แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมะ ก็คือฟังเรื่องของเรานั่นแหละ
เรื่องของเรามีกายมีใจ เรื่องของเรามีกายมีใจ กายนั้นก็มีอยู่ ใจก็มีอยู่ ปัญหาก็เกิดขึ้นที่กายที่ใจ การแก้ปัญหาก็แก้ที่กายที่ใจ เราจึงมาศึกษาเรื่องชีวิตเราแท้ๆ ศึกษาคือ ถลุง ย่อยออก อย่าให้เป็นดุ้นเป็นก้อน ความหลงก็อย่าให้เป็นก้อน เป็นตัวเป็นตนจริงๆ ความสุขความทุกข์นั่นล่ะ ให้เห็น ให้ย่อยแยกออก ความหลงก็มีจริงแต่มันไม่จริง มีความรู้มีจริง แต่มันจริงกว่าความหลง ความทุกข์ก็ไม่จริง มีอยู่จริง แต่มันไม่จริง ความไม่ทุกข์จริงกว่าความทุกข์ ให้สัมผัส 2 อย่างนี้ลองดู จะรู้จักเลือก เราจึงมาฝึกตน สอนตน มันมีให้เราสอนอยู่ มีให้เราบอกอยู่ มีกาย เอากายมาฝึกเป็นอุปกรณ์ความรู้สึกตัว มีใจก็เอาใจมาเป็นเครื่องฝึกตนให้มีความรู้สึกตัว มัวหลงอยู่ที่กายที่ใจนี่ จึงมาดูแล อย่าให้มันรอดสายหูสายตาไปได้
ตาใน คือสติสัมปชัญญะ มันเห็นรอบ ไม่เหมือนตาเนื้อ มันเห็นทางเดียว เห็นทางหน้า หันหน้าไปทางไหนก็เห็นทางนั้น แต่ตาในคือความรู้สึกระลึกได้นี่ มันมีหน้ารอบ หูดีดเสียงก็รู้ได้ รู้ตาในไม่เหมือนรู้ตาเนื้อ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจคิดนึก มันก็รู้ได้ แต่เวลาเราฝึกหัดจริงๆ เรามาเอากายเป็นที่ตั้ง ให้มันรู้อยู่ที่กายนี้ ยาวๆ นานๆ เอากายไปจุ่มเอาความรู้สึกตัว ให้กายมันติดกับความรู้สึกตัว ทีแรกก็เจตนากำหนดอิริยาบถ 14 จังหวะ ให้มันตามลองดู ทำไป ทำไป ก็ชำนาญง่ายที่จะรู้ ทำใหม่ๆ ง่ายที่จะหลง ไม่เป็นไร ความหลงทำให้เกิดความรู้ได้ อย่าให้ความหลงเป็นความหลง มันเปลี่ยนได้ เรียกว่าปฏิบัติ
ปฏิบัติคือ เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูก ถ้าไม่เปลี่ยนไม่ชื่อว่าปฏิบัติ
หมกหมุ่น ครุ่นคิด ไม่รู้จักรู้สึกตัว อันนั้นไม่ใช่สอนตน ไม่ใช่ปฏิบัติ อาจจะเป็นวิปัสสนึก ไม่ใช่เป็นวิปัสสนา คิดนึกเอา ได้เหตุได้ผล หาคำตอบจากความคิดเหตุผล ไม่ใช่กรรมฐาน กรรมฐานต้องไปจ๊ะเอ๋กัน รู้สึกตัวก็รู้จริงๆ นี่มือวางอยู่นี่ ยกอยู่นี้ เดินอยู่นี้ ให้มันติด ถ้ามันติดแล้วมันลืมไม่เป็น ไม่เหมือนกันกับติดอันอื่น สติไปติดอยู่ที่กาย สติไปติดอยู่ที่ใจ มันหลงไม่เป็น จนมันเห็น จนมันเกิดความเห็น มันเห็นไม่ใช่ตาเนื้อเห็น เป็นตาในที่มันพบเห็นเข้า อันนี้เป็นรูปที่นั่งเคลื่อนไหวไปมา เป็นดุ้นเป็นก้อน มันเป็นรูป รูปนี่กำลังทำดี มันรู้สึกตัวว่ารูปนี่กำลังทำดีอยู่ สิ่งที่รู้สึกตัวนี่มันรู้อะไรได้เป็นนามธรรม พร้อมกันทำความดีอยู่ เมื่อมีความรู้สึกตัว รูปก็ทำความดี นามก็ทำความดี รูปละความชั่ว นามก็ละความชั่ว ขณะที่ทำความดีจิตก็บริสุทธิ์ รูปก็บริสุทธิ์ เมื่อรูปบริสุทธิ์ จิตใจบริสุทธิ์ นามบริสุทธิ์ ก็กลายเป็นศีล ขึ้นมา ไม่ใช่ศีลสมาทาน เป็นศีลที่เกิดขึ้นเป็นศีลสิกขา
ศีลสิกขานี่มันถลุงกิเลส ถลุงความชั่ว กิเลสคือความชั่ว ความเศร้าหมอง มันถลุงออก ความหลงน้อยลง ความทุกข์น้อยลง แม้มีก็มีผิวๆ เผินๆ เบาบางจางคลายไปได้ เพราะความหลง ความทุกข์ ความโกรธ มันอาย อายความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวเป็นเจ้าของบ้านเจ้าของเรือน ความรู้สึกตัวเป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของจิตใจ ไม่เถื่อนเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนในกายมันเถื่อนใจมันเถื่อน เขาหิ้วไปไหนก็ไป ตาหิ้วไปก็ไปกับตา เข้าโรงหนังโรงละคร กายก็ไป ใจก็ไป ค้ำไม่คืน ยืนไม่อยู่ เวลาหลับเวลานอนก็ไป ถ้าเขาหิ้วไป ก็เพราะมันเถื่อน มันสำส่อนเป็นโสเภณี โสเภณีจิต โสเภณีกาย เขาหิ้วไป อะไรก็ไป ไปกินเหล้าเมายา ไปฆ่าไปตีกันก็ไป ใจก็สำส่อน หมกมุ่นครุ่นคิด เขาหิ้วไปไหนก็ไป กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย จึงมาฝึกตนอยู่บ้าน เฝ้าบ้าน มีเจ้าของซะ เหมือนบ้านมีเจ้าของ อะไรมีเจ้าของ สิ่งนั้นก็ปลอดภัย
กายใจของเรานี่ มีเจ้าของมีความรู้สึกตัว จึงมาฝึกตนสอนตน อย่าให้มันเถื่อน รักนวลสงวนตัว ความรู้สึกตัวจะบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์ใจ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา เห็น รู้เห็น พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น พบเห็นมันเดี๋ยวนี้ รู้เห็นมันเดี๋ยวนี้ คิดเห็นมันนานเกินไป อยู่ไกลๆ เหมือนเราไปพบเห็นวัดป่าสุคะโต นี่คือวัดป่าสุคะโต นั่งอยู่นี่ เดินอยู่นี่ นอนอยู่นี่ นี่คือพบเห็น การพบเห็นเป็นอย่างนี้ ไม่ลืม ถ้าใครพูดถึงวัดป่าสุคะโต ไปเห็นแล้ว มาแล้ว ถ้าเราไม่เคยมาสัมผัส มาพบเห็น เพียงแต่คิดเห็น นั่นมันอยู่ไกล มันไม่เป็นจริง เห็นสติ เห็นความหลง ตัดทิ้งเสียให้ได้ ความหลงก็ไม่มีค่า ความรู้สึกตัว เข้าข้างความรู้สึกตัว ปีนธรรมปีนศีลเข้าไปอาศัย เรียกว่าพึ่งไป ได้หลักได้ฐาน มีหลักฐานของจิตใจ ไม่จน แต่ก่อนมันจน ไม่รู้จะเป็นยังไง คุ้มร้ายคุ้มดี พอมาได้หลักได้ฐานเราก็ไม่จน ชีวิตที่ไม่จน ไม่อาภัพ แต่ก่อนนี้ ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้จะเป็นยังไง มีใจก็พึ่งใจตนเองไม่ได้ ไม่มั่นใจแล้วใครจะพึ่งเราได้ อะไรที่มันมั่นคง ไม่มีเลย เพราะไม่เคยฝึกจิตใจตนเอง
อยากจะบอก อยากจะพาทำ หลวงตาไม่พูด ก็พระอาจารย์ท่านสอนอยู่ ให้มันเห็นเข้าจริงๆ เคยถูกครูอาจารย์บอกสอนเหมือนกัน จึงกระตือรือร้นเรื่องนี้ แต่ก่อนก็รู้เหมือนกัน รู้ นึกกว่าดีคนอื่นหมด แต่ก่อนสำคัญมั่นหมาย พอถูกหลวงปู่เทียนสอน หมดตัวเลย สิ่งที่เรารู้ สำคัญว่าดี หลวงพ่อเทียนเอาทิ้งไปแล้ว สิ่งที่หลวงพ่อเทียนสอนเราไม่รู้ เช่น ความรู้สึกตัวน่ะ ให้ยกมือเคลื่อนไหว ให้รู้อยู่นี่นะ แต่ก่อนเรามีแต่ความรู้อันอื่น ไม่เคยรู้กับความเคลื่อนไหว 14 จังหวะ ให้รู้ 14 จังหวะ ตามอยู่นี่ พอได้หลักแล้ว เมื่อฝึกมันก็หลุดไป นั่งอยู่พุทธญาณ หลุดไปที่นู่นที่นี่ ถึงบ้านถึงช่อง ถึงญาติสนิท พี่น้อง บุตรภรรยา สามี ความรักความชัง มันเปรอะเปื้อนมาเยอะแยะ ความรักก็เป็นแผล ความชังก็เป็นแผล ความสุขความทุกข์เป็นแผล มีรอย มันก็มีสัญญาทำให้โกรธเกลียดอยู่ 10 ปี 20 ปียังเอามาคิด แล้วกลับมา มารู้สึกตัว ใช่ไหม มันไปกรุงเทพไหม หายไปปั๊บไป กลับมา ไปบุรีรัมย์ ไปสุรินทร์ ไปสุโขทัย กลับมา พอใจตนเอง เรานั่งอยู่พุทธญาณนี่ พุทธญาณเมืองเลย วิ่งแล้วก็กลับมา ไม่ใช่มานั่งคิด เวลานี้เราออกจากบ้านจากเรือนมาปฏิบัติ ไม่ใช่มาคิด นี่คือของจริง
มันคิดไปโน่น ไม่จริง แต่รู้อยู่นี่มันจริง สัมผัสปั๊บ กลับไปกลับมา กลับไปกลับมา มันไป-กลับมา มันไป-กลับมา สอนมันตรงนี้ มันหลงนั่นแหละดีที่สุด มันคิดมากยิ่งดีใหญ่ จะได้เห็นมัน เหมือนเราไปทำอะไร เห็นจับปลา เห็นปลาที่มันจับผิดจับถูก มันดีด สนุกสนานดี มันลุกไป-กลับมา มันคิดไป-กลับมา มันทุกข์-กลับมา มันสุข-กลับมา มันโกรธ มันรักมันชัง-กลับมา นี่ ของจริงอยู่ที่นี่ ฝึกตนไป ฝึกตนไป มันก็เห็น มันก็คิดบ่อยๆ เห็นตัวหลงบ่อยๆ มันชำนาญตรงนี้ จ๊ะเอ๋กันได้ เหมือนคนนึงออก คนนึงเข้า คนนึงจะออก คนนึงจะเข้า เหมือนประตู เราเฝ้าประตูอยู่ คนจะเข้ามาเราก็เห็น ออกไป เห็นทีแรกก็ผิวเผิน เพราะเห็นเข้าจริงๆ ก็จับได้ไล่ทันเรียกว่า จ๊ะเอ๋ ธรรมะคือจ๊ะเอ๋กัน ต่อหน้าต่อตา คาหนังคาเขา ตัวหนึ่งหลง ตัวหนึ่งรู้ โอ๊ย นี่ตัวรู้ นี่คือตัวหลง แน่นอนที่สุด เคยเป็นทุกข์เพราะความหลง เคยเป็นทุกข์เพราะความคิด เคยเป็นทุกข์เพราะรูป สูบบุหรี่ อะไรที่มันติดอยู่ในรูปนี่ มันก็เห็นเงื่อนไข เห็นธรรมะ เห็นปฏิจจสมุปบาท เหตุมันอยู่ตรงนี้
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทคือเนื่องด้วยกัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้มันจึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็จะไม่มี เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่เรา เพราะมีดวงอาทิตย์จึงมีก้อนเมฆ เพราะมีก้อนเมฆ ฝนจึงตก เพราะฝนมันตก ถนนมันลื่น ถนนมันลื่นเพราะเราเดินถนน เราจึงหกล้มเพราะเราล้ม หัวเราไปถูกตอไม้เพราะหัวเราไปถูกตอ หัวเราจึงแตกเพราะหัวเราแตก เราจึงไปหาหมอ เพราะหมอเห็นหัวเราแตก หมอเย็บแผลให้ เพราะมีแผลอยู่ในหัว หมอให้พักอยู่โรงพยาบาล นอนอยู่โรงพยาบาล "โอ๊ย โชคร้ายๆๆๆ โชคไม่ดีหัวแตกๆ" เอาเป็นโชคไปเลย โชคร้ายไปเลย ไม่ได้มองว่าเพราะอย่างนั้น เพราะสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น เพราะสิ่งนั้น
ทำไมจึงโกรธ เพราะเราหลง ทำไมจึงทุกข์ เพราะเราหลง ทำไมจึงหลง เพราะไม่มีสติ ทำไมไม่มีสติ เพราะไม่ได้ ฝึกหัดตนเลย ทำไมไม่ฝึกหัด เพราะไม่มีเวลา ทำไมไม่มีเวลา เพราะไม่ได้หาเวลา
เหมือนท่านทั้งหลาย มันเนื่องด้วยกัน อย่าไปโทษ คนนั้นทำให้เราโกรธ คนนั้นทรยศ ไม่ใช่เลย มันอยู่ที่เรา อันอื่นไม่ใช่ มันอยู่ที่เราแท้ๆ อยู่ที่กายที่ใจของเราแล้ว ลองมาจับตนให้ได้ดูสิ ลุยมันเลยนะโรคนี้ ลุยมันเลย เมื่อมันชำนาญในเรื่องนี้ ก็ก้าวล่วงไปเรื่อยๆ ก้าวล่วงไปเลย เมื่อไปหลง อะไรมันจะเกิดขึ้น เมื่อมันไปหลง อะไรมันจะเกิดขึ้น มันรู้ มันรู้ มหารู้ มหาสติปัฏฐาน มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ารู้มากๆ พิสูจน์เรื่องนี้ลองดู ผู้ใดมีความรู้สึกตัวอยู่ 1 วัน ถึง 7 วัน ต่อเนื่อง อย่างกลาง 1 เดือนถึง 7 เดือนต่อเนื่อง อย่างช้า 1 ปีถึง 7 ปีอย่างต่อเนื่อง จะเกิดอานิสงส์ 2 ประการ
อรหันต์คือไกลจากกิเลส ไม่ใช่อรหันต์เหาะเหินเดินฟ้า ไกลจากข้าศึกในใจ ไม่เปรอะเปื้อนกับบาปทุจริต ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม รักลูกรักเมีย รักภรรยาสามี รักทุกอย่าง ไม่มีคำว่าอิจฉาเบียดเบียน ความรักเป็นเครื่องค้ำจุนโลก
อนาคามีคือผู้ที่มีภพเดียว ถ้าหลง หลงครั้งเดียว ไปได้เลย ถ้าโกรธ โกรธนิดหน่อยไปเลย ถ้าทุกข์ก็ไปเลย ผู้มีภพเดียว ไม่เหมือนปุถุชน ปุถุชนโกรธเรื่องเดียวกี่ครั้ง หลายภพหลายชาตินับไม่ถ้วน คิดขึ้นมาแล้วโกรธ คิดขึ้นมาแล้วโกรธ ย้อนคิดเรื่องเดียว พอใจที่จะโกรธ ถ้ากูได้โกรธ ตายกูก็ไม่ลืม มีไหม ถ้ากูได้โกรธ ตายกูก็ไม่ลืม มันไม่ลืม มันมีปุถุ แปลว่าหนา พระอนาคามี ปั๊บ ไปเลย โอ เหมือนเห็นงู พ้นไปได้สบายเลย ผู้มีภพอันเดียว ปุถุชนนี่หลายภพหลายชาติ ความทุกข์ก็ทุกข์แล้วทุกข์อีก เรื่องเก่าเอามาคิด ปีกลายนี้ผ่านมาแล้ว เอามาคิด บางทีก็ให้มันนอนอยู่กับเรา ข้ามวันข้ามคืน ถ้ามีใครห้ามเวลาโกรธ “อย่าโกรธเถิด แม่เอ๊ย น้องเอ๊ย” “ไม่ได้ ไม่โกรธไม่ได้ ถ้าไม่โกรธก็เป็นหมา” มันว่าเราปานนั้น หาว่าคนไม่โกรธเป็นหมา มอง มองผิด มิจฉาทิฐิ มองความทุกข์เป็นตัวเป็นตน
เมื่อเรามาฝึกสติเห็นกาย ไม่เป็นภพเป็นชาติ เป็นทุกข์เป็นสุขเพราะกาย เห็นธรรมชาติ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ย่อยออกมาเลย แต่ก่อนกายเป็นตัวเป็นตน ร้อนคือกู หนาวคือกู ป่วยคือกู หิวคือกู สุขทุกข์คือกู เอากายมาเป็นกู ก็มารู้ไปรู้ไป เห็นไป กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันก็เบาลงบ้าง กายเคยมีน้ำหนัก 100 กิโลกรัม เมื่อเห็นกายสักว่ากาย อะไรที่เกิดขึ้นกับกาย เห็นเป็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ขอบคุณกายหนอ มันหิวเป็น ขอบคุณความหิว ไม่ใช่ทุกข์ เอาความหิวมาเป็นตัวปัญญา ขอบคุณ ถ้าไม่หิวมันก็อันตราย สัญญาณภัย มันบอก มันหิว ดีใจ๊เวลาหิวข้าว แต่ถ้าเราไม่รู้ ทุกข์ใจเวลาหิวข้าว มึงอย่ามาใกล้กูนะ กูกำลังหิว เป็นศึกหิวข้าวก็มี ถ้าหิวข้าวไม่ใช่เรื่องทุกข์ เป็นน่าภูมิใจ อายุ 70 ปี 80 ปีเหมือนหลวงตา หลวงปู่ใหญ่ หิวข้าวอยู่ล่ะ โอ๊ย ชื่นใจ อายุป่านนี้แล้ว หิวข้าวเหมือนเด็กน้อ นี่ตัวดีที่สุดแล้ว ไปทุกข์ทำไม ไม่ใช่ตัวใช่ตน จะได้ช่วยมัน มันร้อน มันหนาว ดีแล้ว นั่งนาน มันปวดเมื่อยถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เรื่องทุกข์ เวทนาที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นเวทนา สักว่าเวทนา มันมีอยู่ของมันเอง ร้อนเป็นหนาวเป็น ปวดเมื่อยเจ็บไข้ได้ป่วยเป็น ใช้แรงงานเกินไปก็รู้จักปวดจักเมื่อย สะบัดร้อนสะบัดหนาว มันรู้จักเจ็บป่วยมันก็ถูกต้องแล้ว จะได้พักผ่อนรักษา เพื่อให้มันปลอดภัย
มันก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คิดที่มันคิดไปนู่นไปนี่ มันออกไป มันก็ไม่ใช่ตัวใช่ตน แต่ก่อนเราคิดอะไรนึกว่าตัวทั้งนั้น ไปกับความคิด หาคำตอบจากความคิด ให้ความคิดพาสุขพาทุกข์ มันก็สักว่าคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา โอย ตั้งแต่นี้ต่อไป อันว่าสุขว่าทุกข์จากความคิดจะไม่มีอีกแล้ว ว่าสุขว่าทุกข์จากกายจะไม่มีอีกแล้ว เป็นธรรมชาติ สุขทุกข์ที่เกิดจากความคิดไม่มีอีกแล้ว เป็นปัญญาแล้ว สุขทุกข์ที่เกิดขึ้นจากกายเป็นปัญญาแล้ว อย่างนี้แหละเห็นธรรม ธรรมคือเป็นคุ้มร้ายคุ้มดี บางทีก็มีศีล มีความปกติ มีความสุขสงบ นิ่งก็เป็นธรรมอันหนึ่ง เป็นกุศล ก็อย่าไปหลง
อย่าไปหลงสุขกับธรรมที่เป็นกุศล
บางทีไปหลงมากๆ ติดสงบมากๆ ก็ไม่ใช่ บางคนติดสมถะติดสุข ลาออกจากหมอพยาบาลไปเข้าป่าก็มีนะ ไม่ใช่ อย่าไปติดมัน มันสุข มันสงบ ก็รู้ ให้เห็นมัน อย่าเข้าไปเป็น เป็นผู้สุข เป็นผู้สงบ ไม่ใช่ เห็นมันสุข เห็นมันสงบ เห็นมันฟุ้งซ่าน เห็นมันคร่ำเครียด ก็อย่าไปหลง เรียกว่าเห็นธรรม อาการที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ชี้หน้ามันเลย เพียงแต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่ใช่ตัวใช่ตน
ความหิวก็เป็นอาการของกาย ความร้อน ความหนาวก็เป็นอาการของกาย ความโกรธ ความโลภ ความหลงเป็นอาการของจิตใจ ไม่ใช่ใจ ความทุกข์ความรักความชังเป็นอาการของใจ ใจมันอยู่ปกติของมันเอง บ้านของใจคือปกติ เวลาใดมันผิดปกติ เรียกว่าใจพลัดถิ่นพลัดบ้านไปแล้ว ให้รีบเข้าบ้าน หาความปกติให้ได้ ฝึกตนสอนตน เหมือนเรามีบ้านอยู่ เวลาฝนตก วิ่งเข้าบ้าน เวลาแดดออก วิ่งเข้าบ้านเข้าร่ม จิตใจของตนที่ฝึกดีแล้วนะ มันมีบ้านเป็นอมตะ ในที่สุดบ้านอันเนี่ยะ ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตาย คือไม่เป็นอะไรกับก็อะไร เรียกว่าชีวิตที่มีบ้าน ถ้ายังพลัดถิ่นพลัดบ้าน คุ้มร้ายคุ้มดี ฟูๆแฟบๆ เรียกว่าจน เรียกว่าอาภัพ คนอาภัพอับจน มีบ้านหรูหราก็นอนไม่หลับ มัวแต่คิด หมกมุ่นครุ่นคิด มีแต่อารมณ์คลุกเคล้ากับจิตใจของตน ไม่สร่างซา หนัก ภาราหะเว ปัญจะขันธา ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนัก ไม่รู้จักปล่อยจักวาง วางไม่เป็นเย็นไม่ได้
ถ้าวางก็เบา ถ้าเอาก็หนัก จิตใจนี้เอาไม่ได้ มีแต่วางๆ
ไม่เป็นไร ความรู้สึกภายในไม่เป็นไร อย่าไปมีความรู้สึกไม่ไหวๆ แย่ๆ อย่าไปใช้ความรู้สึกประเภทนั้น อะไรเกิดขึ้นไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ร้อนก็ไม่เป็นไร หนาวไม่เป็นไร หิวไม่เป็นไร แต่ทำตัวให้มันดี คำว่าไม่เป็นไรมันคือทำดีแล้ว คำว่าไม่ไหวมันทำดีไม่ได้แล้ว ทำดียาก ว่าไม่เป็นไรยังคงก้มหน้าทำงานทำการ เขานินทาก็ไม่เป็นไร เขาสรรเสริญก็ไม่เป็นไร ช่างหัวมัน ช่างหัวมัน เป็นเช่นนั้นเอง ทำใจอย่างนี้ ใจอย่างนี้ใจไม่จน ใจอย่างนี้ต้องฝึกตนพอสมควร อะไรก็ไม่ไหว อะไรก็แย่ ร้อนก็แย่ หนาวก็แย่หิวก็แย่ มันไม่ใช่แย่ มันไม่เป็นไร
หลวงตายังมียังสวนทางกับเพื่อนอยู่ครั้งหนึ่ง ขึ้นรถไปเทศน์ที่เชียงใหม่ ไปเทศน์มหาวิทยาลัยที่อาจารย์ทรงศิลป์เรียนอยู่ เมื่อก่อนอาจารย์ทรงศิลป์เป็นนักศึกษาอยู่ที่พายัพ ราชมงคลพายัพ เชียงใหม่ ท่านเป็นนักศึกษา หลวงตาไปสอนที่นั่น 20-30 ปีแล้ว เรานั่งรถสีส้มขอนแก่น รถเก่าๆ เขาให้นั่งข้างหลัง เขาเปิด คนก็แย่งกันขึ้นไปจองที่นั่ง รถก็ออก ติดเครื่อง มันก็ร้อน ไม่มีพัดลม มันร้อน เพื่อนเราไปด้วยกัน 2 รูป ก็นั่งบ่นไม่ไหวๆ แย่ๆๆ ตายๆ มันนั่งข้างหลัง เครื่องอยู่ข้างหลังหมด ไอของเครื่องขึ้นมา มันก็ลุกลี้ลุกลน เราก็เอาผ้าอาบน้ำไปปิดให้ ก็ยังร้อนอยู่ ไม่ไหวๆ แย่ๆ ตายๆๆ เหงื่อโทรม หลวงตาก็นั่งข้างๆ หลวงตาก็พูดในใจ ไหวๆ ไม่แย่ๆ ไม่ตายๆ (หัวเราะ) พูดสวนทางกับที่ของเขา เพื่อนของเราไม่ไหวๆ แย่ๆ ตายๆ เราก็นั่งอยู่เฉยๆ ไหวๆ ไม่แย่ๆ ไม่ตายๆ ไม่เป็นไรๆ ใจมันก็ไม่ร้อน เหงื่อก็ไม่ออกมาก
ถ้าทำใจนะ ถ้าร้อน 100 เปอร์เซนต์ ถ้าไม่เป็นไร ใจร้อน 100 เปอร์เซ็นต์ จะเหลืออยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ลองดูนะ ตะขาบมันตอดกัด ปวด 100 เปอร์เซนต์ เป็นเช่นนั้นเอง เวทนาไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน เราไม่เป็นผู้ปวด เราไม่เป็นผู้เจ็บ เราก็เห็นความไม่เที่ยงเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา เหลืออยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ตะขาบกัดร้อยเปอร์เซ็นต์ ปวดตุ๊บๆๆๆ ไม่เป็นไรๆ เหลืออยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องร้อง โอ๊ยๆ ลองดูนะ เอาธรรมะไปชะลอการเจ็บป่วยได้ ลองใช้นะ อย่าเป็นผู้เจ็บ เห็นมันเจ็บ ลองดูนะ อย่าเป็นผู้ร้อน เห็นมันร้อน อย่าเป็นผู้ทุกข์ เห็นมันทุกข์อย่างนี้ เอาไปเอามาก็ฝึกหัดไป ไม่ต้องเป็นอะไรกับอะไร สุดยอดเลย
ไม่เป็นอะไรกับอะไร เป็นชีวิตที่ไม่เป็นอะไรกับอะไรเลยในโลกนี้ เรียกว่าสุดยอดของชีวิตเรา เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
นิพพานคือเย็น เย็นใจ อย่าร้อน ฝึกตนสอนตน ถ้าไม่ฝึก มันไม่ได้นะทุกวันนี้ มีตา มีหู มีจมูก ลิ้น กาย ใจ วัตถุ รูปแห่งกามคุณ รูปรสกลิ่นเสียงเป็นดง ทุกวันนี้มองดู โรงหนังโรงละครมากกว่าโรงเรียน แหล่งโสเภณีมากกว่าโรงพยาบาล อบายมุขมากกว่าวัดวาอาราม มันสู้ไม่ได้ ถ้าเราไม่ฝึกตน ยุคนี้สมัยนี้ ต้องฝึกตนสอนตน ถ้าไม่ฝึกตนสอนตนจะอยู่ในโลกแบบจับๆๆ เจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ยุคนี้ยุคทองยุคธรรม หลวงตาจะบอกว่า มันล้าสมัยแล้วคนทุกข์คนโกรธ ถ้ายังโกรธยังทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ล้าสมัยแล้ว เขาไปกันแล้ว เขาฝึกกันแล้ว เวลาใดเราโกรธ โอ๊ย เราล้าสมัยที่สุดเลย เหลวไหลมากที่สุด เวลาใดเราทุกข์เนี่ย ล้าสมัย เขาไม่ทุกข์กันแล้ว เรียกว่ายุคทองยุคธรรมกันแล้ว