกิดแก่เจ็บตายได้ทั้งหมด กิเลสปัญหาตัณหาร้อยแปดรักษาได้ มันรู้ซื่อๆ เห็นไม่เป็นนี่มันซื่อที่สุดเลย มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ ไม่มีรสแล้วนะความทุกข์นี่ มันโกรธก็เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ ความโกรธไม่มีรสแล้ว นี่มันรู้ซื่อๆ แบบนี้ ไม่ใช่รู้แบบทำไมๆ มันได้อะไร ได้อะไร ไม่ได้อะไร นั่นไม่ใช่ความรู้ ความรู้มันซื่อๆ ซื่อๆ รู้จักซื่อๆ บ่ (หัวเราะ) สมควรที่จะลากลับละ