แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อ่ะ ฟังธรรมต่ออีก เพื่อเป็นสิ่งที่เราจะต้องได้ชำนิชำนาญในการใช้ชีวิต พวกเราถือว่าเป็นนักกรรมฐานสร้างสติ เพื่อให้สติได้มาไวๆ ได้ใช้ มาไวก่อนอะไรทั้งหมด มาเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับกายกับใจทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าไม่มีสติมาไว ความหลงจะมาก่อน ความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ปัญหาภาระต่างๆ จะมาก่อน ก็เลยเป็นภาระไป ถ้ามีสติมาไวๆ จะสะดวกในการใช้ชีวิตเพื่อประกอบการงานอาชีพ ไม่มีอะไรติดขัด เราจึงหัด ถ้าไม่หัด มันไม่เป็น ปล่อยให้เป็นไปธรรมชาติ มันไม่ใช่ธรรมชาติ
กายใจของเราเนี่ย มันมีการปนเปื้อนอะไรมากมาย อาจจะไม่เหมือนพืช มันมีสัญญา มันมีสังขาร มันมีวิญญาณ มันมีอะไรต่างๆ ที่มันเอื้ออำนวยให้เกิดภาระต่างๆ มากมาย จนเรียกว่า กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด เราจึงมาหัดกัน ชีวิตของเราเพื่อการนี้โดยตรง เพื่อมาหัดให้มันประเสริฐ ให้มันใช้ได้ ถึงมรรคถึงผล ถ้าไม่หัด มันก็ไปทางต่ำๆ ไปสู่อบาย เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน
ผู้รู้จึงพูดว่า ชีวิตของคน ถ้าไม่หัดไปสู่อบายเท่ากับขนโค ถ้าหัดมันก็ไปสู่สุคติเท่ากับขนโค สู่มรรคสู่ผลเท่ากับขนโค ไปสู่อบายเท่ากับเขาของโค ถ้าไม่หัดไปสู่มรรคผลเท่ากับเขาโค นิดหน่อย เราจะสละสิทธิอย่างนี้ มันก็เสียชาติจึงมาหัดกัน แล้วก็เป็นกอบเป็นกำขึ้นมา หัดได้ทำได้ ทีแรกก็หัดรู้ เพื่อไปเปลี่ยนหลงเป็นรู้ จะมีการงานทำ งานความหลงมาให้เราทำ ให้เปลี่ยนเป็นรู้ เรียกว่าหัด ทำให้มันเป็น ถ้าหลงเป็นหลง ยังทำไม่เป็น ยังไม่หัด ก็มีความหลงเกี่ยวข้องกับชีวิตเราตลอดเวลา จนเป็นเจ้าเรือนเป็นจริตนิสัย โมหจริต หลงเป็นเจ้าเรือน ออกหน้าออกตาอย่างนี้น่ะ มันก็สูญเปล่า ชีวิตเราที่จะเกิดวัฒนะดีขึ้น ก็เลยเสื่อมลง หายนะเสื่อมลง เรียกว่างานของเรา มีสติมาเป็นเจ้าของ ผู้ดู เหมือนเรานั่งอยู่บ้านเฝ้าบ้าน หรือว่าทำงานทำการกับมือ กับตา กับการสัมผัส ให้มันรู้ทัน ไม่ต้องอาศัยอย่างอื่น
วิชากรรมฐานเป็นปรมัตถสัจจะ เห็นอะไร เห็นของเท็จของจริงพร้อมกันขณะที่สัมผัสนั้น ไม่ใช่เป็นสมมติบัญญัติ ชีวิตเราเป็นปรมัตถสัจจะ เราจะใช้ปรมัตถ์ยังไงให้เป็นกอบเป็นกำขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ปรมัตถ์ก็มีแต่สมมติ สมมตินี้เป็นไปหลายอย่าง ปรมัตถ์เป็นอันเดียว ความหลงความเท็จ ความจริงเป็นอันเดียวง่ายๆ ถ้าให้เป็นสมมติไป มันก็มาก เป็นเรื่องอื่นสิ่งอื่นเรื่องอื่นไป เกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นวัตถุอื่นไป เป็นทุกข์เป็นโทษไป ความหลงเป็นสมมติ ความไม่หลงเป็นปรมัตถ์ ใช้ตอนนี้ ความทุกข์เป็นสมมติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัตถ์ ความโกรธเป็นสมมติ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถ์ เราจะใช้แต่สมมติ มันก็ถูกหลอก ไม่จริงสักที เสียเปรียบ เสียเวลากับสมมติบัญญัติ
แต่สมมติบางอย่างก็ใช้ได้ เอามาสร้างสรรค์ เช่นเข้าพรรษา ออกพรรษา เป็นสมมติบัญญัติเพื่อใช้เป็นประโยชน์ เป็นศาสตร์ที่ดี เข้าพรรษาก็เป็นศาสตร์ดี ออกพรรษาก็เป็นศาสตร์ที่ดี เพื่อมาใช้ให้เกิดประโยชน์เกี่ยวกับชีวิตเรา กับการงานกับสังคม อะไรที่จะต้องทำดีในช่วงเข้าพรรษานี้ มีโอกาสเต็มที่ มีสมมติบัญญัติให้ลางานลาการออกมาบวช ถือบวช เป็นอุบายที่ว่า เนกขัมมบารมี เป็นการสร้างบารมีอันหนึ่งเหมือนกัน เสริมเข้าไป เป็นเสาค้ำเข้าไปให้มันแข็งแรงในการใช้ชีวิต
หากว่าเราหัดเช่น เข้าพรรษาเลิกเหล้า เข้าพรรษาเลิกบุหรี่ เข้าพรรษาถ้าได้เลิกอะไรที่มันไม่ดี ภายในสามเดือนนี่ มันก็จะลบ หมดพิษหมดภัย เราไม่สูบบุหรี่สามเดือน ไม่กินเหล้าสามเดือน เชื้อมันจะหมด มันจะไม่มีเชื้อเหลือ นิสัยใจคอก็เหมือนกัน เคยอด เคยทน เคยปล่อย ตามปล่อย ก็ยับยั้งชั่งจิต ก็จะแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้น เราก็อธิษฐานเข้าพรรษา ทำอะไรสักอย่างเรียกว่าวัตรปฏิบัติ เอกาสนิกังคะ ฉันอาหารมื้อเดียวเป็นวัตร ไปบิณฑบาตเป็นวัตร ถือผ้าสามผืนเป็นวัตร อะไรต่างๆ แล้วแต่เราจะสมาทาน เพื่อให้เป็นการพัฒนาชีวิตของเรา
ในการพัฒนาชีวิตของเราที่เป็นวัตรต่างๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อสิ่งอื่นวัตถุอื่น ต่อส่วนรวม ต่อตัวเองนี่มากที่สุด นี่คือสมมติบัญญัติ สร้างสรรค์ส่วนตัว ส่วนรวมได้ ถ้าออกพรรษาก็มีเป็นสมมติบัญญัติสร้างความสมานสามัคคี ปวารณา สร้างกัลยาณมิตรให้เกิดขึ้น ปรองดองกันให้เกิดขึ้น สละระยะยาวเป็นสัญญาณใจ สัญญาใจ ปรองดองให้ถึงหัวใจ หทัยของเรา ว่าเราเป็น สัญญากันไว้แล้วว่าจะเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน สัญญาแบบนี้เรียกว่าญาติธรรม
ญาติธรรมแบบนี้ไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่เหมือนญาติทางสายโลหิต ญาติทางสายโลหิตมันจะทะเลาะกันได้ เข่นฆ่ากันได้ แต่ญาติทางธรรม กัลยาณธรรม กัลยาณมิตรนี้ มันปรองดอง มันเป็นอะไรหลายอย่างที่เป็นอย่างสร้างสรรค์ จิตใจก็กว้างขวางขึ้น เรามีมิตร เรามีเพื่อน มันไม่ลืม การสัญญาแบบนี้ปวารณาแบบนี้ เวลาเห็นกันที่ใด หรือเวลาเราทำดี เวลาเราทำชั่วผิดพลาด ก็สำนึกถึงการปวารณา
เราสัญญากับเพื่อนแล้ว จะเป็นความคิด การพูด การทำที่ไม่เหมาะสม ต่างก็สำรวมลงมา ละอายใจ ไม่ใช่ละอายเพื่อน ได้พูดแล้วละอายใจ ถ้ามีความละอายใจ ไม่กล้าพูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว เพราะอยู่ในคติที่จะเป็นเทวธรรม เป็นมรรคเป็นผลเกิดขึ้นมาได้ ภายในชีวิตของเรา ยิ่งเราได้ปฏิบัติธรรมเข้าไปอีก หลายเส้นหลายทางเข้าไป ชุมทางเข้าไป จะเลือกใช้ได้ดี ปวารณาก็เคยสร้าง เข้าพรรษาเคยสร้าง กรรมฐานเคยสร้าง เจริญสติก็เคยสร้าง ธรรมวินัยเคยนำมาปฏิบัติ ก็ชำนิชำนาญในความดี ทำความชั่วได้ยาก ทำความดีได้ง่าย ถ้ามีนิสัย มีสติ มีสัมปชัญญะให้มันหยั่งลึกลงไปในกาย ในหทัยของเรา
เหมือนกับทุ่งนา แต่ก่อนมีแต่หญ้า ปลูกข้าวลงไป ในทุ่งนาที่มีหญ้าก็กลายเป็นทุ่งรวงทอง มีประโยชน์ เหมือนกับป่าวัดของเราตอนกลาง ตอนเหนือของวัด ทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกมีแต่ป่าพง ป่าหญ้าคา เป็นเชื้อของไฟไหม้ ฉิบหายวายวอดไป เราก็เอาต้นไม้ไปหยั่งลง แทรกลงไปด้วยความพยายาม แทรกลงไปๆ ตรงไหนมีหญ้าคาป่าพง แทรกต้นไม้ลงไป กลายเป็นป่า กลายเป็นดงขึ้นมา ดีกว่าป่าหญ้าคา ดีกว่าป่าพง
ในกายในใจเรานี้ เราปลูกลงไป มีสติลงไป มีความรู้สึกตัวลงไป ความหลงจะหนีไป ความทุกข์ ความโกรธอะไรปัญหา จะหนีไปหมดไป เป็นอันใหม่มาแทน เรียกว่าชีวิตใหม่ นวชีวัน ชีวิตใหม่เอี่ยม ไม่เปรอะไม่เปื้อน ความหลงเปรอะเปื้อน ความโกรธเปรอะเปื้อน ความทุกข์เปรอะเปื้อน อะไรต่างๆ ทำให้เปรอะเปื้อนในกายในใจ ถ้ามีสติก็บริสุทธิ์เรียกว่าพรหมจรรย์ หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น ที่มันเคยอยู่ในกายในใจของเรา เอากายไปทำชั่ว เอากายไปทำผิด ไม่มีเสียแล้ว กายทุจริต 3 อย่าง ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ไม่มี เมื่อไม่มีทุจริต ๓ อย่างนี้ อะไรมันเกิดขึ้นมากมายที่เป็นความดี ทางวาจาก็มโนทุจริต พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นศีลกรรมบถ กุศลกรรมบถ ทางจิตก็ไม่คิดเห็นผิดทำนองคลองธรรม ไม่พยาบาทปองร้าย ไม่อะไรหลายอย่าง มันก็เป็นกุศลกรรมบถ
กรรมบถเป็นกรรมที่เป็นกุศล เกิดขึ้นในหทัย ในกายในใจของเรานี้ ถ้ามีสติเข้าไปหยั่งรากลึกลงไป ความรู้สึกตัวหยั่งลงไปที่กาย หยั่งลงไปที่จิตใจ มันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา โดยการประกอบแบบนี้ ไม่ใช่อ้อนวอนอะไร ได้ความหลงหยั่งลงไปที่กายที่ใจ มันก็เป็นอบายไป เป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นนรกเป็นเปรตไป
อย่าให้พลาดซะ มาทำนี้ มาทำงานแบบนี้กัน จะได้อยู่เย็นเป็นสุขในการใช้ชีวิตของเราน่ะ เราก็ทำได้ ไม่ยาก ไม่มีอะไรอ้าง อันอื่นยังมีการอ้างได้ แต่วิชากรรมฐานนี่ไม่ต้องอ้าง บางคนก็จะให้ทำอย่างไร เมื่ออยู่ในนี้ก็สงบดี ใจเย็นดี เวลาลาสิกขาลาเพศออกไป จะไปใช้ชีวิตแบบไหน มันก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ อันเดิมอันเก่าก็คือกายคือใจเรานี้ เราหัดทางไว้แล้ว เห็นทางเหยียบเส้นทางไว้แล้ว ดำเนินไป ไม่ใช่กายอันใหม่ ใจอันใหม่ ปัญหาก็ไม่ใช่อันใหม่ ความหลงเป็นบิดามารดาของความชั่ว ความรู้สึกตัวเป็นบิดามารดาของความดี ก็มีเท่านี้
กายอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่ไหน ก็มีความรู้ที่นั่น ไม่ใช่อยู่ที่นี่ นี่ก็ใช้ไป ดำเนินไป ยิ่งเวลามันหลงก็ยิ่งดี จะได้ใช้ จะได้ชำนิชำนาญ บางทีถ้าเราหัด เราก็ใช้เป็น ใช้เป็นที่ตอนที่มันผิด ถ้าไม่หัด มันผิดก็เป็นผิด ถ้าหัดแล้วใช้ได้ เมื่อผิดก็เป็นถูกได้ ถ้าหัดเป็น มันจะเก่งตอนที่มันยาก ตอนง่ายไม่ค่อยเก่งหรอก ตอนที่มันยากนี่เก่ง แสดงออกมา เหมือนคนขับรถเก่ง ไม่ใช่จับพวงมาลัย เหยียบคันเร่งพาวิ่งไป อันนี้มันยังไม่เก่ง คนขับรถเก่งต้องในโอกาสที่มีปัญหา เวลาใดมีปัญหา มีปัญญาตรงนั้น หลบหลีกเป็น บางทีกายเคยหัด กายมันก็แสดงออกมา อาจจะเหยียบเบรค ไม่ต้องใช้หัวคิด อะไร ทำยังไงๆ ไม่ต้องใช้ ทำยังไง ไม่มีแล้ว มันดำเนินไปเอง เหยียบเบรค กดแตร มันเป็นไปเอง มันหัดเป็น
อะไรที่เราทำเป็น เวลามีปัญหา ตอนนั้นแหละจึงจะเรียกว่าทำเป็น ทำได้ เคยเลือกใช้อะไร เห็นอะไรที่มันไม่ถูก มันก็เห็นความถูกตรงนั้น โดยเฉพาะเรื่องกายเรื่องใจเรานี้ ความผิดอยู่ตรงไหน ความไม่ผิดอยู่ตรงนั้น ความทุกข์อยู่ที่ใด ความไม่ทุกข์อยู่ที่นั้น ความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดกับกายกับใจ อยู่ทางไหน เมื่อไร ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงก็อยู่ตรงนั้นแล้ว เราเคยใช้มา มาให้เราใช้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก ถ้าไม่ใช้ก็ไม่มี โบราณท่านถึงว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ คือภาวะอันนี้
ถ้ามีความรู้ ความหลงก็สั้นลง ถ้ามีความหลง ความรู้ก็สั้นลง ถ้าต่อให้ความรู้มันยาว ก็บั่นความหลงลง เวลามันหลง ไม่หลง ความรู้จะยาวไป ถ้าหลงเป็นหลง ความรู้ก็สั้นลง ได้โอกาสตรงนั้น แสดงฝีมือตรงนั้น ถ้ามีความยิ้มก็ยิ้มได้ตรงนั้น อะไรที่มีปัญหานั่นน่ะ ฉวยโอกาสเช็ดตรงนั้น อย่าให้พลาดซะ อย่าดื้ออย่าด้านตรงนั้น อย่าหยาบตรงนั้น ให้คล่องแคล่วตรงนั้น อย่าปึกหนาสาโหดที่ตรงนั้น ให้ชำนิชำนาญตรงนั้น
ชีวิตอยู่ที่ไหน ก็มีอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่อยู่ที่สุคะโต อยู่ในกายในใจเรานี้ หัดให้เป็น จะได้ใช้กัน การใช้กายใช้ใจที่มันถูกต้อง มันเป็นมรรคเป็นผล เมื่อเป็นมรรคเป็นผลก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่น สิ่งอื่นวัตถุอื่น ล้อมเป็นวงจรกระทบกระเทือนในทางที่ดีได้ นี่คือกรรมฐาน ถ้าจะมีสมมติบัญญัติ ฉวยโอกาสสมมตินั้น ไว้เกี่ยวข้องกับกรรมฐานเข้าไป เอามาประดับวิชากรรมฐานเข้าไป
พิธีกรรมอะไรก็ตาม เอามาประดับ อย่าให้เป็นพิธี ศาสนพิธีเฉยๆ ให้เป็นศาสนธรรมอยู่ตรงนั้นด้วย เช่น จัดดอกไม้ เรียกว่าศาสนพิธี อะไรเป็นจัดดอกไม้ มันออกไปจากหัวใจ หทัยของเรา กวาดบ้านถูเรือนเป็นพิธี ถ้าไม่ทำแบบนี้ไม่สะอาด กวาดหัวใจไปด้วย ล้างแก้ว ล้างถ้วย ล้างหัวใจไปด้วย ไม่เห็นแก่ตัว สนุกไปกับการงาน เบิกบานใจ การงานชอบ มันเป็นความชอบ กวาดบ้านก็เป็นงานชอบ ทำความสกปรกให้เป็นของสะอาด อย่าไปคิดว่ายากลำบาก ล้างถ้วยล้างชาม อะไรที่มันเป็นความร้ายให้เป็นความดีนั่นล่ะ
ไม่ใช่เราจะนั่งอยู่เฉยๆ เราก็เป็นมีธุระ มีพ่อมีแม่ มีเพื่อนมีมิตร มีเป็นลูกเป็นเต้าของพ่อของแม่ เป็นภรรยาสามีก็จะมีประโยชน์ ไม่ใช่เราไปคนเดียวเป็นปัจเจกพุทธะ ตายทิ้งไปเปล่าๆ ไม่สร้างสรรค์อะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ได้ แต่ว่าเป็นประโยชน์จัดช่องน้อยเฉพาะตัว ปัจเจกพุทธะมีมาก ไม่ได้ประโยชน์จากอะไร ไม่เป็นประโยชน์ต่อโลก พระพุทธเจ้าของเรานี่ ประโยชน์ต่อโลก โลกัตถจริยา ความบำเพ็ญตนประโยชน์ต่อโลก ญาตัตถจริยา บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณญาติทั้งหลาย พุทธัตถจริยา ประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ให้มันกว้างใหญ่ไพศาล นี่เรียกว่าไม่ใช่ปัจเจกพุทธะ เป็นสัมมาสัมพุทโธ
ศาสนาพุทธ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสัมพุทโธ เป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิต เราก็เอามาเป็นชีวิตของเรา การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเราด้วย คำสอนที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ มีธรรม ธรรมอะไรที่ทำให้เกิดการตรัสรู้ มันเรื่องของเราด้วย เอามาทำ เราก็ทำได้ เริ่มต้นจากการเจริญสติเนี่ย ในวันที่เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาทำอะไร ในพระสูตรบอกว่า การคู้แขนเข้ามีสติ การเหยียดแขนออกมีสติ อะไรที่มันอยู่ในกายนี้ ให้มีสติ เป็นหน้ารอบไป คืนเดียวเท่านั้นเองทำอย่างนี้ ไม่ใช่ว่ามากมายอะไร
เราก็คู้แขนเข้า มีสติได้เหมือนกัน เหยียดแขนออก มีสติได้เหมือนกัน เดินไปข้างหน้า มีสติ ถอยกลับมาข้างหลัง มีสติ จับจีวรมาครอง มีสติ ไล่ยุง มีสติ เกิดทางใจที่มันเกิดขึ้นมาก็มีสติ มันจะหมกมุ่นครุ่นคิดไปทางใด มีสติ มันก็เป็นหน้ารอบ เห็นกายเห็นใจทุกแง่ทุกมุม จนตื่น ตื่นกายตื่นใจเรียกว่าพุทโธ พุทโธตื่นบางอย่าง ตื่นจากความไม่เที่ยง ตื่นจากความทุกข์ ความหลง ความโกรธ ตื่นจากกิเลสตัณหา เกิดจากอะไร เกิดจากภาวะที่หลง เมื่อหลงก็เกิดการปรุงแต่งเป็นสังขาร ตื่นขึ้นมาก็เปลี่ยนสังขารเป็นวิสังขาร เหมือนกับหงายเต่าที่มันเดิน เช่น แม่เอาเต่ามาให้ลูกเล่น แกเอาวางไว้มันจะคลานหนี ลูกคลานด้วยไม่เป็น เอาให้เด็กน้อยดู เวลามันจะคลานไป แม่ก็หงายท้องมันขึ้นมา มันก็ดิ้นแหนวๆ คลานไม่ได้ ลูกก็ดูไป ปลิ้นมันให้มันหงาย หงายของที่คว่ำขึ้น เห็น ก็เลยดูมัน
ลองเปลี่ยนสังขารเป็นวิสังขารดูซิ งดงามมากตรงนี้ มีฝีมือมาก อาจจะตะโกนลงมาในหทัยว่า โอ๊ย! ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่เป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะเรื่องความคิดแน่นอนล่ะ มันเห็นแจ้งเหลือเกินตรงนี้แหละ ไอ้ชื่อว่าสุขว่าทุกข์ เกิดจากความคิดจะไม่มีอีกแล้วในชาตินี้ ว่าอย่างนี้ มันเปลี่ยนสังขารเป็นวิสังขารนี่ มันยอดเยี่ยมมากเลยชีวิตของเรา ตื่นขึ้นมา แน่นอนตรงนั้น ต่างเก่า พ้นภาวะเดิม พ้นภาวะเก่า
พ้นภาวะเดิมได้ ไม่ใช่หนีไปไหน นั่งอยู่นี่แหละ ถ้ามันเปลี่ยนได้ตรงนี้ ถ้ามันเห็นแจ้งตรงนี้ เปลี่ยนตรงนี้ ไม่ได้เดินไม่ได้วิ่งหนีไปไหน สังขารมีอยู่ที่ใดแล้ว เป็นการโชว์ฝีมืออย่างยอดเยี่ยมตลอดภพตลอดชาติ เราเป็นยังไง ด้านมั้ย ดื้อมั้ย หลงก็หลงอยู่ โกรธก็โกรธอยู่ ทุกข์ก็ทุกข์อยู่ ฟูๆ แฟบๆ อยู่นั่นแหละ สังขารดีใจ เสียใจ คิดขึ้นมาก็ปรุงแต่งไป นอนอยู่ก็ปรุงไป ไม่ใช่ไปวิ่งอะไร มันคิดไป นอนก็นอนไม่หลับ มันปรุงไปอยู่ คิดเรื่องเก่ากี่ครั้งกี่หน สุขทุกข์เรื่องเก่าๆ เท่าไหร่ น่าจะตื่นบ้างแล้ว
เหมือนยักษ์กุมภัณฑ์เลย ยักษ์กุมภัณฑ์นี่ไม่ตื่นนะ กาฬนาคก็ไม่ตื่นนะ เหมือนพระสูตรว่า ถาดทองจมลงไปพื้น นาคเสียงถาดทองซ้อนกัน กกุสันโธดังแกร๊ก! อู๊! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วหนานั่น นาคได้ยินแกร๊ก! หลับต่อไปอีก โกนาคมโนอีกถาดที่สองซ้อนลงไปถาดดังแกร๊ก! อู๊! พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นอีกแล้วเหรอ ๒ ลูกแล้ว หลับต่อไปอีก กัสสโป แกร๊ก! ลงไปอีก ถาดที่ 3 ตื่นมา โอ๊ะ! พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นอีกเหรอ จนถึงโคตโมคือพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ผ่านไปแล้ว กาฬนาคยังนอนไม่ตื่น ได้ยินแต่เสียงถาดแล้วก็รู้ว่า ตรัสรู้แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองเลย หลับเรื่อยไป เป็นกาฬนาคอย่างนั้นหรือชีวิตของเรา
ความดีมีเยอะแยะทำไมไม่ตื่นสักที ความชั่วมีเยอะแยะทำไมไม่ตื่นสักที ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ล่ะ เป็นกาฬนาคแน่นอน มันหลงก็ยังหลงอยู่ได้ น่าจะตื่นขึ้นมา รู้ขึ้นมา มันจะต่างกันมากๆ เลยนะตรงนี้ เหมือนกับแสงสว่างกำจัดความมืด เรียกว่าวิปัสสนาเกิดขึ้นแบบนี้ ตื่นหลง ตื่นทุกข์ ตื่นโกรธ ตื่นสังขารทั้งหลาย เนี่ย กรรมฐานเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ เหมือนกับการทำไร่ทำนาค้าขาย การทำไร่ทำนาค้าขายก็คล้ายๆ กัน แต่ว่ารู้จักไขน้ำเข้า รู้จักปล่อยน้ำออก นี่คือทำนา น้ำท่วมไขน้ำออก น้ำแห้งเอาน้ำเข้า ชีวิตของเราก็เช่นกันนะ จึงจะได้ผล
เวลามันมีปัญหา ควรจะมีปัญญาตรงนั้น มันก็ตรงกันพอดี๊เลย มันจะเก่งตรงไหนสติ? เวลามันหลง มันรู้ มันจะเก่งตรงนี้สติ ถ้าสติเป็นชีวิตชีวาก็ชำนิชำนาญตรงนี้ เวลามันหลง รู้ เวลามันทุกข์ รู้ เวลามันโกรธ รู้ เวลามันแก่มันเจ็บมันตาย รู้ โน่นสุดยอดเลยสุดยอดหทัยมงกุฎธรรม เหนือแก่เจ็บตาย
ชีวิตเรานี่เพื่อการนี้โดยตรง จะได้ไม่ร้องไห้เสียใจให้เป็นทุกข์เป็นโทษ อกหักๆ พลัดพราก จากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ได้ไหม ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจก็เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ได้ไหม มันก็ต้องได้ ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้วอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะพ้นจากความทุกข์นี้ได้ ทำไฉน พระพุทธเจ้าก็โชว์ อุททิสสะ อรหันตัง สัมมาสัมพุทธัง อุททิส คือทำตาม ทำตามพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทำไง ไปเลยมองข้ามตรงกันข้าม เห็นฝั่ง อุททิสสะคือไป ใช้ชีวิตไป เหมือนเราเห็นฝั่ง แหวกว่ายไป อย่าจมลง ไป อุททิสสะ อรหันตัง สัมมาสัมพุทธัง เราก็สาธยายพระสูตรมาทุกวัน เอาตามสูตรนี่ มันหลง ไม่หลงนี่ อุททิสสะ อรหันตัง
พระอรหันต์คืออะไร คือไม่หลง ปุถุชนคือหลง พระอรหันต์คืออะไร คือไม่ทุกข์ ปุถุชนคือทุกข์ อุทิศไปทางโน้น พระอรหันต์คืออะไร คือไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่ปรุง นั่นล่ะ ไป อย่าจม เป็นทุกข์ จมลงแล้ว เลยบอกอยู่เสมอว่า เห็นทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากทุกข์เพราะมีสตินี่ นี่คือ หลักอริยสัจ ๔ ตรงนี้น่ะให้ชัดเจน การใช้ชีวิตของเรา เห็นความโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ พ้นจากความโกรธ ต่อไป เห็นมันแก่ ไม่เป็นผู้แก่ เห็นมันเจ็บ ไม่เป็นผู้เจ็บ พ้นจากความเจ็บ มันตาย เห็นมันตาย ไม่เป็นผู้ตาย พ้นจากความตาย ในชีวิตนี้เอง
นี่ก็เป็นวันออกพรรษาวันนี้ เมื่อวานเป็นวันปวารณา ไม่ใช่ออกพรรษาแล้ว หนังสามแข่วผูกไว้ก็บ่อยู่ ไม่ใช่แบบนั้นนะ สนุกสนานเหมือนคนออกจากคุก ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เหมือนคุกนะ เข้าพรรษาหมายถึงต่อไปข้างหน้าจะสะดวก ได้พระกรรมฐาน ชีวิตกรรมฐานจะสะดวก ถ้าฤดูฝนต้นฤดูหนาวสะดวกมาก สัตว์มีพิษก็ไม่ดุ ยุงก็ไม่ดุ งูก็ไม่ดุ นอนที่ไหนก็ได้ ใช้ชีวิตแบบธุดงค์สะดวกที่สุดในช่วงออกพรรษา ขูดเกลา ออเข้าไป มันเกลี้ยง ใช้ชีวิตช่วงออกพรรษานี่ จะสะดวกในเครื่องขูดเกลามากที่สุด
เนสัชชิกธุดงค์ถือกรรมฐาน ถือธุดงค์ก็ได้ รุกขมูลวัตรอยู่ในโคนไม้ อยู่ในป่าต่างๆ ได้ทั้งนั้น ต่อเข้าไปอีก สนุกสนานดีนะ
สมควรแก่เวลา พ่อศีลแม่ศีลสมาทานศีล