แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตของเราหมดไปเรื่อยๆ ตามกาลตามเวลา ถ้าเราไปรอให้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นที่กลืนชีวิตของเรามันก็เสียชาติ เราต้องมากลืนชีวิต กลืนกินเวลา เอามาเป็นประโยชน์เพื่อให้เกิดการบรรลุธรรม แล้วการบรรลุธรรมนี่ต้องเป็นสิทธิของชีวิตเรา เราสามารถทำได้ สร้างเอาได้ เข้าถึงได้ในคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถทำได้ แล้วพระพุทธเจ้าเหล่าพระสาวกบรรลุถึงชีวิตที่เป็นอมตะมานานแล้ว แล้วเรายังจะสละสิทธิ์ไม่ได้ แล้วก็มีสืบมาจนถึงทุกวันนี้ มีครูอาจารย์ มีผู้บอก มีผู้สอนจนบัดนี้ก็ยังมีอยู่ เช่น คำสอนพระพุทธเจ้าเอามาบอก เอามาสอนก็ยังเป็นจริงอยู่ มีผู้พูด เสียงพูดก็ได้ยิน ผู้พูดก็มีตัวมีตน สอนให้เจริญสติ เอากายมาสร้างสติ เราก็ทำได้
สติ คือ ความรู้สึก ความระลึกได้ เอามาเป็นตัวรู้ เอากายมาเป็นสมบัติของตัวรู้ เอากายมาเป็นวัสดุอุปกรณ์ให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา เราก็รู้ได้ นี่เราเริ่มต้น เริ่มต้นได้ทาง ได้ที่ได้ทาง อะไรที่มันไม่ใช่ความรู้ มันก็เกิดขึ้นให้เราเห็นอยู่ ไม่ลับไม่ลี้ ไม่ซุกซ่อน มันหลงมันก็รู้อยู่ ความหลงก็มีความรู้อยู่ในที่นั่นด้วย อะไรที่มันไม่ใช่ความรู้ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรา เราก็เอามาเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตัวได้ทั้งนั้น หรือเรียกว่าปฏิบัติได้ ให้ผลได้ สร้างความรู้ ก็มีผลเป็นความรู้ เมื่อมันมีความหลง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้สึกตัวเนี่ย เราทำได้ ก็เห็นๆ
ผู้ที่รู้สึกตัวก็ย่อมเห็นอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจหลายอย่าง หลายอย่างที่มันไม่ใช่ความรู้สึกตัว แล้วเราก็ได้สัมผัส เราก็อย่าไปข้องแวะ เวลานี้เรามาปฏิบัติ เวลานี้เรามาเจริญสติ อันอื่นเอาไว้ก่อน เรามาสร้างความรู้สึกตัว มาสร้างความรู้สึกตัวให้มันมากขึ้น หน้าที่เราคือทำตรงนี้ ความรู้สึกตัวต่อเนื่องอยู่ในกายในจิต นั่นแหละจะเป็นการเป็นงาน เป็นกอบเป็นกำ เป็นมรรคเป็นผล ได้ชีวิตเหนือการเกิด แก่ เจ็บตาย ให้กำเนิดเกิดขึ้นของมรรคผลนิพพาน คือชีวิตที่เป็นมาตรฐาน ชีวิตเป็นอมตะ ก็เริ่มต้นจากตรงนี้กัน ขออย่าได้เอาชีวิตเราไปใช้อย่างอื่นจนหมดวัย หมดค่า หมดเวลา หน้าที่กระตือรือร้น หน้าที่ที่เราจะขวนขวายในเรื่องนี้กันให้มากๆ สักโอกาส ให้โอกาสแก่อย่างนี้บ้าง
แล้วเราก็เมื่อเราฝึกได้แล้ว มีสติแล้ว ไปอยู่ไหนมันก็คือความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวไม่เลือกที่ไม่เลือกกาลเวลา แม้มันจะเกิดอะไรขึ้นมันก็อันเดียว ความหลงก็อันเดียว อยู่วัดมันหลง อยู่บ้านมันก็หลง ก็คือความรู้อันเดียว ความโกรธ ความทุกข์ ความวิตกกังวลเศร้าหมองที่มันไม่ใช่ความรู้สึกตัว มันก็อันเดียว ไม่ได้เปลี่ยนหน้า ไม่ได้หลง ความหลงไม่ได้ให้เกิดความหลง ความหลงมันก็คือความหลง เราก็รู้สึกตัว ความหลงมันก็บอกว่ามันเป็นตัวหลง ความรู้ก็คือตัวรู้ มันตรงกันพอดี ชีวิตของเรามันเลือกได้ มันเลือกได้ แล้วเวลาปฏิบัติเนี่ย เวลาเราเจริญสตินี่ มันก็ผ่านสิ่งเหล่านี้แหละไป ผ่านหลายอย่างที่มันไม่ใช่ความรู้สึกตัว ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ว่าแต่เราอย่าหลงทิศหลงทาง มันมีรอย รอยของความรู้สึกตัว เหมือนกับรอยวัวรอยควายที่เรา เมื่อมีโจรลักไปเราตามเอา ตามรอยวัวรอยควายของเรา จนได้ตัวมัน อย่าทิ้งรอย แกะรอยให้ดีๆ
รอยพระพุทธเจ้าก็คือรอยความรู้สึกตัว อยู่ที่ไหนก็รู้สึกตัวตามไป เวลาใดที่มีความหลงมากลบมาเกลื่อน เราก็ตามความรู้สึกตัวไป ความทุกข์ ความง่วงเหงาหาวนอนอะไรต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นขณะที่เราสร้างความรู้สึกตัวเนี่ย เราก็ตามไปเรื่อยๆ ไป มันก็จะแม่นยำ ในเวลามันหลงมันมีความรู้น่ะมันชัดเจน มันเก่งตรงนั้นด้วย มันจะชำนาญตรงนั้นด้วย เวลาใดมันง่วง มีความรู้สึกตัว มันก็จะชำนาญตรงนั้นด้วย เวลาใดมันทุกข์ มีความรู้สึกตัว ตรงนั้นแหละ มันไม่ใช่อ่อนแออยู่เสมอ มันเข้มแข็งตอนนั้นด้วย ประสบการณ์ของความรู้สึกตัวที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวนั้น มีโอกาสทำให้แก่กล้าทำให้มาก แต่จะเป็นอินทรีย์ก็คืออินทรีย์แก่กล้า อินทรีย์ของสติ สติอินทรีย์ ไม่ใช่ตา ใช่หู ไม่ใช่จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มันเป็นใหญ่อย่างเดียวชีวิตเรา มันมีสติเป็นใหญ่ด้วย
ถ้าเราไม่ฝึก มันก็ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นใหญ่ มันใช้ชีวิตเรา บางทีมันก็ไปทางตา ตาพาลากพาถูไป บางทีมันก็พาไปทางจมูก ไปเห็นได้กลิ่น มันก็ไปตามจมูกตามกลิ่น บางทีมันได้รสทางลิ้น มันก็ไปตามลิ้น หอบกันไป ส่วนอื่นก็ลูไปตาม พอลิ้นมีกำลังก็ลากไป หูไปฟังเสียงมันก็ลากเอาอันอื่นไป ตา ลิ้น กายก็ไป ใจก็ไป ถ้าหูกำลังมันมาก จมูกก็เหมือนกัน กายก็เหมือนกัน ใจก็เหมือนกัน เวลาใจที่มันย้อมอารมณ์อะไร ความรัก ความชัง มันก็ตามไปในความรัก ตามไปในความชัง ถูลากกันไป มันแย่งความเป็นใหญ่ในตา ในหู ในจมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง เราก็เสียเวลา หมดเรี่ยวหมดแรงกับสิ่งเหล่านี้มา
บัดนี้เรามาพบอินทรีย์ เรียกว่าสติอินทรีย์เนี่ย มันให้ความเป็นธรรมต่อชีวิตเรา เราจึงพยายามสร้างอินทรีย์ตัวนี้ที่มันจะเกิดขึ้นต้องประกอบ ต้องสร้าง แล้วก็ไม่อาศัยอันอื่นมาเป็นใหญ่ อาศัยการสิ่งทั้งหลาย อาการที่เกิดขึ้น แม้จะตาเห็นรูปก็เป็นเรื่องของความรู้สึกตัว หูได้ยินเสียงมันก็เป็นของความรู้สึกตัว มันเป็นใหญ่ในตรงนั้น แต่ตามันก็เป็นใหญ่เฉพาะตาในรูป หูก็เป็นใหญ่เฉพาะเสียงในเสียงเท่านั้นเอง ไม่ใช่เอาลิ้นไปชิมดูเสียง ไม่ใช่เอาตาไปฟังเสียง มันก็ไม่ใช่ กระจอกๆ พวกอินทรีย์เหล่านั้น
ถ้าสติเนี่ย สติอินทรีย์เนี่ยสามารถเป็นใหญ่อยู่บนรูป รส กลิ่น เสียง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สิ่งเหล่านั้นก็รับใช้ไปเลย เอาไปเอามา ตัวสตินี่ก็เอาตามาใช้ เอาหูมาใช้ เอาจมูก เอาลิ้น เอากายมาใช้ มันก็เป็นธรรม มันติดอย่างนี้การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ไปคิดรู้ ทำให้มันเป็น เมื่อสติเป็นใหญ่ สติอินทรีย์เป็นใหญ่เกิดความเป็นธรรม เมื่อมีความเป็นธรรม มันก็มีอำนาจ เมื่อมีอำนาจก็เป็นใหญ่ เป็นใหญ่เหนืออาการทั้งหลาย เรียกว่ามรรคผลนิพพาน ที่แท้ก็คือสติเป็นใหญ่ สติเป็นหน้ารอบ พระขีณาสพคือพระอรหันต์ ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ เราจึงมาสร้างตัวนี้กัน อย่าข้องอย่าแวะ เวลานี้เรามาไปกับ เรามาไปก่อน เรามาเดินก่อน เหมือนคนเดินทาง เหมือนคนทำงานทำการ เช่น ชาวนาเวลาปลูกข้าว เขาปลูกข้าวเสียก่อน อันอื่นเอาไว้ก่อน เวลาเกี่ยวข้าว เขาเกี่ยวข้าวเสียก่อน อันอื่นเอาไว้ก่อน แล้วเขาก็ได้ข้าว เขาก็ดูแลข้าว เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ข้าวที่ได้จากการกระทำ ก็แปรมาเป็นเลือดเป็นเนื้อ เป็นชีวิตของพวกเรา
การเจริญสตินี่เป็นอาหารใจ อาหารกายด้วย กายใจนี่ถ้ามีสติเข้าไปจะเป็นพลัง เป็นพลังร่วมกัน กายช่วยใจ ใจช่วยกาย สติช่วยกาย สติช่วยจิตใจ รวมเป็นหนึ่ง รวมเป็นหนึ่ง เรียกว่าชีวิตที่ได้ชีวิต เดี๋ยวนี้กายเราไปคนละทิศคนละทาง ใจไปทางหนึ่ง กายอยู่ทางหนึ่ง สติก็ไม่มี ปล่อยทิ้งขว้างไป กลางคืนก็ว่าฝันกลางวันก็ว่าคิด นอนอยู่ในห้อง กายมันนอนอยู่จิตมันคิดไป ฝันไป เกิดอาการไปตามความฝัน เหนื่อยบ้าง หมดเรี่ยวหมดแรง ติดเป็นจริตนิสัย เอาความฝันมาแก้ มาลำดับ มาลำนำ มาเกี่ยวมาข้อง เอาเก็ง เอาผิด เอาถูก ไปกันใหญ่ เวลาฝันเราก็ไปแก้ให้กันฟัง วิตกกังวลในความฝัน เชื่อมั่น ฝันร้ายฝันดี
ถ้าเรามีสตินี่ ถ้าจะหัดให้มีสติ หัดให้ไม่ฝันก็ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องแก้ความฝัน ไม่ต้องลำดับ ไม่ต้องจำ อย่าไปถือ มีสติเรื่อยไป มันจะไม่ฝัน ไม่หมดเวลา ไม่เสียเวลา ไม่เสียพลังงาน กายนอนอยู่ในห้องใจมันคิดไป ทิ้งกัน มารก็ได้โอกาส เข้ามาย่ำยีกาย เข้ามาย่ำยีจิตใจ เอากายไป กายมันก็เอาไปใช้ไปเสพไปติด ติดเหล้าติดบุหรี่ ต่อมากายก็ลงโทษกาย ใจก็ลงโทษกาย กายลงโทษใจ ใจกายลงโทษใจ กายใจ กายลงโทษของกาย ทำสะเปะสะไปเลย กินเหล้าเมายาร่วมกัน ทำความชั่วสำเร็จ
อันนี้เรามามีสติเนี่ย ถ้ามีสติ กายมาเป็นพลังเสริมสร้างให้เกิดสติ จิตใจมาเป็นพลังเสริมสร้างให้เกิดสติ ถ้าเราไม่ใช้กายใช้ใจให้สร้างสติ เขาก็ไม่ร่วมมือเรา แล้วก็ทิ้งกันไป เมื่อสติไม่มีในกายในใจ เราก็เกิดภพเกิดภูมิต่างๆ มันมีภพภูมิ ชีวิตของคนเราไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานเนี่ย เขาพัฒนาไม่ได้เขาอยู่ก็อย่างนั้น แต่มนุษย์เนี่ย คนเรามันมีภพภูมิ ตั้งต้นจากตรงนี้ทางสี่แพร่ง สิทธิที่เราจะต้องไป ที่จะต้องก้าวไป หรือจะต้องเสื่อมลง วัฒนะ หายนะ วัฒนะก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางอันสูงสุดของชีวิต ชีวิตประเสริฐ หายนะเสื่อมลงไปอบายภูมิ มันเป็นอย่างนี้ชีวิตเรา
ทางสี่แพร่ง เรายืนอยู่บนทางสี่แพร่ง ทางหนึ่งก็ไปสู่อบายภูมิ ทางหนึ่งก็ไปสู่พรหมโลก ทางหนึ่งไปสู่เทวโลก ทางหนึ่งไปสู่มรรคผลนิพพาน มนุษย์คือยืนอยู่บนทาง เดี๋ยวนี้เรายืนอยู่บนทาง เรียกว่าเป็นมนุษย์ ก็เห็นๆ กันอยู่ มันก็เราไปทางไหนบ้าง ไปทางอบายภูมิก็ไปกับความหลง วันหนึ่งเราอยู่ในความหลงมากเท่าไหร่ มีความรู้เท่าไหร่ ถ้าหลงมันก็ไปสู่อบาย โลภ โกรธ หลง เป็นอกุศลธรรม สู่ภูมิอันต่ำ นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน ทำบาปทำกรรม อิจฉาเบียดเบียนกันไป
ถ้ารู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวมันก็ไม่ไปสู่อบาย ยกขึ้นมา มีศีลแล้วละความชั่วแล้ว คนมีความรู้สึกตัว ทำความดีแล้ว จิตบริสุทธิ์แล้ว มีศีลแล้ว มีธรรมแล้ว รักษากาย วาจา ใจ เรียบร้อยไปแล้ว มีความละอายต่อความชั่ว เกรงกลัวต่อบาป เป็นเทวภูมิแล้ว ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำความชั่วทั้งหลาย นี่ว่าโลกบารคุ้มครองเรา กบาร บาร บอใบไม้ สระอา รอเรือ นั่นหมายถึงคุ้มครอง รักษา ไม่ตกไปในที่ชั่ว คนมีสติก็ไปแล้ว ผ่านภูมิเทวภูมิได้
เมื่อเกิดมีความมีสติรู้เห็นอกเห็นใจ มีความเมตตากรุณา เป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน พูดสิ่งใด ทำสิ่งใด คิดสิ่งใด มีความเมตตากรุณาออกหน้าออกตา เป็นภูมิของพรหมโลกไปแล้ว ไม่ได้เอาความหลง ไม่ได้เอาความรัก ความชัง ไม่มีอารมณ์ที่จะมาสั่งงานสั่งการ พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ทำสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลังในหมู่มิตรเพื่อนฝูง สิ่งต่างๆ นี่มันเกิดขึ้นมาในขณะที่เรามีชีวิต แต่บางชีวิตมีแต่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความวิตก เศร้าหมอง ความลังเล สงสัยหมกหมุ่นมัวเมา ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ลงโทษตลอด ถ้ามีความละอายต่อความชั่วเกรงกลัวต่อบาปไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าคิดในสิ่งที่เลวร้าย มันก็ไม่ลงโทษเรา หมดโทษ ชีวิตหมดโทษ หมดโจทย์ หมดภัย ยิ่งมีเมตตากรุณาก็ยิ่งหมดโทษภัย ชีวิตพวกนี้มีอายุยืนยาวมากไม่เหมือนคนที่มีทุกข์ มีทุกข์น่ะ โอย เป็นพันเป็นร้อยปีไม่เท่ากับชีวิตของผู้มีเมตตากรุณาเพียงชั่วโมงเดียว มันมีความปลอดภัย ถ้าจะเรียกว่าสุข ก็เป็นสุขด้วยศีลด้วยธรรม ไม่ได้สุขเพราะอามิสสินจ้าง
เราเลือกได้อย่างนี้ชีวิตเรา วันนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย ไม่ใช่พรุ่งนี้เลย เกิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นพระ พระแปลว่าประเสริฐ บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมอง ใจไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นต้น ชีวิตประเสริฐคือความเป็นพระทางกาย ทางใจ ไม่เอากาย เอาใจ เอาจิต เอาวาจามาทำให้เกิดโทษเกิดภัย เอามาเป็นประโยชน์ใช้ได้สำเร็จ เอากายก็ไปช่วยกัน ช่วยสิ่งที่ไม่ดีให้ดี ช่วยหลายอย่าง กายของเราใช้ได้มากมาย ผลประโยชน์เกิดขึ้นจากกาย ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์โลก ประโยชน์แก่พระศาสนา ประโยชน์เกิดแก่มรรคผลนิพพาน เอากายนี่แหละ
เอาใจเข้าไปทำความดี เกิดประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากจิตจากใจนี่ก็มีมากมาย ช่วยผู้ ช่วยคน ช่วยใคร อะไรต่างๆ ได้ทั้งนั้น ใจที่มันดี ใจที่ประเสริฐ วาจาก็พูดออกไป ได้ยินได้ฟังเป็นปิยวาจา วาจาที่เป็นสุภาษิต สุจริต ไม่มีลับลมคมใน พูดบริสุทธิ์ ไปช่วยบอกช่วยสอนไปช่วยให้เกิดคุณงามความดีเพราะวาจา เช่นพระพุทธเจ้าสอนพวกเรา เหล่าพระสาวกทั้งหลายก็จำเอา จำเอา จำเอา จำเอา หลายชีวิตก็จำเอาคนละทิศละทาง พระอานนท์นี่จำได้มากกว่าหมู่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ณ ที่ใด อานนท์จำได้แม่น สมัยก่อนไม่มีซีดี ไม่มีม้วนเทป อาศัยการจำเอา ถ้าใช้ชีวิตไปจำเอาความดี มันก็ติดมันก็จำง่าย เหมือนแต่ก่อนเราไม่เคยรู้จักเลขเบอร์โทรศัพท์ ไม่เคยคิดเรื่องนี้ เอ้า พอมามีโทรศัพท์ มีเบอร์ของเพื่อน ที่นั่น ที่นี่ เอ้า บางทีเราไม่ต้องเขียน เราจำ เกิดจำได้ ของเพื่อนของมิตร ของผู้คนทั้งหลาย คือเราใช้มาทางนี้มันก็เกิด ก็เกิดคล่องตัว
การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เราใช้ชีวิตมาทางนี้ มันก็เจริญในทางนี้ พระอานนท์ก็เก่ง จำได้มาก พอจำได้มา จำได้มา ก็มาเขียน บันทึกเป็นตัวหนังสือ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ เพราะใช้ชีวิตมาทางนี้ เกิดคุณงามความดี ความดีนี่ก็กลายมาเป็นธรรมเป็นวินัย มาเป็นศีล มาเป็นสมาธิ มาเป็นปัญญาของผู้ของคนทั้งหลาย เราก็ได้รับอานิสงส์จากสิ่งเหล่านี้ มาเจริญสติ ไม่เคยมีใครบอก เอากายมาสร้างความรู้สึกตัวน่ะอายุได้สามสิบปี ยี่สิบแปด ยี่สิบเก้าปี รู้ได้ยินเรื่องนี้ ก็เลย เอ๊ะ เราก็ฝึกหัดสุ่มๆ ไป คนที่สอนก็สอนสุ่มๆเข้าไปอย่างนั้น ก็ยังไม่ชัดเจน พอหลวงพ่อเทียนสอนให้เจริญสติ เอากายมาสร้างสติ ยกมือขึ้นไป เคลื่อนไหวไปมาได้สำเร็จ สติเป็นสมบัติของกาย พอดี๊พอดี ถ้ามีสติไปในกาย สิ่งที่มันหลง ที่มันไม่ใช่สติไปในกาย มันก็เห็นหมดทุกอย่าง ความหลงที่เกิดขึ้นกับกาย เห็นหมดทุกอย่าง ความหลงที่เกิดขึ้นกับจิตเห็นหมดทุกอย่าง
เมื่อมีสติไปในกายในจิต มันก็จะเห็นความหลงนั่นแหละ ดูไปดูมา มันเห็นแต่ความหลงที่เกิดขึ้นกับกาย เห็นแต่ความหลงที่เกิดขึ้นกับจิต มันก็รู้อยู่บนตรงนั้น ก็เดินไปเรื่อยผ่านความหลง ความหลง ความหลง กี่ครั้งกี่หน ความหลงก็มีหลายรูปหลายแบบ ความหลงก็มีอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ความหลงอย่างหยาบๆ นี่ถือว่าเป็นธรรมดา หลงของ หลงลูกกุญแจ หลงหนังสือ หลงผ้า หลงวัตถุ หลงหน้ากัน หลงชื่อเสียงเรียงนาม หลงเวลา วันนี้วันอะไร เดือนอะไร ขึ้นกี่ค่ำ หลงแล้ว จำไม่ได้ นี่เรียกว่าหลงธรรมดาไม่เป็นโทษเป็นภัย แต่ว่าเสียหายบ้าง แต่ว่าไม่ผิดศีลนะ หลงลูกกุญแจนี่ไม่ผิดศีลแต่ว่า ถ้าเป็นศีลก็เป็นศีล ศีลส่วนตัว เสียหายไม่เป็นส่วนรวม ไม่เป็นโทษเท่าไหร่
หลงอีกอันหนึ่งก็หลงเข้าไปอีก หลงกายหลงใจ ในความโกรธ ในความโลภ ในความทุกข์ ในความรักความชัง ถ้าหลงเราเกิดโกรธ ถ้าหลงเราเกิดโลภ ถ้าหลงเราเกิดกิเลสตัณหา อันนั้นเป็นหลง อันนั้นเป็นโทษ เป็นโทษ หลงกายหลงใจเป็นโทษ หลงเข้าไปอีกจริตนิสัย จริตนิสัย นิสัย อนุสัย นุสัย อนิสัย อันนั้นหลงอย่างละเอียด ไม่เห็นตัวเอง หลงในความอุปาทาน ในอาการต่างๆ เพราะฉะนั้น ความหลงนั้นผ่านตาของความรู้สึกตัวหมด ไม่มีอะไรลี้ลับได้ มา... จะเกิดความหลงอะไรก็มาได้เลย รู้กันทั้งนั้นแหละ เห็นความหลง มันเป็นปัญญา อยากให้มันหลง อยากให้มันทุกข์ อยากให้มันโกรธ อยากให้มันอะไรต่างๆ จะได้หลุด จะได้เกี่ยวข้องกับมัน เหมือนหมอรักษาคนป่วย อยากจะเห็นหาตรวจ เอาเครื่องมือวิเศษๆ มาตรวจ จนเห็น เห็นเหตุ อันนี้เขาก็ตรวจ ต่างประเทศสหรัฐเขาตรวจแก้ เห็นโรควัคซีนที่เกิดไข้หวัดนก ค้นพบได้ เอามารักษาคู่ไข้หวัดนกหาย เขาก็เก่ง เขาหา หาเหตุที่มันทำให้เกิดไข้หวัดนกล้มหายตายไป เขาหาจนพบ เขาหาแล้วเขาก็พอใจ เขาค้นคว้าได้
การปฏิบัติธรรมน่ะ มันยิ่งวิเศษกว่านี้ หาสิ่งที่มันหลงที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ มันเห็น มันเป็นปัญญา พวกเราอย่าไปกลัว การเจริญสตินี่ มันก็ผ่านเหล่านี้แหละ ผ่านสิ่งเหล่านี้แหละ รู้มันทั้งนั้น ตามไปรู้ไป เห็นตามความเป็นจริง เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นรูป เห็นนามตามความเป็นจริง เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามตามความเป็นจริง เห็นเข้าไปจนเกลี้ยงเกลา เห็นมันเป็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน จะเห็นความโกรธ มันเห็น เห็นก้นบึ้งของความโกรธมันคืออะไร มันก็คือความไม่เที่ยง มันคือความเป็นทุกข์ คือความไม่ใช่ตัวตน เห็นแล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น สำคัญมั่นหมายว่าเราโกรธ เราทุกข์ ไม่มีเลย รื้อออกไป ความทุกข์ความโกรธมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน โอ้ เสียเวลา
พอเห็นแล้วมันอยู่ในความไม่เที่ยง ความเป็น ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ที่เรียกว่าอาการทั้งหลายนั้นน่ะ มันซักฟอก หลุดออก เหมือนผ้ามันเปื้อน เอาผงซักฟอกไปใส่เขย่า ไปใส่แช่เอาไว้ หลุดไปเลย หลุดไปเลย มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดา เป็นกฏของธรรมชาติ ความรู้สึกตัวไปเห็นความหลง ความหลงก็กลายเป็นปัญญา กลายเป็นความไม่หลง มันไม่เหมือนอันอื่นนะธรรมะเนี่ย
พระพุทธเจ้ายังว่า ธรรมย่อมชนะอธรรมทุกเวลา อธรรมคือความไม่รู้ คืออวิชชาทั้งหลาย ธรรมคือวิชาทั้งหลายรู้ เปิดออกมาหงายขึ้น ส่องแสงสว่างเข้าไป เห็นแจ้ง การเห็นแจ้งในอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี้ ท่านเรียกว่าวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณที่เกิดความเห็นแจ้งในกายในใจนี้ เป็นทางไปสู่มรรคสู่ผล เห็นกระแสแห่งพระนิพพาน พระนิพพานก็คือ มันทุกข์ก็คือความไม่ทุกข์ โอ เป็นกระแสไปแล้ว มันหลงคือความไม่หลง เป็นกระแสไปแล้วคู่กันพอดี มันโกรธคือความไม่โกรธ เป็นกระแสไปแล้ว บอกทางให้เราแล้ว เรียกว่าวิปัสสนาญาณ เกิดจากผู้ที่เจริญสติ เมื่อมีในกายในจิตใจ
มันไปอย่างนี้นะปฏิบัติ ไม่ใช่ไปเอาสุข ไปเอารู้ เอามันสุขก็เห็นมันเนี่ย มันรู้ก็เห็นมันเนี่ย เลยไม่เปื้อนกับอะไรเลย สตินี่ ปัดโธ่ มันเป็นอย่างนี้หนอ สติเนี่ย ไม่เปรอะไม่เปื้อนกับอะไรเลย โอ ปลอดภัย โอ กระตือรือร้น ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย แต่ก่อนก็สุขๆ ทุกข์ๆ รักๆ ชังๆ บัดนี้ มันเหนือออกมาได้ เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือรัก เหนือชัง เหนือโลภ เหนือโกรธ เหนือหลง โอ มันก็เปลี่ยนไป พ้นไป อาจจะว่าสูงก็สูง ไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นทับถม ไปทำนองนี้
การปฏิบัติธรรมนี้คือชีวิตของเรา ชีวิตของเราต้องพบทางแบบนี้บ้าง ถ้าไม่พบทางอย่างนี้น่ะ โอ้ มันเสียเปรียบเสียชาติที่เกิดมา ที่เกิดมาเสียชาติ อย่างน้อยเราก็มีกระแสมอง แม้มันยังมีอยู่ก็มองตรงกันข้าม อย่า อย่าพลาดโอกาส แม้ยังมีความโกรธอยู่ ก็ต้องมีความไม่โกรธทุกขณะ มีความทุกข์ ก็ต้องมีความไม่ทุกข์ทุกขณะ มันจึงจะเป็นมนุษย์ เป็นชีวิตชีวา แม้ยังมีความหลง ก็มีความไม่หลงในทุกขณะ ถ้ามันยังมีอยู่ ไม่ใช่ไปจำนนยอมมัน
นี่ปฏิบัติธรรม ผิดถูกยังไง ดูเอาศึกษาเอา อย่าไปศรัทธาผู้คน ศรัทธาอะไรมาก จนลืมสร้างศรัทธาการปฏิบัติ ที่เกิดจากการกระทำของตัวเรา การกระทำของเราทำลงไปมันเป็นอย่างนี้นะ ศรัทธาการกระทำ กรรมมันเป็นอย่างนี้ เราทำให้ส่งมาอย่างนี้ ก็เชื่อการกระทำที่เราทำดู เมื่อเราทำเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาเป็นอย่างนี้ มันก็ศรัทธาต่อคำสอน ศรัทธาต่อศาสนา ศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ศรัทธาต่อพระธรรม พระสงฆ์ ศรัทธาแบบนี้ ศรัทธาก้าวหน้าไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันเสื่อม ไม่ใช่ศรัทธาหลวงพ่อองค์นั้น อาจารย์องค์นี้ เจ้าคุณองค์นั้น พระรูปนั้น อันนั้นศรัทธา ศรัทธาแบบพื้นฐาน
แต่ที่เราลึกเข้าไป โอ้ อาจารย์มั่นสอนอย่างนี้ โอ้ เราทำเป็นอย่างนี้ มันเหมือนกับอาจารย์ท่านสอน โอ้ ศรัทธามันเกิดจากอันนี้ เชื่อมาแล้วเอามาทำ ทำแล้วมันเกิดขึ้นมาศรัทธาก้าวหน้า จนเหมือนกับพระสารีบุตรศรัทธาพระอัสสชิ อัสสชิสอน เย ธัมมา เหตุปัปภวา เตสัง เหตุง ตถาคโต เตสัญ จ โย นิโรโธ จ เอวัง วาที มหาสมโน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สิ่งต่างๆ เกิดแต่เหตุ ถ้าดับก็ดับที่เหตุ พระสมณโคดมสอนอย่างนี้ พระตถาคตเจ้าสอนอย่างนี้ พระสารีบุตรฟังแล้วก็ โอ้ คนมีปัญญาก็ได้ทันที ก็ทำไปทันทีขณะที่ฟังบรรลุธรรม ได้เป็นพระโสดาบัน แล้วก็ไปพบพระพุทธเจ้า จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวก ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดซ้ายขวา โมคคัลลานะด้วย ได้เคารพอัสสชิเป็นอย่างมาก เวลาใดได้ยินว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศใด สารีบุตรจะนอน เวลานอนก็หันหัวหันศรีษะไปทางพระอัสสชิ พระอัสสชิอยู่ นั่นก็เคารพ
เหมือนพวกเราเคารพหลวงพ่อเทียน แม้ไม่มีหลวงพ่อเทียนแล้ว พวกเราก็เคารพสุดหัวใจ ไปที่ไหนก็เอาหลวงพ่อเทียนไปด้วย เรียกว่าครูบาอาจารย์ เป็นคุณ ลืมไม่ได้ เมื่อคิดถึงคำสอนหลวงพ่อเทียนทำให้เรารู้ศีลรู้ธรรม เอ้า ต่อไปอีก ถึงเหล่าพระสาวกถึงพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งเข้าไป เป็นชีวิตของเราไปเลย อันนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม มันไม่ใช่ทำแบบพิธีกรรม เอามาเป็นตัวปฏิบัติ ปฏิบัติได้ทั้งหมด มันหลงก็ไม่หลง มันทุกข์ก็ไม่ทุกข์ มันอะไรต่างๆ
ปฏิบัติประจำวัน ใช้ชีวิตประจำวัน เดินทางผ่านไป ผ่านทุกอย่าง ผ่านความหลงกี่ครั้งกี่หน ผ่านความทุกข์กี่ครั้งกี่หน ผ่านความรักกี่ครั้งกี่หน ผ่านความชังกี่ครั้งกี่หน เป็นทางผ่านของเรา อย่าให้สิ่งเหล่านั้นขัดขวาง ขวางกั้น สยบอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เราจะอยู่ในโลกก็ต้องมีอย่างนี้ อย่างน้อยเราก็เคยผ่าน เคยผ่าน เคยผ่าน ถ้าเราผ่านไม่ได้ โลกก็ทับถมเรา พอโลกทับถมเราก็ไปไม่ได้ แบกโลก คนแบกโลกกับคนอยู่เหนือโลก มันก็หนัก ภาราหะเว ปัญจะขันธา ขันธ์ ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลก การวางของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอื่นขึ้นมาอีก ไม่หนัก เบา กายลหุตา จิตตลหุตา เบากายเบาใจ
นี่คือได้ชีวิต ชีวิตก็คือไม่เป็นอะไรกับอะไร มีอยู่หลายอย่าง ไม่เป็นอะไรกับอะไร นี่เป็นจุดสูงสุดนะ จุดสูงสุดเหมือนเราขึ้นเขา เวลาเราขึ้นไปแล้ว เขาบอกว่าจุดสูงสุดของภูเขาลูกนี้ เคยขึ้นเขาหินร่องกล้า เคยขึ้นดอยสุเทพ เคยขึ้นดอยอินทนนท์ เคยขึ้นอะไรล่ะ อาจารย์วรเทพ ศรีปาทะ (หัวเราะ) สูงสุด ศรีปาทะ เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กไปเลย หลายคนที่ขึ้นศรีปาทะได้ พอกลับลงมา เรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กไปเลย สูงสุดนะ ลองไปขึ้นดูสิ ศรีปาทะ ประเทศศรีลังกา หลวงพ่ออายุหกสิบ เจ็ดสิบปีนี่ขึ้นผ่านมาได้แล้ว คุยได้ สูงสุด สูงสุดของชีวิต เอ้า ไม่ต้องศรีปาทะ คือไม่เป็นอะไรกับอะไร ถ้าเป็นหิมาลัยก็ไปแล้ว ไปนอนอยู่หิมาลัยแล้ว ประเทศเนปาล ยังไม่ไปเอเวอร์เรสต์ คงไม่มีโอกาสแล้วเอเวอร์เรสต์ หิมาลัยก็ผ่านมาแล้วนะ สูงสุดของชีวิตไม่ต้องไปไหน นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่เป็นอะไรกับอะไร คุ้มชาติไม่เสียชาติตรงนี้