แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรามาศึกษาตัวเอง มารู้ตัวเอง มาดูตัวเอง มาเห็นตัวเอง จงรู้จักตัวเอง ทำได้ไหม เพื่อคนเขาเชื่อได้ในตัวท่าน หานอกตัวทำไมให้ป่วยการ ดอกบัวบานอยู่ในเรานี้ อย่าหลง มีสติ มีสัมปชัญญะ มองตน มองกลับ น่าจะเปรียบเหมือนดวงตาแล้วกลับมันคืนขึ้นมา อย่าให้ออกไปข้างนอก เหมือนเราส่องเงาในกระจก ไม่ออกไปข้างนอก แต่มันสะท้อนมาเห็นตัวเอง นั่นคือ รู้โลก รอบรู้ เวลานี้เรามาฝึกหัดให้มันเห็น ทำให้มันเป็น มันจะมีอะไรแสดงออกมาจากกายจากใจ 84,000 อย่าง ยื่นให้จบ เตรียมให้ครบ ในความไม่เที่ยงมันก็มี ความเป็นทุกข์มันก็มี ในความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนก็มีอยู่ในรูปในกายนี้ ให้เห็น ให้เห็นกายเป็นกาย เป็นตัวเป็นตน เอากายเป็นตัวเป็นตน ความร้อนคือกู ความหนาวคือกู ความหิวคือกู ความอะไรคือกู เอากายเป็นกู เกิดภพ เกิดชาติอยู่ในกาย พอใจไม่พอใจอยู่ในกาย
ถ้าเราดูไปดูมา จะเห็นเป็นรูปเป็นนาม เห็นเป็นรูป ถ้าเห็นเป็นรูป มันก็แตกฉาน เหมือนเราเรียนรู้อะไรมันแตกฉาน อันท่านทั้งหลายเรียนสาธารณสุขมา แตกฉาน เห็นกาย เห็นโรค สมมติฐานของโรค ถ้าเห็นโรค เห็นสมมติฐานของโรค ก็รู้จักวิธีรักษา ให้หยูกให้ยา หายจากโรคได้ ไม่ใช่รู้เรื่องกาย มันรู้เข้าไปกว่านั้น เห็นกาย เห็นรูป ดูไปดูมามันเป็นรูป มันเคลื่อนไหวมันรู้ มันเคลื่อนไหวของกายมันก็รู้ เคลื่อนไหวทางจิตใจมันก็รู้ ให้เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็นกับมัน มันแสดง บางทีมันเป็นอาการ มันเป็นธรรมชาติ นั่งนาน มันก็ไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงในรูปนั่งก็แก่ แก่ในรูปนั่ง แล้วก็เจ็บในรูปนั่ง
ในความคิดก็เหมือนกัน เกิดขึ้นในความคิด เป็นภพเป็นภูมิต่างๆ ความพอใจความไม่พอใจเกิดขึ้นในความคิด แต่ก่อนมันก็เป็นปกติ เมื่อมันเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นอาการที่เกิดขึ้น เป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิต ไม่ใช่จิต ความร้อน ความหนาว ความปวด ความเมื่อย เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูป ไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นธรรมชาติของเขา ตามความเป็นจริงเป็นเช่นนั้น เราก็เห็น อย่าเข้าเป็นกับเขา จงชี้หน้ามัน นี่คือความไม่เที่ยง นี่คือความเป็นทุกข์ ในสิ่งไหนมันไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งไหนมันเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน อย่าไปเอาความทุกข์เป็นตัวเป็นตน เป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะความร้อน ความหนาว เป็นทุกข์เพราะความหิว เป็นทุกข์เพราะความเจ็บความปวด มันเป็นอาการของเขา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นของที่มันมีอยู่อย่างนั้น มันไม่ฟังเสียงใคร
อันรูป อันนามนี้ ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะดู มันก็หลงได้ หลงในความไม่เที่ยง หลงในความเป็นทุกข์ หลงในความไม่ใช่ตัวตน หลงไปในความคิด หลงไปในอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไปเอาสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นอาการว่าเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ เรียกว่าหลงไปแล้ว มันมีหลายอย่าง ให้เห็น ให้เห็น อย่าเป็น มันบอกอ่ะง่าย
เห็นรูปจะไม่โง่เพราะรูป จะฉลาดเพราะเห็นรูป เห็นนาม จะฉลาดเพราะเห็นนาม ฉลาดในความหลง ในความหลงเกิดความฉลาด เปลี่ยนหลงเป็นความฉลาดเป็นความรู้ ไม่โง่เพราะความหลง ไม่โง่เพราะความทุกข์ ไม่โง่เพราะความโกรธ ไม่โง่เพราะความรักความชัง ไม่ต้องทำตามมัน มันก็ฉลาด ก็ใช้กาย ใช้ใจ ใช้รูป ใช้นามเป็น เหมือนเราใช้อะไร มีอะไรก็ใช้สิ่งนั้น มีรถก็ใช้รถเป็น มีล้อมีเกวียนก็ใช้ล้อใช้เกวียนเป็น มีวัวมีควายก็ใช้วัวใช้ควายเป็น มันก็ต่างกัน มีอะไรก็ใช้เป็น มันก็เป็นสิ่งที่ให้เราใช้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษ มีให้ใช้ ถ้ามันหิวก็มีให้เราใช้ ถ้ามันร้อนก็มีให้เราใช้ ถ้ามันหนาวก็มีให้เราใช้ตามสภาพของเขา มันเป็นสัญญาณภัยว่าจะต้องดูแล ถ้าใช้ไม่เป็นก็ฉิบหาย ฉิบหายเพราะการใช้ไม่เป็น รู้จักทักท้วงเวลามันหลง เวลามันทุกข์ เวลามันโกรธ อย่าทำตามสิ่งเหล่านั้น ให้รู้ซะ
เหมือนเราใช้วัวใช้ควาย วัวควายบางตัวมันก็นิสัยต่างกัน วัวบางตัวเทียมเกวียน เพียงแต่เจ้าของยกไม้เรียวขึ้น มันก็รู้ เพียงแต่กระดิกสายทาง มันก็รู้ จะให้ไปทางไหนมันก็รู้ มันก็ให้หัด มันทำเป็น ถ้าหัดให้มันเป็นแล้วก็ไม่ต้องมีเชือกก็ได้ มันก็จะหลบจะหลีกไปเอง หลบไปเอง มันเห็นตอตรงไหน มันจะไม่ให้ขึ้นตอ มันหลบไปเอง ถึงเวลามันขึ้นชัน มันก็ก้มคอลงเพื่อจะให้แอกมันต่ำลงมาเพื่อมันดันได้ง่าย ถ้ามันลงต่ำ มันก็ยกคอมันขึ้นเพื่อจะให้แอกที่ติดอยู่บนคอมันไหลลงไป มันก็ใช้ได้ วัวเทียมเกวียน วัวเทียมคราด เทียมไถ ให้เวลาไถมันถูกรากไม้ในดิน เราไม่เห็น เรารู้ไม่เท่ากับควายที่เทียมไถ เมื่อไถมันถูกเข้ารากไม้ในดิน มันก็ไม่ดัน เราเฆี่ยนเราตีขนาดไหนมันก็ไม่ไป เพราะมันถ้าดันมันดันไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะหัก เขาจะขาด มันไม่ดัน ถ้าเราตีมันก็ออกไปข้างๆ ไม่ดันไปข้างหน้า คล้ายๆ มันบอกเรา อันนี้มันดันไม่ได้ เดี๋ยวไถจะหักน้า เราก็เห็นมันไม่ดันให้เรา เราก็อย่าไปบังคับมัน ลองเอามือคลำลงไป หัวหมูของไถที่มันอยู่ในดินจะไปเห็นรากไม้ มันติดกับหัวหมูอยู่ เราก็ถอยออกมา มันรู้กว่าเราบางที แต่บางทีมันก็ดื้อนะ มันไม่เป็น เห็นถูกเหง้าไม้ ถูกไม้ ถูกรากไม้ ไปดันอยู่ มันไม่รู้ มันก็ไถหัก ถ้าเป็นวัวก็เกวียนหัก
พวกเราก็เหมือนกัน เมื่อมันทุกข์ก็ยังดันอยู่ในความทุกข์ ข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้จักวาง เมื่อมันโกรธก็อยู่ในความโกรธข้ามวันข้ามคืน ไม่รู้จักปล่อยจักวาง ดันอยู่เช่นนั้น มันก็เป็นทุกข์เป็นโทษต่อชีวิต โกรธทีหนึ่งเหมือนจุดไฟเผาตัวเอง ทุกข์ทีหนึ่งเหมือนกับเผาตัวเอง มันไม่ทุกข์ก็ได้ ไม่โกรธก็ได้ ปล่อยมันออกมา หยุดมันออกมา เรียกว่าเราใช้กายใช้ใจเป็น ใช้รูปใช้นามเป็น มันก็ปลอดภัย ไม่มีภัย ชีวิตที่ไม่มีภัย เราเรียกว่าอริยะ ไม่มีข้าศึก ความโกรธเป็นข้าศึก ความหลงเป็นข้าศึก ความทุกข์เป็นข้าศึก ไม่ให้มันมี ชีวิตของเราไม่เหมือนสัตว์ มันเป็นมนุษย์ มันพัฒนาได้ เคยหลง-ไม่หลง เคยทุกข์-ไม่ทุกข์ เคยโกรธ-ไม่โกรธ มันไม่มีดีอะไร ไอ้ความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความพอใจ ความไม่พอใจ มีแต่เป็นทุกข์เป็นโทษแต่ตัวเราเอง
เราจึงมาสอนเรา มีสติให้เป็นผู้กำกับการใช้กาย เอากายมาใช้ เอาวาจามาใช้ เอาจิตใจมาใช้ ขณะที่ใช้อยู่ก็รู้สึก รู้ตัว ผิดถูกยังไง ถ้าผิดก็แก้ ถ้าถูกก็ทำไป ให้เป็น มันก็มีประโยชน์ ถ้าใช้วาจาถูก ก็เป็นประโยชน์ ไปบอก ไปสอน เป็นคนโกรธ อย่าโกรธเถอะเพื่อนเอ๊ย อย่าหลงเถอะ เมื่อตั้งแต่เลิกงานชวนไปกินเหล้า อย่าไปเถอะเพื่อน กลับบ้านดีกว่า ลูกเมียรอคอย จะเกิดอะไรขึ้นกลับบ้านไม่ถูกเวลา มีปัญหาอะไรก็ช่วยกัน เราก็ช่วยตัวเรา เพื่อนก็ช่วยกัน เรียกว่ากัลยาณมิตร มันก็ดี
ถ้าเราไม่รู้จักสอนตัวเรา ไม่รู้จักบอกกัน มันก็ไม่มีประโยชน์ เราเป็นสัตว์สังคม มีลูกมีเมีย มีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง มีเพื่อนร่วมงาน เราต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จึงเรียนตามพ่อ ก่อตามครู เราเนี่ย ไม่ใช่เราเก่งคนเดียว ถ้าเราเก่งก็พ่อแม่พาให้เราเก่ง ถ้าเราเก่งเป็นคนดี ครูอาจารย์เขาพาให้เราเก่งเป็นคนดี ถ้าเราไม่มีทุกข์มีโทษเลย ก็พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พาให้เราพ้นภัย มีดี ไม่ใช่เราเก่งวิเศษ ไม่เชื่อฟังใคร ต้องเคารพ หลวงพ่อเทียนบอก เคารพแม้แต่กองขี้หมาขี้ไก่ สิ่งไหนมันไม่ดี อย่าเข้าไปใกล้ เคารพสิ่งที่ดี สิ่งที่ดีควรทำ สิ่งไม่ดีควรเว้น มันก็มีอยู่ในเราเนี่ย
ชีวิตของเรามาไม่เป็นอะไร เริ่มต้นน้อยๆ หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก ต้องเริ่มต้นที่นี่ ถ้ามีความรู้สึกไปในกาย มันจะบริสุทธิ์ มีความรู้สึกไปในกายเฉยๆ มันก็ขับสิ่งที่มีพิษออกไปจากกายจากใจได้ เช่น มีอารมณ์ครอบงำจิต ถ้ามีความรู้สึกตัวไปในกาย ไม่ได้ปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่ กลับมารู้สึกตัวซะ หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง พิษภัยที่มีอยู่ในจิต เช่น ความโกรธ ความทุกข์ อารมณ์ค้าง เศร้าหมอง มันจะค่อยๆ จางไป เหมือนกับหมอให้ยา เมื่อให้ยา ยาก็ทำหน้าที่ขับพิษออก ความรู้สึกตัวเนี่ย มีความรู้สึกไปกับลมหายใจนี่ มันไม่ใช่รู้เฉยๆ มันขับพิษได้ อะไรที่ไม่รู้มันก็ออก ความโกรธ ความโลภ ความหลงไม่ใช่ใจ มันเป็นอารมณ์ ถ้าเรารู้ เราก็อย่า
สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง โอสะถัง โอสะถังคือโอสถ สัพพะทุกขา สัพพะโรคา สัพพะภะยา มันหายได้ อันนี้ ถ้าเราเริ่มต้นจากลมหายใจเข้าสั้นๆ มีค่านะ เนี่ยจะเป็นความสงบ ความสุขก็เริ่มต้นที่นี่ ไม่ใช่ไปไขว่คว้าหาที่อื่น เมื่อมันมีความสงบอยู่ที่ใจ ที่มีสติ มันก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น พระพุทธเจ้ายังบอกว่า นัตถิ สันติ ปะรังสุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี คือไม่ปรุง ไม่ไปไหน รู้สึกตัวอยู่ หายใจเข้าหายใจออก ยิ่งเรามารู้สึกตัวไปในกายอีก เคลื่อนไหวรู้สึกตัว มันก็ยิ่งมีพลัง มันก็มีเท่านี้เล่า
เมื่อมีความรู้สึกตัวมันก็ครองกายครองใจได้ มันเริ่มต้นที่นี่กัน บางทีเราก็หาความสุข ก็จะได้อันโน้นได้อันนี้ ถ้าไม่ได้ก็มีทุกข์ เอาสิ่งอื่นมากำหนด ถ้าเป็นสุขก็สุขแบบอามิสอ้างอิงไอ้สิ่งที่ต่างๆ เป็นสุข แทนที่จะหายใจอยู่นี้ให้เป็นสุข หายใจเข้า หายใจออกอยู่ใกล้ตัว เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจัตตัง ให้รู้สึกตัวเนี่ย นี่คือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติทางธรรม แค่มีความรู้สึกตัวก็เรียกว่าปฏิบัติตามธรรม ถ้ามีความหลงก็ไม่ปฏิบัติตามธรรม ไม่เคารพพระธรรม ถ้าหลงก็ถือว่าไม่เคารพพระธรรม ถ้าโกรธก็ถือว่าไม่เคารพพระธรรม ย่อมเป็นทุกข์เป็นโทษได้
มาหัด มาฝึกหัด เริ่มต้นจากลมหายใจเข้าออก จนเห็นอะไรต่างๆ ไม่ไปกับเขา มีแต่รู้อยู่ที่ลมหายใจเข้า อ่อนมิตรไว้กับลมหายใจ ตั้งไว้ เอาสิ่งที่ผ่านเฉพาะปลายจมูกก็ได้ ไม่ต้องไปบริกรรม ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ พุทโธอะไร หายใจเข้ารู้สึก หายใจออกรู้สึก นอกจากนั้นก็มา ตั้งไว้ที่กายเคลื่อนไหวให้รู้สึก รู้สึกเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันเป็นงานทั้งหมดของชีวิต ถ้าเรารู้สึกตัวก็สอนกาย ถ้าเรารู้สึกตัวก็สอนจิตใจแล้ว มันทั้งหมดแล้ว
พระพุทธเจ้าก่อนเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นเจ้าฟ้าชายเรียนจบ 18 ศาสตร์ 17 ศาสตร์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า พอมาเรียนรู้เรื่องกายเรื่องใจเนี่ย เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็มันเห็นอ่ะ มันไม่ใช่ออกไปรู้ข้างนอก มันเห็นชีวิตจริงๆ มันมีชีวิต ชีวิตคือไม่เป็นอะไร เมื่อเป็นสุขก็ชีวิตเสียไปแล้ว ถ้าเป็นทุกข์ก็ชีวิตเสียไปแล้ว ยิ่งความโกรธ ความโลภ ความหลง วิตกกังวล จิตใจฟูๆ แฟบๆ ไม่ใช่ชีวิตแล้ว ชีวิตสูญเสียไปแล้ว ชีวิตจริงๆ ไม่เป็นอะไร นี่เรียกว่าได้ชีวิต ชีวิตที่ไม่เป็นอะไรนี้ มันจะเหนือเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันจะเห็น มันสุขก็เห็น ไม่เป็นเนี่ย มันทุกข์ก็เห็น ไม่เป็นเนี่ย มันโกรธก็เห็น ไม่เป็น มันหลงก็เห็น ไม่เป็น มันเกิดความพอใจไม่พอใจก็เห็น ไม่เข้าไปเป็นเนี่ย คือชีวิตแท้ๆ แล้วเนี่ย
มามีชีวิตกันเถอะเรา อย่าเอาไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งอื่น เราไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งไหน ผ่านมาเนี่ย บางทีความรักอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน บางทีความเกลียดชังอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน ไปห้อยไปแขวนกับความรักความชัง ไปห้อยไปแขวนไว้กับการได้การเสีย มันมีค่าอะไร มีแต่ลงโทษตัวเอง เศร้าหมอง ก็ไม่ใช่อย่างนั้น
สิทธิของเราคือไม่เป็นอะไร หัดตรงนี้ให้มันเป็นจะลุยโลกได้ ถ้าไม่เป็นแล้วก็ลุยไม่ได้ ถูกโลกทับถม พอนินทาก็เสียใจ เขาสรรเสริญก็ดีใจ อันนั้นเป็นสมบัติของโลก การได้การเสียมันเป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่ของใคร มันเกิดมาแล้วอันโลกแบบนี้ก่อนเรา การได้การเสียมันเกิดมาแล้วก่อนชีวิตเราที่จะมีมาเนี่ย แต่นินทาสรรเสริญมันมีมาแล้ว มันเป็นสมบัติของโลก คู่กับโลก ผู้ใดที่จิตใจต่ำก็ถูกอันนี้ครอบงำ บีบ คลี่ ทา ปรี่ลงไป ให้ต่ำต้อยลงไป ชีวิตทั้งชีวิตไปฝากไว้กับความได้ความเสีย ความนินทาสรรเสริญ ไม่ใช่ มันก็มีอยู่ ปฏิเสธไม่ได้ อย่าเอาไปห้อย ชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งเหล่านั้น ให้เหนือโลก อยู่เหนือโลก ไม่ใช่อยู่เหนือโลกไปอยู่ที่ไหน อยู่ในกับชีวิตของเราเนี่ย ฝึกหัดให้มันเป็น
ชีวิตเราไม่มีวันนี้วันเดียว มีวันข้างหน้า ชีวิตเราไม่ใช่อยู่คนเดียว เราอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมาย มันมีรสของโลกมากมาย รสของโลกทุกวันนี้เขาใส่สี ใส่กลิ่น ใส่เสียงลงไปให้คนหลง ลองดูดีๆ ดูซิ ในโลกนี้อันสิ่งที่สร้างให้หลงน่ะมีเท่าไหร่ แม้แต่ใบหน้าของเราเนี่ย เขาสร้างให้เราหลงอยู่บนใบหน้าเราเนี่ย เป็นร้อยเป็นพันบริษัท เราก็หลง ใครบ้างที่สอนให้เรารู้ สร้างให้เรารู้ มีน้อย โรงหนังโรงละครมีมากกว่าโรงเรียน บาร์ไนท์คลับมีมากกว่าโรงพยาบาล โสเภณีมีมากกว่าหมอ คนชั่วมีมากกว่าคนดี เราจะอยู่ยังไง
เรามารับผิดชอบกัน มาดูแลกัน มนุษย์ตาดำๆ เป็นความเสมอภาคของชีวิต ไม่ควรเบียดเบียนตน ให้สงสารตัวเองเป็น ถ้าสงสารตัวเองเป็นก็สงสารคนอื่นได้ง่าย ถ้าไม่สงสารตัวเองเป็นก็เบียดเบียนคนอื่นได้ง่าย เวลาเราหลงเนี่ย โอ้ย น่าสงสาร เวลาเราโกรธ น่าสงสาร ยิ่งหายใจเข้าหายใจออกก็น่าสงสาร ถ้าหายใจเข้า ไม่เข้า มันก็ตายไปแล้วเท่านี้เอง หายใจออก ไม่ออก ก็ตายเท่านั้นน่ะ หลวงตาเคยตายเพราะลมหายใจนี้มาแล้ว
ชีวิตเรามีแค่นี้ จะหาความสุขกันที่ไหน ถ้าไม่มีความสุขกับลมหายใจจะไปหาความสุขที่ใด รู้อยู่ รู้อยู่เนี่ย ชีวิตจริงๆ มันไม่เป็นอะไรหรอก สงสาร ถ้าไม่ได้หายใจเข้าหายใจออกก็อยู่ไม่ได้ เป็นทุกข์ ไม่ได้กินข้าวก็อยู่ไม่ได้ ไม่ถ่ายก็อยู่ไม่ได้ ไม่อาบน้ำก็อยู่ไม่ได้ ไม่กินข้าว ไม่ล้างหน้าแปรงฟันอยู่ไม่ได้ ชีวิตเราต้องอาศัยการใช้ชีวิตให้ถูกต้อง เฉพาะกายเฉพาะรูปมันก็เป็นก้อนทุกข์อยู่แล้ว ยังจะเอาจิตเอาใจไปบังคับมันอีก ให้ทุกข์ ให้โกรธ ให้โลภ ให้หลง ถมเข้าไปอีก มันเป็นโทษ ถ้าเรามีสติมันจะค่อยๆ รื้อออกถอนออก
เมื่อวานหลวงตาไปสอนนักบวชของเวียดนาม เวียดนามมีแต่คนหนุ่มคนสาวบวชกันตั้ง 160 ชีวิตอยู่ที่เดียวกัน อพยพมาจากเวียดนาม เวียดนามเขายังไม่เป็นประชาธิปไตย อาจารย์ติช นัท ฮันห์ เป็นอาจารย์คนมีศรัทธา สอนถูกต้อง คนรุ่นใหม่เขาก็ฟังแล้วเชื่อ ปฏิบัติตาม ออกบวชกันใหญ่มาก แต่ก่อนไม่มาก พอมีคนหนุ่มคนสาวออกบวช รัฐบาลเวียดนามก็ มันเกิดอะไรขึ้น กลัวว่าจะมีปัญหาอะไร ก็ให้เจ้าหน้าที่มาติดตามดู เขาก็มานั่งปฏิบัติธรรมกัน ก็ไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมกันทำไม เขาบอกว่าให้สึกไปทำงาน ถ้าจะอยู่นี่ก็ต้องสึก ถ้าอยู่นี่เป็นนักบวชไม่ได้ ต้องสึก จะทำไง ถ้ามีรัฐบาลมาไล่เราเนี่ย (หัวเราะ) แล้วจะไปอยู่ไหนกันหา นี่เมืองไทยเราเป็นประชาธิปไตย สนับสนุนให้คนปฏิบัติธรรมให้คนเข้าวัด เป็นเวียดนามไม่ได้ พระวัดไหนเขาไม่ให้อยู่กันมาก การสอนก็ต้องควบคุม คนรุ่นใหม่เขาไม่โง่
หลวงตาไปสอนศาสนาที่ไต้หวัน คนรุ่นใหม่เขาพาไปดูวัดที่เขาอ้อนวอน จุดธูปจุดเทียนขอร้องมีพิธีรีตองต่างๆ เขาพาเราไปดู เขาก็บอกหลวงตาว่าพวกผมไม่ใช่ถือศาสนาอ้อนวอน พวกผมต้องปฏิบัติ อยากได้เป็นคนดีก็ทำดี อยากเป็นคนดีก็ละความชั่ว พวกผมศรัทธาหลวงพ่อมาสอนเนี่ย มันมีประโยชน์ แต่ก่อนผมสูบบุหรี่ พอหลวงพ่อมาสอน ผมก็เลิกสูบบุหรี่ แต่ก่อนผมกินเหล้า พอหลวงพ่อมาสอน ผมก็เลิกดื่มเหล้า แต่ก่อนผมเคยโกรธเพื่อน เดี๋ยวนี่ผมไม่โกรธเพื่อนแล้ว ผมทำเอาเอง อยากเป็นคนดี ผมต้องละความชั่วเอง อยากเป็นคนมีความสุขก็ผมก็ละทุกข์เอง สิ่งไหนเป็นทุกข์ ไม่ทำ แล้วก็ช่วยคนอื่นไม่เป็นทุกข์ด้วย พวกผมไม่ได้ถือศาสนาอ้อนวอน
พวกเราจะไปอ้อนวอนที่ไหน ขอให้ได้ นิพพานังปัจจะโยโหตุ ขอให้ถึงมรรคผลนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ไกลเท่าไหร่เบื้องหน้า ไม่เอาวันนี้เหรอ ใจดี วันนี้จะไม่ทำขึ้นบ้างเหรอ ใจเย็น วันนี้จะไม่ทำเหรอ เบื้องหน้าโน่นเหรอ (หัวเราะ) ไกลเท่าไหร่ หา กี่ปีกี่ชาติ ชาติหนึ่งไม่ใช่น้อยนะ มีภูเขาสูงร้อยโยชน์ ภพหนึ่งอ่ะ มีภูเขาสูงร้อยโยชน์ พ่วงร้อยโยชน์ ร้อยปีจะมีเทวดาเอาผ้ามัสลินมาปัดทีนึง จนภูเขาราบลงเสมอพื้นดิน มันนานเท่าไหร่ เบื้องหน้าโน้นเทอญ มันนานเท่าไหร่ เบื้องหน้านี้ใกล้ๆ เนี่ย เบื้องหน้านี้ เราจะมีความสุขกว่านี้ ชั่วโมงนี้หายใจเข้าหายใจออกนะ เราจะเลิกโกรธกันวันนี้ หยุดวันนี้ ใครเคยโกรธกันมาแล้ว หยุดกันเถอะ ก่อทุกข์ก่อโทษ หยุดกันเลย มีสิทธิเนี่ย ไม่ใช่ไปอ้อนวอนนะ ทำเอาเอง ศาสนาแห่งการกระทำ
ทำดีมันก็ดี ทำชั่วก็ว่าชั่ว เชื่อดังนี้ 100% ถ้าไปคิดความไม่ดี มันก็ทุกข์ตัวเอง บางทีเราไปทุกข์ไปโกรธคนอื่นเขาไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเราโกรธเขา แต่คนที่โกรธนะเป็นทุกข์ คนที่ถูกโกรธเขาไม่รู้เลย เขานอนหลับสบาย แต่เราเอามาคิด เอาไปฝากไปแขวนไว้กับมันเสียไป เอาไปฝากไปแขวนกับสิ่งที่ได้มา ไม่ใช่เลย ชีวิตต้องเป็นชีวิตเนี่ย ทำง่ายๆ ไม่เป็นนี่ทำง่ายๆ ถ้าเป็นมันยาก วางอ่ะ หัดจากนี่ วันนี้มีแท้ๆ ยกมือขึ้นรู้ มีจริงๆ ไม่ต้องรอวันพรุ่งนี้จึงจะรู้ไม่ใช่เหรอ ปัจจัตตังเว ใช่มั้ย เดี๋ยวนี้ ปัจจัตตัง ปัจจุบัน นี่มันจริงอ่ะ แล้วไปเชื่อใครล่ะ ชาติหน้าที่ไหน ชาติหน้าหมายถึงชาติก่อน ก็ล่วงยังไม่ได้เกิดท้องแม่เข้าไปเกิดใหม่ มันไม่ใช่ นี่แหละมนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติทำดี เราทำชั่ว หยุดเลยไม่ต้องทำ เราจะทำดี
ปิยวาจา พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เว้นจากทุจริต ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ทำได้เด็ดขาด เราก็เป็นประโยชน์ มีเมียด้วย ใช่มั้ย (หัวเราะ) เนี่ย จะมีความสุขนะ มีผัวด้วย มีความสุข มีเพื่อนด้วย เนี่ย เราก็เสมอภาคกัน หายใจเข้าหายใจออก เราก็เห็นความทุกข์ พ้นนั้นก็เป็นความทุกข์ มาช่วยกันนะ มาช่วยกันนะ มันเป็นสิ่งทำได้ สวดสวากขา สวดอ่ะ ธรรมคุณ วิทยาศาสตร์ พนมมือขึ้นดูซิ (หัวเราะ) พนมมือขึ้น วิทยาศาสตร์ สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก ผู้ศึกษาปฏิบัติจะต้องทำด้วยตนเอง อะกาลิโก ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เดี๋ยวนี้ ไม่วันพรุ่งนี้ ไม่มีกลางคืนไม่มีกลางวัน ทำดีก็รู้สึกตัว ไม่จำกัดกาล รู้สึกตัว รู้สึกตัว เนี่ย ไปอาศัยอะไรที่ไหน
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ตรงๆ พระพุทธเจ้าไม่สอนอะไรมากมาย จากวันเพ็ญเดือนแปดไปถึงวันเพ็ญเดือนสามเนี่ย ประมาณแปดเดือนเก้าเดือนเนี่ย สอนเรื่องปฏิบัติเนี่ย มีพระอรหันต์เกิดขึ้น 1,250 รูป ตั้งแต่เดือนแปดถึงวันเดือนสามเนี่ย 1,250 รูป มีแต่พระอรหันต์ทั้งนั้น ระหว่างนี้ สอนเรื่องนี้ เช่น ไปเห็นภัททวัคคีย์ 30 เล่าสักหน่อยได้มั้ย (หัวเราะ) เคยได้อ่านมั้ยประวัติอ่ะ
ภัททวัคคีย์ 30 เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ รู้จักเจ้าสำราญมั้ย หนุ่มสาวสำราญเจ้าสำราญมีคู่ทุกคน คนผู้ชายก็มีคู่เป็นผู้หญิง ผู้หญิงก็มีคู่เป็นผู้ชายพากันไปเที่ยวอาบน้ำ เล่นน้ำ ไปเล่นน้ำ ถอดเครื่องประดับตกแต่งออกวางไว้บนฝั่ง ลงไปเล่นน้ำ แต่หนุ่มคนหนึ่งไม่มีคู่ไปเอาโสเภณีมาเป็นเพื่อนไปกับเขา พอลงเล่นน้ำ พวกหนุ่มทั้งหลายก็เล่นน้ำสนุกสนานแต่โสเภณีเนี่ยมันคิดขึ้นมา เห็นเพื่อนเราปลดเครื่องประดับตกแต่งไว้บนโน้น เราจะต้องเล็ดลอดขึ้นไปก่อนเขา เขากำลังเล่นอยู่ พอขึ้นไปแล้วก็สวมเสื้อ เอาเครื่องประดับตกแต่งคนโน้นออกวิ่งหนี
พวกหนุ่มเจ้าสำราญพอถึงเวลาก็ขึ้นมา ไม่เห็นเครื่องประดับตกแต่งของตัวเองแล้ว หนุ่มทั้งหลายก็วิ่งตาม เห็นรอยมันวิ่งไปเนี่ย ตามรอยวิ่งไปจะตามเอาคืนมา หญิงโสเภณีก็ถือของได้ก็วิ่งหนีตามทางไป ตอนนั้นพระพุทธเจ้าเดินทางมา ออกไปใหม่หลังจากแสดงธรรมในวันเพ็ญเดือนแปด เสร็จแล้วก็บอกภิกษุไม่มาก พวกเราเป็นผู้พ้นจากบ่วงแห่งมารแล้ว ไป ไปบอกสอนคน เพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก เรามีเท่านี้ไม่มีมาก ไปคนละทางนะ เราเองก็จะไปโน่น กรุงอุรุราชคฤห์ อุรุเวลาเสนานิคม สั่งแล้ว พระพุทธเจ้าไปอุรุเวลาเสนานิคม ราชคฤห์
ระหว่างเดินทางไป ไปเจอพวกหนุ่มเจ้าสำราญนะวิ่งตามเขา พวกหนุ่มถาม สมณะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งไปนี่มั้ย จะตอบยังไง พระพุทธเจ้าตอบยังไง สมณะๆ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งไปนี่ไหม นี่รอยมันน่ะ เห็นมั้ยเนี่ย จะทำยังไงล่ะ พระพุทธเจ้าตอบว่าไง ถ้าเป็นเราจะตอบยังไง จะตอบแบบไหน หา เออเนี่ย เดินไปเนี่ย รอยมันวิ่งไปเนี่ย พระองค์สมณะก็เดินมานี่ไม่เห็นเหรอ พระพุทธเจ้าตอบว่า “ดูก่อน พวกเธอให้ตามหาผู้หญิงคนนั้นดี หรือว่าพวกเธอจะตามหาตัวเองดีกัน” “เฮ้ย ไม่ต้องพูดนะ เห็นไหมๆ” “ดูก่อนท่านทั้งหลาย จะตามหาคนอื่นหรือจะดูตัวเองกันบ้าง” ถ้าไปถามหาคนอื่นมันก็ไม่เห็นตัวเองนะ
ถามแล้วพระพุทธเจ้าก็ยังพูดว่า “จงมาตามดูตัวเองเถิด” มันอะไร ให้เห็นตัวเองเนี่ย พวกหนุ่มก็ค่อยเย็นลงๆ พระพุทธเจ้าก็เลยแสดงธรรมให้ฟัง ก็เลยมารู้ตัวเอง ขณะนั้นกำลังโกรธจัด กำลังทุกข์เพราะมันเสียไป ทุกข์เพราะของเสียไป สูญเสียชีวิตไปแล้ว พอพระพุทธเจ้าบอกว่า กลับคืนมาดูตัวเองดูซิ มันมีอะไร มันโกรธไป เรื่องของมัน กลับคืนมาดูตัวเอง หายใจเข้าหายใจออก ความโกรธมันก็ค่อยลดลงๆ ลดลง มารู้ตัวเอง เห็นความโกรธเป็นอารมณ์มาเข้ามาพิจารณา เมื่อกี้มันโกรธ เดี๋ยวนี้มันไม่โกรธแล้ว ค่อยๆ พระพุทธเจ้าก็แสดงให้ฟัง ให้ฟังไป ใจก็เย็นลงๆ พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมไป เรียกว่าเปลี่ยนความร้อนเป็นความเย็น เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์
เวลามันโกรธ ต้องวิ่งเลยนะ วิ่งไปไหนล่ะ แม่ชี ใครด่าแม่ชีเนี่ย แม่ชีไปไหนเนี่ย วิ่งไปเนี่ย ทำไมจึงวิ่งล่ะ เพราะกลัวจะใจดีก่อน จะไม่ได้ด่ากัน เมื่อเวลามันโกรธ ก็รีบด่วนเกินไป เวลาโกรธตีลูก ไม่รู้จัก เด็กตัวน้อยๆ หนังบางๆ รอยมืออ่ะ มีมั้ยความโกรธ บางทีเสียใจ ตีลูกเจ็บแล้ว มันความโกรธก็หมดไป สงสารลูก เสียใจ นอนร้องไห้ นั่งร้องไห้ เอายาหม่องไปทา รอยนิ้ว รอยนิ้วมือ รอยไม้เรียว (หัวเราะ) แม่ หลงตีหนูเหรอ ผิดพลาดไปแล้ว เสียใจเพราะความชั่วของตัวเอง (...)ไปล่วงหน้ามันกลับมา ใจของเราไม่ได้โกรธหรอก ปกติใจดีเสมอ
เวลามันโกรธไม่ใช่ใจ อารมณ์ เวลามันทุกข์ไม่ใช่ใจ เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ใจ อย่าไปเอาอารมณ์มาเป็นใจของตัวเอง ไปเอาความสุขเป็นใจ เอาความทุกข์เป็นใจ เอาความโกรธเป็นใจ ไม่ใช่เลย อารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่ใจ ใจมันไม่เป็นอะไร ปกติ ปกติใจ บ้านของใจคือปกติ เวลาเราปฏิบัติ มันคิดไปโน้น กลับมา กลับมา มันคิดไปโน้น กลับมา กลับมาบ่อยๆ มันจะโกรธหญิงคนนั้น กลับมา กลับมา รู้สึกใจดีขึ้นมาค่อยๆ พูดกัน
พวกหนุ่มเจ้าสำราญก็ใจเย็นลงๆ ศึกษาหาทางเลือกด้วยการคิดขึ้นมาเอายังไงกันดี ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นจิตใจธรรมดา นี่ชีวิตของเรา สอนมันตรงนี้ มันคิดไปบ้าง กลับมา สอนใจมารู้สึกตัวอยู่นี่ ร่างกายอยู่นี่ มันมีนิมิตที่ตั้งเอาไว้เนี่ย กรรมคือการกระทำ ให้รู้อย่างนี้ ฐานคือที่ตั้ง ให้รู้อย่างนี้ มันช่วยได้ มันไป กลับมา ไป กลับมา วางหน้าวางตาใหม่ วางใจใหม่ วางกายใหม่ มันจะมีสิ่งดีๆ หลายอย่างในชีวิตของเรานี้ เปลี่ยนความร้ายเป็นความดี เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเป็นเรื่องดีขึ้นมา
ปฏิบัติ ที่ว่าปฏิบัติ อยู่ไหนล่ะ อยู่กับเรานะ ไม่ใช่อยู่สุคะโต กลับไปบ้าน ไปทำงานที่บ้าน มันจะมีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกตัว ถ้าทุกคนทำตรงนี้ เริ่มต้นจากเรา มันก็สงบล่ะ มีความเมตตากรุณาเกิดขึ้นต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทุกสิ่งทุกอย่างเลยทีเดียว หลวงตาไปสอนพวกเวียดนาม ฮือ ศรัทธาเขานะ ศรัทธาเขา เขาก็เก่งนะ ปฏิบัติกัน เราก็ชอบแบบ เราเนี่ย ชอบแบบปฏิบัติธรรม